Wednesday, 19 February 2025
WORLD

เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ทางการทูต อินเดีย-แคนาดา ต่างขับไล่ทูต เหตุจากการลอบสังหารผู้นำชาวซิกซ์บนดินแดนแคนาดา

(15 ต.ค. 67) อินเดียและแคนาดาขับไล่ทูตระดับสูงและนักการทูตอื่นๆ เนื่องจากความขัดแย้งทวีความรุนแรงเกี่ยวกับการสังหารผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์บนดินแคนาดาเมื่อปีที่แล้ว

นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่ารัฐบาลของเขาตอบสนองหลังจากตำรวจเริ่มติดตามข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่อินเดียมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์

ตำรวจแคนาดากล่าวหาเจ้าหน้าที่อินเดียว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ "การฆาตกรรม การเรียกค่าไถ่ และการกระทำที่รุนแรง" และก่อกวนผู้สนับสนุนขบวนการที่สนับสนุนดินแดนคาลิสถาน ซึ่งต้องการแยกดินแดนสำหรับชาวซิกข์ในอินเดีย

อินเดียปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า "ไร้สาระ" โดยกล่าวหาทรูโดว่ายืมความนิยมของชุมชนชาวสิกห์ขนาดใหญ่ในแคนาดาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

ทรูโดกล่าวในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เมื่อวันจันทร์บ่ายว่าอินเดียได้ทำ "ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง" ในการสนับสนุน "อาชญากรรม" ในแคนาดาและรัฐบาลของเขาต้องดำเนินการตามผลการค้นหาล่าสุด
"หลักฐานที่นำมาเปิดเผยโดย RCMP [Royal Canadian Mounted Police, หน่วยงานตำรวจแห่งชาติของแคนาดา] ไม่สามารถเพิกเฉยได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว

"สิ่งนี้ทำให้ได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือจำเป็นต้องขัดขวางกิจกรรมอาชญากรรมที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะในแคนาดา นี่คือเหตุผลที่เราต้องดำเนินการ"
อินเดียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดอย่างรุนแรงและยืนยันว่าแคนาดาไม่ได้ให้หลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน

ความสัมพันธ์ระหว่างเดลีและออตตาวาตึงเครียดนับตั้งแต่ทรูโดกล่าวว่าแคนาดามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่อินเดียกับการสังหารนิจจาร์
ความขัดแย้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลง โดยอินเดียขอให้แคนาดาถอนเจ้าหน้าที่การทูตหลายสิบคนและระงับการให้บริการวีซ่า

เมื่อวันจันทร์ กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียออกแถลงการณ์อย่างฉุนเฉียวว่าข้อกล่าวหาของแคนาดาได้รับอิทธิพลจากผู้รณรงค์แบ่งแยกดินแดนชาวซิกซ์
ต่อมาในวันเดียวกัน อินเดียประกาศให้ทูตแคนาดา 6 คน รวมถึงรักษาการเอกอัครราชทูตสจ๊วร์ต รอสส์ วีเลอร์ ออกจากอินเดียภายในวันที่ 19 ตุลาคม

นายวีเลอร์ยังถูกเรียกตัวไปพบกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวของแคนาดา
ในการแถลงข่าวหลังการประชุม นายวีเลอร์กล่าวว่าแคนาดาได้มอบหลักฐานที่อินเดียเรียกร้องไปแล้ว ตอนนี้อินเดียต้องตรวจสอบข้อกล่าวหา
"เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศที่จะหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้" เขากล่าว

เดลีได้ปกป้องนักการทูตของตน ซันเจย์ คุมาร์ เวอร์มา โดยอ้างถึง "อาชีพอันโดดเด่นของเขามานานกว่า 36 ปี"
"ข้อกล่าวหาที่รัฐบาลแคนาดาปฏิเสธต่อเขานั้นไร้สาระและสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความรังเกียจ" ทางกระทรวงกล่าว กระทรวงการต่างประเทศอินเดียยังกล่าวว่ากำลัง "ถอน" ทูตระดับสูงและนักการทูตคนอื่น ๆ

"เราไม่มีความเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของรัฐบาลแคนาดาปัจจุบันในการรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้น รัฐบาลอินเดียจึงตัดสินใจถอนเอกอัครราชทูตและนักการทูตเป้าหมายอื่น ๆ"

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ ตำรวจแคนาดากล่าวว่าพวกเขาดำเนินการที่ผิดปกติในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ "เนื่องจากภัยคุกคามที่สำคัญต่อความปลอดภัยสาธารณะในประเทศของเรา"
ไมค์ ดูเฮม ผู้บัญชาการ RCMP กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวในวันจันทร์ว่ามี "ภัยคุกคามต่อชีวิตที่น่าเชื่อถือและใกล้จะเกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้ง" ซึ่งเขากล่าวว่า "มุ่งเป้า" ไปที่สมาชิกของขบวนการขาลสถานโดยเฉพาะ

เขาเสริมว่าภัยคุกคามร้ายแรงเพียงพอที่จะรับประกันการแทรกแซงสาธารณะของ RCMP
"เราถึงจุดที่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลอินเดีย"

เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเจ้าหน้าที่อินเดียสิบสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา แต่ไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์ในเดือนมิถุนายน 2023

ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ถูกยิงเสียชีวิตโดยชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสองคนนอกวัดซิกข์ที่เขาเป็นผู้นำในซอร์เรย์ บริติชโคลัมเบีย
เขาเป็นผู้สนับสนุนขบวนการขาลสถานอย่างแข็งขัน ซึ่งเรียกร้องให้มีแยกดินแดนชาวซิกข์ และรณรงค์สาธารณะเพื่อสิ่งนี้

อินเดียเคยกล่าวว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ - ข้อกล่าวหาที่ผู้สนับสนุนของนายนิจจาร์ตอบโต้ว่า ไม่มีมูล

ในเดือนกันยายน 2023 ทรูโดได้กล่าวต่อรัฐสภาแคนาดาว่าข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของอินเดียในการสังหารนั้นยึดตามข่าวกรองของแคนาดา เขาย้ำว่า การกระทำนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของแคนาดา

ความสัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกระหว่างทั้งสองประเทศดูเหมือนจะคลายลงเล็กน้อยหลังจากอินเดียกลับมาดำเนินการวีซ่าในเดือนตุลาคม 2023
แต่สัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดา เมลานี โจลี เรียกความสัมพันธ์ของประเทศกับอินเดียว่า "ตึงเครียด" และ "ยากมาก"
เธอยังกล่าวอีกว่ายังคงมีภัยคุกคามจากการสังหารมากขึ้นบนดินแคนาดา

ทั้งนี้แคนาดาเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวสิกห์ที่ใหญ่ที่สุดนอกอินเดีย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่อาศัยอยู่ในรัฐปัญจาบเป็นส่วนใหญ่

ธนาคารกลางจีน ทดสอบใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ ชำระเงินข้ามพรมแดน เผย!! ใช้บล็อกเชนทำธุรกรรม ประหยัด ‘เวลา - ต้นทุน’

(14 ต.ค. 67) ธนาคารกลาง ‘จีน’ (PBOC) เผยว่าได้เริ่มทดลองการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ร่วมกับพันธมิตรอย่าง ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 

PBOC เผยว่าปัจจุบัน CBDC ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกธุรกรรม ซึ่งทำให้สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนได้ภายในไม่กี่วินาที และลดต้นทุนได้มากถึง 50% 

ปัจจุบัน การโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่มักใช้ระบบ SWIFT ซึ่งต้องผ่านธนาคารตัวกลาง ทำให้การทำธุรกรรมใช้เวลานานหลายวันถึงหนึ่งสัปดาห์ ทั้งนี้การใช้ CBDC จะช่วยเสริมการทำธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์ และลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ของจีน

ความก้าวหน้าของจีนในด้านสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) กำลังกระตุ้นให้ประเทศชั้นนำอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เช่นกัน โดยมีการประกาศร่วมกันในเดือนเมษายน เพื่อทดลองใช้ระบบชำระเงิน CBDC ร่วมกับภาคเอกชน 

นาโอกิ สึกิโอกะ จาก Mizuho Research & Technologies มองว่า จีนมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐาน และเทคโนโลยีใหม่สำหรับธุรกรรมในอนาคต

PBOC เริ่มศึกษา และพัฒนาระบบเงินหยวนดิจิทัลตั้งแต่ปี 2557 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อใช้ในการชำระเงินในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อของที่ร้านค้าหรือร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

โครงการนำร่องครั้งแรกเริ่มต้นที่เมืองเซินเจิ้นในปี 2563 และขยายไปยังหลายพื้นที่ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำเงินหยวนดิจิทัลไปใช้จ่ายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การชำระค่าอาหาร หรือแม้แต่การจ่ายเงินเดือน และภาษี

จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ธุรกรรมเงินหยวนดิจิทัลมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านหยวนใน  17 จังหวัด สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า และศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลชนิดนี้ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของจีน

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการนำหยวนดิจิทัลมาใช้งานอย่างแพร่หลายคือ ผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมากยังไม่เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างหยวนดิจิทัลกับแอปพลิเคชันชำระเงินยอดนิยมอย่าง WeChat Pay และ Alipay ที่ใช้งานอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าธุรกรรมการชำระเงินในจีนปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นแบบไร้เงินสดอยู่แล้ว

รวบ ‘ชายพกปืน’ ใกล้เวทีหาเสียง ‘ทรัมป์’ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย หลังมีพิรุธ!! ใช้ ‘ทะเบียนรถปลอม-หนังสือเดินทางปลอม’

(14 ต.ค. 67) สำนักงานนายอำเภอริเวอร์ไซด์เคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนียเปิดเผยว่า นายเวม มิลเลอร์ วัย 49 ปีอาศัยอยู่ที่ลาสเวกัส ขับรถเอสยูวีสีดำ ถูกผู้ช่วยนายอำเภอเรียกตรวจเมื่อราว 17.00 น. วันเสาร์ (12 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ทรัมป์ยังไม่ขึ้นเวที

นายแชด เบียนโก นายอำเภอริเวอร์ไซด์เคาน์ตีกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (13 ต.ค.) เชื่อว่า สำนักงานของเขาระงับความพยายามลอบสังหารไว้ได้ แต่ยอมรับว่านี่เป็นเพียง ‘การคาดการณ์’ ของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ผู้ต้องสงสัยได้รับการประกันแล้วปล่อยตัวไป อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐบาลกลางกำลังสอบสวนเรื่องนี้

“ที่เรารู้คือเขามีหนังสือเดินทางหลายเล่มใช้ชื่อแตกต่างกัน มีรถไม่ได้จดทะเบียนแต่ใช้ทะเบียนปลอม และอาวุธปืนใส่กระสุนหลายกระบอก ผมเชื่อจริงๆ ว่าเราป้องกันเหตุพยายามลอบสังหารไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง” นายอำเภอกล่าว

นายมิลเลอร์ถูกตั้งข้อหาคดีอาญาสองกระทงทั้งครอบครองอาวุธปืนใส่กระสุนและกระสุนปืนสมรรถนะสูง แต่ได้รับการประกันตัวไปด้วยวงเงิน 5,000 ดอลลาร์ในวันเสาร์ รอยเตอร์สพยายามติดต่อขอความเห็นในวันอาทิตย์ยังติดต่อไม่ได้

สำนักงานนายอำเภอเผยด้วยว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลต่อความปลอดภัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หรือผู้เข้าร่วมงาน

สำนักงานอัยการลอสแองเจลิสแถลงผ่านเว็บไซต์ในทำนองเดียวกันโดยอ้างหน่วยงานองครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดีว่า ทรัมป์ไม่มีอันตราย หน่วยงานรัฐบาลกลางกำลังสอบสวนเหตุและยังไม่ได้จับกุมใคร

ทรัมป์เคยรอดตายหวุดหวิดจากเหตุถูกมือปืนยิงเฉียดใบหูระหว่างหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อเดือน ก.ค. ต่อมาในเดือน ก.ย. ชายอีกคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาพยายามลอบฆ่าทรัมป์ แต่ถูกองครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดีพบตัวเสียก่อน ขณะผู้ต้องสงสัยถือปืนไรเฟิลหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้สนามกอล์ฟปาล์มบีชของทรัมป์ เจ้าตัวปฏิเสธข้อกล่าวหา

แต่ทั้งสองเหตุการณ์ชวนให้เกิดข้อสงสัยถึงแผนการทำงานและการรับมือขององครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดี

ทั้งนี้ การหาเสียงเมื่อวันเสาร์ของทรัมป์ จัดขึ้นที่หุบเขาโคเชลลาที่โด่งดังเรื่องการจัดเทศกาลดนตรีและศิลปะประจำปี

‘แพนทากอน’ เตรียมส่ง THAAD พร้อมทหารอเมริกัน เสริมกำลังให้ ‘อิสราเอล’ ย้ำชัด!! ‘สหรัฐฯ’ พร้อมอยู่เคียงข้าง ในการต่อสู้กับภัยคุกคาม จากอิหร่าน

(14 ต.ค. 67) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ เตรียมที่จะจัดส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศในบรรยากาศระดับสูง หรือ THAAD พร้อมระบบต้านขีปนาวุธ และ กองกำลังทหารอเมริกัน ผนึกกำลังกองทัพอิสราเอล ต้านภัยการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน 

โดยนายพล แพท ไรเดอร์ โฆษกประจำแพนทากอน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ได้รับคำสั่งตรงจาก ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้จัดส่งระบบป้องกันขีปนาวุธอันล้ำสมัยของสหรัฐไปเสริมกำลังให้ฝ่ายอิสราเอลทันที ซึ่งความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐในวันนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯพร้อมยืนอยู่เคียงข้างอิสราเอลในการต่อสู้กับภัยคุกคามจากอิหร่าน หลังจากที่เตหะรานตัดสินใจยิงขีปนาวุธกว่า 180 ลูกโจมตีกรุงเทล-อาวีฟ ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา

การส่งกำลังทหารไปยังอิสราเอล ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับสหรัฐอเมริกา ยกเว้นการซ้อมรบร่วมของ 2 ชาติ แต่ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯครั้งนี้ ทางแพนทากอนกล่าวว่า เป็นการปรับเปลี่ยนแผนการครั้งใหม่เพื่อสนับสนุนอิสราเอลและปกป้องพลเมืองสหรัฐฯ จากเมื่อหลายเดือนก่อน ที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งทหารอเมริกันไปช่วยเหลืออิสราเอลในการป้องกันเรือรบและการโจมตีทางอากาศในตะวันออกกลางมาก่อนแล้ว แต่นั่นเป็นการตั้งกองหนุนนอกพรมแดนอิสราเอลเท่านั้น

ด้าน พ.ต.ท. นาดาฟ โชชานี โฆษกกองทัพอิสราเอล ได้ออกมาขอบคุณสหรัฐฯ ที่ส่งระบบต้านขีปนาวุธมาสนับสนุนอิสราเอล แม้ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าระบบ THAAD จะถูกส่งมาถึงอิสราเอลเมื่อใดก็ตาม

THAAD เป็นของระบบป้องกันทางอากาศแบบหลายชั้น ที่มีความสำคัญในกองทัพสหรัฐฯ อีกทั้งยังเพิ่มระบบการป้องกันต่อต้านขีปนาวุธของอิสราเอลที่น่าเกรงขามอยู่แล้วให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก

โดยปกติแล้ว THAAD ต้องใช้กำลังทหารประมาณ 100 นาย ในการควบคุม สำหรับการปฏิบัติการ โดยระบบจะประกอบด้วยเครื่องยิงที่ติดตั้งบนรถบรรทุกได้ 6 เครื่อง ที่จะมีเครื่องสกัดกั้น 8 ชุดในแต่ละเครื่องยิง และเรดาร์ศักยภาพสูงอีก 1 ตัว 

ด้าน อับบาส อารัคชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ผ่าน X ว่า สหรัฐฯกำลังทำให้ชีวิตกองทหารของตนอยู่ในความเสี่ยงหากคิดจะส่งพวกเขาไปสนับสนุนกองทัพอิสราเอล ในขณะที่อิหร่านพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และพร้อมปกป้องประชาชน และ ผลประโยชน์ของอิหร่านเช่นกัน 

ด้านนักวิเคราะห์บอกว่า อิหร่านก็พยายามหลีกเลี่ยงการทำสงครามโดยตรงกับสหรัฐฯ แต่หากรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งกองทหารอเมริกันเข้ามาสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มตัว ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญในสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่อิหร่านต้องปรับแผนรับมือใหม่อีกครั้ง 

บัณฑิตจีน สิ้นหวัง เกษียณกลับบ้านเกิด ด้วยความท้อแท้ เหตุ!! อุตสาหกรรมทรุดตัว บริษัทเลิกจ้าง แรงงานล้นตลาด

(14 ต.ค. 67) หากคิดว่าหางานใน ‘ไทย’ ยากแล้ว ใน ‘จีน’ กลับยิ่งหางานยากกว่ามาก แม้มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หนุ่มสาวจบใหม่ในจีนตอนนี้กลับหางานลำบากยิ่งนัก โดยอัตราว่างงานของหนุ่มสาวจีนในเดือนสิงหาคม “ทำสถิติใหม่” ที่ 18.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบบันทึกสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในเดือนกรกฎาคม

มีเรื่องราวของสาวจีนที่จบการศึกษามาไม่นาน เธอชื่อ สวี่อวี่ (Xu Yu) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง และใช้เวลาหางานเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว

แม้เธอจะมีผลการเรียนดีเยี่ยมและประสบการณ์ฝึกงานถึงสามครั้ง สวี่อวี่ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดงานที่ดุเดือด เธอลงทุนเงินกว่า 20,000 หยวน หรือราว 90,000 บาทเพื่อเข้าฝึกอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความผิดหวังเมื่อได้รับจดหมายปฏิเสธจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Tencent Holdings และ JD.com

ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ ถังฮุ่ย (Tang Hui) เธอได้รับข้อเสนองานด้านบัญชีจากผู้ผลิตรถพลังงานใหม่ชั้นนำก่อนจบการศึกษา แต่ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดให้กับผู้จบใหม่ ถังฮุ่ยได้รับเงินชดเชยเป็นค่าแรงหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้น แม้ว่าเธอจะสมัครงานไปกว่า 50 บริษัทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ได้รับข้อเสนอใด ๆ กลับมา เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของบัณฑิตใหม่จีนหลังจบการศึกษา

ในปีนี้ เหล่าบัณฑิตจีนที่จบออกมามีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11.8 ล้านคน และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อ่อนแอที่สุดที่จีนเคยเผชิญมาหลายปี จากการที่บรรดาบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกระดูกสันหลังของจีน ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง 

ยกตัวอย่าง ‘เหล่าบริษัทเทคโนโลยี’ อย่าง  Alibaba, Tencent และ Baidu ก่อนหน้านี้เคยขยายการจ้างงาน แต่ปัจจุบันตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง โดย Alibaba ตัดพนักงานลงมากกว่า 13%

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ ‘ธุรกิจกวดวิชา’ ที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลออกระเบียบลดภาระการบ้านและการติวหลังเลิกเรียน อีกทั้ง ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีจีนก็ยังคงซบเซา จนทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้ได้หายไปในปีนี้

ส่วนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทนและเซมิคอนดักเตอร์ ยังไม่สามารถทดแทนด้านการจ้างงานได้ เพราะการสรรหาบุคลากรเหล่านี้ ‘ต้องการความสามารถเฉพาะทาง’ ซึ่งมักมีวุฒิขั้นสูง เช่น BYD ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้ได้ลดการรับสมัครนักศึกษาลงมากกว่าครึ่งจาก 30,000 คนในปี 2023

หลายคนอาจมีค่านิยมว่า จบจากมหาวิทยาลัยดังมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ปัจจุบันนี้อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป หลายบริษัทต้องการคนมีประสบการณ์และเคยผ่านงานด้านนั้นมากกว่า  

จากที่เคยเป็นเพียงส่วนเสริม ‘ประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมา’ ได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดโอกาสในการทำงาน หลิว จื่อเฉา (Liu Zichao) บัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเขาคว้าตำแหน่งงานเทคโนโลยีมาครองได้สำเร็จหลังจากฝึกงานที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok 

เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่การฝึกงานเฉพาะทาง กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่สำคัญยิ่งกว่าวุฒิการศึกษา

นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนอันซบเซาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ บัณฑิตจบใหม่หลายคนกำลังเผชิญปัญหาการหางานที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง โดยมีคุณสมบัติเกินกว่างานระดับล่าง แต่ขาดประสบการณ์สำหรับงานระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังด้านอาชีพที่สูงขึ้นของบัณฑิตในปัจจุบัน กำลังทำให้ความไม่ลงรอยกันในตลาดแรงงานของจีนเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลหลายคนรายงานว่า ความทะเยอทะยานที่เกิดจากโซเชียลมีเดียสำหรับงานเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้นำไปสู่การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงเกินจริง ทำให้บัณฑิตจำนวนมากไม่พอใจกับตำแหน่งงานที่มีอยู่

จาง (Zhang) ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า บัณฑิตที่สอบข้าราชการไม่ผ่านมักเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่พร้อม และเรียกร้องเงินเดือนสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมมาก

ในทำนองเดียวกัน หยาง เจียน (Yang Jian) ซึ่งทำงานด้านการสรรหาบุคลากรสำหรับบริษัทอัตโนมัติขนาดเล็กกล่าวว่า ความคาดหวังที่ไม่สมจริงของบัณฑิตจบใหม่ และความลังเลในการยอมรับงานที่มีรายได้ต่ำกว่า ทำให้บริษัทของเธอหยุดรับสมัครบัณฑิตใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมามองดูมุมมองของเหล่าบัณฑิต ผู้หางานรุ่นใหม่รู้สึกไร้อำนาจในตลาดแรงงาน สวัสดิการพื้นฐานเช่น วันทำงานแปดชั่วโมงและประกันสังคมที่ได้รับกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งหรูหรา โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีนพบว่า พนักงานรุ่นใหม่ทำงานหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นการทำงานเฉลี่ย 251.9 ชั่วโมงต่อเดือน และมีความคุ้มครองด้านประกันสังคมที่ต่ำจากนายจ้าง

ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรู้สึกสิ้นหวังในตลาดแรงงาน ชาวจีนรุ่นใหม่จึงถอยกลับไปยังชนบท โดยหลังจากประกาศว่าตนถูกเลิกจ้าง ลาออก หรือว่างงาน ชาวจีนเจน Z และ Y ก็บันทึกชีวิตประจำวันแบบ ‘เกษียณอายุ’ ในชนบทของตนบนโซเชียลมีเดีย  

เมื่อปีที่แล้ว ผู้เกษียณอายุที่ประกาศตนเองวัย 22 ปี ซึ่งใช้ชื่อแฝงว่า เหวินจือ ต้าต้า (Wenzi Dada) ได้ตั้งถิ่นฐานในกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาในมณฑลกุ้ยโจวของจีน เหวินจือ ซึ่งเคยทำงานในหลากหลายสาขา เช่น ซ่อมรถยนต์ ก่อสร้าง และการผลิต บอกกับสื่อท้องถิ่นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องจัดการกับเครื่องจักรทุกวัน จึงลาออกเพื่อกลับบ้านเกิด

นอกจากนี้ บัณฑิตบางคนหันไปทำงานอิสระ เช่น เป็นคนขับส่งของหรือพี่เลี้ยงเด็ก ในขณะที่อีกหลายคนก็เลื่อนการเข้าสู่ตลาดแรงงาน

‘อิหร่าน’ ออกประณาม!! มาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของ ‘สหรัฐอเมริกา’ ชี้!! ‘ผิดกฎหมาย-ไม่ยุติธรรม’ ทั้งยังทำให้อิสราเอลได้ใจ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ต่อไป

(14 ต.ค. 67) ในแถลงการณ์ของ ‘เอสมาอิล บาเกอี’ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ได้กล่าวปกป้องการโจมตีอิสราเอลของอิหร่านว่า เป็นการกระทำที่ ‘ถูกกฎหมาย’ และยืนกรานว่า อิหร่านมีสิทธิตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ พร้อมกับประณามการคว่ำบาตรของสหรัฐอย่างรุนแรง โดยบอกว่าเป็นการดำเนินงานที่ ‘ผิดกฎหมายและไม่ยุติธรรม’

เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา สหรัฐลงโทษอิหร่านด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.

ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐ รายงานว่า หน่วยงานมุ่งเป้าออกมาตรการคว่ำบาตรไปที่กองเรือมืดของอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายน้ำมันอิหร่าน ซึ่งถือเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรที่มีอยู่

กระทรวงฯระบุว่า ได้ออกข้อกำหนดให้บริษัทอย่างน้อย 10 แห่ง และเรืออย่างน้อย 17 ลำ เป็น ‘สินทรัพย์ที่ถูกปิดกั้น’ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของอิหร่าน

นอกจากนี้ยังได้ประกาศออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อธุรกิจ 6 ราย และเรือ 6 ลำ เนื่องจากมีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมที่สำคัญสำหรับการซื้อ การขาย การขนส่ง หรือการตลาดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือปิโตรเคมีจากอิหร่าน

อย่างไรก็ตาม บาเกอี บอกว่า นโยบายที่เป็นภัยคุกคามและสร้างแรงกดดันมากที่สุดนี้ ไม่มีผลกระทบต่อเจตจำนงของอิหร่านที่ต้องการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน และว่า การคว่ำบาตรจะอาจทำให้อิสราเอลสังหารผู้บริสุทธิ์ได้ต่อไป ทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อความสงบ และความสามัคคีของภูมิภาคและของโลก

ทั้งนี้ มาตรการคว่ำบาตรใหม่มีขึ้นขณะที่โลกกำลังจับตาดูการตอบโต้ของอิสราเอลต่อการโจมตีของอิหร่าน และมีขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค.

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้แนะให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่อับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ออกมาเตือนเมื่อวันอังคาร (8 ต.ค.) ว่า หากมีการโจมตีใด ๆ เกิดขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐานในอิหร่าน อิหร่านจะตอบโต้อย่างรุนแรงมากขึ้น

‘แอนโทนี่ ตัน’ ซีอีโอ Grab ทำงานหนัก วันละ 20 ชั่วโมง ด้วยเงินทุน 8 แสนบาท สร้าง ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของอาเซียนได้สำเร็จ กวาดรายได้ปีละ 6.6 หมื่นล้านบาท

(13 ต.ค. 67) ‘แกร็บ’ (Grab) สตาร์ทอัพเล็กๆ ในมาเลเซีย ที่เริ่มต้นด้วยบริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ จากเงินทุนก้อนแรก 8 แสนบาท ก้าวสู่การเป็น ‘ยูนิคอร์น’ บริษัทแรกของอาเซียนในเวลาเพียงไม่กี่ปี 

เพียงเพราะ ‘แอนโทนี่ ตัน’ เด็กหนุ่มทายาทตระกูลร่ำรวยที่อยากพิสูจน์ตัวเอง จนสร้าง ‘ซูเปอร์แอป’ ที่มีรายได้ปีละ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 6.6 หมื่นล้านบาท ด้วยธุรกิจเจาะกลุ่ม ‘ฐานของปิรามิด’ และทำงานหนักเพื่อสร้างแอปที่ใช้งานได้จริง 

แอนโทนี่ ตัน โตมากับตำแหน่งทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลแทน  จากการทำธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ข้ามชาติ บริษัทตันชงมอเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศมาเลเซีย จนไม่จำเป็นต้องแสวงหาความร่ำรวยแล้ว 

ในปี 2552  แทนได้เข้าศึกษาต่อที่ Harvard Business School และพบกับ โฮย หลิง ตัน เพื่อนชาวมาเลเซียในชั้นเรียน ‘การทำธุรกิจในตลาดที่เป็นฐานของปิรามิด’ 

จนกระทั่งปีในปี 2554 ทั้งคู่ได้พูดคุยกันถึงปัญหาความปลอดภัยของระบบแท็กซี่ในมาเลเซีย โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง ซึ่งจุดประกายให้พวกเขาตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จุดเริ่มต้นของธุรกิจ Grab หลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันร่างแผนธุรกิจเพื่อเข้าร่วมการประกวดสตาร์ทอัพในมหาวิทยาลัย และสามรถคว้ารางวัลรองชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล 25,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 8 บาทเท่านั้น

จากสตาร์ทอัพเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำอย่าง SoftBank จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เส้นทางการสร้างบริษัทให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ความคาดหวังของครอบครัวที่อยากให้ตันสานต่อธุรกิจที่บ้าน มำให้ไอเดียการสร้าง Grab ถูกปฏิเสธ พ่อของเขาพูดว่า “ฉันไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ” ประโยคกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทันมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง

เมื่อขอเงินทุนจากพ่อไม่สำเร็จ ทันหันขอเสนอแผนธุรกิจนี้กับแม่ ซึ่งเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจนี้และตัดสินใจสนับสนุนเงินทุนให้เป็นคนแรก ด้วยเงินทุนที่ได้มา ทันจึงเริ่มต้นธุรกิจ Grab ภายใต้ชื่อ MyTeksi ในเดือนมิถุนายน ปี 2555 
.
ช่วงเริ่มต้นของ Grab นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย ตันและทีมงานต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องงบประมาณที่จำกัดในการสร้างระบบแท็กซี่ใหม่ให้กับมาเลเซีย

สำนักงานเดิมของ Grab ตั้งอยู่ในห้องเล็กๆ ในกัวลาลัมเปอร์ เป็นห้องทำงานเล็กๆ ที่ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานอย่างเครื่องปรับอากาศขณะที่อากาศร้อนตลอดปี และไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตขนาดต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากมือถือ

นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้เป็นเรื่องยากที่ทำให้ Grab ดึงคนขับมาเป็นพาร์ทเนอร์บนแพลตฟอร์ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ในการเริ่มต้นธุรกิจ Grab ในช่วงแรก ๆ แทนได้เดินทางไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานขับรถแท็กซี่มาลองใช้บริการ Grab

ตันสังเกตเห็นพฤติกรรมของคนขับแท็กซี่ในโฮจิมินห์ซิตี้ที่มักแวะดื่มกาแฟที่ปั๊มน้ำมันในช่วงเช้า จึงนำไปสู่ไอเดียแจกกาแฟฟรีตอน ตี 4 เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและชักชวนให้พวกเขามาร่วมงานกับ Grab นั่นเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เค้าเข้าถึงกลุ่มไรเดอร์

ส่วนที่มะนิลา แทนใช้เวลาช่วงเช้ามืดไปทำความรู้จักกับคนขับแท็กซี่อย่างใกล้ชิด นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตพร้อมกับดื่มเบียร์เย็นๆ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

ปี 2561  เป็นปีที่ตลาดบริการเรียกรถในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Uber ยักษ์ใหญ่ด้านการเรียกรถบริการจากสหรัฐตัดสินใจขายธุรกิจในภูมิภาคนี้ให้กับ Grab คู่แข่งรายสำคัญ โดยแลกกับหุ้นใน Grab ถึง 27.5% และ Dara Khosrowshahi ซีอีโอของ Uber เข้าร่วมคณะกรรมการของ Grab 

การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามการแข่งขันที่ดุเดือดและยาวนาน ทำให้ Grab กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งในภูมิภาคอย่างมาก

แม้ว่า Grab จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดตลาดจากทั้งนักวิจารณ์และหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและการครอบคลุมตลาดในหลายประเทศ 

Grab ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว เช่นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง และเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้คนในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือที่เรียกว่า ‘ฐานของปิรามิด’

ตอนนี้นอกจาก Grab จะให้บริการเรียกแล้ว ยังขยายธุรกิจไปสู่บริการจัดส่งอาหารและสินค้า รวมถึงบริการทางการเงิน เช่น การชำระเงิน การให้กู้ยืมและธนาคารดิจิทัล ปัจจุบันแกร็บให้บริการลูกค้ากว่า 35 ล้านคน และสร้างงานอิสระกว่า 13 ล้านตำแหน่งใน 8 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา 

‘คณะกรรมการโนเบล’ มอบ ‘รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ’ ให้องค์กรในญี่ปุ่น เพื่อเชิดชูความพยายาม ในการผลักดันโลก ให้ปลอดจาก ‘อาวุธนิวเคลียร์’

(12 ต.ค. 67) คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลมีมติเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ประกาศให้ สมาพันธ์ผู้ประสบภัยจากระเบิดปรมาณูและไฮโดรเจนแห่งญี่ปุ่น หรือ ‘นิฮง ฮิดันเกียว’ (Nihon Hidankyo) ซึ่งเป็นองค์กรของผู้รอดชีวิตในญี่ปุ่นจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับ "รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ" ประจำปีนี้ เพื่อเชิดชูความพยายามในการผลักดันโลกให้ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์

คณะกรรมการฯ ระบุว่า นิฮง ฮิดันเกียว ซึ่งเป็นองค์กรรากหญ้าที่มีการก่อตั้งขึ้นในปี 1956 หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในเดือนส.ค. 1945 ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่ร้ายแรงต่อมนุษยชาติจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์

แม้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงครามเป็นเวลาเกือบ 80 ปีแล้ว แต่เป็นเรื่องน่าวิตกที่ในปัจจุบัน แนวคิดในการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์กำลังถูกกดดัน

สำหรับพิธีมอบรางวัลโนเบลจะมีขึ้นที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ในวันที่ 10 ธ.ค. โดยบุคคลหรือองค์กรที่คว้ารางวัลจะได้รับเงินจำนวน 11 ล้านโครนาสวีเดน (1.06 ล้านดอลลาร์) หรือราว 35 ล้านบาท

สำนักข่าววีโอเอระบุว่า สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกใส่ญี่ปุ่นในปี 1945 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 120,000 คนทันที และมีประชาชนจำนวนเท่าๆ กันเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากแผลไหม้และผลกระทบของกัมมันตภาพรังสี ขณะที่มีผู้รอดชีวิตอยู่ราว 650,000 คนที่มีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ฮิบากูชะ (Hibakusha)

แถลงการณ์ของคณะกรรมการโนเบลระบุว่า ชะตาชีวิตของผู้รอดชีวิตเหล่านั้นถูกปกปิดไว้หรือไม่สังคมก็ไม่ยอมรับรู้ และในปี 1956 สมาคมฮิบาคุชะหลายแห่งในญี่ปุ่นมารวมตัวกันกับเหยื่อของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อสร้างกลุ่ม Nihon Hidankyo ขึ้นมา

คณะกรรมการรางวัลโนเบลระบุว่า กลุ่มดังกล่าวได้รับรางวัลสันติภาพจาก ‘ความพยายามที่จะให้โลกปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ และจากการแสดงให้เห็นผ่านคำให้การของพยานผู้รอดชีวิตว่า จะต้องไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์อีกต่อไป’

"ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง" โทชิยูกิ มิมากิ ประธานร่วมของนิฮง ฮิดันเกียว กล่าวโดยกลั้นน้ำตาและบีบแก้มตัวเองไว้ ในการแถลงข่าวที่เมืองฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุระเบิดปรมาณูเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง

มิมากิซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตกล่าวว่า รางวัลนี้จะช่วยผลักดันความพยายามในการแสดงให้เห็นว่า การยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นไปได้ และตำหนิรัฐบาลต่างๆ ที่ยังเดินหน้าทำสงครามแม้ว่าประชาชนจะโหยหาสันติภาพก็ตาม

ด้านยอร์เกน วัตเน ฟรีดเนส ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ กล่าวเตือนโดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศใดประเทศหนึ่งว่า ประเทศที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไม่ควรคิดที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์

‘รัสเซีย’ บล็อก!! ‘Discord’ ข้อหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ด้านการสื่อสาร งานเข้า!! ทหารหมีขาว เต็มๆ เพราะดันใช้สื่อสารกันเอง ในกองทัพ

(12 ต.ค. 67) รัสเซียสั่งบล็อกการใช้งาน Discord ด้วยเหตุผลว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านการสื่อสารของรัสเซีย ที่ต้องป้องกันการนำไปใช้ก่อการร้าย และยาเสพติด

รัสเซียบล็อกช่องทางโซเชียลของต่างชาติ เช่น Facebook, Twitter ตั้งแต่วันแรก ๆ ของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนช่วงต้นปี 2022 การบล็อก Discord หลังเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 3 ปีอาจเป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมเพิ่งมาบล็อกตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Washington Post รายงานว่าการบล็อก Discord ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อกองทัพรัสเซียเอง เพราะทหารในกองทัพรัสเซียสื่อสารกันด้วย Discord เนื่องจากเป็นช่องทางการส่งข้อความที่ปลอดภัย เข้ารหัส และยังไม่ถูกบล็อกการใช้งานในประเทศ ทางการรัสเซียเคยสัญญาว่าจะทำแอปแชตของตัวเอง แต่มาถึงปัจจุบันก็ยังไม่เกิดขึ้น

การบล็อก Discord ของรัสเซีย เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการบล็อกในตุรกี ซึ่งหน้าสถานะของ Discord ก็ยืนยันว่าถูกทั้งสองประเทศบล็อกจริง ๆ

สถานการณ์ความรุนแรงใน ‘เมียนมา’ เริ่มจะเบาบางลง เหตุ!! ‘งบน้อย-จีนออกมาปราม-เตรียมเดินหน้าเจรจา’

(12 ต.ค. 67) หลายวันก่อนเอย่าไปคุยถึงสถานการณ์เมียนมากับมิตรสหายสายข่าวกรองในเมียนมาท่านหนึ่งว่าทำไมช่วงนี้ความรุนแรงในเมียนมาเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิตรสหายท่านนั้นได้บอกเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว

อันแรกคือการที่ประเทศผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการกำลังมีการจะมีเลือกตั้งผู้นำ  ทำให้นโยบายต่างประเทศไม่ชัดเจนดังนั้นพอเงินที่มาน้อยลงใบเสร็จก็ลดลงตาม

ประเด็นที่ 2 การที่จีนผู้เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องออกโรงมาปรามกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องอันมาจากเหตุที่เข้าไปยึดล่าเสี้ยว ทำให้สถานการณ์ทางเหนือของเมียนมาเงียบลง

ล่าสุดทางรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกประกาศเชิญชวนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม PDF ไปถึง NUG ให้เข้ามาเจรจาสันติภาพเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งในเมียนมา ซึ่งแน่นอนว่าประกาศนี้ถูกฝ่าย NUG ออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งถ้าถามเอย่าว่าแปลกใจไหมบอกเลยว่าไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะทางรัฐบาลทหารเมียนมาก็ต้องการคำตอบนี้จาก NUG เช่นกันและผลักดันให้ NUG กลายเป็นตัวร้ายในสายตาชาวโลก

การที่เมียนมากล้าทำแบบนี้เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้การช่วยเหลือ อันได้แก่รัสเซีย จีน และอินเดีย ดังปรากฏให้เห็นแล้วว่าเมื่อจีนกับอินเดียเป็นแบ็กอัปให้เมียนมาทำให้สถานการณ์ทางเหนือและฝั่งตะวันตกเบาบางลงเหลือเพียงสถานการณ์ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

จากสถานการณ์สงครามในเมียนมาฝั่งตะวันออกติดแนวชายแดนไทยทำให้มูลค่าส่งออกลดลงนับหลายพันล้านบาทนี่ไม่นับปัญหาที่ไทยจะต้องมานั่งรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้อพยพหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทยไปถึงการฟอกขาวเป็นคนไทย ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดสุดท้ายคือการที่ไทยกลายเป็นแหล่งระดมทุนซื้อขายอาวุธส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ทั้งหมดที่เอย่ากล่าวมานี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ทว่ารัฐบาลไทยก็ดี กองทัพไทยก็ดี ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยสร้างความสงบสุขในเมียนมา

เอย่าก็ไม่ได้อยากจะต่อว่ารัฐบาลและกองทัพไทยในเวลานี้เข้าใจว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพคงกำลังช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกับสถานการณ์วาตภัยอยู่ แต่การละเลยปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทยด้วยกันเอง

สุดท้ายผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยควรหัดมาถามชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีต่างด้าวมากมายเพ่นพ่านในประเทศไทย

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#7 อาวุธหนักที่ไม่เป็นรองใครใน ‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’

หลังจากเยี่ยมชม การแสดง การสาธิต และการทดสอบการยิงอาวุธเบาด้วยกระสุนจริงและกระสุนซ้อมยิง ของบริษัท High-Precision Weapons holding ณ สนามยิงปืนซึ่งตั้งอยู่ภายในอนุสรณ์สถาน Patriot park ในช่วงเช้าและรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ช่วงบ่ายเป็นการเยี่ยมชมบูธนิทรรศการของบริษัท Almaz – Antey Air and Space Defence Corporation มีสำนักงานใหญ่ในกรุงมอสโก และเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศรายใหญ่ ในแง่ของยอดขายอาวุธยุทโธปกรณ์ในระหว่างปี 2013-2016 ครองอันดับ 11-14 อย่างต่อเนื่องจาก 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และก้าวขึ้นเป็นอันดับแปดของโลกเมื่อวัดจากรายได้ในปี 2017 ซึ่งในปีนั้นเอง Almaz-Antey มียอดขายอาวุธถึง 9.125 พันล้านดอลลาร์ 

ผลิตภัณฑ์ของ Almaz – Antey ได้แก่ ระบบป้องกันอากาศยาน, ศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่, ระบบนำทาง, ขีปนาวุธ, ขีปนาวุธต่อต้านขีปนาวุธ, ขีปนาวุธร่อน, เรดาร์, ระบบควบคุมอัตโนมัติ, ระบบนำทาง , ระบบจราจรทางอากาศ, สถานีอาวุธระยะไกล, ป้อมปืนอัตโนมัติ, กระสุนปืนใหญ่, อาวุธปืน และ อากาศยานไร้คนขับ ฯลฯ ทั้งยังผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับพลเรือน เช่น อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ระบบนำทาง ระบบจราจรทางอากาศ เรดาร์ตรวจอากาศและจราจรทางอากาศสำหรับการบินพลเรือน อุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน อุปกรณ์คมนาคม-ขนส่ง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ระบบรักษาความปลอดภัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ ระบบทำความสะอาดน้ำเสีย วาล์วระบายอากาศสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหาร ฯลฯ

Antey-2500 (S-300VM)

หนึ่งในระบบป้องกันภัยทางอากาศที่น่าสนของ Almaz – Antey ได้แก่ ระบบ ADMS 'Antey-2500' ซึ่งมีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายในระยะไกลและระดับความสูง โดยระบบนี้ใช้งานได้หลากหลายสำหรับการทำลายเป้าหมายทางอากาศพลศาสตร์และขีปนาวุธข้ามทวีปทุกประเภทที่มีพิสัยการยิงสูงสุดถึง 2,500 กม. ได้รับการออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับ :

- เครื่องบินรบทางยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ที่มีอยู่และคาดว่าจะมีในอนาคต (รวมถึงเครื่องบินล่องหน)
- ขีปนาวุธทางยุทธวิธี ขีปนาวุธพิสัยใกล้และระยะกลาง
- ขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ
- ระบบเตือนภัยและควบคุมล่วงหน้าทางอากาศ ระบบตรวจจับเป้าหมายและระบบควบคุมการยิง
- เครื่องรบกวนสัญญาณลอยฟ้า

ความสามารถในการโจมตีเป้าหมายทางอากาศ :
ระยะปฏิบัติการสูงสุด :
- เป้าหมายทางอากาศ 350 กม.
- ขีปนาวุธทางยุทธวิธี 40 กม. 
- ขีปนาวุธพิสัยใกล้30 กม.

ระดับความสูง สูงสุด :
- เป้าหมายทางอากาศ 30 กม.
- เป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธ 25 กม.
- ความเร็วสู่เป้าหมายกระสุนสูงสุด 4500 ม./วินาที
- พื้นที่ตัดเรดาร์ขั้นต่ำของเป้าหมาย 0.02 ตร.ม.
- ปริมาณของเป้าหมายที่โจมตีพร้อมกันขึ้นอยู่กับจำนวนเครื่องยิงภายในระบบ

S-400 'Triumph'

อีกระบบป้องกันภัยทางอากาศที่น่าสนของ Almaz – Antey ได้แก่ ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน S-400 พร้อมขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านอากาศยาน 48N6E3 (48N6E2), 40N6E, 9M96E2 และระบบควบคุม 30K6E มีขีดความสามารถในการทำลายเป้าหมายทางอากาศที่มีพิสัยการยิงทั้งหลายช่องทาง ระดับความสูง ความคล่องตัวและความแม่นยำสูง

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 เป็นระบบมาตรฐานสากลที่ใช้ทำลายเป้าหมายทางอากาศทุกประเภทและขีปนาวุธพิสัยไกลที่มีพิสัยการยิงสูงสุดถึง 3,000 - 3,500 กม. S-400 ADMS ออกแบบมาเพื่อทำลายวิธีการโจมตีทางอากาศที่มีอยู่และที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (รวมถึงเครื่องบินล่องหน) ได้แก่
- เครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบเตือนภัยและควบคุมทางอากาศ
- เครื่องบินลาดตระเวนที่ทำหน้าที่ทั้งในฐานะปัจเจกและเป็นส่วนหนึ่งของระบบค้นหาเป้าหมายและควบคุมการยิง
- เครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์
- ขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลาง
- วิธีการโจมตีทางอากาศอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมทางสงครามอิเล็กทรอนิกส์

ลักษณะเด่น
ช่วง (สูงสุด/นาที) :
- เป้าหมายทางอากาศ 380/2.5 กม.
- ต่อต้านเป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธ 60/5 กม.
ขีดจำกัดระดับความสูง (สูงสุด/ต่ำสุด) :
- เป้าหมายทางอากาศ 30/0.01 กม.
- ต่อต้านเป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธ 25/2 กม.
- ความเร็วสู่เป้าหมายสูงสุด 4,800 ม./วินาที

จำนวนเป้าหมาย/ขีปนาวุธนำวิถีที่ถูกโจมตีพร้อมกัน :
- SAM ในชุดเต็ม สูงถึง 80/160
- แยก ADMS (ฝ่าย) สูงถึง 10/20
ในปี 2017 หนังสือพิมพ์ The Economist ได้ให้คำอธิบายของระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ไว้ว่า “เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีการผลิตมา”

ซากเครื่องบิน B-52 Stratofortress ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งถูกยิงตกเหนือกรุงฮานอยในปี 1972

ระบบป้องกันภัยของสหพันธรัฐรัสเซียได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อครั้งสงครามเวียดนาม โดยยอดรวมอากาศยานของกองทัพสหรัฐฯ ทุกชนิดทุกเหล่าทัพ (บก-เรือ-อากาศ-นาวิกโยธิน) ประสบความสูญเสียรวมถึง 8,540 ลำ และอากาศยานของกองทัพเวียดนามใต้ประสบความสูญเสียอีก 1,018 ลำ ซึ่งอากาศยานส่วนใหญ่สูญเสียจากการรบ

เกิดเหตุปะทะชายแดนอิสราเอล-เลบานอน แรงงานไทยตาย 1 บาดเจ็บรุนแรง 1

(11 ต.ค. 67) สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้ออกประกาศสำหรับคนไทยในอิสราเอล ว่า

ประกาศสำหรับคนไทยในอิสราเอลโดยที่เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (11 ต.ค. 67) ได้เกิดเหตุยิงจรวดต่อสู้รถถัง (anti-tank missile) เข้าไปยังนิคมเกษตร Yir'on ทางเหนือของอิสราเอลติดชายแดนเลบานอน

ซึ่งเป็นเขตปิดทางทหาร (closed military zone) ทำให้แรงงานไทย 1 รายเสียชีวิต และอีก 1 รายได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอแจ้งว่า หากมีพี่น้องแรงงานไทยที่ยังอยู่ในเขตปิดทางทหารหรือพื้นที่เสี่ยงอันตรายอื่น ๆ สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อขอรับความช่วยเหลือในการย้ายออกจากพื้นที่ตามหมายเลขโทรศัพท์ด้านล่าง

ฝ่ายกงสุล โทร +972 546368150 +972 503673195
ฝ่ายแรงงาน โทร. +972 9-954-8431+972 54-469-3476
ไอดีไลน์ 0544693476

เขตปิดทางทหาร (closed military zone) ในขณะนี้ 11 แห่ง ได้แก่ เมืองเมตูลา (Metula) มิซกาฟ อัม (Misgav Am) คฟาร์ กิลอาดี (Kfar Giladi) โดเวฟ (Dovev) ซิฟออน (Tziv'on) มาลเกีย (Malkia) รอช ฮานิกรา (Rosh Hanikra) ชโลมิ (Shlomi) ฮานิตา (Hanita) อดามิท (Adamit) และอาหรับ อัล-อรามเช (Arab al-Amshe) โดยเป็นพื้นที่ห้ามพักอาศัยหรือทำงาน

ด้วยความห่วงใย จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ

2 นายกรัฐมนตรีไทย-จีน จับเข่าร่วมหารือทวิภาคี ผลักดันความร่วมมือในโอกาส 50 ปีมิตรประเทศ

(11 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เปิดเผยว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อใช้วาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2025 เป็นโอกาสสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม เสริมสร้างการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ส่งเสริมความร่วมมือ และผลักดันการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน

หลี่กล่าวคำข้างต้นระหว่างพบปะหารือกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย นอกรอบการประชุมคณะผู้นำว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) โดยหลี่เสริมว่าแนวคิด 'จีนและไทยเป็นครอบครัวเดียวกัน' ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จีนและไทยเป็นมิตรสหายและเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่เชื่อมโยงกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ ขณะการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันยังคงเดินหน้าต่อไปภายใต้คำชี้แนะเชิงยุทธศาสตร์จากคณะผู้นำของสองประเทศโดยมีความร่วมมือด้านต่าง ๆ มากมายและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนอย่างอบอุ่น

หลี่คาดหวังว่าความสัมพันธ์จีน-ไทย จะผูกพันใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นและนำพาผลประโยชน์มาสู่ประชาชนของสองประเทศเพิ่มขึ้น โดยจีนสนับสนุนไทยแสวงหาวิถีทางการพัฒนาอันเหมาะสมกับสภาพการณ์ของประเทศ และยินดีจะเป็นหุ้นส่วนที่น่าไว้วางใจและเชื่อถือได้ของไทยเสมอ

ฝ่ายจีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ดีขึ้น สื่อสารนโยบายต่าง ๆ กับอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน เร่งก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ส่งเสริมการบูรณาการและการพัฒนาทางอุตสาหกรรม และกระชับความร่วมมือในนิคมอุตสาหกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล ยานยนต์พลังงานใหม่ พลังงานแสงอาทิตย์ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและยกระดับเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น

หลี่เรียกร้องทั้งสองฝ่ายร่วมจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2025 และเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนด้านสื่อ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา และเยาวชน เพื่อรวบรวมแรงสนับสนุนจากสาธารณชนต่อมิตรภาพระหว่างสองประเทศ

จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อดำเนินงานตามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อย่างมีคุณภาพสูง เร่งการบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เสริมสร้างการประสานงานและความร่วมมือพหุภาคี และร่วมคุ้มครองการพัฒนาอย่างสันติและมีเสถียรภาพในภูมิภาค

ด้านแพทองธารแสดงความยินดีกับวาระครบรอบ 75 ปี การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) และแสดงความเชื่อมั่นว่าจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและมีส่วนส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของโลกยิ่งขึ้น

ไทยยินดีร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองกับจีนเนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ในปี 2025 พร้อมเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระดับสูง ส่งเสริมความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันในด้านเศรษฐกิจ การค้า การเกษตร และอื่น ๆ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนเพิ่มขึ้น และร่วมปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรศัพท์ เพื่อผลักดันการสร้างประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกันต่อไป

แพทองธารเสริมว่าไทยยินดีเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงานกับจีนภายในอาเซียน ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และกรอบความร่วมมือพหุภาคีอื่น ๆ ตลอดจนร่วมส่งเสริมการเปิดเสรีและการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน และคุ้มครองสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งระดับภูมิภาค

(แฟ้มภาพซินหัว : หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย นอกรอบการประชุมคณะผู้นำว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว วันที่ 10 ต.ค. 2024)

ปิดตำนาน ‘ราฟาเอล นาดาล’ ประกาศแขวนแร็กเกตสิ้นปี หมดยุค 2 ราชาคอร์ทหญ้า-คอร์ทดิน ‘เฟเดอเรอร์-นาดาล’

(11 ต.ค. 67) บีบีซี สื่อในประเทศอังกฤษ รายงานว่า ราฟาเอล นาดาล อดีตแชมป์แกรนด์สแลม 22 รายการ วัย 38 ปี ชาวสเปน ได้ออกมาประกาศเลิกเล่นอาชีพอย่างเป็นทางการ โดยจะลงเล่นรายการสุดท้ายในศึกเทนนิสทีมชายชิงแชมป์โลก หรือ เดวิส คัพ 2024 ไฟนอลส์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างสเปน พบ เนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 19 พ.ย.67 นี้ 

นาดาล ได้เผยสั้น ๆ ว่า "ผมมาที่นี่เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่าผมกำลังจะเลิกเล่นเทนนิสอาชีพ ความจริงก็ คือว่ามันเป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับผม โดยเฉพาะ 2 ปีหลังจากนี้ ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถเล่นเทนนิสได้โดยปราศจากข้อจำกัดต่าง ๆ"

สำหรับราฟาเอล นาดาล ได้เริ่มเล่นเทนนิสอาชีพตั้งแต่ปี 2001 สามารถคว้าแชมป์ตลอดการเล่นเทนนิสไปถึง 921 รายการ โดยเป็นแชมป์แกรนด์สแลมไปถึง 22 รายการ เฉพาะในศึกเฟรนช์ โอเพ่น ที่คว้าแชมป์ไปถึง 14 สมัย , แชมป์วิมเบิลดัน 2 สมัย , แชมป์ออสเตรเลียน โอเพ่น 2 สมัย , แชมป์ยูเอส โอเพ่น 4 สมัย รวมไปถึงคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์มาครอง 2 สมัย ในปี 2008 และ 2016 (ในประเภทชายคู่) และครองตำแหน่งมือ 1 ของโลกไปถึง 209 สัปดาห์ 

‘ฮัน คัง’ นักเขียนหญิงจากเกาหลีใต้ ผงาดคว้ารางวัล ‘โนเบลวรรณกรรม’

(11 ต.ค. 67) มัตส์ มาล์ม เลขาธิการคณะกรรมการรางวัลโนเบลของสวีเดนประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี 2024 ซึ่งตกเป็นของ ฮัน คัง นักเขียนหญิงชาวเกาหลีใต้ วัย 53 ปี จากผลงานร้อยแก้วเชิงกวีอันเข้มข้นที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ และเปิดเผยความเปราะบางของชีวิตมนุษย์

ในผลงานของคัง เธอได้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์และกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็น ทั้งยังเปิดเผยความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ เธอมีความตระหนักที่ไม่เหมือนใครต่อความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณ ชีวิตและความตาย ด้วยรูปแบบบทกวีและการทดลองของเธอ ทำให้คังกลายเป็นผู้ริเริ่มงานร้อยแก้วร่วมสมัย

ผลงานของคังเคยคว้ารางวัล International Booker Prize ในปี 2016 จากผลงานนวนิยาย The Vegetarian ซึ่งเป็นเรื่องสะเทือนใจเกี่ยวกับการตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์ของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ‘ฮัน คัง’ จากเกาหลีใต้ นับเป็นชาติที่ 4 ในทวีปเอเชียที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขา วรรณกรรม ต่อจาก ประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top