Wednesday, 15 May 2024
นายกรัฐมนตรี

‘เศรษฐา’ แจง!! หลังถูกสังคมวิจารณ์พฤติกรรม เผยปากกาหมึกหมด กลัวจดไม่ทัน ไม่ได้เจตนาโยน รับปากจะระวังมากขึ้น

‘เศรษฐา’ แจง!! ไม่ได้โยนปากกา หลังถูกสังคมวิจารณ์ เผยหมึกหมด-กลัวจดสิ่งที่หารือไม่ทัน รับปาก ต่อไปจะระวังมากขึ้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในจังหวะที่ นายเศรษฐาได้พบปะพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยระบุว่า...

“พี่น้องคนไทยหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง-ไรเดอร์ที่เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอย เชื่อมต่อการเดินทางไปยังเส้นเลือดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ช่วยหล่อเลี้ยงและมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล

เราจึงต้องดูแลคนกลุ่มนี้อย่างเหมาะสม สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดจอดรถ การบริหารจัดการใบอนุญาต การดูแลสวัสดิการ แพลตฟอร์ม การบังคับใช้กฎหมาย การมีเจ้าภาพดูแลอย่างชัดเจน ตลอดจนการสนับสนุนให้สามารถเปลี่ยนไปใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้

วันนี้มีโอกาสพูดคุยได้ทราบถึงมุมมองจากพี่น้องผู้ประกอบอาชีพ ก็ขอให้มั่นใจว่าเราให้ความสำคัญกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์-ไรเดอร์ และผมได้ฝากให้ท่านสุริยะไปดูแลต่อไปครับ”

‘เศรษฐา’ เผย มีหลายนโยบายสำคัญรอแถลงต่อรัฐสภา ไม่กลัว ‘ก้าวไกล’ จี้ถาม มั่นใจ!! ทุกนโยบายตรวจสอบได้

(7 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐ ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่พรรคเพื่อไทย เนื่องจากยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยทันทีที่มาถึง นายเศรษฐา ได้เดินเข้าไปทักทายกลุ่มทหารผ่านศึก ที่เข้าแสดงความยินดีกับนายกฯ และรอเข้าแสดงความยินดีกับนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม 

จากนั้นนายเศษฐา ได้ให้สัมภาษณ์ถึงที่มาของแหล่งเงินที่จะใช้สำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่าที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับหลายภาคส่วน ขณะนี้อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนงบประมาณว่าเงินจะมาจากไหน เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ก็ได้พูดคุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ข้อคิดมาหลายเรื่อง โดยให้คำแนะนำว่าถ้าเราจะออกดิจิทัลวอลเล็ต ในระยะกลางและระยะยาวของประเทศระบบการเงินการคลังของประเทศจะเป็นลักษณะไหน 

อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะจะขึ้นจะลงอย่างไร ท่านเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่จะต้องมีการพูดคุยให้เกิดความชัดเจน ไม่อยากให้มีการพูดกันไปหลายอย่าง วันนี้ขอทำการบ้านให้ดีก่อน อย่าลืมว่าวันนี้ตนยังไม่สามารถเข้าบริหารงานได้ ต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาถึงจะสั่งการได้ วันนี้ขอให้เป็นเรื่องระหว่างการพูดคุยและเก็บข้อมูลก่อน ขอร้องว่าอย่าพูดให้เกิดความสับสน ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง วันนี้ข้อมูลมาจากหลายภาคส่วน 

เมื่อถามว่าจะเป็นลักษณะการออกพันธบัติเพื่อระดมทุนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่าขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง ขอเวลานิดหนึ่งไม่อยากจะตอบแล้วสื่อนำไปเขียนกัน จนเกิดความเข้าใจผิด มีหลายส่วนที่สามารถทำได้ 

เมื่อถามย้ำว่าการจ่ายเงินจะเป็นลักษณะบล็อกเชนใช่หรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่าเป็นบล็อกเชนแน่นอน 

เมื่อถามย้ำว่าแม้วิธีการหาเงินยังไม่สรุปแต่ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวจะเดินหน้าได้ในไตรมาสแรกปี 67 เหมือนที่เคยระบุไว้ใช้หรือไม่ นายเศรษฐ กล่าวว่า ใช้ครับแน่นอนครับ 

เมื่อถามว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกวันที่ 13 ก.ย. นอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และลดราคาพลังงานแล้วมีเรื่องอะไรเร่งด่วนอีกบ้าง นายเศรษฐา ตอบว่า ขอให้อดใจนิดหนึ่งเพราะมีหลายเรื่อง มีเรื่องที่เตรียมไว้ยาวมาก ทั้งนี้เราได้มีการประกาศไว้แล้วว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกจะทำอะไรบ้าง และต้องไปดูว่าวันที่จะเริ่มทำได้จริงเมื่อไหร่ ถ้าพูดไปก่อนเดี๋ยวจะเกิดความสับสน อย่างไรก็ตามวันเดียวกันนี้ก็จะพูดคุยภายในเกี่ยวกับการจัดเตรียมวาระ 

เมื่อถามว่าการประชุมวันที่ 13 ก.ย. จะแบ่งงานให้รองนายกฯ เลยหรือไม่ นายเศษฐา กล่าวว่า น่าจะและกำลังทำอยู่ซึ่งวันนี้ก็จะเป็นเรื่องหนึ่งในการพิจารณากับคณะทำงาน 

เมื่อถามว่านายกฯ ระบุจะนั่งเป็นประธาน คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นายกฯ จะดูแลงานด้านความมั่นคงด้วยตัวเองเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้จะพูดคุยกันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป และยืนยันจะไปกำกับดูแล กตร.ด้วยตัวเอง 

เมื่อถามถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจโดยเฉพาะหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่จะมีอย่างแน่นอน แต่จะเป็นเมื่อไหร่ขอกำหนดวันเวลาอีกครั้ง ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ส่วนตัวคิดว่าการทำงานในสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องนั่งล้อมวงกันเสียเวลาเตรียมเอกสารที่มีค่อนข้างเยอะ เราใช้การทำงานแบบจับกลุ่มการพูดคุยและรวมตัวกันทำงานดีกว่า คนจะได้ไม่ต้องมาเตรียมเอกสารกันเยอะไปหมด อีกทั้งปัจจุบันมีวิธีสื่อสารหลายวิธี จึงคิดว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจไม่มีความจำเป็น แต่มั่นใจว่าทุกเรื่องจะเดินหน้าได้เร็วกว่าที่ทำในทุกวันนี้ 

เมื่อถามว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีการกำหนดกรอบเวลาทำงานหรือไม่ว่า 100 วันจะมีผลงานอะไรออกมา นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องขอพิจารณาก่อน ยังไม่มีการพูดคุยตรงนั้น แต่ยืนยันว่าจะเห็นผลงานอย่างแน่นอน 

นายเศษฐา กล่าวด้วยว่า วันนี้เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการเฟ้นหาบุคคลที่จะมารับตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าใจว่าได้แล้วและจะมีการพูดคุยอย่างดี จะได้ไม่ต้องมีความสนพูดกลับไปกลับมาไม่เช่นนั้นจะทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนสับสนได้ ส่วนจะเป็นใครนั้นขอเวลาอีกนิดเดี๋ยวได้ทราบ 

เมื่อถามว่านอกจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่น ๆ จะแต่งตั้งเลยหรือไม่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก นายเศษฐา กล่าวว่า ก็คงมีบางส่วนด้วย เพราะหลายหน่วยงานมีการเตรียมเรื่องไว้แล้ว และถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ยอมรับว่ามีหลายเรื่องที่สำคัญและตนจะคุยกับคณะทำงานว่ามีเรื่องอะไรบ้างว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่นายกฯ ต้องทำ แล้วมาไล่เรียงความสำคัญ แต่อยากให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยแถลงครั้งเดียวจะได้ไม่เกิดความสับสน 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพรรคก้าวไกลตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทยมีหลายเรื่องที่หาเสียงไว้แต่ไม่ได้บรรจุไว้ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้รอดูและฟังจากการแถลงนโยบาย วันนี้เข้าใจการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบ และเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ และไม่กังวลหากจะพูดซักและจี้ถามในรัฐสภา ถือเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเราอาสาเข้ามาทำงานก็ต้องพร้อมให้ถูกตรวจสอบ และถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น 

ในช่วงท้ายนายเศรษฐา เปิดเผยด้วยว่า บ่ายวันเดียวกันนี้จะหารือร่วมกับ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ บีโอไอ โดยจะหารือในประเด็นการลงทุนระหว่างประเทศว่ามีข้อติดขัดอะไรหรือไม่เพราะเรื่องการลงทุนกับต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และหลังจากนั้นมีกำหนดเข้าพบและหารือกับ เอกอักคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่าขอให้สื่อมวลชนมั่นใจว่าเราจะทำงานอย่างเต็มที่ 

‘เศรษฐา’ แถลงนโยบายรัฐบาล  50 นาทีรวด  ลั่น!! เดินหน้าทุกนโยบายด้วยความซื่อสัตย์

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีครม. สส. และ สว. เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า ครม. มีนโยบายรัฐบาลมุ่งมั่นสร้างความสามัคคี ปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม นำไปสู่ความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศให้ก้าวหน้า วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศที่ถูกซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ยังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้เป็นรูปธรรม ขณะที่ปัญหาสังคมและการเมืองยังยืดเยื้อ ฝังรากลึก ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจประเทศกว่าร้อยละ 30.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่หมวดสินค้า ภาคส่งออกติดลบติดต่อกัน 3 ไตรมาส ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงกว่าร้อยละ 90 ของจีดีพี หนี้สาธารณะสูงกว่าร้อยละ 61 อาจกลายเป็นข้อจำกัดด้านการคลังและการบริหารประเทศในอนาคต 
โชว์จุดยืนหนักแน่นพิทักษ์สถาบัน

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ส่วนภาคการเกษตร ประชากรกว่า 10 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของกำลังแรงงาน อยู่ในภาคที่ทำงานหนัก แต่กลับสะท้อนออกมาเป็นมูลค่าเพียงร้อยละ 7 ต่อจีดีพี ส่งผลให้เกษตรกรไทยมีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 3 แสนบาท ส่วนด้านการเมืองมีความเห็นต่าง แบ่งแยกทางความคิด ทำให้สังคมอยู่ในจุดน่ากังวล ข้อกฎหมายไม่ทันสถานการณ์บ้านเมือง ปัญหาทุจริต อาชญากรรม ยาเสพติดรุนแรงขึ้น ความท้าทายเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาความยากจน เหลื่อมล้ำ ทำให้ประเทศไทยขาดความพร้อมที่จะเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ เกิดวิกฤตศรัทธาประชาชน กลายเป็นเป้าหมายของรัฐบาลนี้ต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน สร้างความพร้อม และวางรากฐานเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง รัฐบาลมีกรอบนโยบายบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วนได้แก่ กรอบระยะสั้น จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง เร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าประชาชนอย่างรวดเร็ว ส่วนกรอบระยะกลางและระยะยาว จะเสริมขีดความสามารถให้ประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันประเทศไทยเปรียบเหมือนคนป่วยที่ได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในช่วงโควิด-19 จนมีความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุน นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง กระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ เกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายรอบ รัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบภาษี และจะช่วยวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประเทศ เตรียมความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่

“นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายเร่งด่วนอีก 4 ข้อ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชนได้แก่ 

1.การแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนการเงิน สำหรับภาคประชาชน ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนากลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้ฟื้นตัวกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง 

2.ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน จะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทันที จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ วางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจแหล่งพลังเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า 3.ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อสร้างงานให้ประชาชนจำนวนมาก จะเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวด้วยการอำนวยความสะดวก ปรับปรุงขั้นตอนขอวีซ่า การยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่ากลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย การยกระดับประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้า งานเทศกาลระดับโลก ปรับปรุงสนามบิน และจัดการเที่ยวบ้นของสนามบินทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ

และ 4.การแก้ปัญหาความเห็นแตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้มีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่แก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ รัฐบาลจะหารือแนวทางทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบกติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัย เป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา ให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง โปร่งใส เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สำคัญของประเทศ ทำให้ประเทศมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากสุดในการพัฒนาประเทศ

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลมีแนวทางสร้างรายได้ โดยใช้การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเปิดประตูสินค้าและการบริการของประเทศสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้ การเร่งการเจรจากรอบความร่วมทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุน การส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ อาทิ พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนาต่อยอดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจกการค้าตามแนวชายแดน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง ทางอากาศ ตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ของโลก ส่วนภาคการเกษตร จะสร้างรายได้ภาคการเกษตร โดยใช้หลักตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพภาคการเกษตร การหาตลาดให้สินค้าเกษตรได้ขายในราคาที่เหมาะสม การฟื้นอุตสาหกรรมประมง แก้ไขข้อกฎหมายให้เหมาะสม จะบริหารจัดการภาคการเกษตรที่ครบถ้วนทุกด้าน มีเป้าหมายทำให้รายได้เกษตรกรทั้งประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 4 ปี

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายสร้างและขยายโอกาสให้ประชาชน โดยสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เพื่อสร้างโอกาสการมีอาชีพ รายได้ จะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน พิจารณาเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ให้เป็นโฉนด ให้นำไปต่อยอดเข้าถึงแหล่งทุนได้ รวมถึงการปลดล็อกแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับของรัฐที่เป็นข้อจำกัดของประชาชน เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนในการสร้างรายได้ เช่น การปลดล็อกกฎระเบียบสุราพื้นบ้าน การบริหารรูปแบบการกระจายอำนาจ เพื่อสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานแต่ละจังหวัดให้ตอบสนองความต้องการประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยมาให้บริการ ขจัดช่องโหว่การทุจริต ลดค่าใช้จ่าย ให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น การสนับสนุนการสร้างซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ ยกระดับพัฒนาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ จะสร้างรายได้ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะ ซอฟต์เพาเวอร์การปฏิรูปการศึกษา สร้างศักยภาพของผู้เรียนตามความถนัด การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพประเทศ จะปรับโครงสร้างหน่วยงานความมั่นคงให้ทันสมัย จะร่วมพัฒนากองทัพให้มีศักยภาพ โดยเปลี่ยนรูปแบบเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารให้เป็นแบบสร้างสรรค์ ลดกำลังพลนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับสูง กำหนดอัตรากำลังในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สอดคล้องบทบาทภารกิจ ปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานกระทรวงกลาโหมให้โปร่งใส ขณะที่ด้านความปลอดภัยจะปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดจากสังคมไทย นอกจากนี้รัฐบาลจะดำเนินนโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ การยกระดับนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาลในเมือง ลดความแออัดและภาระบุคลากรทางการแพทย์ การผลักดันกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ในอนาคต 4 ปีข้างหน้า จะเป็น 4 ปีที่รัฐบาลวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้ประเทศ โดยยึดหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะกรณีการดำเนินงานที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนการบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินนโยบายรัฐนั้น รัฐบาลจะดำเนินการอย่างมีเป้าหมายทั้งในด้านการเจริญเติบโต การลดความเหลื่อมล้ำ การรักษาเสถียรภาพให้ความสำคัญกับกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด รัฐบาลจะใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสม จะตระหนักถึงข้อจำกัดด้านรายได้ โดยเฉพาะรายได้จากภาษีประชาชน จะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ประชาชน

“ท้ายที่สุดรัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง จะตั้งใจ ทุ่มเทสรรพกำลังดำเนินนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลาน” นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ นายเศรษฐาใช้เวลาแถลงนโยบายทั้งสิ้น 50 นาที
 

'เศรษฐา' จะไม่ปล่อยมาเฟียครอบงำการทำงานของตำรวจ ขู่!! ถ้าเจอทุจริตฟันไม่เลี้ยงตั้งแต่ข้างบนถึงข้างล่าง 

(12 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายเศรษฐาทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าหลัง พ.ต.อ.วชิรา ยาวไธสงค์ ผกก.2 บก.ทล. ยิงตัวเองเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเกี่ยวเนื่องคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตำรวจ 2 นาย กลางงานเลี้ยงในบ้านพักของนายประวีณ หรือ กำนันนก ที่ จ.นครปฐม ว่า หลังจากที่เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (11 ก.ย.) ได้มีการพบกันกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทางผบ.ตร.ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรม แล้วบอกว่าวันเดียวกันนี้ กองพิสูจน์หลักฐาน จะมีผลที่สรุปค่อนข้างได้แน่นอนว่าเกิดจากอะไรในคดีการยิงตัวตายของ พ.ต.อ.วชิรา ตรงนี้ต้องให้ความสนใจ และเมื่อช่วงค่ำวานนี้ ตนได้พูดคุยกับผบ. ตร.อีกครั้ง ซึ่งผบ. ตร.ได้ยืนยันว่าในช่วงก่อนเที่ยงของวันนี้จะมีการแถลงข่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าผลเป็นอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่กำกับดูแลคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะให้ความมั่นใจกับข้าราชการตำรวจได้อย่างไร ว่าจะไม่มีอิทธิพลเข้ามาครอบงำ หรือทำให้การทำงานมีปัญหา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนได้พูดย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้วด้วย ทั้งเรื่องอิทธิพลของกลุ่มทุน มาเฟีย หรือกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่ประชาชนมีความกังวลอย่างมาก และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย รับเป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้

"และเป็นสิ่งที่เราจะต้องไม่ยอมรับต่อไป และผมขอให้คำมั่นว่าจะจัดการอย่างเต็มที่ จะทำทุกอย่างเท่าที่มีอำนาจ จะไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก และจะบริหารจัดการอย่างถูกต้องเด็ดขาด และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย"นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดูแลข้าราชการตำรวจอย่างไร ตั้งแต่ระดับบนถึงระดับล่าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะเรื่องแบบนี้ ถ้าหัวไม่ใส่หางจะไม่กระดิก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเข้าใจในความเป็นห่วง แต่ขอนิดนึง เพราะตนก็เพิ่งจะสั่งการได้เมื่อวานนี้เป็นวันแรกหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ก็ทำงานทันที และเข้าใจว่าตั้งแต่ข้างบนลงมาข้างล่าง ส่วนไหนมีปัญหาก็ต้องบริหารจัดการกันไป รับรองได้ว่าถ้าหากเจอเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ จะจัดการทันที

‘ท็อป-จิรายุส’ กร้าว!! 5 ปีข้างหน้า ทักษะเดิมๆ อาจเสื่อมถอย หลัง AI พร้อมสะเทือน ‘ทุกอาชีพ-ทุกวงการ’ แม้แต่เก้าอี้ ‘นายกฯ’

เมื่อไม่นานนี้ ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง ได้กล่าวในงานสัมมนา ‘Revolution AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ’ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงการที่เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกให้หมุนเร็วขึ้น และผู้คนก็จำเป็นต้องเตรียมปรับตัวตามให้ทัน

ท็อป กล่าวอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถของมนุษย์ราว 44% จะใช้ไม่ได้อีกแล้วในโลกอนาคต และที่สำคัญได้พยากรณ์ไปในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วยว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของไทย ต้องเป็นผู้ที่มีพลังในการกุม AI ไว้ได้

“ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถประมาณ 44% ของพวกเราทุกคน จะใช้การไม่ได้แล้ว ซึ่ง 44% นี้ เทียบได้เกือบครึ่งนึงของความสามารถที่เราทุกคนมีอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ด้วยโซลูชันและเทคโนโลยี ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการทำงาน รวมถึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและลักษณะของคน”

“อีกทั้ง 1 ใน 3 ของประชากรโลก ในอีกระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2030 อาจจะต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้าโลกจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะในการแบ่งหมวดหมู่ประเภท’ (Skill Taxonomy)”

ท็อป มองว่า ในอนาคต โลกจะไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ทักษะหรือความสามารถในแต่ละสายอาชีพ’ (Hard Skills) หรือ ‘ทักษะด้านเทคนิค’ (Technical Skills) จะเหลือเพียงแค่ ‘ทักษะทางสังคมที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน’ (Soft Skill) เท่านั้น ดังนั้นมนุษย์ควรจะพัฒนาให้ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ (Human Capital) มีทักษะในการสื่อสารที่ดีขึ้น เพิ่มทักษะภาวะผู้นำ หรือทักษะในการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้น ล้วนเป็น Soft Skill ทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า ทักษะด้านเทคนิคยังจำเป็นอยู่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า ต้องกลับไปในยุคสมัยที่มีการแท่นพิมพ์ขึ้น ทำให้การผลิตหนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนไปได้มาก ส่งผลทำให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและความรู้ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้มีการทำให้ข้อมูลมีความเป็นประชาธิปไตย (Democratization of information) มากขึ้น รวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ในยุคสมัยใหม่ สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และง่ายดายมากยิ่งขึ้น แถมยังฟรี ไม่เสียเงินมากเท่าสมัยก่อนอีกด้วย ขณะเดียวกัน ตอนนี้

หลังจากนั้น ก็มี ‘ระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดพิเศษ’ อย่าง Blockchain ซึ่งองค์กรน้อยใหญ่ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ โครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) คาร์บอนเครดิต ต่างก็หลั่งไหลเข้ามา ช่วยเปลี่ยนมูลค่าทุกอย่างให้กลายเป็นดิจิทัล

เมื่อถามถึงวาระสำคัญอย่าง AI ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในโลกยุคนี้และกำลังเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ สังคม และผู้คนมากขึ้น จะมอบประโยชน์อะไรให้กับโลก? ท็อป กล่าวว่า “AI จะเข้ามาเพิ่มความสามารถด้านเทคนิคในการทำให้ข้อมูลเป็นกลางมากยิ่งขึ้น เราจะคัดกรองข้อมูลได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างที่เป็นความสามารถเฉพาะทางเทคนิก AI สามารถที่จะทําได้แล้ว แปลว่าในอนาคต เราทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะความสามารถ เพื่อให้สามารถเข้าถึง AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า”

เมื่อถามถึง AI ต่อการศึกษาในอนาคต? ท็อป มองว่า "การศึกษาในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน เราสามารถพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นได้ด้วย AI ลดปัญหาของการศึกษา โดยการใช้วิธี ‘2 Sigma Problem’ คือ การสอนเด็กแบบตัวต่อตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการสอนแบบกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถผลิตเด็กที่มีความรู้ความสามารถแบบพิเศษได้มากขึ้น เช่น การที่จะทำให้เกิดการสอนแบบตัวต่อตัวนั้น หากเป็นอาจารย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนไม่เพียงพอ แต่หากใช้ระบบ AI เข้ามาช่วย จะสามารถช่วยให้การศึกษาแบบตัวต่อตัวนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

“แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ หรือครูผู้สอนจะตกงาน เพราะการที่มี AI เข้ามาช่วยนั้น จะทำให้อาจารย์ผู้สอนกลายเป็นอาจารย์ที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากเด็กนักเรียนที่จะมีอาจารย์ผู้สอนแบบตัวต่อตัวที่คอยสร้างสมดุลของไอเดีย เป็นติวเตอร์ส่วนตัวแล้วนั้น อาจารย์ก็จะมี AI เป็น ‘ผู้ช่วยสอนส่วนตัว’ (Teacher Assistant) ที่จะคอยเตรียมเอกสารประกอบการเรียนการสอน หรือแม้แต่สอนเทคนิคต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้แก่อาจารย์ ทำให้ประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์ดีมากขึ้นอีกด้วย”

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาทำให้ระบบการศึกษากลายเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่เปิดกว้างต่อคนทุกวัยมากขึ้นใช่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า “เป็นไปได้มาก เพราะในอนาคต ลูกค้าของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้มีเพียงแค่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพวกเราทุกคน เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทักษะปัจจุบันครึ่งนึงของพวกเราจะใช้การไม่ได้แล้ว พวกเราทุกคนจึงต้องพัฒนาทักษะความรู้ในเท่าทันโลกแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งอนาคตที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการช่วยส่งเสริม เพิ่มพูนทักษะความรู้ของมนุษย์แต่ละคน”

ไม่ใช่แค่การศึกษาที่จะเปลี่ยนไป เพราะแม้แต่โลกของอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดย ท็อป ชี้ว่า “ขีดความสามารถของเครื่องจักรในอนาคตนั้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการผลิตสินค้า สามารถผลิตได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกปี อีกทั้งราคาสินค้ายังถูกลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานบริการในอนาคตอีกเช่นกันที่ AI จะเข้ามามีความสามารถทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ แทนที่มนุษย์ทั้งหมด” ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปพยายามย้ำว่า ทำไม Soft Skill ถึงสำคัญมากในอนาคต

เมื่อถามถึง AI จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของไทยในอนาคต? ท็อป เผยว่า “ในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรีคนถัดไป อาจจะเป็นผู้ที่มี AI Power มากที่สุด เพราะเทคโนโลยี มีผลต่อการเลือกตั้งทุกยุคทุกสมัย ยุคแรกใครมีป้ายหาเสียงที่อยู่ตามท้องถนน สถานที่ดีๆ คนเห็นเยอะๆ ได้เป็นนายกฯ แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ใครที่เก่งเรื่องโซเชียลมีเดียมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนายกฯ เป็นต้น”

‘นายกฯ’ เตรียมโชว์โมเดล ‘โคกหนองนา’ บนเวทียูเอ็น หวังให้ทั่วโลกได้เห็นภูมิปัญญาที่คนไทยภาคภูมิใจ

(16 ก.ย.66) ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายเศรษฐา กล่าวว่าในการเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ถ้ามีโอกาสก็ จะนำโมเดลโคกหนองนา ไปเสนอในเวทียูเอ็น ถึงภาพรวมของโครงการ เพราะแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องความน่าภาคภูมิใจของคนไทย ที่ต้องนำไปเสนอ

ส่วนการเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใช้งบประมาณในการเหมาลำเครื่องบินสูงถึง 30 ล้านบาทนั้น นายเศรษฐา กล่าวยืนยันว่า มีราคาเปรียบเทียบไว้อยู่แล้วว่าถูกกว่า เรื่องนี้อย่าให้พูดต่อเลย เพราะโฆษกและรองเลขาฯ ได้ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง จะมีการทำราคาเปรียบเทียบไว้ เป็นไปตามระบบการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่าง

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในการเดินทางไปร่วมประชุมยูเอ็น ครั้งนี้ก็จะได้มีโอกาส ให้สัมภาษณ์และพบกับสื่อมวลชนรายใหญ่ของโลก ซึ่งอาจจะมากกว่า 3 สื่อ แต่คงต้องขอดูก่อนว่าแต่ละสื่อจะมีประเด็นอะไรบ้าง เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นเดียวกัน บางสื่ออาจจะอยากให้พูดถึงเรื่องพลังงานสะอาด เรื่องของเศรษฐกิจ บางสื่อก็ต้องการพูดถึงเรื่องความมั่นคง ก็คงต้องให้ข้อมูลทุกมิติ ซึ่งไม่เชิงเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ ให้กับสื่อต่างประเทศ และที่ผ่านมาก็พูดมาตลอด หากมีสื่อใดต้องการสัมภาษณ์ ตนก็ยินดีตอบ หากมีความพร้อม และเป็นคำถามที่เหมาะสม และรัฐบาลมีความพร้อมที่จะตอบ ในทุกมิติที่ถามมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกจะชี้แจงอย่างไรในประเด็นทางการเมืองเพราะมีสื่อบางแห่ง ไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองของไทย และมีผลกระทบหลายๆ ด้าน ในการบริหาร ของประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า "ให้สื่อต่างประเทศเขาถามผมเองดีกว่า ถ้าเขาถามมา ผมคิดว่าผมตอบได้ แล้ววันนี้ผมมี 300 กว่าเสียง เป็นเสียงจากประชาชน วันนี้ก็เดินหน้าทำงาน ไม่หยุด"

เมื่อถามความคืบหน้าในการนัดหมายกับทางผู้นำเยอรมัน ที่จะพูดคุยในเรื่องของเรือดำน้ำว่า ยังไม่ทราบ ยังไม่มีรายงานมาจากทางกระทรวงการต่างประเทศ ขอเวลานิดนึงยังมีเวลาอยู่ ตอนนี้ตารางแน่นมาก พยายามเกลี่ยกันไปเกลี่ยกันมา และวันจันทร์ที่ 18 ก.ย. ช่วงบ่าย จะมีตารางประมาณ 80-90% และระหว่างเดินทางก็จะมีการเจรจา มีการขอนัดพบกันอยู่

เมื่อถามว่า แต่ยังไม่มีการยอมรับที่ใช้เครื่องยนต์จากจีนใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ยังไม่ได้คุยจึงตอบไม่ได้ แต่เป็นวาระหนึ่งที่ตนให้ความสำคัญ อะไรที่เป็นเรื่องเก่า และยังไม่ถูกสะสางก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลของเราทั้ง 11 พรรคที่ต้องช่วยสะสางกันไป เพราะถือเป็นโครงการต่อเนื่องมา ต้องทำให้สำเร็จ

นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน เรื่องของทูตสันถวไมตรี อย่างเรื่องหมีแพนด้าที่จะหมด MOU ในเดือนหน้าจะมีการเจรจา หรือนำกลับมาเลี้ยงอีกหรือไม่ว่า ความสัมพันธ์กับประเทศจีนเราถือว่า เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง และตนมีกำหนดที่จะเดินทางไปประเทศจีนระหว่างวันที่ 8-10 ต.ค.นี้

เชียงใหม่-นายกรัฐมนตรี และคณะเยี่ยมชมต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

เมื่อวันเสาร์ ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 11.15 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย คณะรัฐมนตรี เดินทางเยี่ยมชมต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายไพรัตน์  ทับประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ คณะทำงาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ และกลุ่มสตรีอำเภอดอยสะเก็ด ให้การต้อนรับ มอบดอกไม้และพวงมาลัย อย่างอบอุ่น

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก่อตั้งขึ้นจากพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2525 บริเวณลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งอยู่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง บนพื้นที่ 8,500 ไร่ เพื่อพลิกฟื้นจากสภาพป่าเต็งรังที่เสื่อมโทรมให้เป็นพื้นที่ต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีพระราชประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางในการศึกษา ทดลอง วิจัย หารูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภาคเหนือ และเผยแพร่แก่ราษฎรให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยมีหลักการคือ “ต้นทางเป็นป่าไม้ ปลายทางเป็นประมง ระหว่างทางเป็นเกษตรกรรม” ดังพระราชดำริที่พระราชทานให้แก่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ทำหน้าที่เสมือน “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต”

จากนั้นนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปยังหอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2559   เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร      ที่ทรงครองราชย์ ครบ 70 ปี รับฟังการบรรยายประวัติศาสตร์การก่อตั้งศูนย์ฯ เยี่ยมชมภาพเสด็จพระราชดำเนินทรงงาน จำนวน 8 ครั้ง ในช่วงปี พ.ศ.2527 - พ.ศ.2536 บันทึกแนวพระราชดำริ และภาพพื้นที่จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่จัดแสดงไว้ในลักษณะสื่อผสมที่ทันสมัยและสวยงาม
ต่อมา นั่งรถรางชมวิวไปยังบริเวณเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ แนวป้องกันไฟป่าเปียก (Wet Fire Break) รับฟังบรรยายระหว่างทาง โดย ผู้อำนวยการศูนย์ฯ เกี่ยวกับการขยายผลสำเร็จในการศึกษา ทดลอง วิจัย ของศูนย์ แก่ราษฎรผู้ที่สนใจ เกษตรกร รวมทั้งศูนย์เรียนรู้เครือข่าย และฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการพัฒนาป่าตามแนวพระราชดำริ อาทิ การปลูกป่า 3 อย่าง เพื่อประโยชน์ 4 ประการ การทำฝายต้นน้ำลำธาร (Check Dam) พร้อมทั้งเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์จากป่า ตลอดจนผลการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงด้านป่าไม้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเจ้าหน้าที่งานป่าไม้ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมทั้งร่วมทำกิจกรรมสร้างฝายต้นน้ำลำธาร ปลูกต้นยางนา ปล่อยไก่ป่า จำนวน 4 ตัว และไก่ฟ้าหลังขาว จำนวน 5 ตัว    คืนสู่ธรรมชาติ

ผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานที่ผ่านมาของศูนย์ฯ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ มาศึกษา ทดลอง ปฏิบัติเพื่อการพัฒนา และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ในพื้นที่ โดยการปลูกป่า 3 อย่าง เพื่อประโยชน์ 4 ประการ ในการผสมผสานการอนุรักษ์ ดิน น้ำ และการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ควบคู่กับความต้องการด้านเศรษฐกิจ คือ 1.ปลูกไม้กินได้ 2.ปลูกไม้ใช้สอย 3.ปลูกไม้เศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์อย่างที่ 4 คือการอนุรักษ์ดินและน้ำ
การทำแนวป้องกันไฟป่าเปียก (Wet Fire Break) ในห้วยฮ่องไคร้ฯ คือ การทำระบบป้องกันไฟไหม้ป่า โดยใช้แนวคลองส่งน้ำและแนวพืชชนิดต่างๆ ปลูกตามแนวคลอง โดยอาศัยน้ำชลประทานและน้ำฝน และปลูกต้นไม้โตเร็วคลุมแนวร่องน้ำ เพื่อให้ความชุ่มชื้นค่อยๆ ทวีขึ้นและแผ่ขยายออกไปทั้งสองร่องน้ำ 

ซึ่งจะทำให้ต้นไม้งอกงามและมีส่วนช่วยป้องกันไฟป่าเพราะไฟป่าจะเกิดขึ้นง่ายหากป่าขาดความชุ่มชื้น รวมทั้งการสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้นหรือที่เรียกว่า Check Dam เพื่อปิดกั้นร่องน้ำหรือลำธารขนาดเล็กเป็นระยะๆ เพื่อใช้เก็บกักน้ำและตะกอนดินไว้บางส่วน โดยน้ำที่เก็บไว้จะซึมเข้าไปสะสมในดิน ทำให้ความชุ่มชื้นแผ่ขยายเข้าไปทั้งสองด้านกลายเป็นป่าเปียก ด้วยเหตุนี้แนวพระราชดำริป่าเปียก จึงนับเป็นทฤษฎีการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้โดยใช้ความชุ่มชื้นเป็นหลักสำคัญที่จะช่วยให้ป่าเขียวขจีอยู่ตลอดเวลา ไฟป่าจึงเกิดได้ยาก เป็นการพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ที่สามารถทำได้ง่ายและได้ผลดี

ด้านอุตุนิยมวิทยา อุณหภูมิเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงแต่ปริมาณความชื้นสัมพันธ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราการระเหยน้ำมีแนวโน้มลดลง ด้านอุทกวิทยา ฝายต้นน้ำสามารถลดปริมาณการไหลหลากของน้ำท่าและยืดระยะเวลาการไหลของน้ำท่าในห้วยที่มีการสร้างฝายชะลอน้ำ ด้านความหลากหลายของชนิดพรรณไม้ พบว่า โครงสร้างป่าเต็งรังเดิม มีพรรณไม้ 35 ชนิด และป่าเบญจพรรณ มีจำนวน 46 ชนิด ปัจจุบันพบว่าชนิดพรรณไม้ในป่าเต็งรังเพิ่มขึ้นเป็น 46 ชนิด ในขณะที่ป่าเบญจพรรณเพิ่มขึ้นเป็น 65 ชนิด ด้านโครงสร้างเรือนยอดไม้    ในป่าเต็งรัง แบ่งได้เป็น 4 ระดับ คือไม้เรือนยอดบนมีความสูง 15 เมตร เรือนยอดรอง มีความสูง 10 - 15 เมตร   ชั้นไม้พุ่มสูง 5 - 10 เมตร ชั้นลูกไม้ต่ำกว่า 5 เมตร ส่วนป่าเบญจพรรณแบ่งได้ 3 ระดับ คือ ไม้เรือนยอดบน   มีความสูงมากกว่า 20 เมตร เรือนยอดรอง สูง 10 – 20 เมตร และ ไม้ชั้นล่าง ต่ำกว่า 10 เมตร ในขณะที่     ป่าผสมเต็งรัง - เบญจพรรณ มีชั้นเรือนยอดเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือไม้ชั้นเรือนยอดบนมีความสูง 15 - 25 เมตร ไม้ชั้นเรือนยอดรองสูง 10 - 15 เมตร

หลังจากที่ดิน น้ำ ป่ามีความอุดมสมบูรณ์แล้ว จึงได้ทำการศึกษาและพัฒนาในเรื่องของการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และการส่งเสริมอาชีพ เพื่อให้เป็นศูนย์ที่สมบูรณ์แบบ มีระบบบริการเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (One Stop Service) ให้ราษฎรได้รับความสะดวก ตลอดจนสร้างสิ่งที่ดีและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อราษฎร   ซึ่งทางศูนย์ได้ทำงานในรูปแบบบูรณาการกับหน่วยงานที่ร่วมสนองแนวพระราชดำริ จำนวน 13 หน่วยงาน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า การบริหารจัดการน้ำของภาคเหนือ ยังคงน่าเป็นห่วงแต่เชื่อว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค-บริโภค ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่นั้น หลังจากการประกาศยกเว้นวีซาให้กับนักท่องเที่ยวจีน พบว่ามีการบุ๊กกิ้งการเดินทางเพิ่มมากขึ้น และยังมีแผนเพิ่มจำนวนประเทศอื่นๆ ที่ยกเว้นวีซ่าเพิ่มเติมอีกด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับไปยังตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้กวดขันด้านความปลอดภัย อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ทางรัฐบาลได้มีแผนจะเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องการเผาป่าเพื่อแก้ปัญหาแล้ว คาดว่าจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติม ถึงการปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแต่ยืนยันว่าจะหาแนวทางการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด

‘เศรษฐา’ เผย ‘ลุงตู่’ เคยเตือนเรื่องการนอนที่สภาฯ ระวังคนมองว่า ‘สร้างภาพ’

เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ได้ให้สัมภาษณ์ในงาน Thairath Forum 2023 | Future Perfect โดยให้ความเห็นเมื่อถูกถามเกี่ยวกับกรณีจะไปนอนทำเนียบรัฐบาลจริงหรือไม่? ว่า...

เป็นความจริง เพราะบ้านที่นายกฯ อยู่มีพื้นที่ 197 ตารางวา ซึ่งจะเล็กมากทันที หากต้องมีตำรวจเข้าออกเพื่อดูแล จึงคิดว่าเพื่อนบ้านจะเดือดร้อนแน่ ๆ อีกทั้งต้องเดินทางเยอะด้วย ดังนั้นตนจึงไม่อยากเป็นภาระกับตำรวจกับหน่วยรักษาความปลอดภัยด้วย แต่คงต้องเป็นภาระให้กับฝ่ายเลขาฯ 

"หากตื่นมาแล้ว ถ้ากิน Breakfast (อาหารเช้า) ตอน 06.30 น. ก็ต้องมีคนมาสั่งงานได้แล้ว 06.30 น. แล้วก็ไปอาบน้ำต่อ ขอเป็นภาระกับเลขา 4-5 คน และถ้าหากมีภารกิจตอนค่ำ ก็สามารถสั่งงานใคร ก่อนนอนได้อีกหนหนึ่ง"

นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนยืนยันว่าจะพยายามเต็มที่ เพราะเทหมดหน้าตัก ต้องทำงานกันหนักจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าแต่ละคนมีขีดที่รับงานได้ต่างกันไป คนไหนรับได้ก็รับ คนไหนรับไม่ได้ก็เวียนกันมาทำงานกัน เพราะเข้าใจว่าบางคนบ้านอยู่ฝั่งธนฯ บ้านอยู่สุขุมวิท เดินทางต่างกันไป ไม่มีปัญหา บอกกันได้ ว่าไหวไม่ไหว แต่พยายามเต็มที่

เมื่อถามว่าไปนอนจริงจังหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "ก็คง 3-4 วันต่ออาทิตย์"

นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “ผมได้บอกท่านนายกฯ ประยุทธ์ไปในวันที่พบท่าน ท่านก็บอกว่า ระวังนะคนหาว่าสร้างภาพ ผมก็พยักหน้า รับทราบ ก็เข้าใจครับ ก็เข้าใจในความหวังดี ในการเตือน มันโดนแน่นอน”

เชียงใหม่- depa เหนือบน ร่วมให้การต้อนรับ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงใหม่ 

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ร่วมพบปะคนรุ่นใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพูดคุยประเด็นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคม และสิ่งแวดล้อม (PM 2.5) พร้อมหารือทิศทางการพัฒนาจังหวัด โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ นายปรัชญา โกมณี ผู้จัดการสาขาภาคเหนือตอนบน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP)

โดย นายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยกับผู้แทนจากภาคเอกชน ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ภาคประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในหลากหลายประเด็น ประกอบด้วย 1) โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สนามบินและระบบขนส่งสาธารณะ ขยายเวลาเปิด 24 ชั่วโมง เสนอสนามบินแห่งที่ 2 ส่งเสริมเอกชนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ระบบโครงข่ายถนน Links เชื่อม 25 อำเภอ 2) ส่งเสริมสนับสนุนการทำตลาด ได้แก่ อัปเกรดงานแสดงสินค้าสู่ระดับประเทศ จัดอีเวนต์ระดับโลก ดึงอีเวนต์ใหญ่มาจัดในจังหวัดเชียงใหม่ 3) ปรับปรุงกฎกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับ Visa ส่งเสริม Remote Woker และ Digital Nomad เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 4) ส่งเสริมและสนับสนุนการทำตลาดในต่างประเทศ 5) นโยบายสนับสนุนเพิ่มจำนวนผู้ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ขณะที่ข้อเสนอของคนรุ่นใหม่ อาทิ ประเด็นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคม และสิ่งแวดล้อม (PM 2.5) Soft power โอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ การขอให้ขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด พื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การทำ  Wellness Tourism ฯลฯ ซึ่งในบางเรื่องที่หารือนั้นอยู่ในแผนการดำเนินงานของรัฐบาลอยู่แล้ว 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้ร่วมพูดคุยและรับฟัง Solution จาก Digital Startup ในจังหวัด ได้แก่ ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นแนวคิดจากเด็ก ป.6 สามารถนำมาต่อยอดให้การแจ้งเตือนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นวัตกรรมการผลิตน้ำเชื้อโคแยกเพศ ระบบบริหารจัดการหอพัก อพาร์ทเมนท์และธุรกิจรายวัน (Horganice) บริการทำความสะอาดและรีดผ้า (BeNeat) โดย นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาการจับคู่ค้า (Matching) กับต่างประเทศมาร่วมลงทุนด้วย พร้อมย้ำถึงการมีความทะเยอทะยานให้มากขึ้น เพื่อคิดหาแนวทางและขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้มีศักยภาพ

ในโอกาสเดียวกันนี้ นายประเสริฐ ได้พบปะผู้แทนของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง อาทิ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) ไปรษณีย์จังหวัดเชียงใหม่ สถิติจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์อุตุวิทยาภาคเหนือ และ depa โดย นายปรัชญา ได้รายงานการดำเนินงานที่ผ่านมาของ depa สาขาภาคเหนือตอนบน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในพื้นที่ การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน รวมถึงการยกระดับกำลังคนดิจิทัล การเพิ่มทักษะใหม่ด้านดิจิทัลสำหรับวัยเรียนและผู้สูงอายุ

‘เศรษฐา’ ปลื้ม!! ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ ขึ้นแท่นมรดกโลก ชี้!! เป็นสมบัติล้ำค่า หวังใช้ต้อนรับ นทท. เยือนไทย

(19 ก.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวแสดงความยินดีภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 45 มีมติให้ขึ้นทะเบียนแหล่งเมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลกว่า ประธานคณะกรรมการมรดกโลก สมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยทุกคน ตนขอขอบคุณคณะกรรมการมรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาอย่างยิ่งที่เล็งเห็นคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของเมืองโบราณศรีเทพ และมีมติขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในวันนี้ ซึ่งเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ประกอบด้วย 3 พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกัน สามารถกำหนดอายุได้ก่อนประวัติศาสตร์ 

นายเศรษฐา กล่าวว่า นอกจากจะเป็นเมืองเก่าแก่ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมสมัยทวารวดีแล้ว ยังมีลักษณะโดดเด่นกว่าเมืองในยุคเดียวกัน มีศิลปะ สถาปัตยกรรมที่ได้รับการยอมรับ ในชื่อศิลปะสกุลช่างศรีเทพ การขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่จะดำเนินการร่วมกันในการอนุรักษ์ฟื้นฟูและปกป้องสถานที่อันทรงคุณค่าแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ และเป็นสมบัติอันล้ำค่า ไม่เพียงแต่ต่อคนทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเพื่อคนรุ่นหลังต่อไป 

ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับทุกท่านให้เยี่ยมเยือนแหล่งมรดกโลกเมืองศรีเทพ รวมทั้งประสานความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศร่วมกับประชาชนชาวไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top