Wednesday, 15 May 2024
นายกรัฐมนตรี

‘เศรษฐา’ บุกกาญจนบุรี ยกคณะฟังเสียงประชาชน ท่ามกลางชาวบ้านชูป้ายต้อนรับ - หนุนเงินดิจิทัล

(9 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดกาญจนบุรี โดยจุดแรกที่ศูนย์ประสานงานอำเภอท่ามะกา ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เพื่อพบปะประชาชนชาวกาญจนบุรี โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ในฐานะอดีตนายก อบจ.กาญจนบุรี เจ้าของพื้นที่เก่า และสส.กาญจนบุรี ให้การต้อนรับ ได้แก่ นายอัครนันท์​ กัณณ์กิตตินันท์ สส.เขต 1 พรรคเพื่อไทย​ นายชูศักดิ์​ แม้นทิม สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย นายยศวัฒน์​ มาไพศาลสิน​ สส.เขต 3 พรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์​ สส.เขต 4 พรรคเพื่อไทย​ และ นายพนม​ โพธิ์แก้ว​ สส.​เขต 5 พรรคเพื่อไทย

รวมถึงประชาชนที่มาต้อนรับพร้อมถือป้ายขอสนับสนุนเงินดิจิทัล ข้อความ ยินดีต้อนรับท่านนายกฯ ชาวกาญจน์รักนายกฯ นิด, เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รออยู่นะคะท่าน ขณะที่บางส่วนเขียนข้อความที่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้กับประชาชน 8 เรื่อง โดยทันทีที่นายกฯ มาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบให้

จากนั้นนายกฯ กล่าวกับประชาชน ว่า ยินดีมากที่ได้กลับมา จ.กาญจนบุรี อีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่จะครบในวันมะรืนนี้ที่รัฐบาลเข้ามาบริหาร พบว่าบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะ แต่เรามีรัฐมนตรีและทีมงานที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่เสียงสะท้อน เสียงเรียกร้อง เสียงวิงวอนตอนที่มาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนที่มาที่นี่เสียงก็เป็นเหมือนกันหมดคือเรื่องของปากท้อง เรื่องปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด พื้นที่ทำกิน ราคาเกษตร การค้าขายระหว่างพรมแดนทั้งหลาย รัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของหนี้สิน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ตนและ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติหนี้นอกระบบต้องหมดไป จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีการเซ็ตเป้าหมายที่ชัดเจนระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับทุกจังหวัด เมื่อมีเสียงเรียกร้องหรือมีปัญหากับการถูกเรียกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน็อก ออนไลน์ หรือการข่มขู่เจ้าหน้าที่ เราทุกคนพร้อมที่จะให้บริการกับพี่น้องประชาชน ฉะนั้นอย่ากลัว ให้เดินออกมาพูดคุยกัน รัฐบาลให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ทุกอย่างจะต้องถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราไม่ยอมรับการรีดไถที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม เรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติด เรามาพูดกันที่นี่ไปแล้วเมื่อตอนเลือกตั้งว่าเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานานมาก เรื่องของวงจรการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะจากชายแดน เราได้มีการบริหารจัดการโดยแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเข้ามาจัดการประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และพื้นที่ ซึ่งเราให้ความสำคัญสูงสุด เรื่องยาบ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องการ ทำลายสมัยก่อนใช้เวลานาน แต่คราวนี้เร่งรัดวงจรในการทำลาย จับได้พิสูจน์ทราบทำลายทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของสังคม

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องการค้าการลงทุนยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องเป็นที่ประจักษ์ดีรัฐบาลนี้ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีการเดินทางไปต่างประเทศ ไปเปิดการค้าระหว่างประเทศ ดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม

“มีเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเป็นห่วงอยู่ตรงนี้ โดยความเห็นส่วนตัวและถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะต้องถูกยกระดับขึ้นมา เรายอมรับไม่ได้ที่มีการประกาศกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เดี๋ยวคงจะต้องมีการพูดคุยกันในเวทีที่เหมาะสม โดยใช้เหตุผลคุยกันตรงนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้และต้องแก้ไขกันต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่หลังจากการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมเยียนที่จังหวัดกาญจนบุรีเลย จึงถือเป็นมิติใหม่หลังจากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องให้เข้ามาบริหาร และเดินทางมารับฟังพูดคุยปัญหาที่พี่น้องทุกคนมีอยู่วันนี้พร้อมมีรัฐมนตรีมาหลายคน ฝากการสื่อสารเข้ามาด้วยว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้พร้อมและทำงานอย่างเต็มที่

'นายกฯ' เผย 'พิพัฒน์' ดึงกลับขึ้น 'ค่าแรงขั้นต่ำ' หวังให้เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น ยัน!! ทันปีใหม่

(12 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ว่า เรื่องของแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.โดยนายพิพัฒน์ได้สรุปเอง บอกว่าจะต้องนำกลับไปตั้งข้อสังเกตและพิจารณาสูตรการคิดค่าแรงใหม่ ท่านนำมาเสนอและดึงกลับไปเอง จึงแจ้งเพื่อทราบ

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นายกฯ กล่าวว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตไปแล้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่และต้องให้เกียรติคณะกรรมการไตรภาคี พูดได้แค่นี้ เมื่อถามว่าจะทันช่วงปีใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าอาทิตย์หน้าอาจจะนำเข้าที่ประชุมครม.หรือไม่เกิน 2 อาทิตย์อาจจะเป็นวันที่ 25 ธ.ค.หรืออะไรสักอย่างตรงนั้น น่าจะเอาเข้ามาทันได้

เมื่อถามว่า ตัวเลขที่นายกฯ ตั้งใจไว้อยู่ที่เท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ไม่ใช่ตัวเลขปัจจุบันนะ แต่ก็ต้องฟังเขาก่อน มันมีข้อกฎหมายอะไรหลายๆ อย่าง ที่ทักท้วงเข้ามา แต่สิ่งที่ตนต้องการไม่ใช่ตัวเลขจำนวนนี้

เมื่อถามว่า จะได้ตัวเลข 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศหรือไม่ นายเศรษฐา ไม่ตอบคำถามพร้อมกับกล่าวว่า “คำถามต่อไปครับ”

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.วันนี้ มีมติรับทราบมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 หรือบอร์ดไตรภาคี ที่เห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นวันละ 2-16 บาท หรือเฉลี่ย 2.37% แต่เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น กระทรวงแรงงานจึงขอเสนอกลับไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง คาดว่าจะนำกลับเข้ามาในครม.ก่อนสิ้นปี 2566 นี้

“วันนี้กระทรวงแรงงาน เสนอมติของคณะกรรมการค่าจ้างเข้ามาครม.ตามกำหนด แต่ในการประชุมก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตและขอนำกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม เพราะส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการนำหลักการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ โดยใช้ฐานปี 2563-2564 มาเป็นสูตรคำนวณ โดยจะเสนอไปยังคณะกรรมการค่าจ้าง พิจารณาเพิ่มเติมใหม่อีกครั้ง” นายพิพัฒน์ กล่าว

เมื่อถามว่าในการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบนี้เมื่อนำกลับไปพิจารณาใหม่ จะทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวยอมรับว่า การดำเนินการจะทำให้เร็วที่สุดและจะได้ข้อสรุปให้เดือนธันวาคม 2566 เพื่อให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

'นายกฯ' เผย JETRO ขอไทยช่วยดูแลระบบเปลี่ยนผ่านสู่ EV หลังหลายบริษัทฯ รับปากจะพิจารณามาลงทุนไทยเร็วขึ้น

(16 ธ.ค.66) ที่บริเวณหน้าลานพระราชวังอิมพีเรียล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการหารือกับผู้บริหารองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และผู้บริหารบริษัทคูโบต้าว่า JETRO ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ติดต่อจะไปลงทุนที่ประเทศไทย ก็ได้มาขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยดูแลนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น โดยเราหวังว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนได้ให้ความมั่นใจว่าการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยต่อไป พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมาเรามีความสัมพันธ์ดีมากกับญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีชาวญี่ปุ่นกว่าแสนคนและกว่า 6,000 บริษัทที่มาทำงานในประเทศไทย ฉะนั้นตรงนี้ทุกอย่างมองตาก็รู้ใจอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า JETRO อยากให้รัฐบาลสนับสนุนอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก็ดูแลในเรื่องระบบที่กำลังเปลี่ยนผ่านเป็นระบบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยก็มีการสนับสนุนอยู่แล้ว และจากที่เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) ได้พบกับ 7 บริษัทยานยนต์ญี่ปุ่น ตนก็ได้ให้ความชัดเจนเรื่องของนโยบายที่จะสนับสนุน พร้อมชี้แจงว่าอยากให้เข้ามาลงทุนเร็วขึ้น โดยหลายบริษัทก็รับไปพิจารณาต่อ

ทั้งนี้ ไทยยืนยันในเรื่องของสนธิสัญญาทางการค้า (FTA) ระหว่างไทย อียู และสหราชอาณาจักร ที่ขับรถพวงมาลัยขวาตรงนี้ก็มีการยืนยันว่าจะเร่งเจรจาให้ได้โดยเร็ว เพื่อรักษาระดับการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในไทย เพราะโดยเฉลี่ยในประเทศใช้เอง 30% ส่งออก 70% ดังนั้นการที่เราเร่งในเรื่องนี้ให้เยอะขึ้น ก็จะเป็นการย้ำว่าปริมาณการส่งออกรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถควบคุมได้

ส่วนการเปลี่ยนขยับไปทำเรื่องโรงงานอีวี ก็เร็วขึ้นในบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะของอีซูซุ และโตโยต้า

ส่วนการหารือกับผู้บริหารคูโบต้า จะมีความร่วมทางด้านเทคโนโลยีเพื่อมาใช้กับเกษตรกรไทยอย่างไรบ้างนั้น นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้บริหารคูโบต้าถือเป็นการประชุมที่ดีมาก ซึ่งเราเข้าใจผิดว่าคูโบต้าขายแต่รถไถอย่างเดียว แต่เขามีเทคโนโลยีเรื่องของการอัดแน่นซังข้าวโพดที่ไปทำถ่านไร้ควันและเชื้อเพลิง รวมถึงการเก็บเกี่ยวพืชของอนาคต และปัจจุบันในเรื่องของการไถและเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งทางคูโบต้าทำได้ดีอยู่แล้ว แต่พืชในอนาคตของประเทศไทย เช่น ถั่วเหลืองไทยนำเข้าปีละล้านตัน แต่เราผลิตเองได้เพียงหลังหมื่น เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการเก็บเกี่ยวที่ไม่คุ้มต้นทุน ฉะนั้น จึงพูดคุยกับทางคูโบต้าที่มีเทคโนโลยี เครื่องจักรที่ช่วยลดต้นทุนได้ รวมถึงการทำระบบชลประทานในภาคการเกษตร ซึ่งระบบครบวงจรเกษตรกรรมทางคูโบต้าดำเนินการอยู่ มีการตกลงว่าไทยจะไปดูสถานที่ และให้ทางคูโบต้ามาช่วยกันพัฒนา ตรงนี้จะเป็นช่องทางที่ทำให้เราเพิ่มรายได้เกษตรกรเป็นสามเท่าภายในสี่ปี ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องดี อีกทั้งทางประธานใหญ่คูโบต้าก็ให้การสนับสนุนเต็มที่

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อว่า ตนได้ขอให้คูโบต้าทำเรื่องการให้เงินกู้กับสัญญาเช่าซื้อมากกว่าการขายอย่างเดียว และให้ราคาดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้อย่างแท้จริง หลังจากนี้ ทีมงานก็จะไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย
 

'นายกฯ' กำชับ 'ท่องเที่ยว' ทำงานเชิงรุก เพิ่มมิติการท่องเที่ยวไทย พร้อมเชิญ 'กัมพูชา-ลาว-เวียดนาม' ถกกระตุ้นท่องเที่ยวระดับภูมิภาค

(19 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในการประชุม ครม.ได้สั่งการให้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นเจ้าภาพใหญ่ในการเชิญประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจากประเทศกัมพูชา. ลาว, เวียดนาม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ โดยที่เราเป็นเจ้าภาพหลัก และตนจะเจอ ‘ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม’ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ ซึ่งตนจะถามด้วยว่ามาเลเซียสนใจหรือไม่?

พร้อมกันนี้ นายกฯ ยังได้สั่งการให้ รมว.ท่องเที่ยวฯ จัดการทำงานในหลายๆ เรื่อง ทั้งการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลการตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยวให้ดูแลความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว และสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย รวมถึง กทม.ให้ความสำคัญดูแลเรื่องความสะอาด ดูแลห้องน้ำให้เพียงพอกับนักท่องเที่ยว และยังได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ร่วมกับสำนักงานประกอบธุรกิจประกัน ให้ดูแลทำประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนครอบคลุมการเสียชีวิต ชดเชยไม่เกิน 1 ล้านบาท กรณีอุบัติเหตุชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน 5 แสนบาท รวมทั้งหารือกับกระทรวงสาธารณสุขจัดระเบียบด้านสาธารณสุขและประกันสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยว หากมีความจำเป็นต้องใช้งบกลางให้เร่งเสนอตามขั้นตอนตามความต้องการ

นอกจากนี้ ยังให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เรียกประชุมและมอบนโยบายให้กับหน่วยงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทั้ง 30 แห่งทั่วประเทศทำงานเชิงรุก ให้ความรู้ช่วยกันโฆษณาประเทศไทยดีอย่างไรควรจะมาท่องเที่ยวอย่างไร

นายกฯ กล่าวอีกด้วยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมดูพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่เคยคุยกันไว้จะให้มาทำเป็นศูนย์แสดงสินค้าโอทอป เพราะไปดูที่ญี่ปุ่นได้ไอเดียมาเยอะ จะได้เร่งจัดการกันไป 

‘เศรษฐา’ เล็งหนุนกฎหมายสมรสเท่าเทียมเต็มที่

(19 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ว่า…

“ผมเชื่อว่าความรักไม่มีนิยามตายตัว เราทุกคนมีสิทธิรักใครสักคนหนึ่งในฐานะ ‘มนุษย์คนหนึ่งรักมนุษย์อีกคน’ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องใดทั้งสิ้น กฎหมายนี้จะทำให้บุคคลเพศเดียวกันสามารถหมั้น และสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง

เรื่องสมรสเท่าเทียม ไม่ใช่การทำให้ความรักของคนสองคนถูกกฎหมาย แต่เราให้ความสำคัญกับเรื่องของสิทธิ และเสรีภาพในการแต่งงานของคนรักกันที่ควรได้รับเหมือนกันทุกคน

วันนี้เรามีความก้าวหน้าไปอีกขั้น ในการเสนอร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งจะบรรจุเข้าพิจารณาวาระที่ 1 วันที่ 21 ธ.ค.นี้แล้ว” 

‘นายกฯ’ สรุปภาพรวมปี 66 เน้นบรรเทาความเดือดร้อน ปชช. พร้อมย้ำ!! ตั้งแต่รับตำแหน่งมา ทำงานเต็มที่ไม่รู้จักเหนื่อย

(24 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ถึงภาพรวมการทำงานของรัฐบาลในปี 2566 ว่า หากให้ประเมินแบบการให้คะแนนตนคงไม่ให้ เพราะเป็นหน้าที่คนอื่นที่ต้องให้ แต่ว่าตั้งแต่ที่เข้ามารับตำแหน่งนั้น เราก็ทำงานอย่างเต็มที่ รัฐบาลเราให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เรื่องของการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนที่ออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งการลดค่าไฟ ลดค่าน้ำมัน พักชำระหนี้เกษตรกร เป็นต้น อีกทั้งยังมีเรื่องของนโยบายภาพรวมในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญด้วย

เมื่อถามผลประเมินที่บางฝ่ายออกมาให้คะแนนนายกรัฐมนตรีเข้าเกณฑ์สอบผ่าน สะท้อนถึงการทำงานหนักด้วยหรือไม่ นายเศรษฐาถึงกับร้อง “โอ๊ย!” ก่อนกล่าวว่า หากเราทำงานหนักแล้วประชาชนยังเดือดร้อน ลงไปพื้นที่ยังเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นก็เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านทำเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตนทำงานคนเดียว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันหมด อีกทั้งปัญหาต่างๆ ก็ต้องค่อยๆ แก้กันไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักการเมืองอยู่แล้วที่อาสามา เข้ามาตรงนี้ทราบอยู่แล้วว่าต้องทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า ยังคงเป็นไทม์ไลน์เดิมคือพฤษภาคมปีหน้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า ขอให้ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ ระมัดระวังเรื่องของการเดินทาง ที่สำคัญคือเมาไม่ขับ ขอให้ทุกคนปลอดภัย และปีหน้าขอให้เป็นปีที่ดีขึ้น ส่วนทางรัฐบาลก็จะทำงานอย่างเต็มที่

‘นายกฯ’ ลั่น!! 314 เสียง แฮปปี้ดี  พร้อมย้ำ!! ตอนนี้ยังไม่คิดปรับ ครม.

(26 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาเซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’ ให้ ว่า ก็เข้าใจในทุกๆ ปีก็มีการตั้งฉายา ซึ่งเป็นเรื่องของสีสัน ฉายาของนายกฯ ที่ตั้งเป็นเซลล์แมนสแตนด์ชิน คำว่า เซลล์แมน ตนก็ทราบอยู่แล้ว เพราะประกาศตัวอยู่แล้ว ส่วนสแตนด์ ‘ชิน’ เป็นคำควบกล้ำระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษหรือเปล่า ซึ่งสื่อต้องอธิบายให้ฟัง ตนจึงจะตอบได้ ตนเองก็เข้าใจหลวมๆ ขอให้ถามได้เลย ไม่เป็นไรจะได้ตอบได้ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำว่าสแตนด์ ‘ชิน’ ในคำบรรยายหมายความว่าอาจจะเป็นเงาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รอการขึ้นมาเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า “อ๋อ !โอเค”แต่วันนี้ตนก็เป็นนายกฯ อยู่ และทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และพยายามตั้งใจเอาให้ครบ 4 ปีให้ได้ แต่สำคัญมากกว่านั้นไม่ใช่อยู่ไปให้ครบ 4 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไม่ได้ดีขึ้น ส่วนสแตนด์ ‘ชิน’ คือคอยสำหรับให้ครอบครัวไหนเข้ามา อันนี้พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสินมากกว่า ตรงนี้ก็ต้องคอยการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็เข้าใจไม่ได้คิดอะไร

เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับฉายารัฐบาลแกงส้ม ‘ผลัก’ รวม นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ค่อยเข้าใจคำว่าผลักสักเท่าไหร่ แต่หลักแกงส้มเป็นแกงที่มีรสชาติดี และตนก็รู้ว่าเรารวมกันหลายพรรคอยู่แล้ว และรสชาติแกงส้มก็มีทั้งเปรียว หวาน เค็ม เผ็ด ใช่ไหม ตนคิดว่ารัฐมนตรีทุกคนก็ครบเครื่องพร้อมที่จะทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ตนมองเป็นลักษณะนั้นมากกว่า 

เมื่อถามย้ำว่าคำว่า ‘แกง’ หมายถึงการแกล้ง ที่เป็นการพรรคก้าวไกลในช่วงต้นๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่พรรคเพื่อไทยเราก็โหวตให้ในตอนนั้น แต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ และเราก็ไม่สามารถคอยได้ 9-10 เดือนตามที่เขาบอก ก็ต้องทำหน้าที่กันไป ประเทศคอยไม่ได้ ไม่ได้แกล้งแน่นอน และยืนยันตามที่ตนพูดมาตลอดตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งก็บอกอยู่แล้วว่าพร้อมสนับสนุนตรงนั้นหากสามารถทำได้ 

เมื่อถามว่า นายกฯ จะรักษาบรรยากาศของพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้อยู่ครบกันไปถึง 4 ปีใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่ผลงานของเรามากกว่า และดูที่ความตั้งใจของรัฐมนตรีทุกท่าน ไม่ได้มองแยกว่าเป็นรัฐมนตรีจากพรรคไหนเป็นพรรคไหน เราดูผลงานเป็นหลักของทุกๆ รัฐมนตรี และเอาผลงานเป็นที่ตั้ง เมื่อถามว่า 314 เสียงแปลว่าจะไม่มีการปรับพรรคไหนมาหรือปรับออกใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่วันนี้เรามีความสุขอยู่แล้วตรงนี้ และเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านจากทุกพรรคได้ทำงานอย่างเต็มที่ และตนก็ตระหนักดีพี่น้องสื่อมวลชนได้ให้ข้อคิดตลอดเวลา มีปัญหาตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน และต้องปรับปรุงอย่างไร ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐมนตรีทุกคนทุกพรรคช่วยกันทำงานอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่การจะมีพรรคใหม่เข้ามาเพิ่มร่วมรัฐบาล ก็พร้อมที่จะพิจารณาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ได้คิด ผมเชื่อว่า ณ วันนี้ 314 เสียงเรายังทำงานกันได้ดีอยู่ มีเรื่องหรือมีปัญหาอะไรเราก็คุยกันอย่างตรงไปตรงมาโดยเอาผลงานเป็นที่ตั้ง วันนี้เราโอเคอยู่แล้วตรงนี้”

เมื่อถามย้ำว่าอนาคตถ้าจะมีเสียงเพิ่มก็ไม่ติดใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า วันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว มีความสุขอยู่แล้ว 314 เสียงจาก 500 เสียงเพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีทำงานอย่างเต็มที่ก็ต้องปรับกันไป แม้ไม่เห็นด้วยกันหมดแต่ก็มีการพูดคุยกันอย่างผู้ใหญ่ เมื่อถามว่า วัด KPI รัฐมนตรีอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า โอ้โห แต่ละกระทรวงมีเรื่องที่ต้องทำต่างกันไปคงพูดลำบาก เราเน้นเรื่องวัดผลงานเอาระยะเวลามาเป็นตัวจับไม่ใช่พูดลอยๆ 

เมื่อถามว่า ถ้าได้มาเพิ่มอีก 25 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ในแง่ของตัวเลขก็อาจจะดีขึ้น แต่ในแง่ของการที่จะมาเกลี่ยมาแบ่งกระทรวงกันใหม่มันก็ลำบากขึ้น มันไม่มีอะไรดีหมดหรอก ขอให้ยึดคำที่ตนพูดไว้ วันนี้ 314 เสียงพอแล้ว และรัฐมนตรีทุกท่านทำงานกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ผลงานก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว 

เมื่อถามว่า ทำไมถึงยังมีกระแสข่าวการปรับครม.ออกมา นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไม่ได้เป็นคนให้ข่าว ตนมีหน้าที่ตอบคำถามอย่างเดียว 

เมื่อถามว่า ในที่ประชุม ครม.มีการกำชับถึงการอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีการกำชับอะไรเป็นพิเศษ 

เศรษฐา ทวีสิน ผู้นำแห่งปี

ภายหลังการแถลงนโยบายการทำงานของรัฐบาลต่อรัฐสภา เพื่อเริ่มต้นทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย.66 ที่ผ่านมา...

‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นอีกบุคคลที่เดินหน้าทำงานและขับเคลื่อนรัฐบาลให้เข้ามาแก้ปัญหาแก่พี่น้องประชาชนแบบทันทีทันใด ภายใต้การคลอดมาตรการและแนวทางช่วยเหลือประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งลดราคาน้ำมันดีเซล ลดค่าไฟฟ้า ยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งเร่งรัดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และพักหนี้เกษตรกร ฯลฯ

แต่เศรษฐกิจไทยสะสมปัญหาและความเปราะบางมายาวนาน ขณะที่ ‘ค่าครองชีพ’ ยังคงสูงต่อเนื่อง ความท้าทายของ ‘ผู้นำ’ ของประเทศไทยท่านนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะเดียวกันก็เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ผลงานตามธรรมชาติของผู้นำไทยที่อาจไม่ถูกใจคนทุกกลุ่ม แต่แน่นอนว่า เมื่อจอดป้ายที่ตำแหน่งผู้นำของประเทศไทยแล้ว ก็มีแต่ต้องใส่เกียร์เดินหน้าลูกเดียว ถอยหลังไม่ได้อีก 

“ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะอยากมีตำแหน่งว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง” หนึ่งในถ้อยคำของนายเศรษฐาที่เคยประกาศเป็นจุดยืนไว้ชัดตั้งแต่เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า…

“ผมจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลืมความเหน็ดเหนื่อย ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน...ผมเข้ามาตรงนี้เพราะอยากทำให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากวันแรกที่ผมตัดสินใจจะทำจนถึงวันนี้ ผมมั่นใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติเหมือนเดิม ย้ำอีกครั้ง ศัตรูของผม คือ ความยากจน”

คำมั่นสัญญาจากนายกฯ ที่ตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นายกฯ ไทย ผู้แบกรับภาระที่สูงไม่แพ้กันไว้บนบ่าจะเป็นดั่งว่าได้มากเพียงใด?

4 ปีนับจากนี้ ก็คงต้องจับตากันแบบไม่กะพริบ ว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไม่แพ้เพื่อนบ้านตามวิสัยทัศน์ของ ‘นายกฯ เศรษฐา’ จะปรากฏได้อย่างจริงแท้เพียงใด?

แต่สำหรับมุมมองคนไทย ที่มิได้นำอคติทางการเมืองมาเจือปน ก็ขอรอพิจารณาคำมั่นสัญญาของ ‘ผู้นำประเทศไทย’ ท่านนี้ ที่ประกาศกร้าวว่า “จะขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่ทุ่มเททำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นดินแดนแห่งความสุขของคนทุกวัย เป็นประเทศที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีนานาชาติอีกครั้ง สายรุ้งแห่งความหวังกำลังพาดผ่านประเทศไทย” … เฝ้าติดตามแบบคนไทยคนหนึ่งที่ขอให้กำลังใจมากกว่าทำลายพลังใจละกัน!!

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

‘นายกฯ’ มอบคำขวัญ ‘วันเด็กแห่งชาติ’ ประจำปี 67 เน้นย้ำ!! ประชาธิปไตย-มองโลกกว้าง-เคารพความแตกต่าง

(28 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ทวีตข้อความผ่าน X มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 2567 ว่า “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย”

เด็กไทยเก่ง มีศักยภาพ มีความคิดดี และทันสมัย หน้าที่ของรัฐบาลคือการสนับสนุนให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีศักดิ์ศรี มีความภูมิใจในตัวเอง

ผมอยากให้เด็กไทย Enjoy กับการใช้ชีวิตในวัยเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็มีโลกทัศน์ที่กว้าง มีความเป็นไทยพร้อม ๆ กับมีความเป็นสากล เป็นพลเมืองของโลกที่สามารถเคารพความแตกต่างหลากหลายได้ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งต่อไป

ตัวผมเองในฐานะผู้นำประเทศจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กไทยทุกคน ได้เติบโตขึ้นมาในประเทศที่งดงาม มีความสุข และมีโอกาสสำหรับอนาคตของทุกคน

นายกรัฐมนตรีเปิดนิทรรศการ “ของขวัญปีใหม่”พ.ศ.2567 ให้แก่ประชาชน และข้าราชการตำรวจ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชน และเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ในโอกาสเทศกาลสำคัญประจำปี 2567 และเป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 14/2567

วันที่ 28 ธ.ค.66 เวลา 10.00 น. ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ของขวัญปีใหม่” พ.ศ. 2567 โดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจ เข้าร่วมพิธีฯ

สำหรับ ในปี พ.ศ.2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบของขวัญแก่พี่น้องประชาชน และข้าราชการตำรวจ ตามนโยบายรัฐบาล จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 

1. โครงการแอปพลิเคชันป้องกันการหลอกหลวง “Protect U” โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ซึ่งเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นในการแจ้งเตือนภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งการเตือนหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้า รวมถึงข้อความที่มีลิงค์ที่ไม่ปลอดภัย เพื่อเป็นการป้องกันมิให้หลงตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ รวมถึงเป็นช่องทางในการอำนวยความสะดวกในการประสานแจ้งขอความช่วยเหลือ หรือแจ้งความกรณีหลงตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ 

โดยเป็นการพัฒนาต่อยอดจาก www.thaipoliceonline.com, www.เช็คก่อน.com และ www.ฉลาดโอน.com

2. โครงการพัฒนาช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Channel) โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ซึ่งเป็นโครงการในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ
ชาวต่างประเทศในการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรไทย โดยการนำเอาเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้
เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการ อีกทั้งเพื่อเป็นการแบ่งเบาภารกิจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 

3. โครงการ Police Wellness โดยสำนักงานกำลังพล ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว เพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจ และแบ่งเบาภาระของข้าราชการตำรวจ โดยมอบสวัสดิการด้านส่วนลดในการเข้าใช้บริการที่พักสถานตากอากาศ ประกอบด้วย 1. ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการตำรวจ The Cop Seminar & Resort ต.บางละมุง อ.บางละมุงจ.ชลบุรี  2. ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการตำรวจ (ค่ายพระราม 6) Sea Sand Sun ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยคิดอัตราห้องพัก ในอัตราเดียวกับข้าราชการตำรวจ            

ทั้งนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการเปิดโครงการนิทรรศการของขวัญปีใหม่ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 14/2566 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น เพื่อรับฟังรายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจด้านต่าง ๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top