Friday, 3 May 2024
WORLD

‘ออสเตรเลีย’ เดินหน้าประสานรอยร้าว-เคลียร์ใจทุกข้อขัดแย้ง ‘จีน’ งัดกลยุทธ ‘Kungfu Panda Diplomacy’ หวังพิชิตใจ ‘สี จิ้นผิง’

‘นายแอนโทนี แอลบานีส’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ของัดทุกกลยุทธ ขุดทุก Soft Power ที่รู้จัก มาเพื่อทำภารกิจสานสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนปักกิ่ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ดำดิ่งสู่ระดับเลวร้ายมานานกว่า 7 ปี

เมื่อไม่นานนี้ นายแอนโทนี แอลบานีส ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่มาเยือนจีนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 2016 ในสมัยของ ‘นายแมลคัม เทิร์นบุลล์’ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระดับทวิภาคี ให้กลับมามีบรรยากาศที่ดีขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นการมาเพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่เคยขัดแย้ง จนสร้างความเย็นชาต่อกันมานานหลายปี ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อวัว และไวน์ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ของออสเตรเลียไปยังตลาดจีน

ซึ่งต้องยอมรับว่า จีนเป็นตลาดนำเข้าสินค้าออสเตรเลียรายใหญ่ที่สุดมานานหลายสิบปี นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาจีนนับแสนต่อปีที่เดินทางมาศึกษาต่อในออสเตรเลีย ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดในปี 2019 มากกว่า 1.6 แสนคน และถือเป็นสัดส่วนนักเรียนต่างชาติมากที่สุดของออสเตรเลียอีกด้วย

จนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จีน-ออสเตรเลีย’ เริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่ปี 2017 เมื่อออสเตรเลียออกมากล่าวหาว่า จีนพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศ ตามมาด้วยการตัดสินใจดำเนินตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ในการแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของ ‘Huawei’ รวมถึงการออกมาเรียกร้องให้สอบสวนคดีต้นกำเนิดไวรัส Covid-19 โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจมาจากเมืองอู่ฮั่น

และล่าสุด ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (AUKUS) ที่มีเป้าหมายเพื่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ได้เติมเชื้อไฟในความบาดหมางระหว่างจีน และออสเตรเลียเรื่อยมาจนถึงวันนี้

โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อรัฐบาลจีนคว่ำบาตรสินค้านำเข้าจากออสเตรเลีย และตั้งกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 116.2% – 218.4% รวมถึงการรณรงค์ไม่ให้นักศึกษาจีนเดินทางมาเรียนต่อในออสเตรเลีย จนยอดนักศึกษาจีนหล่นฮวบกว่า 5 หมื่นคนในปีการศึกษา 2022

ทำให้นายแอนโทนี แอลบานีส ผู้นำออสเตรเลียคนปัจจุบัน ต้องมาคิดทบทวน นโยบายที่แล้วมา และขอเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง ซึ่งการเยือนจีนในครั้งนี้ยังถือเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีที่ ‘โกห์ วิทแลม’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรก เดินทางมาเยือนจีน ในปี 1973 

หลังจากที่ได้พบหน้ากับผู้นำจีนแล้ว นายแอนโทนี แอลบานีส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศชื่นมื่น แถมยังมีการเล่นมุก หยอกล้อกันด้วยเรื่องความน่ารักของ ‘แพนด้า’ อีกด้วย

นายแอนโทนี เล่าว่า “สี จิ้นผิง เล่าถึงการไปเยือนนิวซีแลนด์เมื่อเร็วๆ นี้ และเอ่ยปากชมว่าไวน์ของที่นั่นรสชาติดีมาก ผมจึงเสริมทันทีว่า ถ้าพูดถึง ‘ไวน์แดง’ ของออสเตรเลียเหนือชั้นกว่ามาก จากนั้น สี จิ้นผิง ก็พูดถึงตัว ‘แทสเมเนียนเดวิล’ สัตว์พื้นถิ่นของออสเตรเลีย และชมว่ามันน่ารักดี ผมบอกเขาไปทันทีว่า น่ารักไม่เท่าแพนด้าของจีนหรอก ผู้นำจีนรีบตอบทันทีว่า แพนด้าก็ไม่ได้น่ารักทุกตัวหรอกนะ จากนั้นก็ได้หยิบตัวละครในแอนิเมชันดัง อย่าง ‘Kungfu Panda มาคุยกันต่อ” ซึ่งผู้นำออสเตรเลียค่อนข้างพอพึงใจในการเจอกัน ระหว่างเขาและผู้นำสี จิ้นผิง ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น

แต่ทว่า สื่อตะวันตกบางสำนักได้ออกวิพากษ์วิจารณ์ นายแอนโทนี แอลบานีส ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อที่ ‘แปลกประหลาดที่สุด’ ในบรรดาผู้นำออสเตรเลียที่ผ่านมา และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความละมุนละม่อมต่อรัฐบาลจีน จากที่เคยแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด และตั้งคำถามว่าจะมีผลต่อนโยบายเกี่ยวกับจีนของรัฐบาลออสเตรเลียหรือไม่

ด้านนายแอนโทนี ตอบแบบกลางๆ ว่า ถึงระบบการเมืองของจีนจะแตกต่างจากออสเตรเลีย แต่มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะสวมหมวกใบที่แตกต่างจากเรา เพราะพวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันได้ ถ้าหากเรารู้จักแสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง

แต่ทั้งนี้ ผู้นำออสเตรเลียย้ำว่า ออสเตรเลียยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา และยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนด้วยเช่นกัน เราไม่ต้องการเป็นกันชน คนกลางระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการพูดคุยกับผู้นำจีนในวันนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากการเจอหน้ากันครั้งแรก ในงานประชุมสุดยอดผู้นำ G-20 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี

นับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีน ที่มีความบาดหมาง และเย็นชาต่อกันมานานหลายปี อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่นายแอนโทนี แอลบานีส ยังอยู่ในตำแหน่ง ถึงไม่อาจจะรับประกันได้ว่าผู้นำออสเตรเลียคนต่อไป จะมีนโยบายต่อจีนที่ต่างออกไปหรือไม่ แต่สำหรับ ‘แพนด้า’ นับเป็นสัญลักษณ์ทูตสันถวไมตรี ที่ใช้เป็นสื่อกลางของชาวจีนได้ดีเสมอ

‘กลุ่มธุรกิจไทย’ เผย งาน ‘CIIE’ หนุนการสื่อสาร-ขยายตลาดดียิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถการค้า-เจาะกลุ่มเป้าหมายตรงจุด-กระตุ้นยอดขายพุ่ง

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, กรุงเทพฯ รายงานว่า ผู้นำวงการธุรกิจไทย กล่าวว่า ‘งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน’ (CIIE) ครั้งที่ 6 ถือเป็นงานแสดงสินค้าระดับสูง ที่มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชั้นนำเข้าร่วม และสร้างเวทีอันกว้างใหญ่สำหรับผู้ประกอบการต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีน

‘หลี่เจียชุน’ วัย 48 ปี ผู้ค้าอัญมณี และประธานสมาคมนักธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน ย้ายมาไทยพร้อมกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก และก่อตั้ง ‘บริษัท ไทยแลนด์ หย่งไท่ จิวเวลรี จำกัด’ (Thailand Yongtai Jewelry) ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งนำสู่การมีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจการค้าอัญมณี

หลี่ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว ก่อนมีการจัดงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 5-10 พ.ย. ว่า งานมหกรรมฯ ขยับขยายกลุ่มมิตรสหาย และเขาเข้าร่วมงานทุกครั้งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยปีนี้นับเป็นการเข้าร่วมงานครั้งที่ 6 แล้ว

ไทยเป็นศูนย์กลางการแปรรูปทับทิมและไพลินระดับโลก และอัญมณีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเสาหลักของไทย โดยหลี่และบริษัทของเขาได้เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ตามคำเชิญจากตลาดแลกเปลี่ยนอัญมณีและหยกแห่งประเทศจีน (China Gems & Jade Exchange) ในปี 2018

หลี่ กล่าวว่า บริษัทของเขาได้ลงนามสัญญาจะซื้อจะขายจำนวนมาก และทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่งานมหกรรมฯ รวมถึงแข่งขันกับแบรนด์ชื่อดังมากมาย และเรียนรู้จากแต่ละฝ่ายผ่านงานนี้ ขณะเดียวกันสามารถสื่อสารกับลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มชื่อเสียงของเราในจีน

งานมหกรรมฯ ในปีนี้จัดทางออฟไลน์อย่างเต็มรูปแบบ และบูธของหลี่ขยายพื้นที่จากเดิม 36 เป็น 72 ตารางเมตร โดยขนาดบูธที่เพิ่มขึ้นสะท้อนความน่าดึงดูดของงานมหกรรมฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วม และเขาขยายบูธเพราะเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์มากมายจากงานนี้

หลี่ เผยว่า งานมหกรรมฯ ไม่เพียงแสดงการเปิดกว้างของตลาดจีน แต่ยังแสดงพัฒนาการของบริษัทเขาตลอดหลายปีมานี้ด้วย โดยการขยายบูธเป็นเครื่องแสดงการหยั่งรากลึกในตลาดจีนยิ่งขึ้น และปีนี้เขาวางแผนนำเสนออัญมณีกว่า 1,000 รายการ และเพชรพลอย 5,000 กะรัต

การเจรจาพูดคุยกับลูกค้าชาวจีนโดยตรง ทำให้หลี่พบว่า ความเข้าใจของลูกค้าชาวจีนที่มีต่อวัฒนธรรมอัญมณีนั้นลึกซึ้งเพิ่มขึ้น โดยชาวจีนแสวงหาและรู้จักอัญมณีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามกำลังการบริโภคที่พัฒนาดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะความต้องการของลูกค้ามีความหลากหลายเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเขาเชื่อว่าอุตสาหกรรมอัญมณีในจีนมีโอกาสรออยู่มากมาย

นอกจากมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ หลี่ยังมีส่วนร่วมช่วยผู้ประกอบการชาวไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ผ่านสมาคมฯ โดยเขานำพาผู้ผลิตอัญมณีไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกในปี 2018 มากกว่า 40 ราย และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 70 รายในงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งครอบคลุมผู้จัดแสดงสินค้าอาหารและการแพทย์ด้วย

ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี ‘แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (BRI) ที่นำเสนอโดยจีน ซึ่งงานมหกรรมฯ ที่เป็นงานแสดงสินค้านำเข้าระดับชาติงานแรกของโลก มีกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ เข้าร่วมกันอย่างแข็งขัน โดยปัจจุบันมีบริษัทจากกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ลงทะเบียนเข้าร่วมนิทรรศการผู้ประกอบการและธุรกิจของงานมหกรรมฯ ครั้งนี้มากกว่า 1,500 แห่ง

หลี่ กล่าวว่า งานมหกรรมฯ สร้างโอกาสใหม่แก่ไทยและกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ในการเข้าสู่ตลาดจีน โดยรัฐบาลไทยยกย่องงานมหกรรมฯ เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมการค้า และกระตุ้นบริษัทต่างๆ เข้าร่วมอย่างแข็งขันเป็นจำนวนมาก

“เราจะยังคงส่งเสริมผู้ประกอบการชาวไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ และนำเสนอสินค้าไทยสู่ตลาดจีนมากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันจะมุ่งนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงจากจีนมาสู่ไทยและทั่วโลกด้วย” หลี่ กล่าวทิ้งท้าย

‘ไนกี้’ ยื่นฟ้อง 2 คู่แข่ง ‘นิวบาลานซ์-สเก็ตเชอร์ส’ เหตุละเมิดสิทธิบัตรผลิตรองเท้าแบบ Flyknit

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.66) สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ไนกี้ (Nike) บริษัทสินค้าเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาชื่อดังยื่นฟ้องสองแบรนด์รองเท้าดัง นิวบาลานซ์ (New Balance) และ สเก็ตเชอร์ส (Skechers) โดยกล่าวหาว่า นิวบาลานซ์ และสเก็ตเชอร์ ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีการผลิตรองเท้าของตน ในส่วนการผลิตส่วนบน (upper) ของรองเท้าสนีกเกอร์ 

การฟ้องร้องนี้ของไนกี้ระบุว่า รองเท้านิวบาลานซ์และรองเท้าสเก็ตเชอร์สหลายรุ่นได้ใช้เทคโนโลยี ‘ฟลายนิต’ (Flyknit) ของไนกี้ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรสำหรับการผลิตทั้งรองเท้าวิ่ง รองเท้าฟุตบอล และรองเท้าบาสเก็ตบอล

กรณีการฟ้องร้องนิวบาลานซ์ ไนกี้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลางในรัฐแมสซาชูเซตส์โดยกล่าวหาว่า รองเท้าจาก เฟรช โฟม (Fresh Foam), ฟูเอลเซล (FuelCell) และไลน์การผลิตอื่น ๆ ของนิวบาลานซ์ละเมิดสิทธิ์ในสิทธิบัตรของไนกี้

ส่วนกรณีสเก็ตเชอร์ส ไนกี้ได้ฟ้องร้องต่อศาลในลอสแอนเจลิสโดยกล่าวหาว่ารองเท้าสเก็ตเชอร์ส รุ่น อัลตรา เฟล็กซ์ (Ultra Flex) และ ไกลด์ สเต็ป (Glide Step) ละเมิดสิทธิบัตรของตน

ไนกี้ได้ร้องขอให้ศาลเรียกค่าเสียหายโดยไม่ระบุจำนวนเงิน และขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามนิวบาลานซ์และสเก็ตเชอร์สละเมิดสิทธิบัตรอย่างถาวร

ฝั่งนิวบาลานซ์กล่าวในแถลงการณ์ว่า “เคารพในสิทธิ์แห่งทรัพย์สินทางปัญญาของคู่แข่งอย่างเต็มที่ แต่ไนกี้ไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการออกแบบและผลิตรองเท้าโดยวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้ในอุตสาหกรรมนี้มานานหลายทศวรรษ”

ส่วน ไนกี้และสเก็ตเชอร์สยังไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอความคิดเห็นของรอยเตอร์ที่สอบถามไปในวันที่ 6 พฤศจิกายน

ก่อนหน้านี้ ไนกี้ได้ฟ้องร้องอาดิดาส (Adidas) พูม่า (Puma) และลูลูเลมอน (Lululemon) ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีในตระกูลฟลายนิตเช่นกัน ซึ่งกรณีอาดิดาสและพูม่าได้ยุติคดีความแล้ว ส่วนคดีของลูลูเลมอนยังคงดำเนินอยู่ตามขั้นตอนของกฎหมาย 

ทั้งนี้ สำหรับเทคโนโลยีฟลายนิต ซึ่งไนกี้เรียกว่า ‘Nike Flyknit’ มีคำอธิบายในเว็บไซต์ของไนกี้ ประเทศไทยว่า Nike Flyknit คือ วัสดุที่ประกอบด้วยเกลียวเส้นด้ายที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบาที่ทอออกมาเป็นส่วนบนแบบชิ้นเดียว ซึ่งช่วยให้เท้าของนักกีฬากระชับเข้ากับพื้นรองเท้า 

“รูปแบบการถักที่ต่างกันของแต่ละประเภทนั้นนำมาใช้ร่วมกันในส่วนบน Flyknit ชิ้นเดียว บริเวณหนึ่งจะมีการถักทอที่แน่นกว่าเพื่อให้มีการรองรับเท้ามากขึ้น ในส่วนอื่น ๆ ก็จะดีไซน์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นหรือระบายอากาศได้ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากการศึกษาเท้ามากกว่า 40 ปีจาก Nike เป็นตัวระบุว่าควรจัดวางแต่ละรูปแบบไว้ตำแหน่งใด” 

ไนกี้บอกอีกว่า ได้แรงบันดาลใจในการพัฒนาเทคโนโลยี Nike Flyknit จากความคิดเห็นของบรรดานักวิ่ง โดยออกแบบผ้ามาเป็นพิเศษให้พอดีราวกับถุงเท้า พร้อมการรองรับและความทนทานสำหรับการเล่นกีฬา

'รัสเซีย' ซัด!! 'อิสราเอล' หลุดปากสารภาพครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ถาม!! องค์กรนิวเคลียร์ระหว่างประเทศทั้งหลายมัวทำอะไรอยู่ 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุมีคำถามมากมายผุดขึ้นมา หลังรัฐมนตรีรายหนึ่งของอิสราเอลเสนอทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ฉนวนกาซา ดูเหมือนเป็นการรับสารภาพว่าอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง แล้วองค์กรนิวเคลียร์ระหว่างประเทศทั้งหลายมัวทำอะไรอยู่

เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ย.) สั่งพักงาน อามิไช เอลิยาฮู รัฐมนตรีกระทรวงมรดกอิสราเอล ไม่ให้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม หลังแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่น แนะนำให้ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ฉนวนกาซา

เอลิยาฮู ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น บอกว่าเขาไม่พอใจกับภาพรวมของขอบเขตการแก้แค้นของอิสราเอล และครั้งที่ถูกผู้สัมภาษณ์สอบถามว่าเขาสนับสนุนให้ทิ้งบอมบ์ "ระเบิดปรมาณูบางอย่าง" ใส่ฉนวนกาซา เพื่อเข่นฆ่าทุก ๆ คนหรือไม่ ทาง เอลิยาฮู ตอบว่า "มันเป็นทางเลือกหนึ่ง"

ในเรื่องนี้สำนักข่าวอาร์ไอเอของรัสเซีย อ้างคำกล่าวของ มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย เมื่อวันอังคาร (7 พ.ย.) ระบุว่า "มันก่อคำถามต่าง ๆ มากมาย" พร้อมชี้ว่าประเด็นหลักก็คือ มันดูเหมือนว่าอิสราเอลยอมรับสารภาพว่าพวกเขามีนิวเคลียร์ในครอบครอง

อิสราเอลไม่เคยยอมรับต่อสาธารณะว่าพวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง แต่ทางสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน คาดการณ์ว่าอิสราเอลมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ราว 90 หัวรบ

"คำถามหมายเลข 1 สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือ ดูเหมือนเรากำลังได้ยินถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาวุธนิวเคลียร์" ชาคาโรวา ระบุ "ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศและคณะตรวจสอบนิวเคลียร์นานาชาติอยู่ที่ไหน มัวทำอะไรอยู่?"

ความเห็นของ เอลิยาฮู เรียกเสียงประณามอย่างกว้างขวางทั่วโลกอาหรับ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ามันเป็นถ้อยคำโวหารแห่งความเกลียดชัง ซึ่งรังแต่จะโหมกระพือความตึงเครียดเพิ่มเติม ส่วนอิหร่านเรียกร้องให้นานาชาติตอบสนองเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน

"คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและทบวงพลังงานปรมาณูสากล ต้องดำเนินการในทันทีและอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดอาวุธรัฐบาลที่ป่าเถื่อนและแบ่งแยกเชื้อชาติแห่งนี้ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป" ฮอสเซน อามีร์อับดอลลาเฮียน รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันจันทร์ (6 พ.ย.)

'ลังกาวี' เงียบสงัด ใกล้ได้ชื่อเรียกว่า 'เมืองผี'   หลังนักท่องเที่ยวเลือกซบไทย-หาดใหญ่

(8 พ.ย. 66) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อความถึงภาพการท่องเที่ยวในมาเลเซียที่แลดูเงียบสงัด ไว้ว่า...

มาเลเซีย 🇲🇾 : ลังกาวี เงียบสงัด ใกล้ได้ชื่อเรียกว่า เมืองผี นักท่องเที่ยว เลือกไปเที่ยวหาดใหญ่ ประเทศไทย ร้านอาหาร รถเช่าในลังกาวีกำลังปิดตัว 

#สื่อมาเลเซียตีข่าว 7/11/2023

🧳จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปลังกาวีซึ่งลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ร้านอาหารและอุตสาหกรรมรถเช่าของเกาะประสบความสูญเสียปิดตัว เกิดจากพฤติกรรมของประชาชนที่ชื่นชอบหาดใหญ่ในประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในวันหยุด ในความเป็นจริงปัจจัยของราคาอาหารและที่พักที่ถูกกว่าในภาคใต้ของประเทศไทยยังดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เลือกสถานที่นั้นเหนือกว่าเกาะลังกาวี หลายคนไม่ไปลังกาวีเพราะขาดเรือเฟอร์รี่ และบางคนก็กลัวโดนกดราคาอาหารแพง 

🧳การจองโรงแรมบนเกาะลังกาวี ในช่วงวันหยุดดีปาวาลีในสัปดาห์หน้ามีเพียงร้อยละ 10 ของโรงแรมระดับ 3 ดาวหรือต่ำกว่า ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในช่วงเดือนตุลาคม ผู้ประกอบการร้านอาหารมากถึง 31 รายจาก 163 รายที่จดทะเบียนกับ LTA ได้เลิกกิจการ  

*ลังกาวีอยู่ระหว่างเรียกร้องให้ภาครัฐ ออกมาตรการส่งเสริม กระตุ้นการท่องเที่ยว 

'ฮีท' มือเบส X Japan เสียชีวิตแล้ว หลังมะเร็งลุกลามอย่างรวดเร็ว

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.66) สื่อญี่ปุ่นรายงานข่าวเศร้า เกี่ยวกับวงร็อกระดับตำนาน X Japan ว่า ‘ฮิโรชิ โมริเอะ’ หรือ ‘ฮีท’ มือเบสของวงได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 55 ปี ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่หลายคนไม่ได้ทำใจเอาไว้ก่อนเลย

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โยชิกิ ลีดเดอร์ของ X Japan ตัดสินใจยกเลิกงานทั้งหมด และเดินทางจากอเมริกากลับบ้านเกิดที่ญี่ปุ่นอย่างฉุกเฉิน หลังทราบข่าวเศร้าว่า ฮีท ได้เสียชีวิตลงแล้ว

ตามข้อมูลของสื่อญี่ปุ่น ฮีท เริ่มรู้สึกไม่สบายตั้งแต่ต้นปี จนตัดสินใจไปพบแพทย์ และตรวจพบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็ง จากนั้นมะเร็งก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเสียชีวิตลงในปลายเดือน ต.ค. ทีผ่านมา

"เขาเสียชีวิต หลังการวินิจฉัยได้เพียงไม่นาน มันกระทันหันจนเขาไม่มีโอกาสที่จะบอกสมาชิกในวงว่าตัวเองเป็นมะเร็งหรือกำลังต่อสู้กับโรคนี้ด้วยซ้ำ" คนสนิทของ ฮีท กล่าว

X Japan ไม่ได้ทำกิจกรรมในฐานะวงมาตั้งแต่ปี 2018 เนื่องจากปัญหาต่างๆ ข่าวบอกว่า ฮีท เป็นสมาชิกเพียงคนเดียว ที่ตั้งความหวัง และรอคอยที่จะให้วงกลับมาร่วมกันมากที่สุด

โดย ฮีท เข้าร่วมวงเอ็กซ์ X Japan ในปี 1992 แทนที่ ไทจิ ซาวาดะ มือเบสคนแรกของวง เขามีผลงานสตูดิโออัลบั้มร่วมกับ X Japan 2 ชุด คืออัลบั้ม Art of Life และ Dahlia

บริษัทในสหรัฐฯ เรียกคืน ‘น้ำผลไม้’ เหตุปนเปื้อนสารตะกั่วสูง พบประชาชนป่วยแล้ว 7 รายใน 5 รัฐ หลังจากดื่มน้ำผลไม้

(7 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, นิวยอร์ก รายงานว่า หลายบริษัทในสหรัฐอเมริกา ประกาศเรียกคืนสินค้าผลไม้ เนื่องด้วยมีความเสี่ยงปนเปื้อนสารตะกั่วสูง ขณะเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางขยายการสืบสวนสอบสวนความเสี่ยงปนเปื้อนสารตะกั่ว หลังจากมีรายงานการเจ็บป่วยและการเรียกคืนสินค้าเพิ่มขึ้น

สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ ระบุว่า มีรายงานผู้ป่วย 7 รายในอย่างน้อย 5 รัฐของประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการรับประทานน้ำผลไม้เข้มข้นที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว

รายงานระบุว่า ‘สชนุคก์ มาร์เก็ต’ (Schnucks Markets) ในเมืองเซนต์หลุยส์ และ ‘ไวส์ มาร์เก็ต’ (Weis Markets) ในเมืองซันบิวรีของรัฐเพนซิลเวเนีย ประกาศเรียกคืนสินค้าน้ำแอปเปิลผสมอบเชยเข้มข้น เพราะอาจปนเปื้อนสารตะกั่วระดับสูง ส่วนก่อนหน้านี้ ‘วานาบานา’ (WanaBana) ในเมืองคอรัลเกเบิลส์ของรัฐฟลอริดา เรียกคืนน้ำแอปเปิลผสมอบเชยเข้มข้นทั้งหมด

เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ เผยว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนสารตะกั่วอาจส่งผลให้เกิด ‘ความเป็นพิษเฉียบพลัน’ (Acute toxicity) โดยเด็กและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าวควรเข้ารับการทดสอบหาสารพิษจากสารตะกั่วที่อาจเกิดขึ้นได้

‘สี จิ้นผิง’ พบหารือนายกฯ ออสเตรเลีย ให้คำมั่นพร้อมทำงานร่วมกันทุกด้าน

(7 พ.ย.66) นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้พบกับนายแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยผู้นำจีนกล่าวว่า ทั้งสองประเทศสามารถเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้ พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกับออสเตรเลียในทุกด้าน ตั้งแต่ความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ขณะที่นายอัลบาเนซี ซึ่งเป็นผู้นำออสเตรเลียคนแรกที่เดินทางเยือนประเทศจีนในรอบกว่า 7 ปี ได้กล่าวชื่นชมความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ที่เป็นบวกอย่างมาก และนับตั้งแต่ที่ผู้นำทั้งสองพบกันที่ประเทศอินโดนีเซียเมื่อปีที่แล้ว การค้ามีความไหลลื่นมากขึ้นเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ 

‘WeWork’ ยื่นล้มละลายแล้ว หลังเผชิญวิกฤติขาดทุนมหาศาล มีผลเฉพาะสหรัฐฯ-แคนาดา ส่วนประเทศอื่นยังดำเนินการปกติ

(7 พ.ย.66) วีเวิร์ก (WeWork) บริษัทให้บริการแบ่งปันพื้นที่สำนักงาน ได้ยื่นล้มละลายแล้ว หลังจากมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า วีเวิร์ก ได้เตรียมยื่นล้มละลาย หลังจากเผชิญกับหนี้สินก้อนโต และการขาดทุนมหาศาล 

ข่าวระบุว่า วีเวิร์ก ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลายเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยวีเวิร์กระบุว่า การยื่นเรื่องล้มละลายดังกล่าว จะส่งผลต่อการประกอบธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา แต่ธุรกิจทั่วโลกคาดว่าจะยังคงสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

โดยโฆษกของวีเวิร์กกล่าวว่า ราว 92 เปอร์เซ็นต์ของเจ้าหน้าที่ของบริษัท ตกลงที่จะแปลงหนี้ที่มีหลักประกัน ให้เป็นหุ้นทุน ภายใต้ข้อตกลงการสนับสนุนการปรับโครงสร้าง ซึ่งจะช่วยล้างหนี้ได้ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ครั้งหนึ่ง วีเวิร์ก เคยเป็นสตาร์ตอัปที่เป็นดาวรุ่งอย่างมาก ที่ได้รับการสนับสนุนจากซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป ด้วยการให้บริการแบ่งปันพื้นที่สำนักงาน และให้คำมั่นสัญญาว่า จะเปลี่ยนรูปแบบของสำนักงานทั่วโลก และได้เริ่มดำเนินธุรกิจกระจายไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก และเมื่อปี 2019 วีเวิร์กเคยเป็นบริษัทสตาร์ตอัปของสหรัฐ ที่มีมูลค่าสูงสุด คือ 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ขึ้น ทำให้รูปแบบการทำงานกลายเป็นการทำงานจากที่บ้านมากขึ้น ทำให้ธุรกิจของวีเวิร์ก ประสบปัญหาและขาดทุนเรื่อยมา

โดยข้อมูลเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา วีเวิร์กมีพื้นที่สำนักงานแบ่งปันอยู่ทั้งสิ้น 777 แห่งทั่วโลก และในเอกสารที่ยื่นต่อศาลล้มละลายนิวเจอร์ซีย์ ระบุว่า วีเวิร์กมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 15,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีหนี้สินอยู่ 18,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา

‘ฮามาส’ เผย ยอดดับฉนวนกาซาทะลุหมื่น บาดเจ็บอีกนับ 2.5 หมื่นราย หลังเกิดสงครามครบ 1 เดือน ด้าน ‘ไบเดน’ ตั้งข้อสงสัยตัวเลขถูกหรือไม่

(7 พ.ย. 66) กระทรวงสาธารณสุขของฮามาสในฉนวนกาซา ออกมาระบุตัวเลขความสูญเสีย หลังสงครามอิสราเอล-ฮามาสเกิดขึ้นครบ 1 เดือน ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาล่าสุดอยู่ที่ 10,022 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็กปาเลสไตน์ 4,104 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 25,408 คน

ขณะที่ตัวเลขความสูญเสียในฝั่งอิสราเอล มีผู้เสียชีวิต 1,400 ราย โดยเป็นเด็ก 31 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5,400 คน และมีผู้ถูกจับไปเป็นตัวประกันอีกมากกว่า 200 คน

ด้านนักการเมืองบางคนรวมถึง ‘ประธานาธิบดีโจ ไบเดน’ ของสหรัฐฯ ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของตัวเลขผู้เสียชีวิตในส่วนของฮามาส เช่นเดียวกับ ‘กองกำลังป้องกันอิสราเอล’ (IDF) ที่ระบุว่า ข้อมูลใดๆ ที่องค์กรก่อการร้ายแจ้ง ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง

บีบีซีได้เผยขั้นตอนที่นำมาสู่การประกาศตัวเลขผู้เสียชีวิตโดยกระทรวงสาธารณสุขฮามาส ซึ่งระบุว่า เมื่อมีผู้เสียชีวิตอันเป็นผลจากการโจมตีของอิสราเอล โรงพยาบาลจะบันทึกรายละเอียดต่างๆ อาทิ ชื่อ นามสกุล อายุ เพศ และหมายเลขประจำตัวประชาชนลงในคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะมีการถ่ายโอนข้อมูลจากโรงพยาบาลแต่ละแห่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง เมื่อกระทรวงทำการประมวลผลแล้วจะมีการส่งข้อมูลไปยังสำนักงานสถิติกลางปาเลสไตน์ (PCBS)

อย่างไรก็ดี PCBS บอกกับบีบีซีว่า ตัวเลขดังกล่าวจะครอบคลุมเฉพาะผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงผู้เสียชีวิตใต้ซากอาคารหรือผู้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ปกติแล้วจะมีการบันทึกสาเหตุการเสียชีวิตแบบเฉพาะเจาะจงไว้ด้วย แต่ขณะนี้ไม่สามารถทำได้เนื่องจากจำนวนตัวเลขการเสียชีวิตที่สูงมาก

ด้าน ‘ริชาร์ด เบรนเนน’ โฆษกองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า เขาเชื่อว่าตัวเลขความสูญเสียในฉนวนกาซานั้นเชื่อถือได้ เพราะมั่นใจว่าระบบการจัดการข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขในกาซาได้ดำเนินการตลอดหลายปีที่ผ่านมา สามารถที่จะรับมือกับการวิเคราะห์ข้อมูลได้ และฐานข้อมูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถือว่ามีความแข็งแกร่ง

‘นักธุรกิจอินเดีย’ แนะคนรุ่นใหม่ควรทำงาน ‘สัปดาห์ละ 70 ชม.’ เพื่อผลักดันให้ประเทศเติบโตและประสบความสำเร็จมากขึ้น

(7 พ.ย.66) นายนารายนะ เมอร์ธีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอินโฟซิสต์ (Infosys) จากอินเดียและเป็นพ่อตาของนายริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้จุดกระแสถกเถียงบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากระบุว่า คนหนุ่มสาวควรทำงานสัปดาห์ละ 70 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย

แม้ผู้คนจำนวนมากบนโซเชียลมีเดียแสดงความไม่พอใจต่อความคิดเห็นของนายเมอร์ธีย์ แต่กลุ่มผู้นำอุตสาหกรรมที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเห็นด้วยว่า การทำงานหนักอาจเป็นเรื่องจำเป็นหากอินเดียต้องการแข่งขันในเวทีโลก

“หากคุณต้องการเป็นหมายเลข 1 หากคุณต้องการดีที่สุด เช่นนั้นคนหนุ่มสาวก็ต้องทุ่มเททำงานหนักและอุทิศเวลาให้กับงาน” นายอายุชมาน กปูร ผู้ก่อตั้งเซโน (Xeno) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์จากอินเดีย ระบุ

อินเดียกำลังพยายามแข่งขันกับสหรัฐและจีน หากเราต้องการบรรลุความยิ่งใหญ่ ใช่ นั่นคือเวลาและสิ่งที่เราต้องเสียสละ” นายกปูร กล่าว

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า ปัจจุบันชาวอินเดียทำงานเฉลี่ย 47.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าสหรัฐ ซึ่งอยู่ที่ 36.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อังกฤษ ซึ่งอยู่ที่ 35.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเยอรมนี ซึ่งอยู่ที่ 34.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ขณะเดียวกันชาวอินเดียยังทำงานมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น จีน ซึ่งอยู่ที่ 46.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ 42.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ที่ 36.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นายเมอร์ธีย์ ได้วิจารณ์คนรุ่นใหม่ในอินเดียที่รับพฤติกรรมไม่ค่อยน่าพึงปรารถนามาจากตะวันตก โดยเอ่ยว่า คนรุ่นใหม่อินเดียไม่ทำงานหนักมากพอ

“อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผลิตภาพการทำงานต่ำสุดในโลก คนหนุ่มสาวของเราต้องพูดว่า นี่คือประเทศของฉัน ฉันต้องการทำงาน 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” นายเมอร์ธีย์กล่าว

‘นายกฯ มาเลเซีย’ ย้ำ!! พร้อมเคียงข้างปาเลสไตน์ ไม่สนแม้ถูกกดดัน - เสี่ยงโดนสหรัฐฯ คว่ำบาตร

(7 พ.ย. 66) นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เน้นย้ำถึงสิทธิของปาเลสไตน์ในการปกป้องตนเอง และกล่าวว่ามาเลเซียจะยังคงความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสต่อไป แม้ว่าจะถูกกดดันจากสหรัฐก็ตาม

นายอันวาร์กล่าวต่อรัฐสภาในวันนี้ (7 พ.ย.) ว่า ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะหยุดยั้งประเทศอื่น ๆ ไม่ให้สนับสนุนกลุ่มฮามาสเป็นการกระทำฝ่ายเดียว และมาเลเซียจะไม่ยอมรับในเรื่องนี้ พร้อมระบุว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิทธิอันชอบธรรม และเป็นการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์”

คำพูดดังกล่าวของนายอันวาร์คือการตอบคำถามจากสมาชิกสภานิติบัญญัติฝ่ายค้านที่ต้องการทราบจุดยืนของมาเลเซียที่มีต่อกฎหมายป้องกันการสนับสนุนทางการเงินระหว่างประเทศแก่กลุ่มฮามาส (Hamas International Financing Prevention Act) ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 1 พ.ย. โดยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคล องค์กร และรัฐบาลประเทศใด ๆ ที่ให้สนับสนุนกลุ่มฮามาส กลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ หรือกลุ่มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของมาเลเซีย โดยในปีที่แล้ว การค้าทวิภาคีมีมูลค่ารวมประมาณ 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งความตึงเครียดใด ๆ ก็ตามในความสัมพันธ์ อาจส่งผลกระทบต่อเงื่อนไขทางการค้าได้

“ผมจะไม่ยอมรับการข่มขู่ใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงเรื่องนี้ด้วย” นายอันวาร์กล่าว “นี่เป็นการกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว และเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าเรา ในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ จะยอมรับเฉพาะการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเท่านั้น”

นายอันวาร์กล่าวเสริมว่า มาเลเซียจะให้การสนับสนุนความพยายามของประเทศใด ๆ ก็ตาม รวมถึงปาเลสไตน์ ในการนำอิสราเอลขึ้นดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ

‘สถานี PNN’ เตือน!! ‘สื่อกัมพูชา’ ห้ามก๊อบปี้ ‘บุพเพสันนิวาส’ เด็ดขาด หลังได้รับสิทธิ์ฉายจากไทย ขู่!! หากฝ่าฝืน เจอดำเนินคดีตาม กม.ทันที

(7 พ.ย.66) จากเฟซบุ๊ก Pnn-Tv Cambodia ได้โพสต์จดหมายเตือนสื่อในกัมพูชา กรณีได้รับสิทธิพิเศษในการออกอากาศภาพยนตร์ไทย ‘บุพเพสันนิวาส’ และภาคต่อ ทางทีวี โดยระบุว่า…

"จดหมายแจ้งเตือน! สถานีโทรทัศน์ PNN เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งเดียวในกัมพูชา ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการออกอากาศภาพยนตร์ไทย «Bobbesanivas Part Fate» ทั้งทางทีวีและแพลตฟอร์มดิจิทัล กรณีใครขโมย ก๊อบปี้ นําไปใช้กับสื่อต่าง ๆ ในกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทางบริษัทเราจะดำเนินการตามกฎหมาย"

‘มะพร้าวน้ำหอมไทย’ จ่อขึ้นแท่นสินค้าดาวเด่นในงาน ‘CIIE’ ครั้งที่ 6 หลังฮอตฮิตในตลาดจีน เอื้อโอกาสธุรกิจเติบโต-สานฝันผู้ส่งออกไทย

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. สำนักข่าวซินหัว, ราชบุรี รายงานข่าวความโด่งดังของอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จากการเป็นที่ตั้งของตลาดน้ำอายุนับศตวรรษ อีกทั้งเป็นพื้นที่ผลิต ‘มะพร้าวน้ำหอม’ แห่งสำคัญของไทย ซึ่งมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์และรสชาติหอมหวาน โดยปัจจุบันเหล่าคนงานที่สายการประกอบในอำเภอแห่งนี้ กำลังสาละวนกับการบรรจุมะพร้าวที่ปอกเปลือกแล้วลงหีบห่อเพื่อเตรียมจัดส่งสู่จีน

นายณรงค์ศักดิ์ ชื่นสุชน ผู้ส่งออกมะพร้าววัย 53 ปี จากดำเนินสะดวก รู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสได้แนะนำผลิตภัณฑ์มะพร้าวของตนแก่กลุ่มลูกค้าชาวจีนอีกครั้ง ในฐานะผู้จัดแสดงของงานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งที่ 6 ในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน

นายณรงค์ศักดิ์ ซึ่งเป็นประธานบริษัท เอ็นซี โคโคนัท จำกัด (NC Coconut) เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวของจีนว่า เขารู้สึกยินดีและตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานมหกรรมการค้าที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ในจีนอีกครั้ง โดยปีนี้นับเป็นการกลับมาจัดแสดงครั้งสำคัญ หลังจากต้องระงับไปก่อนหน้านี้เนื่องจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

นายณรงค์ศักดิ์เกิดมาในครอบครัวเกษตรกรและได้เพาะปลูกมะพร้าวกับพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก เขาหลงรักมะพร้าว รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะปลูกมะพร้าวให้ได้พันธุ์ดีที่สุด และสามารถบอกได้ว่า มะพร้าวแบบไหนมีรสชาติอร่อยแค่เพียงกวาดสายตามอง

เมื่อปี 2009 นายณรงค์ศักดิ์จัดตั้งบริษัทมะพร้าวของตนเองที่มีชื่อว่า ‘เอ็นซี โคโคนัท’ ซึ่งปัจจุบันแปรรูปมะพร้าวราว 20 ล้านลูกต่อปี และมีจีนเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ คิดเป็นราวร้อยละ 60-70 ของยอดส่งออกทั้งหมด

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ มะพร้าวน้ำหอมของไทยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ลูกค้าชาวจีน และงานมหกรรมฯ มีบทบาทสำคัญในการขยายธุรกิจของณรงค์ศักดิ์ในตลาดจีน โดยเขากล่าวว่างานมหกรรมฯ เป็นเวทีเสริมสร้างการเชื่อมต่อและความร่วมมือระหว่างผู้ค้าชาวจีนและทั่วโลก ทั้งยังมอบโอกาสการนำเสนอแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงของเรา รวมถึงเพิ่มการมองเห็นผ่านการตลาดและการส่งเสริมการตลาด

นายณรงค์ศักดิ์ร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกในปี 2018 หลังจากได้รับคำเชิญจากหุ้นส่วนทางธุรกิจในจีน ประสบการณ์ครั้งแรกของเขาในฐานะผู้เยี่ยมชมเป็นไปอย่างน่าประทับใจ งานครั้งนั้นถูกจัดเตรียมขึ้นเป็นอย่างดี พื้นที่นิทรรศการมีขนาดใหญ่มาก และพร้อมพรั่งด้วยหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย

นายณรงค์ศักดิ์ระบุว่า งานมหกรรมฯ เป็นเสมือนหน้าต่างบานสำคัญสำหรับผลไม้ที่มีคุณภาพสูงจากทั่วโลกในการเข้าสู่ตลาดจีน โดยในปี 2019 เอ็นซี โคโคนัท เริ่มจัดแสดงผลิตภัณฑ์มะพร้าวที่งานมหกรรมฯ ครั้งที่ 2 ผ่านหุ้นส่วนทางธุรกิจ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าและทำให้ณรงค์ศักดิ์มองเห็นโอกาสที่ดีในการส่งเสริมและขยับขยายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดจีน

สำหรับงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 6 ประจำปีนี้ ซึ่งมีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 5-10 พ.ย. ในเซี่ยงไฮ้ บริษัทของณรงค์ศักดิ์พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ นอกเหนือจากกลุ่มผลิตภัณฑ์มะพร้าวอ่อนซึ่งส่งออกสู่จีนเป็นหลัก

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คาดว่าจะเป็นโอกาสกระตุ้นการเติบโตในตลาดจีน เนื่องจากน้ำมะพร้าวน้ำหอมแบบบรรจุขวดสอดรับกับวิถีชีวิตแบบสุขภาพดี และความต้องการที่เพิ่มสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ยังมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต

นายณรงค์ศักดิ์เสริมว่า น้ำมะพร้าวพร้อมดื่มนี้ถูกผลิตโดยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเรา ซึ่งทำให้สามารถจัดเก็บได้นานถึงหนึ่งปีโดยไม่ต้องแช่เย็น ส่งผลให้มีราคาที่อิงตามท้องตลาด และยังคงไว้ซึ่งลักษณะทางธรรมชาติ

“ตลาดจีนมีขนาดใหญ่มากและมีศักยภาพการบริโภคมหาศาล งานมหกรรมฯ จึงเอื้อให้เราได้แบ่งปันโอกาสการพัฒนาของจีน ซึ่งหมายถึงการที่ธุรกิจขนาดย่อมอย่างพวกเราสามารถบรรลุความฝันอันยิ่งใหญ่ได้” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

Toyota ประกาศศักดา!! ผลิตรถยนต์ครบ 300 ล้านคันทั่วโลก ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ 9 ทศวรรษ ชู Corolla เรือธงเบอร์หนึ่ง

(7 พ.ย. 66) จากเว็บไซต์ 'Headlightmag' ได้เปิดเผยถึงความสำเร็จของแบรนด์ Toyota ที่บัดนี้มียอดผลิตรวมตั้งแต่ปี 1935 แล้วถึง 300 ล้านคัน ว่า...

จุดเริ่มต้นของการผลิตรถยนต์ Toyota ต้องย้อนกลับไปในปี 1935 เมื่อครั้ง Toyota ได้ผลิตรถกระบะคันแรกในชื่อรุ่น G1 ซึ่งถูกประกอบขึ้นโดยส่วนงาน automotive ที่ยังคงเป็นแผนกที่อยู่ภายใต้บริษัทแม่ Toyoda Automatic Loom Works, Ltd ซึ่งเป็นชื่อบริษัทที่ Sakichi Toyoda ตั้งขึ้นเมื่อปี 1926 เพื่อทำธุรกิจเครื่องทอผ้าอัตโนมัติ ที่มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมในครัวเรือนในสมัยนั้น และเมื่อมีกำลังการผลิตและความต้องการที่เพียงพอและสอดรับกัน ทำให้ Toyota ตัดสินใจตั้งบริษัทผลิตรถยนต์แยกต่างหากในชื่อว่า Toyota Motor Corporation เมื่อปี 1937 โดยที่ยังคงดำเนินธุรกิจเครื่องทอผ้าอัตโนมัติภายใต้ชื่อ Toyoda Automatic Loom Works จวบจนถึงปี 2023 ในปัจจุบัน

จากวันนั้น ถึงวันนี้ จึงเป็นที่มาของการประกาศยอดผลิตรถยนต์ถึงคันที่ 300 ล้าน ในประวัติศาสตร์ของแบรนด์สามห่วง โดยตลอดระยะเวลา 88 ปีที่ผ่านมา Toyota ได้สร้างแนวคิดด้านการผลิตไว้จำนวนมาก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ โดยได้นับจำนวนรถยนต์ที่ออกจากสายพานการผลิตคันที่ 300 ล้าน นับตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายน 2023

สำหรับการแยกภูมิภาคในการผลิตรถยนต์ของแบรนด์ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จะพบว่า Toyota แยกการผลิตรถยนต์จำนวน 180 ล้านคัน ให้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่อีก 120 ล้านคันที่เหลือถูกผลิตขึ้นในประเทศอื่นๆ นอกประเทศญี่ปุ่น โดยรถยนต์รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดจนสร้างยอดการผลิตเบอร์หนึ่ง จะเป็นรุ่นใดไปไม่ได้นอกจาก Corolla ด้วยจำนวนการผลิตกว่า 53.39 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 6 ของยอดขายทั้งหมด โดยนับตั้งแต่วางจำหน่ายรุ่นแรกในปี 1966 เป็นต้นมา

สำหรับผลประกอบการตลอดปี 2022 ทาง Toyota ได้ส่งมอบรถยนต์จำนวนกว่า 10.5 ล้านคัน ขึ้นแท่นผู้จำหน่ายรถยนต์เบอร์ 1 ของโลก พร้อมด้วยรางวัลรถยนต์ยอดนิยมสูงสุดในโลกจากรุ่น RAV4 อ้างอิงจากสถิติของสถาบัน JATO Dynamics และยังได้ขยายไลน์อัปโมเดลรถที่วางจำหน่ายให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Crown ทั้ง 4 รูปแบบตัวถัง และ Century SUV

ส่วนรุ่นที่เตรียมจะเปิดตัวในอนาคต จะประกอบไปด้วย รถกระบะขุมพลังไฟฟ้าล้วน, รถ SUV และรถสปอร์ตที่ได้ทยอยเปิดตัวในรูปแบบรถต้นแบบหลากรุ่นในงานมหกรรมยานยนต์ 2023 Japan Mobility Show ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top