Monday, 6 May 2024
ก้าวไกล

'ส.ส.ก้าวไกล' หนุนเปิดผับถึงตี 4 ยกงานวิจัย ชี้!! รีบดื่มทำให้เมามากกว่าค่อยๆ ดื่ม 

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ในพื้นที่นำร่อง 8 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา พัทยา หัวหิน เกาะสมุย เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร โดยมีรายละเอียดดังนี้

“ว่ากันด้วยการ 'เปิดบาร์ถึงตีสี่' เพื่อฮีลธุรกิจกลางคืนของคนกรุงเทพข องผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้กรุงเทพกลับมามีชีวิตชีวาขึ้น โดยธุรกิจกลางคืน พวกเขาต้องทนทุกข์อยู่กับความทรมานมานานร่วม 2-3 ปี และยังได้รับผลกระทบจากมาตรการอันเข้มงวดของภาครัฐเป็นกลุ่มแรกๆ ตลอดมา

คุณอาจจะมองถึงนักดื่ม แต่ผมมองถึงคนตัวเล็กๆ ที่สร้างรายได้หล่อเลี้ยงดูแลคนตัวเล็กๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เจ้าของกิจการ พ่อครัว พนักงานเสิร์ฟ นักดนตรี พนักงานรับรถ พนักงานทำความสะอาด ไปจนถึงครอบครัวของพนักงาน ยังยืนหยัดอยู่ได้และเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนที่เข้ามาใช้บริการเพื่อผ่อนคลายในวันที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต

พวกเขาไม่ได้ขออะไรมากไปกว่า โอกาสที่จะทำมาหากิน ฟื้นฟูเม็ดเงินในกระเป๋าที่เสียไประหว่างช่วงนรกโควิด

เหล่าคนบางกลุ่มหรือนักวิตกกังวลทั้งหลาย ต่างยกตัวอย่างถึงเรื่องเมาแล้วขับ ว่าช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุต่างๆ เป็นช่วงเวลาเท่านั้นบ้างเท่านี้บ้าง เพื่อเปรียบเทียบ และปัดป้องป้องกันอย่างสุดตัว ไม่ให้การ 'เปิดบาร์ถึงตีสี่' ผ่านไปได้ ผมเข้าใจดี

ในงานวิจัยต่างประเทศหลายฉบับเลือกชี้ไปตรงที่ว่า การรีบดื่มในเวลาที่กำหนด หรือ มีเวลาน้อยเกินไปสำหรับการดื่ม มีโอกาสทำให้เกิดอาการเมาหรือขาดสติมากกว่าการค่อยดื่มๆ เหล่าบาร์เทนเดอร์ในหลายๆ บาร์ในไทยต่างเข้าใจในจุดนี้ดี จึงมักไม่พยายามให้เหล่านั่งดื่มรีบกินรีบกลับ เพราะอาจเกิดอาการแอลกอฮอล์เป็นพิษ หรือการมีแอลกอฮอล์มากเกินไปก็ได้

ซึ่งอาการรีบดื่มรีบไป เรามักจะเห็นได้เป็นประจำตอนไหน ?
คำตอบคือ ตอนร้านใกล้ปิดยังไงละ

'วาโย' อัด สธ. จัดงบให้ รพ.ไม่เป็นธรรม 'บุรีรัมย์' ได้มากกว่าเพื่อน 156 เท่า

'วาโย' อภิปรายการจัดสรรงบประมาณพัฒนาระบบสุขภาพโดยกระทรวงสาธารณสุข ชี้เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำกระจุกตัว พบโรงพยาบาลกลุ่ม 'เฉลิมพระเกียรติ ได้มากกว่าเพื่อน 1.5 เท่า ในลิสต์พบบุรีรัมย์ตามคาด ได้มากกว่าเพื่อน 156 เท่า ถึง 598.5 ล้านบาท

วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการผู้สงวนความเห็น ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วาระ 2 มาตรา 25 กระทรวงสาธารณสุข ได้อภิปรายขอตัดลดงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขลง 7.5%

โดยวาโยระบุว่างบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข 1.2 แสนล้านบาท แม้จะดูเหมือนเยอะ แต่ก็เป็นงบประมาณบุคลากรไปแล้วราว 1 แสนล้านบาท อีก 2 หมื่นล้านบาทที่เหลือ เป็นงบประมาณที่ใช้ในโครงการพัฒนาระบบสุขภาพประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นงบผูกพัน

ซึ่งในส่วนของงบประมาณโครงการพัฒนาระบบสุขภาพราว 2 หมื่นล้านบาทนี้ ส่วนที่เยอะที่สุดคืองบประมาณค่าดำเนินการ แต่รองลงมาคือค่าก่อสร้าง ที่มีสัดส่วนถึง 32%, การจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 15% และที่เหลือ 14% เป็นงบประมาณอุดหนุนในส่วนต่างๆ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นต้น

วาโยอภิปรายต่อไปว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกต คือค่าก่อสร้างโรงพยาบาลที่อยู่ในกลุ่ม 'เฉลิมพระเกียรติ' ได้งบประมาณมากกว่าโรงพยาบาลที่ไม่มีชื่อต่อท้ายมากกว่ากันถึง 1.5 เท่า

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขมีโครงการพัฒนาระบบสุขภาพโดยแบ่งเป็น 3 ประเภทโครงการ คือ โครงการพัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภูมิและเครือข่ายระบบสุขภาพระดับอำเภอ, โครงการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพสู่ความเป็นมืออาชีพ และโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ

‘ก้าวไกล’ ท้วง!! งบโครงการเผยแพร่ประชาธิปไตยของส.ว. ชี้!! ‘ที่มา-ทัศนคติ’ ขัดปชต.เอง จะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร

พรรคก้าวไกล อภิปรายขอให้ทบทวนงบประมาณสร้างอาคารที่พักข้าราชการสภาใหม่เกือบ 1,000 ล้านบาท เหตุไม่เป็นไปตามระเบียบ - สร้างภาระผูกพันโดยไม่ผ่านมติ ครม. พร้อมขอตัดงบ ส.ว. โครงการ ‘เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย’ 28.8 ล้านบาท ชี้ที่มาและทัศนคติขัดประชาธิปไตยเอง แต่จะมาสอนคนอื่นเรื่องประชาธิปไตยได้อย่างไร

วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการผู้สงวนความเห็น และ ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ ได้ร่วมกันอภิปรายขอตัดลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ในส่วนของมาตรา 30 หน่วยงานของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยงบประมาณการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการรัฐสภาแห่งใหม่ และงบประมาณการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยของวุฒิสภา

วาโย ได้อภิปรายในส่วนของงบประมาณสร้างอาคารใหม่เกือบ 1 พันล้านบาท โดยสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการเสนอขอรับงบประมาณสำหรับปี 2566 มา 49.9 ล้านบาท หรือประมาณ 5% โดยระบุว่าเป็นการตั้งงบประมาณที่ผิดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่กำหนดให้การขอเสนอรับงบประมาณ ต้องไม่ต่ำกว่า 20% ของงบประมาณทั้งหมด

ซึ่งเมื่อได้สอบถามประเด็นนี้กับเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการงบประมาณแล้ว ได้รับคำตอบมาว่า ด้วยกฎหมายมีช่องว่างอยู่ให้สามารถยกเว้นได้หากมีมติคณะรัฐมนตรีออกมา แต่ทว่าจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีการขอมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรระบุว่าจะไปขอให้คณะรัฐมนตรีออกมติภายหลัง

วาโย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการตั้งงบประมาณควบคุมการสร้างเข้ามาด้วย 30 ล้านบาท และยังมีการตั้งงบประมาณสำหรับการสำรวจและออกแบบอีกราว 30 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าโครงการทั้งหมดนี้ ยังไม่มีการออกแบบ หรือแม้แต่การสำรวจและการทำ EIA ก็ยังไม่มีเกิดขึ้น แต่กลับมีการของบประมาณในการก่อสร้างไปแล้ว

“การมีอาคารให้ข้าราชการรัฐสภาได้ใช้เป็นเรื่องที่ดี แต่การตั้งงบประมาณเพื่อสร้างอาคารควรต้องเป็นไปตามระเบียบ ไม่ใช่ทุกอย่างแหย่กันมา 2-3% บ้าง 5% บ้าง ตั้งงบฯ กันมาดูเหมือนจะน้อยๆ แต่ว่าจริงๆ ผูกพันเยอะแยะมากมายมหาศาลเป็นร้อยเท่า แล้วมาสำแดงกันแบบนี้แล้วค่อยไปขออนุญาต ทำแบบนี้ไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้” วาโย กล่าว

ขณะที่ พริษฐ์ ได้อภิปรายขอตัดลดงบประมาณในโครงการของสำนักเลขาธิการวุฒิสภา “เผยแพร่และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” 28.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจาก ส.ว. ในรูปแบบปัจจุบันเป็นองค์กรที่มีความชอบธรรมน้อยที่สุดในทางประชาธิปไตย เพราะที่มาของ ส.ว.250 คน ในปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. อีกทั้งยังสามารถร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ เท่ากับว่า ส.ว. คนหนึ่ง มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีเท่ากับประชาชน 7 หมื่นคน หรือ ส.ว. 250 คน มีอำนาจเท่ากับประชาชน 19 ล้านเสียงรวมกัน

'โรม' ชี้!! งบฯ กอ.รมน. เกินความจำเป็น - ตัดออกได้ ยกเคส 'ส.ต.ท.หญิง' มีชื่อช่วยราชการ แต่ตัวอยู่ราชบุรี

รังสิมันต์ โรม มั่นใจงบฯ กอ.รมน. ตามแผนบูรณาการขับเคลื่อน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถตัดได้อีก ยกกรณี 'ส.ต.ท.หญิง' สังกัด บช.ส. มีชื่อช่วยราชการ กอ.รมน. แต่ตัวไปอยู่ราชบุรี สะท้อนไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่มากขนาดนั้นในการปฏิบัติภารกิจ

รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มาตรา 37 งบประมาณแผนบูรณาการ เสนอตัดงบประมาณในส่วนของ แผนงานบูรณาการขับเคลื่อน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในหน่วยงานของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งได้ยกกรณีของ ส.ต.ท.หญิง ที่ จ.ราชบุรี ที่ทำร้ายร่างกายลูกจ้างซึ่งเป็นทหารหญิงมาสนับสนุน ตอนหนึ่งว่า กอ.รมน.ได้รับงบฯ ตามแผนบูรณาการนี้ 1,448 ล้านบาท ขอชื่นชมคณะกรรมาธิการที่ได้ตัดงบการจัดทำชุดข้อมูลเผยแพร่และสร้างความเข้าใจทั้งหมด 43 ล้าน แต่ทว่าก็ยังมีงบประมาณที่สามารถจะตัดลดอีกได้ เพราะตลอด 10 กว่าปี ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าหน่วยงานนี้ไม่สามารถดับไฟใต้ได้ และดูเหมือนว่าบางครั้งไฟใต้จะยิ่งลุกโชนด้วยซ้ำ

รังสิมันต์ กล่าวว่า อย่างกรณีของ ส.ต.ท.หญิง ที่เป็นข่าวทำร้ายร่างกายลูกจ้างซึ่งเป็นทหารหญิงนั้น เราได้พบว่าเป็น 'ตำรวจผี' หรืออยู่ใน 'บัญชีผี' ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยต้นสังกัดนั้นคือกองบังคับการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) และได้มีชื่อไปช่วยราชการอยู่ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แต่ทว่าตัวนั้นไปอยู่ที่ จ.ราชบุรี จนกระทั่งเป็นข่าวสังคมถึงได้รู้กัน กรณีอย่างนี้ ถ้าสองหน่วยงานไม่สมคบกันจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และในการจัดทำงบประมาณของ กมธ. ได้เคยรับรู้เรื่องนี้หรือไม่ และบัญชีผีแบบนี้มีรายอื่นอีกหรือไม่ นี่คือสิ่งยืนยันว่างบประมาณของ กอ.รมน สามารถที่จะตัดลดได้มากกว่านี้อีก

'พิธา' วอนศาล รธน. ชี้ขาดโดยเร็ว 'วาระ 8 ปีนายก' หวังลดสุญญากาศทางการบริหารในยุคปัญหารุม

'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำแถลง กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องตีความวาระ 8 ปีนายกฯ พร้อมมีคำสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ - หวังเร่งชี้ขาดโดยเร็วเพื่อลดสุญญากาศทางการบริหาร ชี้ควรมุ่งสู่การเลือกนายกฯ ตามบัญชีรายชื่อหรือยุบสภา ตามครรลองประชาธิปไตยคือทางออก

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงจุดยืนและข้อเสนอแนะกรณี ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องตีความวาระ 8 ปี ของนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ โดยระบุว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลกังวล คือ สุญญากาศทางการบริหาร เพราะในภาวะแบบนี้ที่มีทั้งปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ เราต้องการผู้นำประเทศที่มีความกระชับกระเฉง ฉับไว และทันสมัยต่อเหตุการณ์ เพราะถ้าปล่อยไปเนิ่นนานแบบนี้ก็จะเหมือนภายเรือวนอยู่ในอ่าง ไม่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหา

'ก้าวไกล' ซัด!! สิ่งแวดล้อมพังทลายครั้งใหญ่ ผลงาน 8 ปี ของรัฐบาล 'ประยุทธ์' ที่ทิ้งไว้

นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนสิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล กล่าวว่า แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว แต่ต้องบอกว่า 8 ปีที่ผ่านมาได้ทิ้งมรดกความชั่วร้ายไว้มากมายซึ่งยังคงยากจะฟื้นได้ นอกจากจะมีรัฐบาลที่มาจากประชาชนโดยแท้จริงมาบริหารเท่านั้น ไม่ใช่ลูกครึ่งแต่งตั้งมาช่วยเลือกรัฐบาลอย่างทุกวันนี้

สำหรับในด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งตนติดตามมาตลอด ต้องถือว่าเป็น 8 ปีแห่งความพังทลายเช่นกัน ในขณะที่ปัญหาโลกร้อนและความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกที แต่รัฐบาลนี้กลับมีแต่การสร้างเศรษฐกิจสีเขียวแบบลวงหลอก ปากอ้างปกป้อง แต่แท้จริงทำลายและหาประโยชน์ครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่าง EEC ที่มีแต่ขายฝัน กระจุกผลประโยชน์เพื่อนายทุนใหญ่และกองทัพเท่านั้น ส่วนพี่น้องประชาชนถูกไล่ที่ มีการเปลี่ยนสีผังเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์จากราคาที่พุ่งสูงในที่ดินพวกพ้อง ซ้ำยังจะมีโครงการถมทะเลมาบตาพุด 1000 ไร่ ที่ส่งผลกระทบกับวีถีชีวิตผู้คน แย่งชิงฐานทรัพยากรทางทะเล ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล โดยไม่มีการจัดสรรงบ เพื่อเยียวยาและชดเชยให้ประชาชน และดีไม่ดี หากแลกกับทรัพยากรที่ถูกทำลาย การฟื้นฟูกลับมาอาจยากและต้องเสียเงินในการดูแลผลกระทบมากกว่าเศษกำไรที่ตกลงมาเสียอีก

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายนโยบายที่ทำให้กลไกการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอ่อนแอลงด้วย เช่น คำสั่ง คสช.4/2559 และ 9/2559 ที่ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง และการทำ EIA นำไปสู่การปล่อยผีโรงงานสร้างมลพิษ สะสมสารเคมีอันตรายใกล้ชุมชนได้ ดังที่เกิดเหตุไฟไหม้โรงงานหมิงตี้จนต้องมีการอพยพประชาชน รวมถึงการหาประโยชน์จากการสร้างโรงงานขยะจนทำให้ไทยกำลังกลายเป็นบ่อขยะโลก เป็นต้น

"ยังมีอีกหลายกรณีที่นโยบายของรัฐบาลนี้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่กลับปัดตกหรือดองเค็มกฎหมายที่มีประโยชน์ที่จะมาช่วยสร้างเครื่องมือและกลไกดูแลประชาชนให้เข้มแข็งขึ้น เช่น กฎหมาย PRTR ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล

'เจี๊ยบ ก้าวไกล' ลั่น!! ไม่ลงส.ส. สมัยหน้า ขอทำงานขับเคลื่อนพรรคอยู่เบื้องหลังแทน

(27 ส.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  น.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวหลายครั้งว่า จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งสมัยหน้าอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบบัญชีรายชื่อ หรือส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยมีรายงานว่า น.ส.อมรรัตน์จะไปทำงานขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังแทน เพราะยังมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล พร้อมปฏิเสธว่าเธอไม่ได้มีความขัดแย้งกับพรรคแต่อย่างใด อีกทั้งที่ผ่านมาก็ตั้งใจที่จะลงสมัครเป๋็น ส.ส.เพียงแค่สมัยเดียวเท่านั้น

'ครูธัญ' ชื่นชมทัศนคติผู้บริหาร รร.สิริรัตนาธร ชี้!! การศึกษาไทยต้องโอบรับเด็กทุกกลุ่ม

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นที่ถูกพูดถึงในสังคมออนไลน์ที่มีผู้บริหารโรงเรียนสิริรัตนาธร ส่งหนังสื่อถึงผู้ปกครองนักเรียนพร้อมระบุในหนังสือว่า

“ถ้านักเรียนในความปกครองของท่านทำคะแนนได้สูงสุด นั่นหมายถึงเป็นหนึ่ง หรือยืนหนึ่ง แต่ถ้าลูกทำไม่ได้ ได้โปรดอย่าทำลายความเชื่อมั่นและความนับถือตัวเองของลูกไป บอกลูกว่ามันดีมากแล้ว มันแค่การสอบ มันยังมีอะไรอีกมากมายในชีวิต บอกลูกท่านว่าไม่ว่าคะแนนสอบออกมาแบบไหน คุณก็รักเขาและจะไม่ตัดสินเขา” 

ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของโรงเรียนที่มองเห็นนักเรียนทุกคนไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กที่คะแนนดีหรือไม่ ซึ่งการศึกษาไทยควรมีค่านิยมแบบนี้ โรงเรียนควรเป็นสังคมให้พวกเขาได้เติบโตและใช้ชีวิต ยอมรับและสามารถเปิดเผยตัวตนของตนเองได้

‘พิจารณ์ ก้าวไกล’ ชวนเที่ยวงานโรดโชว์อาวุธ แนะ กองทัพจัดซื้ออาวุธภายในปท. ช่วยหนุนผู้ผลิตไทย

‘พิจารณ์ ก้าวไกล’ ชวนเที่ยวงานโรดโชว์อาวุธ แนะกองทัพ จัดซื้ออาวุธจากผู้ผลิตไทย สร้างโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศ 

คนมักคุ้นชินกับบทบาทของพิจารณ์ในการติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของกองทัพ เพื่อให้การใช้งบเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และนำไปสู่การพัฒนากองทัพที่เข้มแข็ง ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ ภายใต้คงามเชื่อว่า “กองทัพที่เข้มแข็งต้องลงทุนในยุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยุทโธปกรณ์ของไทย สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประเทศ”

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการจัดนิทรรศการ “Defense and Security 2022” จัดที่ IMPACT CHALLENGER เมืองทองธานี พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ - Phicharn Chaowapatanawong หรือ "พี่จ้อน" ของเราจึงไม่รอช้าไปเข้าชมบรรยากาศในนิทรรศการนี้ว่าเทคโนโลยีอาวุธและการป้องกันประเทศก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วบ้าง

บรรยากาศภายในงานมีการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงเทคโนโลยีด้านความมั่งคงของทั้งไทยและต่างประเทศ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่าในปัจจุบัน และอนาคต กองทัพไทยจะมีแผนในการจัดซื้ออุปกรณ์ชนิดใดบ้าง รวมถึงทิศทางในการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ในต่างประเทศมาใช้เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันประเทศ

การใช้จ่ายของกองทัพ ยังเต็มไปด้วยข้อสงสัย

ภายในงาน พิจารณ์ได้มีโอกาสพูดคุยกับ บริษัท Lockheed Martin (บริษัทค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ที่กองทัพไทยมีแผนจัดซื้อ F-35 (5th Generation Fighter) ไปแล้ว 2 ลำในงบฯ ปี 66 มูลค่ารวมทั้งโครงการกว่า 7,300 ล้านบาท โดยอาจต้องรอถึง 7 ปี กว่าจะได้ส่งมอบ

ในขณะที่ ปัจจุบัน Lockheed Martin ยังมีการผลิต F-16 (4th Generation Fighter รุ่นก่อน F-35 และราคาถูกกว่า) และในหลายประเทศก็ยังมีการจัดซื้ออยู่ แต่เรากลับไม่เห็นว่ากองทัพมีการเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางงบประมาณ ระหว่าง F-16 กับ F-35 เราไม่เคยได้รับเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกซื้อ F-35 เท่านั้น ในด้านราคา F-35 แพงกว่า F-16 เกือบ 1,000 ล้านบาทต่อลำ ยังไม่รวมถึงค่าบำรุงรักษา ที่ F-35 สูงกว่ามาก

บางท่านอาจจะบอกว่า ซื้อใหม่ทั้งที ทำไมไม่เลือกซื้อ F-35 ที่มีขีดความสามารถในการรบสูงกว่าไปเลยล่ะ ก็ต้องเรียนว่า การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า ความจำเป็น และภาระทางงบประมาณ ถามว่าเวลาซื้อรถยนต์ จำเป็นต้องซื้อรถที่มีสมรรถนะสูง หรูหราหมาเห่าอย่าง Ferrari หรือเปล่า ก็ไม่ใช่

สิ่งที่กองทัพอากาศควรทำ คือการเปรียบเทียบทางเลือกอื่นๆ จากเครื่องบินขับไล่ 4th Gen ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Gripen, F/A-18, KF-50 และอื่น ๆ รวมทั้งเจรจาจัดซื้อด้วยนโยบายชดเชย หรือ offset policy เพราะจากการพูดคุยกับ Lockheed Martin ทำให้รู้ว่า ทางบริษัท ก็มีการทำ offset policy หรือ นโยบายจัดซื้อแบบชดเชย ซึ่งเราอาจเจรจาเพื่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอื่นๆที่ไม่ใช่ F-35 ก็ได้ (เพราะเค้าคงไม่ให้เทคโนโลยี F-35) เช่น เทคโนโลยีในการอัพเกรด เครื่องบิน C-130H ที่ไทยใช้ประจำการอยู่ เป็นต้น

จากที่เล่ามาจึงเป็นเหตุให้อนุมานได้ว่า กองทัพอากาศตั้งธงมาก่อนแล้วว่าจะต้องการจัดซื้อเครื่องบิน F-35 เท่านั้น โดยไม่มีความสมเหตุสมผลในการพิจารณาการลงทุนใช้จ่ายงบประมาณ

การสนับสนุนของกองทัพในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศ สร้างงาน เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีบูธของบริษัทที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ก.กลาโหม กับบริษัทเอกชนในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศ ได้แก่

บริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตและขายยานเกราะล้อยางไปต่างประเทศ
บริษัทผลิตปืน Weapons Manufacture Industries (WMI) โดย สทป.ร่วมทุนกับ บริษัท สหพิพัฒนกิจ จำกัด และ บริษัท เอ็มตั้น คาร์เมียล จำกัด จากประเทศอิสราเอล

'อัษฎางค์' ยก 15 ผลงานใหญ่ '8 ปี ประยุทธ์' ก้าวไปไกล จนก้าวไกล ก้าวตามไม่ทัน

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก 'เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค' โดยระบุว่า...

8 ปีประยุทธ์ ก้าวไปไกลจนก้าวไกล ก้าวตามไม่ทัน 

อัษฎางค์ ขอยก 15 ผลงานเรื่องใหญ่ๆ ที่รัฐบาลประยุทธ์สร้างสรรค์เอาไว้ จนก้าวไปไกลสุดสายตา จนพรรคชื่อก้าวไกลแต่ย่ำอยู่กับที่ก้าวไม่ไปไหนไกลและคนใจบอด 3 นิ้วไม่สามารถจะเห็นได้

15 ผลงานรัฐบาลประยุทธ์
•1 First S-curve การส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การต่อยอด-ยกระดับ 5 อุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีศักยภาพ

•2 EEC โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเป็นพื้นที่การลงทุนและแหล่งบ่มเพาะ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ 

•3 EECi พัฒนาเมืองแห่งนวัตกรรม หรือเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็น 'ซิลิคอนวัลเลย์' 'เมืองใหม่อัจฉริยะ' ด้วยนวัตกรรมของเมืองไทย

•4 EECd เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล

•5 5G โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ครอบคลุมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล โดยในปี 2564 ความเร็วเฉลี่ยอินเตอร์เน็ตบ้านของไทย ที่ 308 ล้านบิทต่อวินาที (Mbps) ถือว่าแรงเป็นอันดับ 1 ของโลก 

•6 Digital Government การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งเป้าการเปลี่ยนแปลงสู่ 'รัฐบาลดิจิทัล' เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของภาครัฐ โครงการเน็ตหมู่บ้าน 74,987 หมู่บ้าน ทั้งประเทศ โครงการสายเคเบิ้ลใต้น้ำ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งเป้าการเปลี่ยนแปลงสู่รัฐบาลดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของภาครัฐ 

•7 Prompt Pay พัฒนาระบบ 'พร้อมเพย์' เพื่อสนับสนุนการชำระเงินและโอนเงินแบบทันที พัฒนาระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ในการติดต่อขอรับบริการผ่านช่องทางออนไลน์ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top