Monday, 6 May 2024
ก้าวไกล

วิโรจน์ ล้อมวงคุย สวน 100 ปีจุฬา ชี้ มีอีกหลายที่ในกรุงเทพมีศักยภาพพัฒนาเป็นสวนสาธารณะ แต่นายทุนกลับเอาไปปลูกกล้วย ชู ยกเว้นภาษี แลกให้ กทม. พัฒนา

เย็นวันนี้ (10 เมษายน 2565) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กรุณพล เทียนสุวรรณ อดีตผู้สมัคร สส.เขตหลักสี่ พร้อมด้วยณัฏฐ์  อิศรางกูร ณ อยุธยาผู้สมัคร สก.เขตปทุมวัน พรรคก้าวไกลเดินทางไปยังอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาตัวอย่างสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียว โดยมีผู้ที่มาพักผ่อนในอุทยานเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิโรจน์ในมุมมองของกรุงเทพเมืองที่คนเท่ากัน 

โดยวิโรจน์กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่จะสามารถทำให้กรุงเทพเป็นเมืองที่คนเท่ากันได้คือการมีพื้นที่สาธารณะให้แก่พี่น้องประชาชนได้ใช้ประโยชน์ได้จริง

แน่นอนว่าอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือตัวอย่างพื้นที่สาธารณะที่วาดฝันอยากให้มีทั่วกรุงเทพฯ

“นี่คือตัวอย่างสวนสาธารณะที่ดีที่เราอยากเห็น สวนสาธารณะที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้ามาใช้งาน มากกว่าเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว” 

เราอยากเห็นพื้นที่สีเขียวที่เป็นสวนสาธารณะที่ประชาชนใช้งานได้จริง มากกว่าเป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อความสวยงามแต่ประชาชนไม่สามารถใช้งานได้

พื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานครทุกวันนี้จำนวนมากประชาชนไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้จริง ต้นไม้ที่อยู่เกาะกลางถนน หรือต้นไม้ที่แปะไว้บนตอม่อบีทีเอสก็ถูกนับรวมเป็นพื้นที่สีเขียว

'ดร.อานนท์' ถาม 'วิโรจน์' ขีดฆ่าชื่อเต็มกรุงเทพฯ สื่อถึงต้องการทำลายกทม.-ประเทศไทย-สถาบันฯ ใช่หรือไม่?

(14 เม.ย. 65) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กกล่าวถึงพรรคก้าวไกลจัดทำป้าย/banner หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ที่มีการขีดฆ่าชื่อเต็มกรุงเทพมหานคร ว่าอย่างนี้เราสมควรเลือกเข้ามาไหมครับ คนกรุงเทพมหานครฯ กรุณาใช้วิจารณญาณ อ่านความคิด ของพวกมนุษย์สเปโต ตกลงการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ของนายวิโรจน์และพรรคก้าวไกล มีแต่ความต้องการทำลายล้างกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่

พรรคก้าวไกล ทำป้าย/banner หาเสียงผู้ว่ากทม. โดยนายวิโรจน์ นำชื่อเต็มของกรุงเทพมหานคร ที่รัชกาลที่ 4 ทรงผูกไว้อย่างงดงาม เอามาขีดฆ่าออก ตั้งแต่หลังคำว่ากรุงเทพมหานคร เป็นต้นไป ลองมาดูคำแปล ชื่อกรุงเทพมหานครกันนะครับ จะได้เข้าใจว่าสิ่งที่พรรคก้าวไกลและนายวิโรจน์ใช้หาเสียง เลวร้ายแค่ไหน

กรุงเทพมหานคร : พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร
อมรรัตนโกสินทร์ : เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต
มหินทรายุธยา : เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะ
มหาดิลกภพ : มีความงามอันมั่งคงและเจริญยิ่ง
นพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์ : เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการน่ารื่นรมย์ยิ่ง
อุดมราชนิเวศมหาสถาน : มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย
อมรพิมานอวตารสถิต : เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา
สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ : ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้
ต้นเรื่อง : นิตยสารสารคดี มกราคม 2540

'วิโรจน์' ร่ายยาว หลังถูกกังขาเหตุขีดฆ่าชื่อกรุงเทพฯ 'ท่านใหม่' โต้กลับ ขอให้ได้ทำตามความฝัน ลมๆ แล้งๆ

(14 เม.ย. 65) จากกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล ได้จัดทำป้าย/banner หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่มีการขีดฆ่าชื่อเต็มกรุงเทพมหานคร จากนั้น ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามว่า อย่างนี้เราสมควรเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่ การหาเสียงดังกล่าวต้องการทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ ทำให้นายวิโรจน์ ไม่พอใจพร้อมตอบโต้กลับไปว่า...

"คุณเป็นอะไรของคุณ"

ตกลงเราควรให้ความสำคัญกับอะไรในเมืองๆ นี้?

คน หรือยศถาบรรดาศักดิ์? 

ชื่อเมือง หรือเลือดเนื้อชีวิตของคนที่อยู่ในเมือง?

กรุงเทพเป็นเมืองที่คนอยู่ หรือเทพอยู่?

ความเจริญงอกงามของเมือง เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคน และความรู้สึกว่าเราทุกคนเป็นเจ้าของเมืองๆ นี้ ไม่ใช่หรือ?

การตีความให้เมืองๆ นี้ เป็นเมืองศักดินา ของคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ แล้วกดให้ประชาชนเป็นเพียงไพร่ทาส ผู้รับใช้เหล่าขุนหลวงพระยา นับวันมีแต่จะทำให้เมืองๆ นี้ กลายเป็นเมืองที่คนจำอยู่อย่างสิ้นหวัง ยอมจำนนต่อโชคชะตา เมื่อเวลาผ่านไป เมืองๆ นี้ มีแต่จะกลายเป็นเมืองที่ต้องคำสาป หยุดการพัฒนา คนที่มีความฝันต้องผันตัวไปอยู่ต่างประเทศ คนมีเงินก็ขนเงินไปลงทุนที่อื่น สุดท้ายคนที่อยู่อาศัยในเมือง ก็จะทยอยแก่ตัวลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุที่ขาดเงินออม ในเมืองที่ไร้สวัสดิการ

ผมว่าพฤติกรรมที่ควรหมดไปจากสังคมนี้ได้แล้ว คือการเอาอคติของตน มาอวยยกตัวเองว่าจงรักภักดี แล้วเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้เพื่อโจมตีประชาชนที่คิดต่างจากตน

พฤติกรรมที่นำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้เพื่อแบ่งแยกประชาชน ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม ไม่ว่าจะมีเจตนา หรือไม่มีเจตนา ควรจะเลิกได้แล้ว

ผู้ว่ากรุงเทพ มีหน้าที่ในการทำให้เมืองๆ นี้ เป็นเมืองที่คนไม่ว่าจะจน หรือรวย อยู่ร่วมกันได้อย่างมีศักดิ์ศรี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนกัน ได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน สวัสดิการที่ดีเสมอภาคกันจะทำให้คนกล้าฝัน กล้าบุกเบิก ทำให้คนมีกำลังซื้อ กล้าซื้อ เมืองก็มีการบริโภค พอเมืองมีการบริโภค เมืองก็จะมีการลงทุน พอมีการลงทุน ก็เกิดการจ้างงานใหม่ๆ เกิด Supply Chain ใหม่ เกิดแหล่งลงทุนใหม่ๆ ทุกๆ คนก็มีโอกาสตั้งตัวได้ หลุดพ้นจากความยากจนได้ เมืองแบบนี้ไม่ใช่หรือ คือเมืองที่มีความหวัง

พอเสียทีเถอะ เมืองที่เอื้อให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งรวยได้ เพราะรู้ข้อมูลวงในก่อนใคร รวยได้เพราะได้อภิสิทธิ์จากกติกาที่ไม่เป็นธรรม รวยได้เพราะเส้นเพราะเครือข่ายอุปถัมภ์

ความร่ำรวยแบบนี้ มันไม่ใช่ความมั่งคั่งที่น่าภูมิใจ แต่เป็น การสูบเลือดสูบเนื้อทำนาบนหลังประชาชน พอกลุ่มทุนเหล่านี้ต้องออกไปแข่งขันในเวทีโลกด้วยกติกาที่เป็นสากล ก็ไม่เคยที่จะประสบความสำเร็จ สุดท้ายต้องบากหน้า กลับมาสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนในประเทศเหมือนเดิม

ยืนยันครับว่า กรุงเทพ ที่สามารถเป็นเมืองที่เป็นความหวังของทุกๆ คน ไม่ว่าจะยากดีมีจน จะต้องเริ่มต้นจาก #เมืองที่คนเท่ากัน เท่านั้นครับ

#วิโรจน์ก้าวไก่ #วิโรจน์ก้าวไกล 

‘ก้าวไกล’ ชี้ การล่วงละเมิดทางเพศพุ่ง เพราะทัศนคติเชิงลบต่อเหยื่อ และกลไกที่ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงความยุติธรรม

ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ และอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อกรณีข่าวนักการเมืองคนดังล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหายหลายรายว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นได้ในทุกวิชาชีพ โดยเฉพาะการอาศัยเงื่อนไขของผู้กระทำที่มีอำนาจเหนือกว่า และแม้จะมีข่าวการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอยู่ทุกวัน แต่การข่มขืนกระทำเราหรือการล่วงละเมิดทางเพศกลับเกิดมากขึ้น เพราะสังคมขาดความเข้าใจและยังมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้เสียหาย อีกทั้งขาดกลไกรับเรื่องร้องทุกข์จนผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความ ต้องพึ่งพาภาคประชาสังคมหรือต้องทำให้เรื่องกลายเป็นข่าว จี้รัฐปรับปรุงระบบรับร้องทุกข์ที่เป็นมิตร พร้อมเปลี่ยนทัศนคติของสังคมช่วยกันปกป้องผู้เสียหาย  

โดยก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ มีตัวแทนทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศมีสาเหตุหลักด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่ การที่คนในสังคมยังขาดความตระหนักและขาดการเคารพสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของผู้อื่น การขาดกลไกในการเฝ้าระวังปัญหาโดยเฉพาะในระดับครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน การขาดกลไกรับเรื่อง การรับแจ้งความร้องทุกข์ และกระบวนการยุติธรรมที่เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย รวมถึงกลไกการแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำความผิด และการขาดกลไกการบำบัดฟื้นฟูแก้ไขเยียวยาต่อผู้เสียหายและครอบครัว 

พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งก่อนเกิดเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้ว และหลังเกิดเหตุ ไปยังคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ยกระดับการแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” แต่จนบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด

“ที่ดูคืบหน้าอยู่บ้างคือร่าง พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง จะเป็น กม.ที่นำมาใช้กับผู้กระทำความผิดที่ก่อเหตุหลายครั้ง และอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการแพทย์หรือการคุมขัง เพื่อเข้าระงับเหตุไม่ให้ไปกระทำความผิด โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศซ้ำอีก ที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สว. แต่นั่นเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศมีมากกว่านั้น ทั้งกรณีที่ผู้เสียหายไม่ทราบว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วควรจะดำเนินการอย่างไร เมื่อไปแจ้งความแล้วกลับโดยปฏิเสธไม่รับแจ้งความหรือให้กลับไปหาพยานหลักฐานเอง ไปจนถึงการกลัวคนรอบข้างและสังคมไม่เชื่อ กล่าวโทษกดดัน กลายเป็นผู้เสียหายเป็นผู้ผิด ทั้งการดำเนินคดีที่ยาวนาน มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก 

ที่แย่ที่สุดคือผู้กระทำที่เป็นผู้มีอิทธิพลหรืออำนาจที่เหนือกว่าผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นระหว่างคนในครอบครัว เป็นผู้ใหญ่กับเด็ก นายจ้างกับลูกจ้าง อาจารย์กับลูกศิษย์ การกระทำต่อแรงงานข้ามชาติ หรือกรณีนักการเมืองที่เป็นข่าวในปัจจุบัน จนผู้เสียหายหวาดกลัว ไม่กล้าแจ้งความ และหลายครั้งยอมถูกกระทำต่อเนื่องกันอีกหลายครั้ง หากรายใดกล้าลุกขึ้นมา ก็ต้องขอความช่วยเหลือกับภาคประชาสังคม องค์กรมูลนิธิต่างๆ หรือต้องทำให้เป็นข่าว ซึ่งเราไม่ควรจะให้กระบวนการที่ต้อง ”ไม่ปกติ” ถึงจะได้รับการช่วยเหลือ กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไป” 

หั่นงบโปรโมตรัฐ!! ‘วิโรจน์’ ชี้ รัฐสวัสดิการที่ดีทำได้ เพียงแบ่งเค้กเท่าเทียม แนะ หั่นงบ PR รัฐ เพิ่มขนาดเค้ก กทม.

วิโรจน์ชี้ สร้างรัฐสวัสดิการที่ดีทำได้จริง ไม่ใช่แค่เพิ่มขนาดเค้ก แต่ต้องแบ่งเค้กเท่าเทียม ปกป้องเค้กของประชาชนไม่ให้มือดีแอบกิน พร้อมเสนอ 5 นโยบายทำได้ทันทีเพื่อเพิ่มขนาดเค้ก กทม. รวมถึงการตัดงบ PR ภาครัฐ ซึ่งใช้เงินมหาศาลโดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์ 

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สัครผู้ว่าฯ กรุงเทพ เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ว่าด้วยการจัดทำรัฐสวัสดิการที่ดี ต้องเพิ่มขนาดเค้ก หรือขนาดรายได้ของรัฐก่อน โดยวิโรจน์ยืนยันว่าการเพิ่มขนาดเค้กเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องแบ่งเค้กอย่างเป็นธรรม และปกป้องเค้กของประชาชนไม่ให้ถูกเบียดบัง มิฉะนั้นต่อให้เค้กก้อนใหญ่ขึ้นแค่ไหน ประชาชนก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ 

“หากเราไม่สนใจที่จะจัดสรรอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าเค้กจะใหญ่ขึ้นสักเท่าใดคนที่ได้รับประโยชน์ก็จะไม่ใช่ประชาชนอยู่ดี และอันที่จริง เค้กของประเทศไทยไม่ใช่ว่าจะไม่ใหญ่ขึ้น แม้ GDP ไทยจะโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน แต่ก็โตทุกปี แต่ในขณะที่เค้กใหญ่ขึ้น คนจนกลับจนลง คนรวยกลับยิ่งรวย จนประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก การจัดสรรอย่างเป็นธรรมจึงต้องทำทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้เค้กใหญ่ขึ้นก่อนแล้วค่อยจัดสรร” วิโรจน์กล่าว

วิโรจน์ยังเสนออีกว่า หากเปรียบงบประมาณทั้งหมดเป็น เค้ก 1 ก้อน เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ เพื่อสร้างเมืองที่คนเท่ากัน มี 3 สิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน ได้แก่

1. ปกป้องเค้กของประชาชน มีตัวอย่างมากมายที่เค้กถูกตัดไปใช้ในโครงการที่ประชาชนแทบไม่ได้ประโยชน์ หนักไปกว่านั้นคือมีคนแอบกินเค้ก จากที่เล็กแทบจะไม่พออยู่แล้วก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก แต่เราก็ไม่เคยเห็นผู้ว่าฯ คนไหนลุกขึ้นมาปกป้องเค้กของประชาชน

ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะคนที่จะมาปาดหน้าหรือแอบกินได้ หากไม่ใช่พวกพ้องที่ต้องคอยเกรงอกเกรงใจแล้ว ก็ต้องเป็นคนใหญ่โต ผู้มีบารมี ไม่ใช่ตาสีตาสา อะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่ฟุ่มเฟือย ผู้ว่าฯ ต้องกล้าหาญพอที่จะตัดทิ้ง รวมถึงการแอบเบียดบังเค้กก็ต้องถูกจัดการให้หมดไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งเค้กของประชาชน

2.แบ่งเค้กอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าเค้กจะก้อนเล็กหรือใหญ่ มันจะต้องถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรมและรัฐสวัสดิการคือหนึ่งในสิ่งที่จะลดความเหลื่อมล้ำและทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นในสังคม

3. ทำให้เค้กก้อนใหญ่ขึ้น หากเราทำข้อ 1 และ 2 ได้ดี เค้กก็จะดูใหญ่ขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะการแบ่งที่เท่าเทียม และการป้องกันไม่ให้ใครมาเบียดบังแอบกินเค้ก

อย่างไรก็ตามด้วยงบประมาณที่มี แม้เราจะสามารถสร้างรัฐสวัสดิการได้ แต่ก็ยังไม่ดีพอเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการที่ดีกว่านี้ เราจำเป็นต้องทำให้เค้กใหญ่ขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

วิโรจน์เสนอว่า สำหรับ กทม. สิ่งที่ผู้ว่าฯ สามารถทำได้ทันทีเพื่อให้ได้เค้กก้อนที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีป้ายให้ครบถ้วน เพราะทุกวันนี้ กทม. ปล่อยให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เจ้าของห้างสรรพสินค้า นายทุนพลังงาน นายทุนทหาร เอาที่ไปล้อมรั้วปลูกกล้วย แยบยลกว่านั้นคือการซอยที่ให้เป็นที่เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือที่ตาบอดเพื่อเลี่ยงภาษี ส่วนภาษีป้ายโฆษณา ปัจจุบัน กทม. จัดเก็บเข้าระบบได้เพียง 30-40% เท่านั้น ที่เหลือเป็นป้ายเถื่อนที่ใช้ระบบมาเฟียเส้นสาย ทำกำไรมหาศาลโดยไม่เข้ารัฐ

อีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กทม. คือการกำหนดค่าธรรมเนียมขยะใหม่ กทม. มีค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะปีละ 7,000 ล้าน (หรือ 12,000 ล้าน หากรวมค่าจ้าง ค่าเสื่อมราคา ค่าซ่อมแซมรถขนส่งขยะ)  ต่เก็บค่าธรรมเนียมจัดการขยะได้เพียง 500-600 ล้านบาทต่อปี วิโรจน์ยืนยันว่ารัฐสามารถขาดทุนเพื่อให้บริการสาธารณะได้ แต่รัฐไม่ควรขาดทุนเพื่อโอบอุ้บนายทุน เพราะเมื่อลงไปดูรายละเอียดเราจะพบว่าเหล่าห้างสรรพสินค้าทั้งหลายที่ผลิตขยะเป็นจำนวนมหาศาลกลับจ่ายค่ากำจัดขยะเพียงเดือนละไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น

‘ก้าวไกล’ ติวเข้มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อีสานใต้ มั่นใจปักธงได้แน่ แม้บางพรรครุกหนักในพื้นที่

จังหวัดนครราชสีมา - ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวในการอบรมสัมมนาว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างหรืออีสานใต้ ว่า การอบรมสัมมนาครั้งนี้ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ชัยภูมิ และมหาสารคาม โดยในพื้นที่นี้ที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นบทบาทของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลพรรคหนึ่งซึ่งรุกหนักมาก ใช้จุดนี้เป็นฐานที่มั่นและหวังจะขยายจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ อย่างบางจังหวัดที่ผ่านมาก็สามารถชนะยกจังหวัด หรือบางจังหวัดเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีข่าวว่า ส.ส.พรรคฝ่ายค้านบางคนเตรียมย้ายไปสังกัดด้วยแล้ว ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งต่อไปน่าจะเป็นสนามการแข่งขันที่ดุเดือด แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับพรรคก้าวไกลเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะชนะได้ในหลายเขต โดยเฉพาะ จ.นครราชสีมา ที่จะเป็นประตูบานแรกเปิดสู่ภาคอีสาน ทำให้เรามี ส.ส.ในจังหวัดอื่นๆ ต่อไป 

“จากที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปว่า สำหรับพื้นที่ภาคอีสาน พรรคก้าวไกลเรามั่นใจว่าจะมี ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 15 คน ก็ปรากฏว่ามีคณะทำงานรวมถึงว่าที่ผู้สมัครของเราหลายคนบอกว่า คำว่าไม่ต่ำกว่านี้น่าจะไม่ต่ำกว่าตัวเลขที่ให้ไปค่อนข้างมาก เพราะจากการทำงานอย่างต่อเนื่องของหลายๆ พื้นที่ ทั้งทีมจังหวัด ทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เอง ทุกคนมั่นใจว่าพรรคก้าวไกลจะมี ส.ส.ภาคอีสานมากกว่า 15 ที่นั่งอย่างแน่นอน ยิ่งหลังจากผ่านการอบรมสัมมนากันไปแล้ว เรียกได้ว่าเสริมเขี้ยวเล็บให้กับทุกคนแล้ว ต่างมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น เป็นรูปธรรมจับต้องได้มากขึ้น และทุกคนพร้อมที่จะทำงานหนักจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งที่จะมาถึง และในส่วนของเขตอีสานตอนใต้ มั่นใจว่าจะมีเซอร์ไพรส์ให้เห็นในการเลือกตั้งครั้งหน้า” ชัยธวัช กล่าว 

'วิโรจน์' นำทีม ส.ก. จัดเวทีปราศรัย Flash meet โชว์กึ๋นหางบประมาณเพิ่มได้อีก 13,000 ล้านต่อปี

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เปิดเวทีปราศรัยย่อย หรือ ‘Flash meet’ บริเวณใต้สะพานพระราม 8 พร้อมผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพ (ส.ก.) ฝั่งธนบุรี ทั้ง 15 เขต ซึ่งเป็นการปราศรัยรูปแบบมาไว ไปไว ไม่ยืดเยื้อ เพื่อให้สอดคล้องไลฟ์สไตล์คนกทม.

โดยนายวิโรจน์ ปราศรัยว่า หากมองด้วยมาตรฐานของสภาใหญ่ที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ทำไว้ ในเรื่องการตรวจสอบการใช้งบประมาณ คนกทม. ควรเลือก ส.ก. จากพรรคก้าวไกล เข้าไปทำหน้าที่ปกป้องภาษีที่มาจากประชาชน และเพื่อไปผลักดันให้มีการนำภาษีไปใช้เกิดประโยชน์สูงที่สุด เพราะตนเชื่อว่า ส.ก.ก้าวไกลจะสร้างมาตรฐานสภากรุงเทพฯ ให้เทียบเท่ากับสภาผู้แทนราษฎรได้ งบประมาณกรุงเทพฯ รวมแล้วมีมากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี ส.ก. มีหน้าที่ดูแลเงินภาษีของพวกท่าน ถ้า ส.ก. เฮงซวย เงินภาษีของจะถูกใช้ไปแบบเฮงซวย ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่ต้องเลือก ส.ก. จากพรรคก้าวไกล

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า นโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะผู้สมัครผู้ว่าฯ คนไหนโฆษณาไว้อย่างไร ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินจากงบประมาณทั้งสิ้น ผู้ว่าฯ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารของเมือง หน้าที่แรกคือ การหาเงินงบประมาณ หากผู้ว่าฯ ไม่บอกวิธีการหาเงิน นโยบายต่างๆ ที่โฆษณาจะไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน การปราศรัยในครั้งนี้จึงต้องการมาบอกว่า กทม. จะหาเงินได้อย่างไร 

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า กรุงเทพฯ จะมีงบประมาณเพิ่มได้จากการเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้าง หรือที่เรียกว่าภาษีโรงเรือน ซึ่งกทม. มีตึกรามบ้านช่องมากมาย แต่ที่ผ่านมาเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างได้เพียง 5,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งความจริงแล้วกทม. สามารถตั้งเป้าหมายการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้มากกว่าเดิมอีก 10,000 ล้านบาทต่อปี แต่ที่ผ่านมาทำไม่ได้เพราะว่าที่ดินบางแห่งย่านใจกลางเมืองหรือย่านธุรกิจจะถูกทำให้เป็นที่ตาบอด เพื่อทำให้ที่ดินตรงนั้นราคาประเมินถูกลง เพื่อทำให้เสียภาษีถูกลง เราจะไม่เห็นสภาพการณ์แบบนี้เกิดกับเมืองดังๆ ทั่วโลกเลย แต่เราเห็นได้ที่กทม. และที่ประเทศไทย ผมคิดว่าผู้ว่าฯ กทม. ต้องกล้าออกข้อบัญญัติหรือระเบียบในการจัดการเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมา ไม่ใช่อ่อนข้อให้นายทุนคนตัวใหญ่ หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

‘กรุงเทพฯ แบบไหนที่ 'ผม' ต้องการ?’ | Click on Clear THE TOPIC EP.198

🔥Rerun🔥 
📌 ‘กรุงเทพฯ’ ในฝันต้องเป็นแบบไหน? หาคำตอบไปกับ ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝีปากกล้าแห่งพรรคก้าวไกล! 
📌ใน Topic : ‘กรุงเทพฯ แบบไหนที่ 'ผม' ต้องการ?’ 

ในรายการ Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา PROGRAM DIRECTOR THE STATES TIMES

.

.

‘โรม’ รับไม้ต่อโฆษกพรรคก้าวไกลจาก ‘วิโรจน์’ ประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง เสนอแคนดิเดทที่มีความกล้าหาญให้ประชาชนเลือก พร้อมต่อสู้อย่างแหลมคมในทุกประเด็นอย่างต่อเนื่อง ชี้ ขาดนักการเมืองที่กล้าหาญประเทศไทยเปลี่ยนไม่ได้

ในเวทีช่วงบ่ายของการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคก้าวไกล ครั้งที่ 1/2565 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ในฐานะอดีตโฆษกพรรคก้าวไกล ขึ้นกล่าวแสดงความรู้สึกก่อนส่งมอบตำแหน่งโฆษกพรรคสู่รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าในฐานะสมาชิกพรรคก้าวไกล ตัวเองขอให้ทุกคนที่นี่ตั้งคำถาม ว่าการที่ทุกคนมาเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ จนกระทั่งพรรคถูกยุบแล้วมาเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลวันนี้ เราล้วนแต่มาเพื่อการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง เพราะเราทุกคนรู้ว่าจะหลับตาข้างเดียวปล่อยให้ความอยุติธรรมแบบนี้ดำรงต่อไปไม่ได้ 

วิโรจน์กล่าวต่อว่าการบริหารประเทศภายใต้ความจริงที่กระอักกระอ่วน พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องหลับตาข้างเดียวตลอดเวลา ปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งได้ประโบชน์ในขณะที่คนส่วนใหญ่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมขยายตัวไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้

เครือข่ายอุปถัมภ์ไม่ได้หดตัวลง แต่นับวันยิ่งขยายตัวออกไปเรื่อยๆ เมื่อเครือข่ายใหญ่โตขึ้น ทรัพยากรจะถูกสูบไปให้คนกลุ่มนั้น ประชาชนจะได้แต่เศษเนื้อข้างเขียงเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลที่เรามาเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลวันนี้

“ถ้าเปรียบเป็นทีมฟุตบอล มีทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง บอร์ดบริหารบอกว่าแผนการเล่นเปลี่ยนไม่ได้ นักเตะขายออกไม่ได้ ซื้อเข้าไม่ได้ ทีมแบบนี้ไปต่อไม่ได้ แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีมแบบนี้อาจจะยาก แต่ถ้าเรายอมแก้โครงสร้าง ก็สามรรถลุ้นสี่แชมป์ได้ พรรคก้าวไกลไม่ต้องการเป็นผู้เล่นใหม่ในเกมแบบเดิม แต่เราต้องการเข้ามาเปลี่ยนเกม เราไม่อยากเปลี่ยนแค่ผู้เล่น และถ้าต้องดารเปลี่ยนเกม ต้องก้าวไกลทั้งแผ่นดินเท่านั้น” วิโรจน์กล่าว

'สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา' ส.ส. พรรคก้าวไกล ชี้ ม.112 ใช้เล่นงานผู้เห็นต่างโดยไม่สนหลักความยุติธรรม หลังศาลสั่งถอนประกัน 'ใบปอ-เนติพร'

ต่อกรณีที่ เมื่อวานนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งเพิกถอนประกัน ใบปอ และ เนติพร นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับความมั่นคง ในคดีทำโพลเรื่องขบวนเสด็จที่บริเวณห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 โดยให้เหตุผลว่ากระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวด้วยการเข้าร่วมการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย หรือเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ เกี่ยวกับการไปทำโพลเหตุการณ์ชาวบ้านถูกสำนักงานทรัพย์สินฯไล่ที่นั้น

สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.จังหวัดนครปฐม พรรคก้าวไกล กล่าวว่า การเพิกถอนประกันตัวด้วยเหตุผลเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำว่า คดีตามมาตรา 112 เป็นคดีนโยบายเพื่อเอาไว้เล่นงานผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยไม่สนใจหลักความยุติธรรม ซึ่งจะเห็นว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีการนำคดี ม. 112 ไปใช้จับกุมคุมตัวนักกิจกรรมการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เหล่านั้น เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การไปปล้นชิงฆ่าฟันใคร กระทั่งไม่ใช่คดีล่วงละเมิดคุกคามทางเพศที่ยังได้รับสิทธิประกันตัวเพื่อไปต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างครบถ้วน

"แต่พอเป็น คดี 112 กลับอ้างว่าเป็นคดีร้ายแรง จึงไม่ต้องสนใจหลักการยุติธรรมที่ต้องสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำตัดสินว่ามีความผิด ไม่ต้องสนใจสิทธิประกันตัว ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แต่กลับพยายามหาเหตุในการเอาพวกเขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำอยู่ร่ำไป"

สุทธวรรณ กล่าวว่า กฎหมายใดก็ตามที่เป็นเหมือนใบเบิกทางให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจอย่างไรก็ได้เพื่อยึดเอาสิทธิเสรีภาพของประชาชนไปอย่างไม่มีเหตุผลและหลักการองรับ กฎหมายนั้นย่อมสมควรถูกแก้ไขหรือยกเลิก เพราะการใช้กฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือเล่นงานกันเช่นนี้ นอกจากไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการยุติธรรม ยิ่งเป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อประชาชนอีกด้วย

"ประเทศที่มีอารยธรรมไม่มีประเทศใดกักขังคนหนุ่มสาวไว้ในคุกเพียงเพราะพวกเขาคิดและตั้งคำถาม เพราะหมายถึงการกักขังอนาคตของตัวเองไว้ด้วยความมืดบอด การเพิกถอนประกันในครั้งนี้ แม้ด้วยอำนาจศาลอาจปิดปากผู้คนไว้ด้วยความกลัว แต่คงไม่อาจห้ามความกังขาสงสัยถึงความสมเหตุสมผลของคำสั่งได้"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top