Wednesday, 15 May 2024
นายกรัฐมนตรี

‘เศรษฐา’ ขอบคุณ ‘นายกฯ มาเลฯ’ ช่วยเจรจาปล่อยตัวประกันไทย  เล็ง!! ร่วมมือการค้าชายแดน แก้ปัญหาชายแดนใต้ นำพาสันติสุข

(27 พ.ย.66) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่ด่านสะเดา จ.สงขลา เพื่อพบกับนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียว่า วันนี้หนึ่งในเรื่องที่จะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย คือ การขอบคุณที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตัวประกันให้ได้รับการปล่อยตัว ซึ่งกำลังจะครบกำหนดเงื่อนไข 24 ชั่วโมงที่ขอให้หยุดยิง จึงจะขอให้นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวประกันได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด

นายกฯ กล่าวว่า จะมีการดูแลตัวประกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งทุกคนปลอดภัยดี โดยภาพรวมถือว่าดี และจะพยายามดำเนินการต่อไป เพื่อนำพาออกมาให้หมด วันนี้เข้าใจว่านายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ จะเดินทางไปรับด้วยตัวเอง ส่วนการปล่อยตัวประกันที่เหลือ เราพยายามทำอยู่ เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ตนจึงไม่อยากพูดไปก่อน ขอให้รอดูต่อไป และจนถึงวันนี้ก็มีการปล่อยตัวประกันทุกวัน ตั้งแต่ 10 คน และ 3-4 คน ตามมา ก็จะพยายามทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง วันนี้ฝ่ายความมั่นคง โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และกำชับลงรายละเอียดอย่างมาก ฉะนั้น ขอความกรุณาในการเผยแพร่ข้อมูล ตนไม่อยากพูดเท่าไร เพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวประกันสำคัญที่สุด

อย่างไรก็ตาม นายกฯ กล่าวว่า การลงพื้นที่วันนี้จะมีการพูดคุยถึงความร่วมมือการค้าชายแดน โดยจะติดตามความคืบหน้าเรื่องที่เคยพูดคุยกันไปแล้วเมื่อครั้งพบประกันเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งทางมาเลเซียเคยมีข้อเสนอมาแล้วครั้งนี้ก็จะพูดคุยในรายละเอียด และการตรวจคนเข้าเมือง ส่วนการเปิดด่านถาวรสะเดาได้เมื่อไหร่นั้นขอพูดคุยในละเอียดในวันนี้ก่อน

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ในส่วนคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ ซึ่งหมดวาระพร้อมกับรัฐบาลชุดที่แล้ว จะมีการแต่งตั้งทหารหรือพลเรือนนั้น จะต้องให้หน่วยงานไปพูดคุยกันก่อน

‘นายกฯ’ รับเรื่อง ‘รมว.ปุ้ย’ ชงลดค่าเช่าที่ดินจูงใจนักลงทุน ช่วยดัน!! ‘นิคมฯ สระแก้ว’ ผงาด!! สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่

สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา โดยมีนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าบ้านรับการมาเยี่ยมเยือนของ นายกฯ นั้น 

ผู้สื่อข่าวเผยถึงสาระสำคัญที่ ‘นายกฯ นิด’ ได้หารือกับ ‘รมว.ปุ้ย’ ในหลายประเด็น แต่หนึ่งในประเด็นที่ทั้งคู่ต่างมองเห็นเป็นนัยเดียวกัน คือ ทิศทางและศักยภาพของจังหวัดสระแก้ว ที่สามารถพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีอนาคตได้ต่อจากนี้

แน่นอนว่า ในสายตาของนายกฯ ที่ได้ลองสำรวจและศึกษาข้อมูลพื้นที่ ก็ดูจะเข้าใจแบบเชิงลึกได้ทันทีที่ว่า จังหวัดสระแก้วนี้ มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่สูงมากขนาดไหน

“นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว มีความเหมาะสมที่จะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะจะช่วยดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังจะส่งผลให้เศรษฐกิจชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้นกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศกลับมาแน่นแฟ้นมากขึ้น ขณะเดียวกันพื้นที่ดังกล่าวยังสามารถเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าที่ครบวงจรในกลุ่มประเทศอาเซียนในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง CLMVT ได้อีกด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับด่านศุลกากรอรัญประเทศ (ป่าไร่) และด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศกัมพูชาได้” นายกฯ กล่าว

หลังจากนั้น รมว.ปุ้ย ได้กล่าวเสริมให้ นายกฯ ทราบอีกด้วยว่า นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ถือเป็นหนึ่งในโครงการของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone: SEZ) ที่มีการวางไว้ 10 จังหวัดชายแดนต้นแบบได้แก่ ตาก, มุกดาหาร, ตราด, สงขลา, หนองคาย, นครพนม, กาญจนบุรี, นราธิวาส, เชียงราย และ สระแก้ว โดยรัฐบาล ได้สนับสนุนกลไกการอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น การนิคมอุตสาหกรรม ด่านศุลกากร ถนนหนทาง ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่สำคัญคือสิทธิประโยชน์การลงทุน เพื่อเป็นการจูงใจนักพัฒนานักลงทุน โดยมีคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน และมีการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการพัฒนา

“ที่นี่มีความโดดเด่นในเชิงของทำเลที่สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งถือเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจ รวมถึงมีการพัฒนาด้านการค้าขายและด้านการท่องเที่ยว ที่ปีหนึ่งๆ มีมูลค่าสะพัดมากกว่า 1 แสนล้านบาทกันเลยทีเดียว” รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

แน่นอนว่าจากการสนทนาของ นายกฯ นิด และ รมว.ปุ้ย ในครั้งนี้ ดูจะทำให้นายกฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในการส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่แห่งนี้มากขึ้น แต่ก็มิใช่ว่าจะราบรื่นเสียทั้งหมด โดยช่วงหนึ่ง รมว.ปุ้ย ได้เผยให้เห็นถึงอุปสรรคปัญหาที่กำลังเป็นกำแพงขวางโอกาสในด้านการลงทุนอยู่ด้วย ว่า…

“หากพิจารณาถึงศักยภาพของพื้นที่และโอกาสที่จะเอื้อต่อภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในสระแก้วนี้ ดูจะมีพร้อมมาก แต่ติดอยู่ที่ สิทธิประโยชน์ด้านภาษี อัตราค่าเช่าที่ดินระยะยาวที่สูง และข้อจำกัดด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EIA ที่กำหนดไม่ให้มีปล่อง กำลังเป็นเงื่อนไขที่จะบีบรัดให้การเติบโตของนิคมฯ สระแก้วมีโอกาสไปต่อแบบไม่ราบรื่น”

พูดแบบนี้มา ‘นายกฯ’ ก็สวนกลับอย่างไว โดย ‘เศรษฐา’ ได้บอกกับ รมว.ปุ้ย ไปว่า…“หากสามารถเปิดกว้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ทุกประเภทกิจการที่มาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วได้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนได้มากขึ้น ขณะเดียวกันในเรื่องของ ‘ที่ดินราคาค่าเช่าสูง’ เพราะเป็นที่ของกรมธนารักษ์นั้น เดี๋ยว นายกฯ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะไปเจรจากับกรมธนารักษ์ ให้ช่วยพิจารณาลดอัตราค่าเช่า เพื่อจูงใจนักลงทุนในพื้นที่ ซึ่งผลลัพธ์คงได้ทราบในเร็ว ๆ นี้ 

ทำงานแบบนี้ ถือเป็นมิติใหม่ คนหนึ่งชงปัญหา อีกคนรับลูกปัญหา แก้ได้แก้ ส่งเสริมได้ส่งเสริม เดี๋ยวผลบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ก็จะค่อย ๆ ประจักษ์ชัดโดยเร็วเอง...

'นายกฯ เศรษฐา' มอบนโยบายดึง 'ทุกภาคส่วน-เพื่อนบ้าน' แก้ฝุ่น PM 2.5 เปรย!! ขอบรรเทาให้ลดน้อยลง ยอมรับคงลำบากถ้าให้หมดไปทันที

(29 พ.ย.66) ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2567 และปล่อยขบวนคาราวานปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ กล่าวมอบนโยบายว่า การประชุมวันนี้เป็นสัญญาณดีที่สุด ซึ่งเราทุกคนเห็นด้วย ดูได้จากแววตาคนที่มานำเสนอในวันนี้เป็นคนที่มีความจริงใจกับปัญหานี้ รับทราบถึงปัญหานี้อย่างถ่องแท้ และอยากให้ปัญหานี้ลดน้อยลงไป ซึ่งการใช้คำพูดด้วยความระมัดระวัง ใช้คำว่าลดน้อยลงไปเพราะถ้าให้หมดไปคงลำบาก เราอยู่กับความเป็นจริงดีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีหลายส่วน ทั้งเกิดจากท่อไอเสียด้วย และในอนาคตคิดว่าไม่เกิน 10 ปี การที่เรามาใช้รถ EV เยอะขึ้นก็จะทำให้ PM 2.5 ที่เกิดจากรถยนต์ลดน้อยลงอย่างมีนัย

นายกฯ กล่าวว่า อีกประเด็นเรื่องการเผาป่าและการมีไฟป่า ต้องกลับไปพูดถึงบ่อเกิดมันเกิดจากอะไร เกิดจากเรื่องของเศรษฐกิจมากกว่า หากเศษข้าวโพดซังข้าวโพดตอข้าวทั้งหลายมีคนมารับซื้อ โดยที่เขาไม่ต้องใช้ ไม้ขีดก้านเดียวเผา เชื่อว่าไม่มีใครอยากทำ เชื่อว่าทุกคนตระหนักดีกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายที่สูงในการบริหารจัดการเรื่องซากพืชผลเป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจปากท้อง งบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลายๆ ท่านนำเสนอตรงนี้ มีการพูดถึงออปชั่นที่เราจะทำ ทั้งการเสนอซอฟโลน รายละเอียดต่างๆ ที่เสนอมาถือเป็นสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เราต้องไปทำต่อ และจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนที่สุด

หากพูดจากันแล้วไม่ทำตาม มาตรการภาษีก็ต้องมีมา ถ้าท่านไปซื้อของจากประเทศที่เขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอากาศบริสุทธิ์เรามีพระราชบัญญัติอากาศสะอาด มีหลายภาคส่วนมา ใช้เวลาในวันนี้อย่างจริงจัง หากเพื่อนบ้านเราไม่ทำให้หรือนายทุนจากบ้านเราไปทำมาหากินในประเทศเขา และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้รัฐบาลนี้ก็ยอมรับไม่ได้

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้มาด้วยกันหลายภาคส่วนก็ต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมา พูดกันให้ชัดเจน ซึ่งจริงๆแล้วตัวเลขมาจากลาว จากเมียนมาเยอะเรื่องการพูดคุยกับเราก็น่าจะง่ายกว่า เพราะเราได้มีการพูดคุยกันด้วยดีมาตลอด ขณะที่ทางเมียนมาเราได้พยายามหาทาง ที่จะเข้าไปพูดคุยกับเขา เพื่อที่จะให้เขาเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ หากเรามีความสงบการค้าขายเราไปได้ด้วยดี เราสามารถซื้อสินค้าเข้ามาได้ พี่น้องประชาชนในภาคเหนือ 10 กว่าจังหวัดสามารถอยู่ได้อย่างมีอากาศบริสุทธิ์ ก็ถือเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญ ไม่เช่นนั้นตนคิดว่าเราทำคนเดียวคงไม่ได้ เราอยู่คนเดียวบนโลกไม่ได้ เรื่องของภาคประชาชนต้องมากยิ่งขึ้นในอนาคต ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับเรื่องอากาศสะอาดเพราะหากคิดดูจริงๆ สิทธิพื้นฐานของมนุษยชนเราเรียกร้องกันหลายเรื่อง แต่เรื่องที่จะได้ที่สุดคืออากาศสะอาดซึ่งเป็นของฟรี หากรัฐบาลไม่ให้ความสนใจหรือไม่สามารถทำให้มันดีขึ้นได้ ตนว่าเรามีปัญหา ฉะนั้นเรื่องนี้ขอให้ทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ตระหนักและเข้าใจว่ารัฐบาลนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ

จากนั้นนายกฯ เดินชมนิทรรศการ โดยได้ชื่นชมการนำวัตถุดิบเหลือใช้ทางการเกษตร จากต้นไม้ ใบไม้ กิ่งไม้มาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ภาชนะ เช่น จาน ชามกระทงใบไม้ เพื่อลดการเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดไฟป่า

ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ให้นำวิดีโอไปฉายบนเครื่องบินเพื่อให้ต่างชาติได้รู้ถึง การนำวัสดุธรรมชาติมารีไซเคิลให้มีเรื่องราวต่อเนื่อง ที่เป็นการนำเศษใบไม้ มาทำเป็นภาชนะเพื่อลดไฟป่า ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเอกชนหลายรายช่วยกันได้ ก็จะสามารถเปิดตลาดใหม่ ทั้งนี้ แน่นอนว่าวัสดุรีไซเคิลดังกล่าวมีราคาแพงมากกว่าพลาสติกหรือโฟม แต่สำหรับบางเหตุการณ์บางบริษัทอาจจะดีกว่า เมื่อคืนวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนไปลอยกระทงก็ใช้กระทงที่ทำมาจากใบไม้ ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม โดยในส่วนของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ก็ได้เริ่มดำเนินการทำแล้ว ถ้าช่วงไฮซีซั่นนี้ทำได้ทันก็จะสามารถนำไปใช้บน เครื่องบินชั้นบิสสิเนสคลาส หรือชั้นเฟิร์สคลาส ได้ทันที เพื่อเป็นหน้าเป็นตา ให้กับประเทศเป็นการโฆษณาและช่วยในหลายอย่าง นอกจากนี้ ได้มีการมอบวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลตัวอย่าง ให้นายกฯด้วย

จากนั้นนายเศรษฐา ได้มอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าฯ ตอนหนึ่งว่า พี่น้องอาสาสมัครที่เคารพทุกท่านจากการดำเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองในปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมามีสถานการณ์ไฟป่าค่อนข้างรุนแรงซึ่งทราบว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาอย่างเต็มกำลัง ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจในภารกิจที่สำคัญนี้ เพื่อสร้างความสุข สุขภาพอนามัยที่ดีของประชาชน ตลอดจนรักษาป่าให้คงความอุดมสมบูรณ์ ปลอดภัยจากปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละออง วันนี้รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นประธานในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองในปี 2567 และขอเป็นกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งเต็มที่ เต็มกำลัง เต็มความสามารถและต้องอยู่ภายใต้ ความไม่ประมาทในทุกๆ ครั้งที่ปฏิบัติงาน ขอให้ปฏิบัติภารกิจบรรลุเป้าหมายและมีความปลอดภัยทุกท่าน และขอขอบคุณจากใจจริงกับท่านอาสาสมัครที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยขอบคุณอีกครั้ง

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมรถหน่วยตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบเคลื่อนที่ของกรมควบคุมมลพิษ และพูดคุยพบปะกับอาสาสมัครและประชาชน โดยให้กำลังใจและขอบคุณกับชนเผ่าบนดอยปุยที่ช่วยกันดูแลป่าและขอให้ทำการปลูกป่าเพิ่มมากขึ้น

'อนุทิน' เผยความในใจ 'นายกฯ' มอบหมายดูแล 'สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ' รับช่วงแรก 'อยากเป็นลม' แต่พอได้สัมผัสรู้สึก 'ตรงใจ-ภูมิใจ' ในภารกิจ

(2 ธ.ค.66) จากช่องติ๊กต็อก ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (TPQI)’ ได้โพสต์คลิป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เล่าความรู้สึกหลังนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ดูแล ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ’ ว่าตนนั้นรู้สึกอย่างไร โดยระบุว่า…

“ท่านนายกรัฐมนตรีได้มีการมอบหมายให้กํากับดูแลสถาบันอันหนึ่ง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เพื่อทําหน้าที่แทนท่าน นั่นก็คือ 'สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ' ตอนที่ท่านมอบสถาบันนี้มาให้ผม ผมรู้สึกอยากจะเป็นลมตาย…จึงได้มีการบอกไปว่า ขอโทษนะครับ…ผมเป็นรองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคลําดับที่ 2 ในรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฯ มอบให้ดูสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ…เพราะผมเป็นคนที่ต้องรู้อะไรก่อนถึงจะสนับสนุน ดังนั้น พูดง่าย ๆ ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ’ เป็นอีกทางเลือกสําหรับคนไทย คนที่ไม่มีโอกาสเรียน ไม่จบปริญญา แต่มีทักษะมีความสามารถพิเศษที่ไม่สามารถเอาใบดิฟโพลม่ามาได้ แต่สถาบันนี้คือคนที่จะทําสิ่งนี้ โดยสถาบันนี้จะรับรองใบประกาศนียบัตรที่เปรียบเสมือนใบดิฟโพลม่า ที่จะทําให้คนที่มีทักษะหรือความสามารถนําใบนี้ไปประกอบอาชีพหรือขึ้นทะเบียนได้ 

ดังนั้น สิ่งนี้มันก็ตรงกับความตั้งใจของตัวผมอยู่แล้ว… วันนั้นที่ไปผมมีความสุขมาก ถือเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในความเป็นรัฐมนตรีของผมในรัฐบาลชุดนี้ คือได้ไปเยี่ยมที่ ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ’...”

แต่งตั้ง ‘องคมนตรี’ คุณสมบัติที่มิใช่แค่ ‘คนเก่ง-ผลงานดี’ ก็ได้ดำรงตำแหน่ง แต่ต้อง ‘ซื่อสัตย์-ไว้ใจได้’ คอยเป็นผู้ช่วยเหลืองานข้างกายพระมหากษัตริย์

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อบัญชี @flukepatsmile ได้โพสต์คลิปตอบกลับความคิดของผู้ใช้ติ๊กต็อกอีกท่านหนึ่ง ที่ได้มาแสดงความคิดถึงการตั้งแต่งอดีตนายกรัฐมนตรี ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ขึ้นเป็น ‘องคมนตรี’ ระบุว่า…

“ปกติครับ เห็นมีอยู่แค่ไม่กี่คนที่เป็นนายกฯ แล้วไม่ได้เป็นองคมนตรี เช่น คุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ เพราะว่าโดนรัฐประหาร”

โดยเจ้าของบัญชี ได้ตอบกลับว่า…

“ผมคิดว่าคุณอคติไม่หาข้อมูลนะครับ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วได้เป็นองคมนตรี มีอยู่ไม่ถึง 5-6 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากนะครับ เพราะนายกรัฐมนตรีในประเทศเรา ที่เคยมีมานั้น มีอยู่ประมาณ 30 คน ถามว่าทุกคนจะได้เป็นองคมนตรีหมดเลยเหรอครับ?

มันเป็นไปไม่ได้นะครับ มันเป็นหลักการที่ไม่สมเหตุสมผลครับ

การจะแต่งตั้งใครเป็นองคมนตรีนั้น เกิดจากการที่พระมหากษัตริย์ท่านทรงไว้ใจ จึงทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งขึ้น เพื่อให้องคมนตรีคอยช่วยเหลืองาน คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับพระมหากษัตริย์

การที่คุณจะเลือกใครสักคนมาเป็นที่ปรึกษา มาอยู่ใกล้ชิดนั้น คุณก็ต้องเลือกคนที่ซื่อสัตย์ คนที่คุณไว้ใจ คนที่คุณเชื่อถือ ถูกไหมครับ? ไม่ใช่แค่เพียงเพราะว่าคนคนนั้นเขามีแค่ผลงานดีอย่างเดียว หรือว่ามีตําแหน่งที่สูงอย่างเดียว

และตั้งแต่อดีต หากองคมนตรีทําผิดพลาด ก็เปรียบเหมือนเสนาบดีทําผิดพลาดครับ เพราะจะส่งผลเสียไปถึงตัวของพระมหากษัตริย์ด้วย

เพราะฉะนั้น นับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา เวลาแต่งตั้งใครเป็นเสนาบดี หรือแต่งตั้งองคมนตรี พระมหากษัตริย์ท่าจะทรงเลือกคนที่ซื่อสัตย์ คนที่ไว้ใจได้ คนท่านที่คิดว่า จะไม่ทําให้พระองค์ท่านเสื่อมเสียครับ

ดังนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะได้ขึ้นเป็นองคมนตรีนะครับ”

‘แพทย์’ แนะ!! ‘เศรษฐา’ ให้พักผ่อนมากขึ้น หลังผลตรวจพบภาวะ ‘เครียด-ตื่นเต้น-กดดันสูง’

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานตามมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด และตรวจเยี่ยมกระบวนการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวช ที่โรงพยาบาลสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู

โดยช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เข้าไปตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้น บนรถโมบายเคลื่อนที่ ของกรมสุขภาพจิต ประจำโรงพยาบาลสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ซักประวัตินายกรัฐมนตรี โดยผลการตรวจร่างกายพบว่า นายกรัฐมนตรีมีสภาวะเครียดสูง ตื่นเต้น และกดดัน ทำให้ระบบประสาทไม่สมดุลกัน ทั้ง 2 ด้าน

ทำให้นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า เนื่องจาก นายกรัฐมนตรี มีภารกิจเยอะ จะไม่เครียดได้อย่างไร รวมถึงความเหนื่อยล้าของสภาพร่างกาย ทำให้นายกฯ ถึงกับขั้นหัวเราะเสียงดัง เปรียบเสมือนการยอมรับความจริง ซึ่งแพทย์ก็แนะนำให้นายกรัฐมนตรีนอนหลับพักผ่อนให้มากขึ้น

ก่อนที่เดินลงมาถ่ายภาพร่วมกับคณะแพทย์และโรงพยาบาล และรับฟังบรรยาย ระบบการใช้อุปกรณ์รถเคลื่อนที่ ในการรักษา

‘นายกฯ’ สั่งคมนาคมเร่งดูแลผู้ประสบเหตุรถทัวร์มรณะ หลังเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง คร่าชีวิต 16 ศพ

(6 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต กรณีเหตุรถทัวร์โดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ-นาทวี ประสบอุบัติเหตุเสียหลักตกไหล่ทางชนต้นไม้ริมถนนเพชรเกษม หน้าอุทยานแห่งชาติหาดวนกร หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 14 รายและที่โรงพยาบาล 2 ราย 

นางรัดเกล้า ยังระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยบนท้องถนนมาโดยตลอดไม่ว่าจะช่วงเทศกาลหรือไม่ใช่ช่วงเทศกาลจะมีการรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้น ขณะเดียวกันกระทรวงคมนาคมยังมีมาตรการคุมเข้มอุบัติเหตุช่วงเทศกาลเพื่อ ‘ลดตาย’ ในส่วนของรถโดยสาร 2 ชั้น ได้เปิดจดทะเบียนรถโดยสารสาธารณะ 2 ชั้นแล้วที่ต้องมีความสูงไม่เกิน 4 เมตร จากเดิมไม่เกิน 4.3 เมตร แต่รถทัวร์ 2 ชั้นในระบบจดทะเบียนวิ่งให้บริการได้เหมือนเดิม พร้อมบังคับติดตั้งระบบจีพีเอส เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมผู้ขับรถ ปรับปรุงสภาพรถ ซ่อมตัวถังรถ ต้องปรับระดับความสูงของรถเหลือไม่เกิน 4 เมตร ซึ่งจะมีอายุการใช้งานไปอีกประมาณ 4-5 ปี และจะปิดตำนานรถ 2 ชั้นในเมืองไทย

"นายกรัฐมนตรี ขอให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอำนวยความสะดวกกับผู้ประสบเหตุและญาติ ดังนั้นจะเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมาก มีการรณรงค์ในทุกเทศกาล เพื่อลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น" นางรัดเล้า กล่าว

นางรัดเกล้า ยังกล่าวชื่นชมประชาชนในที่เกิดเหตุที่ให้ความช่วยเหลือ ด้วยการเปิดห้องพักในระแวกนั้นให้ญาติผู้ประสบเหตุที่มาติดต่อรับศพ หรือมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บได้พักครอบครัวละ 1 ห้องฟรี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าช่วยเหลือ

'รัฐบาลเศรษฐา' เดินหน้า เร่งดัน EEC เฟส 2  มั่นใจ!! ดึงเงินลงทุนจริง 5 แสนล้าน ใน 5 ปี

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) ที่เป็นเรือธงในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ถูกหยิบยกมาสานต่อในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง 

ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) ที่เป็นกรอบดำเนินงานหลักของอีอีซี เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมบูรณาการในการพัฒนาเชิงพื้นที่ในทุกมิติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาอีอีซี จากระยะที่ 1 (2560-2565) ที่มีมูลค่าอนุมัติการลงทุนไปแล้วราว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจากการหารือทางที่ประชุมได้ให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดอีอีซีล่าสุด ได้เห็นชอบร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน

รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยจะนำร่างแผนดังกล่าวสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้

แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าวว่า ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่อีอีซีระยะที่ 2 ให้ได้ โดยมีเป้าหมายไว้ราว 5 แสนล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Gross Provincial Cluster Product : GPCP EEC) ขยายตัวเฉลี่ย 6.3% และดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index) ในพื้นที่ได้แก่ ดัชนีย่อยด้านชีวิตการงานและดัชนีย่อยด้านเศรษฐกิจ มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2%

“ในปี 2564 GPCP EEC เท่ากับ 2.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.6 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ปี 2560-2562) เศรษฐกิจอีอีซีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.1 % จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นหลัก”

สำหรับการผลักดันเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินงานภายใต้การพัฒนา 5 แนวทางประกอบด้วย 

1.ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต ที่ตั้งเป้าหมายให้ได้มูลค่าความตกลงสิทธิประโยชน์ปีละ 2.5 แสนล้านบาท มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้น 3.5 % ต่อปี สัดส่วนรายได้ของธุรกิจเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อจีดีพีในอีอีซีไม่น้อยกว่าปีละ 7 % รวมถึงจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้นปีละ 3.5 %

2. เพิ่มประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค โดยมีเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลัก ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา แล้วเสร็จกว่า 90% ในปี 2570 การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F1 แล้วเสร็จในปี 2570 

ขณะที่การก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 แล้วเสร็จในปี 2569 โดยจะมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นปีละ 5% มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไม่น้อยกว่า 5 % ในปี 2570 และมีปริมาณนํ้าต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการใช้ในปี 2570 ที่ 2,888 ล้านลูกบาศก์เมตร

3. ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีเป้าหมายผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นปีละ 2.5% อัตราการว่างงานเฉลี่ยไม่เกินปีละ 0.83% มีแรงงานที่ได้รับการพัฒนาทักษะตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนต่อปี

4. พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ มีเป้าหมายการพัฒนาเมืองใหม่และเมืองเดิมได้รับการพัฒนาตามแผน 2 เมือง มีอัตราการส่งต่อผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ลดลงปีละ 10 % ปริมาณการล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ในปื2570 เมื่อเทียบกับปีฐาน และมีสัดส่วนการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ไม่น้อยกว่า 15 % ต่อปี

5.เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนไม่น้อยกว่า 5 % ต่อปี

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ขณะที่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาอีอีซี ระหว่างปี 2566-2570 ที่ผ่านมาได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประกอบด้วย

1.การเพิ่มขีดความสามารถของระบบรางและทางนํ้า และเชื่อมต่อกับการขนส่งสินค้ารูปแบบอื่น
2.การยกระดับโครงข่ายคมนาคมรองรับการเดินทางของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ และ
3.ยกระดับโครงข่ายคมนาคมด้วยมาตรการเชิงรุกและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการดำเนินโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจำนวน 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2566 จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 125,599.98 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินปี 66 ประมาณ 25,425.65 ล้านบาทและโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2567-2570 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 212,197.09 ล้านบาท

สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2566-2570 รวม 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็น

ภาครัฐลงทุน จากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และงบรัฐวิสาหกิจ จำนวน 61 โครงการ วงเงินรวม 178,578.07 ล้านบาท (52.87%)
ภาคเอกชนลงทุน และการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 159,219 ล้านบาท ( 47.13%)

ทั้งนี้เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 295,710.49 ล้านบาท ( 87.5%) ระบบสาธารณูปโภค 38,382.58 ล้านบาท ( 11.4%) และมาตรการส่งเสริม 3,704 ล้านบาท ( 1.1%)

ส่วนกรณีที่อีอีซีมีแผนจะขยายพื้นที่จังหวัดในระยะที่ 2 ออกไปนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีแผนดังกล่าว เพราะการขยายพื้นที่ในระยะที่ 2 จะต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมหรือออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เนื่องจากตามกฎหมายในปัจจุบันกำหนดให้อีอีซียังดำเนินการภายในพื้นที่ 3 จังหวัดตามเดิม ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

'นายกฯ เศรษฐา' นัดเจอทีมงานเทศกาลดนตรี EDM ระดับโลก Tomorrowland  ดึงจัดในไทย 10 ปี หวังกระตุ้น 'เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไทย' ไปยาวๆ

(7 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวิตข้อความ ระบุว่า...

"แฟนๆ EDM อยากไปเทศกาลดนตรี Tomorrowland ไหมครับ เมื่อคืนมีนัดทานข้าวกับทีมงาน เรารอไปสนุกกับเทศกาลระดับโลกพร้อมกันนะครับ ไม่ใช่แค่ปีเดียว แต่อาจจะถึง 10 ปีเต็มเลย"

สำหรับเทศกาลทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) เป็นเทศกาลดนตรีแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (EDM) ที่จัดขึ้นที่เมืองบูม ประเทศเบลเยียม โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005 และกลายเป็น 1 ในเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก มีแฟนเพลงเข้าร่วมนับหมื่นคน มักจะขายบัตรหมดภายในไม่กี่นาที

ทั้งนี้ ถือว่า นายกฯ เป็นผู้มีรสนิยม และเข้าใจถึงดนตรีที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นศิลปะหนึ่งในหลายแขนง ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างมาก เป็น Music Festival ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยมาร่วมงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนจากกิจกรรมนี้อย่างเดียวหลายพันล้านบาท

การให้ความสำคัญ และเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมดนตรีและศิลปะที่หลากหลายมากขึ้น จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการส่งออกผลงานทางศิลปะได้มากขึ้นตามไปด้วย

‘นายกฯ’ ไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2-16 บาท ลั่น!! ซื้อไข่ลูกนึงยังไม่ได้ เล็งคุยทบทวนใหม่

(9 ธ.ค.66) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะกรรมการไตรภาคี มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก ขึ้นมาน้อยมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธี ที่จะให้ ลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือบรรเทา ความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบ รัฐบาลพยายามทำอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่เรื่องของการเพิ่มรายได้ก็สำคัญ โดยประชาชนหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก บางจังหวัดขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้นซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับ ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

ตนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนในไทย ไปเปิดตลาดค้าขายใหม่ในต่างประเทศ ที่ไทยยังไม่มีสนธิสัญญาทางการค้า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ต้องขอวิงวอนและขออ้อนวอน ว่าพี่น้องแรงงาน คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อีกทางหนึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกทาง แต่การขึ้นรายได้ ผู้ประกอบการต้องพยายามทำ ไม่ใช่มากดค่าจ้าง แล้วนายจ้างไม่ได้พัฒนา กิจการของตัวเองเลย ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะปัจจุบันนายจ้างก็ได้ประโยชน์ จากการลดค่าไฟ ค่าน้ำมันและอีกหลายอย่าง ตามมาตรการของรัฐบาล วันนี้เราจะยอม ให้แรงงานประชาชนคนไทย ต่ำติดดินแบบนี้หรือ ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทยเช่นสิงคโปร์หรือเกาหลี สิงคโปร์ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 1,000 บาท เราจะยอมให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นพลเมืองชั้น 2 ชั้น 3 ของโลกหรือในเมื่อค่าแรงขั้นต่ำติดดินขนาดนี้ เมื่อรัฐบาลพยายามยกระดับภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ก็ควรที่จะทำไปพร้อมๆกัน ถ้าทำเพียงฝ่าย เดียวเป็นไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ เดี๋ยวจะต้องไปพิจารณาดูถึงแนวทางความเหมาะสมเพราะเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจ และการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญ ในภาคผลิตด้วยหรือเปล่า พอพ้นจากวันหยุดก็จะมีการเรียกคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนมีความกังวลหมด ขอให้คิดถึงใจเขาใจเรา

เมื่อถามย้ำว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับการปรับขึ้น มานานแต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาทจะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้พูดคุยกันเรื่องนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่องเที่ยว การเปิดด่านสะเดา มีการลงทุนสร้างสะพานไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงขึ้นแค่ 2-3 บาท ยอมรับว่าตนไม่สบายใจ ถึงอยากใช้เวทีนี้สื่อสาร ไปถึง และขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องแรงงาน ไม่อย่างนั้นจะติดกับรายได้ต่ำ ต้องคุยทั้งกับไตรภาคี และในครม.เพราะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรมควรจะอยู่ที่ตัวเลขเท่าไหร่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะต้องฟังเหตุผล ของเขาเหมือนกัน อย่างที่บอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าผู้ประกอบการจะอ้างเรื่อง ผลประกอบการไม่ดีเพราะสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา นายกกล่าวว่า รัฐบาลก็พยายามช่วยอยู่ โดยเฉพาะการลดค่าไฟที่ภาคอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์ จากที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ลดมาเหลือ 3.99 ดังนั้นขอให้คืนกับประชาชนบ้าง ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าหากมีการปรับเพิ่มขึ้นจำนวนมากอาจจะมีปัญหาเรื่องของการย้ายฐานผลิตออกจากประเทศไทย นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มีหรอกครับอันนี้เป็นวาทกรรม ไม่มีใครย้ายเพราะค่าแรงขึ้น จาก 300 เป็น 400 บาทไม่มีหรอก รัฐบาลยังมี มาตรการส่งเสริมด้านภาษี มีระบบสาธารณสุขที่ดี สถานศึกษาก็ดี โครงสร้างพื้นฐานและสนามบินก็ดี ท่าเรือน้ำลึกก็มี ที่ตนเดินทางไปต่างประเทศก็ได้เซ็น MOU กับหลายบริษัทใหญ่ๆ ทั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันก็ไปลำบาก

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ได้ถึง 400 บาทตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องดูตามความเหมาะสม ในจังหวัดใหญ่อาจจะได้ถึง 400 แต่จังหวัดเล็กอาจจะไม่ถึง ต้องดูความเหมาะสม ขอย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามทำเพื่อให้ นายจ้างสามารถส่งสินค้าออกไปได้และยังอำนวยความสะดวก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ให้ผู้ประกอบการ

เมื่อถามว่านายกจะสื่อสารไปยังผู้ใช้แรงงานอย่างไรเพื่อไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ขอให้ผู้ใช้แรงงาน ดูการกระทำ ว่าตนมีความจริงใจขนาดไหนอย่างไร เราให้ความสำคัญสูงสุด การที่ตนไปพูดที่หอการค้าไทย ขอให้ฟังดูว่าเขาดีใจหรือไม่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรม รัฐบาลพยายามสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยง่ายและปลอดภัยขึ้น ทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ

"วันนี้ผมไม่ได้มาหาเสียง เพราะการหาเสียงจบไปแล้วแต่เราพูดถึงความเป็นจริงว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการดูแลควบคู่กันไปด้วย ขออ้อนวอนไปถึงนายจ้างให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงานด้วย"

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม. จะพิจารณาอย่างไร นายกกล่าวว่า ต้องดูว่ามีความจำเป็นว่าจะเสนอเข้ามาหรือไม่ ถ้าเสนอเข้ามา ตนไม่ยินยอมไม่เห็นด้วย แน่นอน ตนเชื่อว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเราดูที่ความเหมาะสม เราเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ หลายประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำเขามากกว่านี้ วันนี้เราชนะสิงคโปร์ในแง่ดึงดูดนักลงทุน บริษัทใหญ่เข้ามาสร้าง Data Center เป็น เป็นนิมิตใหม่อันดีว่าประเทศเรามีศักยภาพสูง แต่ทำไมจึงไปกดผู้ใช้แรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศ

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี รู้สึกเหมือนมีความฉุนเฉียวที่พูดถึงเรื่องนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับฉุน เพราะการที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องดูแลประชาชน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลแค่มาเอาคะแนนเสียง กับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว แต่นายจ้างและผู้ประกอบการ ก็ไปรับฟังความเห็นตลอด และพร้อมจะช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top