‘โรม’ รับไม้ต่อโฆษกพรรคก้าวไกลจาก ‘วิโรจน์’ ประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง เสนอแคนดิเดทที่มีความกล้าหาญให้ประชาชนเลือก พร้อมต่อสู้อย่างแหลมคมในทุกประเด็นอย่างต่อเนื่อง ชี้ ขาดนักการเมืองที่กล้าหาญประเทศไทยเปลี่ยนไม่ได้

ในเวทีช่วงบ่ายของการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคก้าวไกล ครั้งที่ 1/2565 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ในฐานะอดีตโฆษกพรรคก้าวไกล ขึ้นกล่าวแสดงความรู้สึกก่อนส่งมอบตำแหน่งโฆษกพรรคสู่รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าในฐานะสมาชิกพรรคก้าวไกล ตัวเองขอให้ทุกคนที่นี่ตั้งคำถาม ว่าการที่ทุกคนมาเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ จนกระทั่งพรรคถูกยุบแล้วมาเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลวันนี้ เราล้วนแต่มาเพื่อการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง เพราะเราทุกคนรู้ว่าจะหลับตาข้างเดียวปล่อยให้ความอยุติธรรมแบบนี้ดำรงต่อไปไม่ได้ 

วิโรจน์กล่าวต่อว่าการบริหารประเทศภายใต้ความจริงที่กระอักกระอ่วน พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องหลับตาข้างเดียวตลอดเวลา ปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งได้ประโบชน์ในขณะที่คนส่วนใหญ่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมขยายตัวไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้

เครือข่ายอุปถัมภ์ไม่ได้หดตัวลง แต่นับวันยิ่งขยายตัวออกไปเรื่อยๆ เมื่อเครือข่ายใหญ่โตขึ้น ทรัพยากรจะถูกสูบไปให้คนกลุ่มนั้น ประชาชนจะได้แต่เศษเนื้อข้างเขียงเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลที่เรามาเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลวันนี้

“ถ้าเปรียบเป็นทีมฟุตบอล มีทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง บอร์ดบริหารบอกว่าแผนการเล่นเปลี่ยนไม่ได้ นักเตะขายออกไม่ได้ ซื้อเข้าไม่ได้ ทีมแบบนี้ไปต่อไม่ได้ แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีมแบบนี้อาจจะยาก แต่ถ้าเรายอมแก้โครงสร้าง ก็สามรรถลุ้นสี่แชมป์ได้ พรรคก้าวไกลไม่ต้องการเป็นผู้เล่นใหม่ในเกมแบบเดิม แต่เราต้องการเข้ามาเปลี่ยนเกม เราไม่อยากเปลี่ยนแค่ผู้เล่น และถ้าต้องดารเปลี่ยนเกม ต้องก้าวไกลทั้งแผ่นดินเท่านั้น” วิโรจน์กล่าว

จากนั้น วิโรจน์ได้ส่งมอบเวทีต่อให้รังสิมันต์ ซึ่งระบุว่าวันนี้ตัวเองได้รับความไว้วางใจจากพรรคให้มาเป็นโฆษกแล้ว จะขอทำหน้าที่ในการผสานดวงใจของทุกคนเข้ากับพรรคก้าวไกล เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองแบบนี้ให้ดีที่สุด อีกไม่ถึงปีเราจะได้มีโอกาสเลือกตั้ง การประชุมในวันนี้คือการนับถอยหลังระบอบปรสิตและระบอบประยุทธ์

การต่อสู้ของเราต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมาก ทุกสิ่งที่ตัวเองเคยได้อภิปรายไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องป่ารอยต่อฯ ตั๋วช้าง ดาวเทียมไทยคม มาจนถึงกรณีค้ามนุษย์ ตัวเองไม่ใช่นักการเมืองไทยคนแรกที่รู้เรื่องนี้ นักการเมืองทุกคนในสภารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมากลับยอมปล่อยให้ความกลัวครอบงำ ทำให้นักการเมืองทุกคนต้องสยบยอมกับอำนาจของชนชั้นนำไม่กี่คน ทำให้ข้าราชการดีๆ อย่าง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ลี้ภัย ทำให้อีกหลายคนที่ต้องการเห็นประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยต้องลี้ภัย

“ถ้าไม่ทลายทุนผูกขาด ปฏิรูปกองทัพ จัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหมาะสม คนอย่าง พล.ต.ต.ปวีณก็ไม่มีวันได้กลับบ้านเกิด ผู้สมัครของเราคัดมาแล้วว่าทุกคนพร้อมสู้ถวายหัว ถ้าเราล้มเหลว เราอาจจะเห็นลูกหลานของเราเป็นผู้ลี้ภัยคนต่อไป จะมีคนในครอบครัวของเราถูกตามล่า เราจะไม่ยอมให้ล้มเหลวเด็ดขาด เลือกก้าวไกลทั้งแผ่นดิน เพราะเราคือนักการเมืองที่ไม่เกรงกลัวอำนาจมืดใดๆ ทั้งสิ้น” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์กล่าวต่อไป ว่าที่ประเทศไทยไม่เปลี่ยนไปเพราะเราเจอตอตลอดเวลาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น ถ้าไม่เรียกความกล้าจากนักการเมืองแล้วเราจะเปลี่ยนประเทศไทยได้อย่างไร พอแล้วกับการปล่อยให้ประชาขนสู้อย่างโดดเดี่ยว กลัวถูกยุบพรรคอยู่นั่น แล้วจะมีพรรคการเมืองไปทำไม กลัวก็อย่ามาเป็นนักการเมืองแค่นั้น

ผู้สมัครของเราไม่จำเป็นต้องพูดแต่เรื่องของสถาบันกษัตริย์ จะพูดเรื่องะไรก็ได้ แต่สิ่งพื้นฐานที่ผู้สมัครของเราทุกคนต้องมีคือต้องไม่กลัว ถ้าเราทำภารกิจนี้สำเร็จ สร้างนักการเมืองที่กล้าหาญเข้าสู่สภาได้ ประเทศนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงได้ และจะไม่กลับมาที่เดิมอีก

ทั้งหมดที่ ส.ส. ทุกคนของเราเคยพูดอภิปรายมา เราต่างมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีแค่ไหน เราจะไม่มีวันเห็นพรรคก้าวไกลยอมแพ้เด็ดขาด เราจะทำให้มั่นใจว่าระบบตั๋ว เส้นสาย พรรคพวกอะไรก็ตาม จะกลายเป็นแค่อดีต ทำให้ประชาชนทุกคนอยู่ในผระเทศนี้อย่างมีคุณภาพได้