Thursday, 16 May 2024
นายกรัฐมนตรี

‘นายกฯ’ ยัน!! เดินหน้าต่อยอด ‘30 บาทรักษาทุกโรค’  เพื่อยกระดับชีวิตคนไทย คาด!! ปีหน้าเสร็จสมบูรณ์

(12 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์เดิม) ระบุว่า “เดินหน้าต่อ 30 บาทรักษาทุกโรคยกระดับเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐาได้แนบลิงก์ บทสัมภาษณ์ของนายแพทย์สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ถึงความคืบหน้าการ ใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาสุขภาพทุกเครือข่าย ซึ่งต่อยอดนโยบาย 30 บาทของพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยนำร่องรักษา 4 จังหวัด และภายในปี 2567 จะสมบูรณ์ทั้งระบบ และคาดว่าในอนาคตเตรียมพร้อมรับ 2 สิทธิ คือ ข้าราชการและประกันสังคม

‘นายกฯ’ มั่นใจ!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ได้ใช้แน่ ส่วนโครงการดีเลย์เพราะต้องรับฟังทุกเสียง

(13 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท ที่สังคมมีทั้งคนเห็นด้วย เห็นต่างและสนับสนุน ว่า ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน และไม่อยากให้สังคมไทย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายตรงข้าม หรือพวกเดียวกัน ไม่อยากให้มีธง อยากให้รับฟังความคิดเห็นว่าข้อดีข้อเสียคืออะไร แล้วหยิบยกมาพูดคุยกัน 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุโครงการดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ผ่านสภา ประชาชนจะไม่มีโอกาสได้รับเงินจริง นายเศรษฐา กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าเสียงของผม อย่างพรรคร่วมรัฐบาลมี 320 เสียง ผมว่าเสียงของผมมั่นคง และเราทำงานเป็นทีม เชื่อว่าผ่าน” 

เมื่อถามย้ำว่า คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้เงิน 10,000 บาท หรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า มั่นใจ เป็นหน้าที่ผู้นำรัฐบาลต้องรับฟังเสียงประชาชน โครงการดีเลย์จากที่ประกาศไว้เพราะทีมงานของเราต้องรับฟังความเห็นทั้งหมด ทั้งเรื่องการออก พ.ร.บ. กำหนดเกณฑ์คนรวย การจำกัดรายได้ที่พูดคุยและถกเถียงกัน

เมื่อถามว่าโครงการนี้จะมีอุบัติเหตุที่จะทำให้สะดุดหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มั่นใจว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคหรือกฎหมาย รัฐบาลยืนยันว่าทำถูกต้องทั้งหมด และทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคงจะให้ข้อคิดเห็นในเชิงที่เป็นบวกและเราสามารถทำโครงการนี้ได้ แต่มีจุดเดียวคือ มีคำถามว่าตอนนี้เราอยู่ในวิกฤต หรือไม่ได้อยู่ในวิกฤต มีวิกฤตและความจำเป็นที่ต้องทำหรือไม่ ถ้าบอกว่ามีวิกฤตและความจำเป็นคือเรามีจีดีพีติดลบ แบบนั้นคงไม่ต้องทำ เพราะจีดีพียังไม่ติดลบ แต่ 9-10 ปี ที่ผ่านมา จีดีพีแค่ 1.9% ต่อปี เราไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศอื่นโตกว่าเรา 2 เท่า คู่แข่งของไทยทั้งประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการเติบโต สมัยก่อนอาจจะอยู่ในโลกของเราคนเดียวได้แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกการแข่งขัน ถ้าไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย รัฐบาลเชื่อว่าเราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายต่ำจริงๆก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ก็ไม่จบ

ผู้สื่อข่าวถามว่าโหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยบางส่วน รู้สึกผิดหวัง ที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับเงิน เนื่องจากมีเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท ทั้งที่เกิดจากวินัยการออม และมีรายรับไม่เกิน 7 หมื่นบาท นายเศรษฐา กล่าวว่า เข้าใจและเห็นใจแต่ต้องรับฟังทุกภาคส่วน ทั้งสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย มีความชัดเจนไม่ให้แจกคนรวย และมีการสอบถามถึงกำหนดเกณฑ์คนรวย โดยจะต้องกำหนดตัวเลขให้ชัดเมื่อถึงจุดหนึ่ง โดยคนที่มีรายได้เกิน 7 หมื่นบาท และเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท รัฐบาลได้ออกโครงการอีรีฟัน หากมีการใช้จ่ายจะได้เงินคืนประมาณ 1 หมื่นบาท เทียบเท่ากับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทีมงานคิดมาแล้ว รวมถึงโครงการระยะยาวในกองทุนส่งเสริมการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมใหม่ เป้าหมาย เช่น รถอีวี ไมโครชิพ จำนวน 1 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มใช้ในเดือนมิ.ย. 2567 ที่ต้องทำเร่งด่วน

เมื่อถามว่ากรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยว่าเงินฝาก 5 แสนบาท รวมไปถึงสลากออมสิน หุ้นกู้ กองทุนรวม และเงินเกษียณ ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า นับเฉพาะเงินฝากอย่างเดียว ไม่นับกองทุนรวมเพราะตรวจสอบไม่ได้ ส่วนเงินเกษียณ ถ้าไปในบัญชีก็นับรวมด้วย ส่วนเงินสดที่เก็บอยู่ที่บ้านไม่นับ โดยจะเริ่มตรวจสอบว่ามีเงินในบัญชีตั้งแต่เดือน ก.ย.66 ทั้งนี้ เมื่อครั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เติมเงินในแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พบว่า 15 % ไม่มีการใช้จ่ายเพราะคนไม่ได้ใช้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเงินพอที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประชาชนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย หาเงินได้ ใช้เงินเป็น นายกฯ กล่าวว่า “ผมเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคอะไร พรรคเพื่อไทย สื่อก็บอกว่าหาเงินได้ใช้เงินเป็น ผมก็มั่นใจว่าผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น ส่วนเรื่องที่มาของการออกจะเป็น พ.ร.บ. เงินกู้ ทางผู้ว่าธปท.ได้บอกเองว่านายกฯ กู้ดีกว่า ตอนนี้จาก 61% เป็น 64% เพราะเพดานเงินกู้อยู่ที่ 70% ให้กู้เลย ถ้านำมาใส่โครงการฯบวกกับโครงการอื่น และหากยกระดับจีดีพีขึ้นไป สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะลดตามไป แม้หนี้จะเพิ่มแต่ถ้าจีดีพีมากกว่าหนี้จะลดลง”

‘นายกฯ’ ยัน!! ไม่ได้สั่งให้ ‘ตร.จีน’ ลาดตระเวนไทย ชี้ ผู้ว่าการททท. อาจสื่อสารเรื่องนี้ผิดพลาด

เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.66) ที่ รร.เดอะริทซ์ คาร์ลตันนครซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ (เวลาท้องถิ่นซานฟรานซิสโก ช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กรณี น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ​ระบุรัฐบาลมีแนวคิดให้ตำรวจจีนลาดตระเวนเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองรอง ว่า เรื่องนี้ถึงอย่างไรตำรวจไทยต้องเป็นคนดูแล แต่ถ้ามีความร่วมมือเกิดขึ้นในแง่ของการประสานข้อมูลกับทางตำรวจจีน เชื่อว่าจะให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่ามีตำรวจจีนมาเดินบนถนนเมืองไทย เรื่องนี้คงเป็นการสื่อสารที่มีความผิดพลาดมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางผู้ว่าฯ ททท.อ้างว่าเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากที่นายกฯ เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีข้อสั่งการหรือพูดคุยในเรื่องนี้ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าต้องมีตำรวจจีนมาอยู่ที่เมืองไทย แต่เป็นการหารือที่ทั้งสองหน่วยงาน คือสถาบันตำรวจ ที่ต้องพูดคุยเพราะทุกคนกลัวเรื่องจีนสีเทา และเรื่องที่คนจีนมาทำอะไรผิดกฎหมายกับคนจีนในเมืองไทย จึงต้องมีการประสานเรื่องข้อมูลให้ชัดเจน อย่าให้เกิดความสับสน และหากมีอาชญากรรมเกิดขึ้น จะได้จัดการบำบัดได้ทันที

เมื่อถามย้ำว่า นายกฯ ไม่ได้สั่งให้ประสานกับทางจีนในเรื่องนี้ ใช่หรือไม่ นายกฯ ส่ายหน้า และกล่าวว่า "ไม่ได้สั่งเลยครับ ไม่มีการสั่งครับ เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับผม ใครจะไปสั่ง ผมไม่เคยพูดว่าต้องเอาตำรวจจีนมากี่คนๆ "

เมื่อถามว่าเรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องอธิปไตยของไทย ทำไมต้องเอาจีนเข้ามา นายเศรษฐา กล่าวย้ำว่า ไม่เคยมี ไม่เคยพูด ถามคนใกล้ชิดตนได้ว่าไม่เคยมี เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยเหมือนกันเพราะไม่ใช่

‘นายกฯ’ ยัน ไม่ทอดทิ้งรถยนต์สันดาป ‘ญี่ปุ่น’ ในไทย พร้อมเล็งเปิดฟรีวีซ่าของทั้ง 2 ชาติ เอื้อนักธุรกิจลงทุน

(16 พ.ย.66) ที่โรงแรมเดอะริทซ์คาร์ลตัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงการหารือทวิภาคี กับนายคิชิดะ ฟูมิโอ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ว่า หารือเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีมานาน 50 ปี และหารือเรื่องการใช้รถยนต์สันดาป โดยตนให้ความมั่นใจกับทางญี่ปุ่นไปว่าจะไม่ทอดทิ้ง มีการพูดคุยกันว่าให้การประกอบรถยนต์สันดาปของญี่ปุ่น และกระบวนการจัดการผลิตอยู่ได้ ขณะที่รถไฟฟ้า (อีวี) ที่มีความต้องการสูง และได้พูดในหลายเวทีว่าประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จึงต้องมาดูแลช่วยเหลือกัน และทางญี่ปุ่นยืนยันว่าธุรกิจยานยนต์เป็นธุรกิจสำคัญและจะพัฒนาต่อในประเทศไทย และในระหว่างวันที่ 16 - 18 ธ.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียน ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังพูดคุยอีกหลายเรื่อง เช่น การฟรีวีซ่าสำหรับนักธุรกิจของสองประเทศ ที่ทั้งสองฝ่ายมีการตกลงเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องขอเพื่อให้นักธุรกิจ ติดต่อธุรกิจและไปมาหาสู่สะดวกมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีที่สองฝ่ายเห็นตรงกัน 

ผู้สื่อข่าวถามเรื่องวีซ่านักธุรกิจ จะจำกัดจำนวนวัน ในการเข้ามาพำนักเพื่อประกอบธุรกิจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มี เป็นหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศต้องไปศึกษา โดยการทำธุรกิจต้องใช้เวลานานเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดคาดว่าจะตกลงกันได้ในระหว่างการไปร่วมประชุม 

‘นายกฯ’ ชู 3 แนวทาง แก้วิกฤติสภาพภูมิอากาศ บนเวทีเอเปค ‘ความยั่งยืน-การค้าการลงทุนที่เปิดกว้าง-ความเชื่อมโยงศก.’

(18 พ.ย.66) ที่ศูนย์ประชุมมอสโคนีเซ็นเตอร์ (Moscone Center) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในรูปแบบ Retreat (APEC Economic Leaders’ Retreat (Session II)) หัวข้อ ‘Interconnectedness and Building Inclusive and Resilient Economies’ และร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค ครั้งที่ 30 โดยนายกฯ กล่าวถ้อยแถลงเป็นลำดับที่ 18 ต่อจากผู้นำจีนไทเป ประธานาธิบดีเวียดนาม นาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจโลกใน ค.ศ. 2023

นายกฯ กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ต่อระบบการค้าพหุภาคีและเอเปค เพื่อมุ่งสู่ประชาคมเอเชีย-แปซิฟิก ที่เปิดกว้าง ยืดหยุ่นและสงบสุข โดยได้มีการหารือและสนทนาเกี่ยวกับวิธีการต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเห็นพ้องกับผู้นำทุกคนว่า ถึงเวลาที่ต้องลงมือให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยเสนอ 3 มุมมอง ที่เป็นประโยชน์ต่อเอเปค คือ 1.ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสานต่อพัฒนาการเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ที่ปีนี้เอเปคมีความก้าวหน้าอย่างมาก โครงการมากกว่า 280 โครงการ ตอบสนองต่อเป้าหมายฯ นี้ ขณะที่ ABAC เดินหน้าผลักดันการจัดทำ BCG Pledge การจัดการประชุม Sustainable Future Forum ครั้งแรก เพื่อกระตุ้นธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น 

2.เปิดการค้าและการลงทุนอย่างเติบโตและรุ่งเรือง เอเปคสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดกฎเกณฑ์ โดยมีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลาง เป็นกุญแจสำคัญ รวมถึงการมีส่วนร่วมไปสู่ผลลัพธ์ที่มีความหมายในการประชุมรัฐมนตรีครั้งต่อไป (The Thirteenth Ministerial Conference (MC13))

นายกฯ กล่าวว่า ไทยผลักดันความพยายามอย่างต่อเนื่องในเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) เพื่อความก้าวหน้าในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค และไทยจะเร่งเจรจา FTA อื่นในเชิงรุก รวมทั้งยกระดับการเจรจาที่มีอยู่เพื่อรับมือกับความท้าทายทางการค้าที่จะเกิดขึ้นใหม่ 3. เสริมสร้างความเชื่อมโยง เพื่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น โดย ไทยกำลังเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย และยังรวมทั้งยังได้อนุมัติวีซ่าฟรี ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสนับสนุนความต่อเนื่องของบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปค (APEC Business Travel Card) ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสนับสนุน MSMEs และสตาร์ตอัปอีกด้วย ทั้งนี้ยินดีกับสหรัฐฯ ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมที่เป็นประโยชน์ครั้งนี้ โดยไทยพร้อมร่วมประสานความร่วมมือกับเปรูเพื่อสานต่อความสำเร็จนี้ต่อไป  

‘นายกฯ’ ยินดี!! ‘แอนโทเนีย’ คว้ารอง 1 Miss Universe 2023 ขอบคุณที่เป็นตัวแทนประเทศ เผยแพร่ Soft Power ไทยสู่เวทีโลก

(19 พ.ย.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความยินดีกับนางสาวแอนโทเนีย โพซิ้ว มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 ตัวแทนประเทศไทย ที่สามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023 ในการประกวดนางงามจักรวาล ครั้งที่ 72 รอบตัดสิน (Final Competition) ที่จัดขึ้น ณ ยิมเนเซียมแห่งชาติ ในกรุงซานซัลวาดอร์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ เช้าวันนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) 

“นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี ชื่นชมและขอบคุณแอนโทเนีย โพซิ้ว ที่ทำได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยอย่างดีที่สุด จนสามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023 ซึ่งในการประกวดครั้งนี้ แอนโทเนียยังได้เผยแพร่ซอฟต์พาวเวอร์วัฒนธรรมไทยที่งดงามโดดเด่นแก่สายตาชาวโลก โดยเฉพาะชุดแต่งกายประจำชาติ ‘เทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่ได้รับแรงบันดาลจากรูปปั้นพระแม่ธรณีในช่วงยุคสมัยอยุธยาของอาณาจักรสยามที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 ทั้งนี้ ถึงแม้แอนโทเนียจะไม่ได้สวมมงกุฎนางงามจักรวาล แต่การที่แอนโทเนียสามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023 ก็เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลก ได้ใจคนไทยทั้งประเทศและทำให้คนไทยภาคภูมิใจอย่างมาก” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว   

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แสดงความยินดีกับ แอนโทเนีย โพซิ้ว ที่สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023  ระบุว่า...

"ขอแสดงความยินดี ชื่นชมและขอบคุณ คุณแอนโทเนีย โพซิ้ว ที่ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยได้เป็นอย่างดีมากครับ จนสามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023 

ชุดแต่งกายประจำชาติ ‘เทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ งดงาม โดดเด่นมากจริงๆ ครับ เสริมสร้างความเป็นไทยได้ไม่มีที่ติจริงๆครับ ยินดีด้วยมาก ๆ ครับ"

‘อนุทิน’ ชื่นชม ‘นายกฯ’ ทำงานเร็ว-ตัดสินใจเฉียบขาด ย้ำ!! ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมหนุนทุกนโยบาย

(19 พ.ย.66) ที่ไบเทคบางนา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 41 และมอบรางวัลสำเภาทอง ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับรางวัล โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รางวัลนี้นอกจากจะเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ ที่แสดงถึงการให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายอนุทิน กล่าวถึงการทำงานร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าจากการที่ได้ร่วมงานมา 3 เดือน เห็นถึงความพร้อมจะพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นคนทำงานรวดเร็ว ว่องไว และตัดสินใจเฉียบขาดทุกเรื่องที่ได้รับนโยบายมาก็มีความสบายใจว่านโยบายหรือคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชนกับวิถีชีวิตของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ได้นึกถึงเรื่องของพรรคการเมือง ทุกเรื่องคือเรื่องของรัฐบาลในการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตาม สิ่งที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง

นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในการแถลงนโยบาย ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรี และข้าราชการ ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาใดๆ ต้องหาหนทางที่จะแก้ไข และดำเนินการให้นโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาบรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ได้ 

“นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะทำนโยบายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย มั่นใจว่าภารกิจที่ได้ให้สัญญาเอาไว้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ขอให้คำยืนยันจะให้ความร่วมมือกับนายกรัฐมนตรีในทุกๆ นโยบาย ที่จะทำให้ประเทศเกิดประโยชน์” นายอนุทิน กล่าว

‘นายกฯ’ รับ!! ไทย ‘เสียโอกาส-ตัวตน’ บนเวทีโลกกว่าทศวรรษ เชื่อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ จำเป็น!! ต่อการฟื้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

(23 พ.ย. 66) ที่เพลนารีฮอลล์ 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM หัวข้อ ‘FUTURE READY THAILAND เศรษฐกิจไทยในอนาคตแห่งความเปลี่ยนแปลง’ โดยก่อนปาฐกถานายกรัฐมนตรีได้พูดคุยและหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมากว่าทศวรรษไทยสูญเสียโอกาส และตัวตนในเวทีโลกในการออกไปค้าขายเพื่อให้ต่างชาติรู้จักประเทศไทย ด้วยปัญหาภายในประเทศ วันนี้รัฐบาลนี้ต้องการเอาศักดิ์ศรีของประเทศไทยกลับสู่เวทีโลกให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ ว่าไทยสามารถยืนยันบนเวทีโลกและต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้าน ในการดึงนักลงทุน และในแง่ของการทูตเชิงรุกได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เรามีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีนายกรัฐมนตรีมาจากพลเรือนและให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน มีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีที่ดีเพื่อเชิญชวนมาลงทุน ต่อยอดการแข่งขันและการลงทุน ซึ่ง 2 เดือนที่ผ่านมาไทยได้เซ็น MOU ไปหลายฉบับ ขณะที่ทูตพาณิชย์ต้องรู้จุดขาย ออกไป เป็น KPI ใหม่ที่ทูตต้องทำงานร่วมกับองค์กรรัฐ เพื่อเป็นการขยายการทำงานของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่วนเศรษฐกิจจะวิกฤตหรือไม่วิกฤติเป็นเรื่องที่ตนกำลังถกเถียงกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวในเรื่องของมาตรการการท่องเที่ยว และแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำที่อาจหมดกำลังใจในการใช้หนี้นอกระบบ ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ซึ่งรัฐบาลจะมีการแถลงข่าวใหญ่ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ เช่นเดียวกับหนี้ในระบบที่จะมีการแถลงในวันที่ 12 ธันวาคมนี้

“เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่าภายใน 4 ปี วันนี้ยืนตรงนี้ไม่อยากให้เป็นวาทกรรมเฉยๆ ว่าเราอยากจะเพิ่มรายได้เกษตรกร แต่อยากจะมีขั้นตอนในทุกภาคส่วนในหลายพืชผล ที่เราสามารถทำได้จริง หลังจากวาระของรัฐบาลชุดนี้จบลง เริ่มจากน้ำไม่ท่วมไม่แล้ง และเปิดตลาดใหม่ให้มีการค้าขายได้ ผมหวังว่ากลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เราจะมีการแถลงใหญ่และมีขั้นตอนที่ชัดเจน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า อุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาตั้งในไทยต้องการใช้น้ำอย่างมหาศาล หากเราไม่บริหารจัดการให้เพียงพอจะเป็นปัญหาได้ ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร เช่น ข้าว นอกจากนี้ยังมีปัญหา ถั่วเหลืองจีเอ็มโอ ยางที่มีปัญหาจากสภาพดิน รัฐบาลนี้พยายามปรับพืชผลเพิ่มผลผลิตให้สินค้าเกษตร เชื่อว่ามีเกษตรกรไทย10 ล้านคนที่สามารถทำงานได้อีก

นายเศรษฐา กล่าวยืนยันว่า เราต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะทำอย่างไรให้มีความโปร่งใสมีความชอบธรรมถูกต้องตามหลักนิติรัฐและมีที่มาที่ไป ซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลนี้ในการออก พ.ร.บ.เงินกู้

“ถ้าครม.เห็นด้วย คือตัวแทนของสส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน แสดงว่าพี่น้องประชาชนเห็นด้วย ถ้ากฤษฎีกาเห็นชอบก็ถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.ต้องผ่านสภาก็เป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องลงรายละเอียด ให้รัฐบาลตอบรายละเอียดทุกข้อให้ได้ ถ้ารัฐสภาผ่านความเห็นชอบ ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่มีความชอบธรรม ผ่านการตรวจสอบของทุกภาคส่วน ผมไม่อยากจะพูดต่อว่าดิจิทัลวอลเล็ตได้ประโยชน์อย่างไรบ้างเพราะพูดไปหลายเวทีแล้ว ขอให้ขั้นตอนดำเนินไปอาจจะช้าบ้าง แต่ถือว่าเป็นขั้นตอนที่มีความชอบธรรมโปร่งใส ตรวจสอบได้จากทุกภาคส่วน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เป็นหน้าที่ของเรารัฐบาลที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชนให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยืนยันว่าประเทศไทยเปิดแล้วพร้อมแล้วในการที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศมีภาคเอกชนที่แข็งแรงและพร้อมให้นักลงทุนมาลงทุนในประเทศ ผ่านนโยบายต่างๆ และเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของรัฐบาลที่จะช่วยยกระดับพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลยินดีรับคำแนะนำ ติชมจากทุกคน พยายามทำให้ถูกต้องและนำพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก

โจทย์ว้าวุ่น 'เพื่อไทย' วันนี้ 'นายกฯ เศรษฐา' จะหลุดอะไร? ภาวนาลึกๆ ทำงานให้เข้าตา-โดนใจ แปลงแรงต้านให้เป็นแรงเชียร์

'เล็ก เลียบด่วน' สารภาพ...แม้จะเป็นสื่อมวลชน แต่อีกมิติหนึ่งก็เป็นประชาชน มีรักชอบโกรธหลง...แม้จะไม่ได้เป็นปลื้มกับ เศรษฐา ทวีสิน ที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ แต่เมื่อมาตามวิถีทาง...วิถี (ประชาธิปไตย) ไทย ก็เอาใจช่วยและภาวนาอยู่ลึกๆ ขอให้ไปได้ด้วยดี...

พรรคเพื่อไทยแม้จะมีภาพลักษณ์ทั้งที่อาจเป็นอยู่จริงหรือถูกใส่ร้ายใส่สีตีไข่...ก็ต้องยอมรับว่าออกอาการเทาๆ เรื่องความโปร่งใส แต่เมื่อเทียบกับความน่ากลัวของ 'วิถีใหม่' ของบางพรรค ที่บอกว่าเป็นวิถีแห่งความหวัง มองยังไงนาทีนี้ก็ยังเป็นวิถีแห่งความน่ากลัว...มากกว่า

เพื่อไทยจึงยังเป็นวิถีที่ต้องเลือกของคนจำนวนไม่น้อย...

และเศรษฐาจะเป็นหุ่นเชิดหรือไม่เชิดอะไรนั้น...ยังไม่สำคัญเท่ากับเมื่อมีโอกาสแล้ว 'เศรษฐา' คงได้โชว์กึ๋นให้เห็นกันได้บ้าง...

แต่ก็นั่นแหละ...ประเมินว่าบรรดาแฟนคลับที่มีสติของ 'นายกนิด' ในนาทีนี้ คงซีเครียดว้าวุ่นอยู่กับการลุ้นระทึกในแต่ละสัปดาห์ว่า...เศรษฐาหลุดอะไร...หัวใจจะวายกับประเด็นที่หลุดมั้ย...

เป็นนายกฯ มาสองเดือนเศรษฐา...ภาพจำของนายกฯ เศรษฐา...เริ่มกลายเป็นว่า...

- นายกสูงยาวถุงเท้าแดง (ดีที่ยังไหว้สวย)
- ปากไวพูดเรื่องถล่มอิสราเอลแบบไม่ทรงภูมิความเป็นนายกฯ
- ออกอาการซีอีโอ โยนปากกา/ชอบปรี๊ดแตกอัดข้าราชการกลางวง (สื่อ)
- ใช้คำว่า 'ขี้ข้า' ขณะแนะนำลูกหลานนักศึกษาที่สหรัฐฯ
- หลุดพูดเรื่อง (ฝาก) ย้ายตำรวจ...ผู้กำกับใหม่กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
- ฯลฯ-

ส่วนภาพจำในเชิงบวกที่พอจะเห็นๆ ก็คือ...ขยันขันแข็ง ลุยงาน...แต่บางครั้งก็ออกอาการเหมือนนักบริหารที่ลนลาน ประเภท 'คิดไม่จบ' แต่พูดล้ำหน้า...

ครับ...ในฐานะที่หัวใจให้โอกาส ก็ต้องสารภาพรักด้วยวิธีสะท้อนภาพให้รับทราบแบบนี้...ถ้าเห็นด้วยก็นำไปปรับปรุง คนเราพลาดกันได้ เพียงแต่สองเดือนเศษ 'นายกนิด' พลาดมาก...พลาดที่ปากไว...ปากพาจน...

"ผู้กำกับใหม่...คงมีผู้ผิดหวัง มากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ ที่ขอตำแหน่งไปเพราะขอมาเยอะเหลือเกิน..." คำพูดแบบนี้ในห้องประชุมที่มี สส.ของพรรคนั่งกันเต็ม ต้องบอกว่าอันตรายยิ่ง...มีทางเดียวต้องไปคิดแก้ปัญหาให้มันเจ็บน้อยที่สุด

จะฝ่าข้ามมาตรา 185(3) มาตรา 186 ประกอบมาตราอื่นๆ ของรัฐธรรมนูญไปได้อย่างไร และที่สำคัญนักร้องอันดับหนึ่งประเทศ ศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้องป.ป.ช.เรื่องผิด-ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม 2561 เอาไว้แล้วด้วย...ถ้าเรื่องเดินทางไปถึงศาลฎีกานักการเมืองวันไหนมีโอกาสพักงานเหมือนกัน...!!

ดังนั้นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดของนายกฯ เศรษฐาตอนนี้ก็คือ ทำงานหนัก สร้างผลงานให้เข้าตากรรมการ (ประชาชน) ให้มากๆ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในบ้านในเมือง...แปลงแรงต้านเป็นแรงเชียร์

ภาพรวมผู้คนที่เขามั่นคงในสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เคยถูกเพื่อไทยมองเป็นพวกจารีต...พวกเขายังให้โอกาส เหตุผลสำคัญเพราะยังไงๆ เพื่อไทยก็ไม่ถึงกับคิดล่มชาติล้มสถาบัน..!!

เฮ่อออ...วันนี้ตอนแรกจะเขียนเรื่อง 'ตั๋วผู้การ'...'ตั๋วอดีตนายกฯ'...โยงกับ 'ตั๋วผู้กำกับ'...แต่ความที่อยากกระตุกนายกฯ นิดเลยร่ายซะยาว...หลังย้ายระดับรองผบก.-ผกก.สิ้นเดือน พ.ย.นี้ค่อยว่ากันเรื่องตั๋วอีกที!!

‘นายกฯ’ จี้!! ติดตามทลายขบวนการ ‘หมูเถื่อน’ ยัน!! หากพบนักการเมืองมีเอี่ยว ไม่ปล่อยไว้แน่

(25 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหมูเถื่อน ที่เวลานี้รัฐบาลยกเป็นวาระแห่งชาติ โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ฯ เข้ามารับผิดชอบดูแลว่า ร.อ.ธรรมนัส ได้มีการแถลงข่าวไปแล้ว สืบเนื่องจากที่รัฐบาลได้มีการติดตามงานอย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากโดย ร.อ.ธรรมนัส และอธิบดีดีเอสไอ ได้ร่วมกันแถลงข่าวไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการแถลงข่าวมีนักการเมืองใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง นายกฯ ยืนยันใช่หรือไม่ว่าจะไม่ปล่อยไว้แน่ นายเศรษฐา กล่าวว่า หากทำผิด ก็ไม่ปล่อยไว้ เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องจัดการตรงนี้ไป เมื่อถามว่า ณ เวลานี้ไม่ได้มีชื่อรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดนี้เข้าไปเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีครับ ดูแล้วไม่มี 

เมื่อถามว่า นักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หากมีการตรวจสอบเสร็จสิ้นกระบวนการจะมีการเปิดเผยชื่อออกมาหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มันต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วยเหมือนกันตรงนี้ก็แล้วแต่กระบวนการยุติธรรมซึ่งต้องว่าไปตามกฎหมาย ถ้าถึงเวลาต้องเปิดเผย ก็เปิดเผย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top