Tuesday, 12 November 2024
WORLD

‘อิสราเอล’ เดือด!! ออกมาตรการโต้กลับ ประเทศที่หนุนตั้งรัฐปาเลสไตน์ ล่าสุดตอบโต้ทางการทูต ‘สเปน-นอร์เวย์-ไอร์แลนด์’

อิสราเอล ตอบโต้ประเทศที่สนับสนุนการตั้งรัฐปาเลสไตน์ ด้วยการเรียกตัวเอกอัครราชทูตของไอร์แลนด์, นอร์เวย์ และสเปน ประจำอิสราเอล เข้ารับทราบคำตำหนิ ขณะเดียวกัน ได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตของอิสราเอล ที่ประจำการในกรุงดับลินของไอร์แลนด์, กรุงออสโลของนอร์เวย์ และกรุงมาดริดของสเปน เดินทางกลับประเทศทันที

(24 พ.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล กำลังพิจารณาขั้นตอนทางการทูตเพิ่มเติม เช่น ยกเลิกการเยือนอิสราเอลของเจ้าหน้าที่จากประเทศเหล่านี้ และการเพิกถอนวีซ่า 

ขณะที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เชื่อว่า เรื่องการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ควรมีการเจรจาทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่การยอมรับฝ่ายเดียว 

สำหรับ รัฐบาลสเปน, นอร์เวย์ และไอร์แลนด์ ประกาศเตรียมรับรองสถานะ ‘รัฐปาเลสไตน์’ อย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ หลังจากรัฐบาลทั้งสามประเทศเห็นพ้องว่า การรับรองดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ตาม ‘แนวทางสองรัฐ’ (Two-State Solution) 

เวลานี้มีรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ (UN) มากกว่า 140 จาก 193 ประเทศทั่วโลกได้ประกาศรับรองสถานะนี้ให้กับปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศอาหรับและมุสลิมในตะวันออกกลาง ขณะที่ 3 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมถึงอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ยังไม่ได้ประกาศรับรองสถานะ ‘การเป็นรัฐ’ ให้ปาเลสไตน์ 

‘เม็กซิโก’ เวทีหาเสียงพังถล่ม หลังลมกระโชกแรงเป็นเหตุ สร้างความสูญเสีย 9 ชีวิต - บาดเจ็บอย่างน้อย 50 คน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) กล่าวว่า เกิดอุบัติเหตุเวทีปราศรัยหาเสียงพังถล่มจากอิทธิพลของลมกระโชกแรง ทางตอนเหนือของเม็กซิโก จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ด้าน ซามูเอล การ์เซีย ผู้ว่าการรัฐนวยโว เลออน ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ระบุว่า จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเป็นผู้ใหญ่ 8 รายและผู้เยาว์ 1 ราย รวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 50 คน โดยบางรายมีอาการสาหัส

โดยภาพของสื่อท้องถิ่นจากจุดเกิดเหตุในเมืองซาน เปโดร การ์ซา การ์เซีย เผยให้เห็นความโกลาหลของฝูงชนที่พยายามวิ่งหนีออกจากเวทีที่กำลังโค่นล้ม ขณะที่เสาไฟและจอทีวีขนาดยักษ์พังถล่มใส่บริเวณที่ฮอร์เก้ อัลวาเรซ เมย์เนซ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโก และสมาชิกพรรค Citizens' Movement ของเขายืนอยู่

เมย์เนซที่หลบหนีออกมาได้โดยไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัส กล่าวว่า เวทีพังทลายลงเนื่องจากมีลมกระโชกแรง

"ผมสบายดีและกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น" เมย์เนซ วัย 38 ปีกล่าว พร้อมเสริมว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกคือการดูแลผู้ประสบเหตุ

งานที่จัดขึ้นนี้เป็นการชุมนุมหาเสียงสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเมืองซาน เปโดร การ์ซา การ์เซีย โดยมีผู้สมัครวุฒิสมาชิกและฝ่ายนิติบัญญัติจากพรรค Citizens' Movement เข้าร่วมด้วย

เมย์เนซซึ่งระงับกิจกรรมหาเสียงทั้งหมดทันที กล่าวว่า เขาจะยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุจนกว่าผู้บาดเจ็บคนสุดท้ายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

ก่อนหน้านี้ กรมอุตุนิยมวิทยาของเม็กซิโกเตือนว่าจะมีฝนตกหนัก, ลมกระโชกแรงถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจมีพายุทอร์นาโดในนวยโว เลออนและรัฐอื่น ๆ ทางตอนเหนือ

ผู้ว่าการการ์เซียเรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เนื่องจากพายุอาจสร้างอันตรายถึงชีวิต

ในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ของเม็กซิโก กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและเพื่อนของผู้ประสบเหตุที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ เช่นเดียวกับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 2 คนก็แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ ชาวเม็กซิกันจะออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไป รวมทั้งตำแหน่งสมาชิกสภาคองเกรส, ผู้ว่าการรัฐ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

‘ก.ยุติธรรมสหรัฐฯ’ จ่อยื่นฟ้อง ‘Live Nation’ บ.ยักษ์ใหญ่ด้านบันเทิง คดีแข่งขันทางการค้า หลังเผชิญคำวิจารณ์หลายด้านจากแฟนคลับ

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) แหล่งข่าววงในหลายคนเผยกับสำนักข่าวซีบีเอส นิวส์ พันธมิตรของบีบีซีว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (ดีโอเจ) เตรียมยื่นฟ้อง ‘ไลฟ์ เนชั่น เอ็นเทอร์เทนเม้นท์’ (Live Nation Entertainment) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการบันเทิง ด้วยคดีเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้าในช่วงเช้าของวันนี้

โดยแหล่งข่าวคาดว่า อัยการอาจดำเนินคดีที่สร้างความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทแม่ของทิกเก็ตมาสเตอร์ (Ticketmaster) ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จากหลายคดีที่ผ่านมาเมื่อดีโอเจยื่นฟ้องร้องเกี่ยวกับปัญหาด้านการแข่งขัน หน่วยงานจะพยายามบังคับให้บริษัทแยกธุรกิจของตนเองออกจากกัน หรือเปลี่ยนแนวทางการบริหาร

ซีบีเอส นิวส์ รายงานว่า รัฐบาลเตรียมเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางกฎหมายที่มีความท้าทายนี้ ซึ่งจะมีอัยการสูงสุดระดับรัฐเข้าร่วมจำนวนมาก

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของดีโอเจเข้าไปตรวจสอบบริษัทอยู่เป็นเวลาหลายปี โดยในปี 2565 ซีบีเอส นิวส์ รายงานว่าดีโอเจกำลังจับตาไลฟ์ เนชั่นอยู่ รวมถึงบริษัทในเครืออย่าง ‘ทิกเก็ตมาสเตอร์’ ด้วย

ด้านดีโอเจปฏิเสธแสดงความเห็นเมื่อบีบีซีติดต่อไป ขณะที่ไลฟ์ เนชั่น ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ

อนึ่ง ไลฟ์ เนชั่น เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ก่อตั้งมาจากการรวมธุรกิจไลฟ์ เนชั่น ผู้ให้บริการโปรโมตงานต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐ กับบริษัททิกเก็ตมาสเตอร์ ผู้ให้บริการจำหน่ายตั๋ว เมื่อปี 2553

ที่ผ่านมาไลฟ์ เนชั่น เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ เผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนคลับ ผู้บัญญัติกฎหมาย ศิลปิน และคู่แข่งมากขึ้น และถูกกล่าวหาว่า มีอิทธิพลต่องานบันเทิงสดมากเกินไปในสหรัฐ และในหลายประเทศทั่วโลก

ในเดือน พ.ย.2565 แฟนคลับเทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างไม่พอใจทิกเก็ตมาสเตอร์อย่างมาก เนื่องจากเว็บไซต์จองตั๋วล่มในระหว่างพรีเซลล์คอนเสิร์ต Eras Tour

ทั้งนี้ หลังมีข่าวดีโอเจจ่อยื่นฟ้อง หุ้นไลฟ์ เนชั่น ร่วงมากกว่า 6% หลังช่วงเวลาซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

‘เศรษฐกิจสิงคโปร์’ Q1 ขยายตัว ร้อยละ 2.7 หลังรับอานิสงส์ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ทำให้แข็งแกร่ง

(23 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์รายงานผลสำรวจทางเศรษฐกิจประจำไตรมาส ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์เติบโตร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบปีต่อปี ในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้ และสูงกว่าการเติบโตร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า การเติบโตในไตรมาสแรกของปีนี้มีแรงผลักดันหลักจากภาคการเงินและประกันภัย การขนส่งและจัดเก็บ และการค้าส่ง รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดการณ์ของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายนอกที่แข็งแกร่งแก่สิงคโปร์

หลายนโยบายสนับสนุนของจีนมีแนวโน้มเพิ่มพูนการลงทุนทางการผลิต ขยับขยายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และรักษาเสถียรภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่วนทิศทางการเติบโตของสหรัฐฯ พัฒนาดีขึ้นเล็กน้อยในด้านความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและการลงทุนที่นำโดยปัญญาประดิษฐ์

หากพิจารณาจากแนวโน้มข้างต้น ภาคการผลิตและการค้าของสิงคโปร์จะเติบโตเพิ่มขึ้นในปีนี้ และภาคการบิน และการท่องเที่ยว จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ โดยกระทรวงฯ ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสิงคโปร์ในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 1-3 ตามสภาพการณ์ภายในประเทศและภายนอก

‘ฟุรุยะ โทรุ’ นักพากย์โคนัน-วันพีซ นอกใจภรรยา-ทำสาวท้อง ซ้ำ!! บังคับให้ทำแท้ง พร้อมโพสต์ขอโทษแฟนๆ ที่ทำให้ผิดหวัง

(23 พ.ค.67) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ผู้ให้เสียงแอนิเมชัน กันดั้ม ‘ฟุรุยะ โทรุ’ ยอมรับว่ามีสัมพันธ์กับแฟน ๆ มาเป็นเวลา 4 ปี และรับว่าขู่ทำร้าย โต้เถียงให้เธอไปทำแท้ง หลังนอกใจภรรยา

บนบัญชีเอ็กซ์ของเขา ที่ได้โพสต์เมื่อวันพุธ ฟุรุยะ โทรุ รับทราบรายงานล่าสุดจาก Weekly Bunshun เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เขามีกับแฟนคลับ

โดย ฟุรุยะ ยอมรับว่า เขาคบกับแฟนคลับผู้หญิงคนหนึ่งมาได้ 4 ปีครึ่ง จนถึงเดือนกันยายนปีที่แล้ว เขาบอกว่า เขาเริ่มสนใจเธอสนับสนุนเขาอย่างจริงจัง และได้ติดต่อกับเธอ เพื่อเริ่มความสัมพันธ์นี้ และยอมรับด้วยว่า ระหว่างที่คบกัน เขาได้ยกมือตบเธอครั้งหนึ่ง ตอนที่ทะเลาะกัน

ซึ่ง ฟุรุยะ ยังยอมรับว่าเขาทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำแท้ง

เขาขอโทษผู้หญิงคนนั้น ที่ทำร้ายเธอ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และขอโทษแฟน ๆ ของเขา ที่ทำให้ผิดหวัง กับการทรยศต่อความไว้วางใจของพวกเขา และทำให้ตัวละครที่เขาให้เสียงได้รับผลกระทบ

เขาสรุปว่าเขาตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือของชีวิตเพื่อชดใช้ความผิด และพร้อมที่จะยอมรับการลงโทษใด ๆ ก็ตาม

ทั้งนี้ ฟุรุยะ วัย 70 ปี เป็นผู้พากย์เสียงแอนิเมชันดัง ๆ มากมาย อาทิ อามุโร่ เรย์ ในกันดั้ม, หยำฉา ในดราก้อนบอล, หน้ากากทักซิโด้ ในเซเลอร์มูน, ซาโบ ในวันพีช, เปกาซัส เซย่า ใน เซนต์ เซย่า และโทรุ อามุโร่ ในโคนัน

'ผู้ว่าแบงก์ชาติไทย' จับมือ 'แบงก์ชาติจีน' เซ็น MOU ลดพึ่งดอลลาร์ฯ ส่งเสริมทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่น

(23 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่าเมื่อวันที่ 21 พ.ค.67 ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือของธนาคารกลางทั้งจีนและไทยเพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรมทวิภาคีด้วยสกุลเงินท้องถิ่น 

สอดคลัองกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประชาสัมพันธ์การเดินทางไปของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ธปท. ไปยังประเทศจีน ระบุว่านายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ธปท. ได้พบปะกับ นายพาน กงเชิ่ง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China) ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 โดยมีการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินและธนาคารระหว่างสองประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่น และการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างกัน

ในโอกาสนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางทั้งสองแห่งได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่น ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของ ธปท. ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศทางการเงินให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุนในภูมิภาค

ทั้งนี้ ในช่วงหลายเดือนผ่านมานั้น สำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ได้รายงานว่ารัฐมนตรีกระทรวงคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แสดงท่าทีในการหาทางออกที่แต่ละประเทศสมาชิกจะลดการพึ่งพิงการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อทำธุรกรรมในการชำระเงินด้านการค้าระหว่างกันด้วย

ที่ผ่านมา รัฐบาลประเทศจีน พยายามผลักดันการใช้สกุลเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศมากขึ้น เพื่อที่จะลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และผลักดันให้เงินหยวนขึ้นไปเป็นสกุลเงินหลักของโลก พร้อมกันนั้นก็ได้ส่งเสริมให้พันธมิตรและคู่ค้าของจีนใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมมากขึ้น อย่างเช่น รัสเซีย, อินเดีย และประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มบริกส์ (BRICS) สำหรับการลงนามความร่วมมือระหว่างจีนกับไทยในครั้งนี้ คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของจีนเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนั้น

เมื่อลูกเรือของสุดยอดสายการบิน 'สิงคโปร์แอร์ไลน์' พบกับสุดยอดทีมงานจาก 'สนามบินสุวรรณภูมิ'

เครื่องบิน Boeing 777-300ER ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA) เที่ยวบิน SQ321 ซึ่งมีผู้โดยสารทั้งหมด 211 คน และลูกเรือ 18 คน บินจากลอนดอน (ฮีทโธรว์) ไปยังสิงคโปร์ ได้ประสบกับสภาพอากาศปั่นป่วน (Turbulence) อย่างกะทันหันบริเวณเหนือทะเลสาบอิรวดี เมียนมา ที่ความสูง 37,000 ฟุต ประมาณ 10 ชั่วโมงหลังจากออกเดินทาง นักบินจึงต้องรีบประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และเปลี่ยนเส้นทางเครื่องบินไปยังกรุงเทพฯ และลงจอดยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 21 พฤษภาคม 2024

สิงคโปร์แอร์ไลน์ยืนยันว่ามีผู้บาดเจ็บหลายรายและเสียชีวิตหนึ่งรายบนเครื่องบินลำดังกล่าว โดยผู้โดยสารและลูกเรือได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนหนึ่ง ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือที่บาดเจ็บเล็กน้อยได้รับการตรวจรักษาตามอาการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางสิงคโปร์แอร์ไลน์โดย CEO ได้แถลงแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และขออภัยอย่างที่สุดกับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของผู้โดยสารและลูกเรือในเที่ยวบินนี้ โดยสิงคโปร์แอร์ไลน์จะให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นทั้งหมดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างเต็มที่

เกี่ยวกับการรับมือในเหตุการณ์นี้ ทางสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรและหน่วยงานท้องถิ่นในประเทศไทยเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น โดยทีมงานของสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมที่จำเป็น และสิงคโปร์แอร์ไลน์กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

Peter Seah CEO ของสิงคโปร์แอร์ไลน์กล่าวว่า “ในนามของคณะกรรมการสายการสิงคโปร์แอร์ไลน์ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวและคนที่รักของผู้โดยสารของเราที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2024 ในเหตุการณ์ SQ321 ผมขอรับรองกับผู้โดยสารและลูกเรือทุกคนที่อยู่บนเครื่องบินว่าเรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนพวกเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ผมอยากจะแสดงความขอบคุณต่อทุกคนในสิงคโปร์ ไทย และทั่วโลกที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”

สิงคโปร์แอร์ไลน์ ก่อตั้งเมื่อ 1 พฤษภาคม 1947 หรือ 77 ปีก่อนในชื่อ ‘มาลายันแอร์เวยส์’ (Malayan Airways) ปัจจุบันมี Temasek Holdings กองทุนการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ถือหุ้นร้อยละ 55 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินระดับ 5 ดาว และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินที่ดีที่สุดในโลกโดย Skytrax ถึง 5 ครั้ง และติดอันดับหนึ่งใน 15 สายการบินชั้นนำของโลกในแง่ของรายได้ผู้โดยสารตามระยะทาง และติดอันดับที่ 10 ของโลกสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศที่บรรทุกผู้โดยสาร พนักงานต้อนรับของสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้รับการโหวตให้เป็นลูกเรือของสายการบินที่ดีที่สุดในโลกของ Skytrax ประจำปี 2019 

นอกจากนี้ ยังได้ตำแหน่งสายการบินที่สะอาดที่สุดในโลกตามลำดับในปี 2019 ในปี 2023 ได้รับรางวัล 'สายการบินที่ดีที่สุด' และ 'สายการบินที่บริการชั้นหนึ่งที่ดีที่สุด' โดย Skytrax เป็นครั้งที่ 5

แม้ว่าจุดเกิดเหตุจะใกล้ท่าอากาศยานนานาชาตินครย่างกุ้งมากกว่า แต่นักบินเที่ยวบิน SQ321 ก็ตัดสินใจนำเครื่องบินมุ่งหน้ามาลงยังท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิของไทย ด้วยเหตุที่มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิจึงเป็นจุดลงจอดที่เหมาะสมเพราะมีความพร้อมมากกว่า 

ทั้งนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมรองรับต่อเหตุฉุกเฉินจากการโดยสารเครื่องบินอย่างครบครัน ทั้งยังมีการทบทวนแผน การฝึกซ้อมย่อย และการฝึกซ้อมใหญ่เต็มรูปแบบ (Full Scale Exercise) ตามแผนฉุกเฉินและแผนเผชิญเหตุของสนามบิน (SEMEX) กรณีอากาศยานอุบัติเหตุและการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 

การฝึกซ้อมฯ ดังกล่าวจะมีการจำลองสถานการณ์ การซักซ้อมกระบวนการปฏิบัติการฉุกเฉินเสมือนจริง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีร่วมกับทุกภาคส่วนทุกเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานอาสาสมัคร โดยมีกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบ

ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้โดยสารของสิงคโปร์แอร์ไลน์เที่ยวบิน SQ321 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจึงได้ประกาศแผนฉุกเฉิน และมีการประสานงานไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุ 1669 จังหวัดสมุทรปราการ ประสานขอรถพยาบาลจากหน่วยในพื้นที่ของจังหวัดเข้าสนับสนุน และประสานส่งตัวผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กระทั่งเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ยังได้กล่าวชื่นชมทีมฉุกเฉินที่สามารถปฏิบัติงานรองรับเหตุลงจอดฉุกเฉินของสิงคโปร์แอร์ไลน์เที่ยวบิน SQ321 ตาม ‘แผนฉุกเฉินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นผลมาจากการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้มีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกับหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่เป็นประจำทุกปี

สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดในระหว่างการโดยสารเครื่องบินคือ ‘การคาดเข็มขัดที่นั่ง’ เมื่อนั่งเครื่องบิน พอไฟเตือนให้คาดเข็มขัดดับลงผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็มักจะพากัน ‘ปลดเข็มขัดที่นั่ง’ ปกติแล้วการเดินทางด้วยเครื่องบินมีโอกาสที่จะเจอกับสภาพอากาศแปรปรวน หรือที่เรียกกันว่า ‘การตกหลุมอากาศ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ทำให้ความเสี่ยงที่จะเจอกับสภาพอากาศแปรปรวนขณะโดยสารเครื่องบินมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วนักบินก็จะทำการแก้ไขให้สามารถเดินทางไปได้อย่างปลอดภัย แต่หากขณะที่เครื่องบินเกิดตกหลุมอากาศ ผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยก็จะถูกแรงเหวี่ยงให้ลอยขึ้นและตกลงมาสู่พื้นห้องโดยสาร ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บได้ 

ดังนั้นผู้เดินทางโดยเครื่องบินในระหว่างการเดินทางเมื่อนั่งอยู่กับที่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย แม้ไฟเตือนให้คาดเข็มขัดจะดับลงแล้วก็ตาม อีกประการหนึ่งคือ กระเป๋าที่นำติดตัวขึ้นเครื่อง (Carry-on-bag) ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม หากช่องเก็บของเหนือศีรษะเปิดออกมาเอง จากบางครั้งตอนเครื่องบินลงจอดแล้วกระแทกพื้นแรง ๆ แรงสั่นสะเทือนอาจทำให้ฝาปิดช่องเก็บของเปิดออกมาเองได้ กระเป๋าเดินทางที่น้ำหนักเยอะมากอาจตกใส่ศีรษะผู้โดยสารทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต (จากการคอหัก) ได้

‘ปชช. อิหร่าน’ แห่ร่วมพิธีอำลา ‘ปธน. ผู้ล่วงลับ’ หลังมีการเคลื่อนย้ายร่าง ไปยังกรุงเตหะราน

(22 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (21 พ.ค.) ประชาชนจำนวนมากในกรุงเตหะรานของอิหร่าน แห่เข้าร่วมพิธีอำลาประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี ฮอสเซน อามีร์-อับดุลลาเฮียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน และสมาชิกคณะร่วมเดินทางผู้ล่วงลับ หลังมีการเคลื่อนย้ายร่างของพวกเขาจากเมืองทาบริซทางตะวันตกเฉียงเหนือไปยังกรุงเตหะราน


 

'ไบเดน' ย้ำชัด 'อิสราเอล' กับ 'ฮามาส' ไม่เคยเท่าเทียมกัน ให้ท้ายปฏิบัติทางทหารของอิสราเอลในกาซ่าไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซ่าที่ผ่านมาไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลังจากที่ศาลอาญาโลก (ICC) ได้ออกหมายจับ เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล และ ยาห์ยา ซินวอร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยพิจารณาว่าการสู้รบในฉนวนกาซ่าอาจเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

โดย ยาห์ยา ซินวอร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส มีความผิดจากการใช้กองกำลังติดอาวุธโจมตีชุมชนชาวยิว ในเขตแดนอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน

ส่วน เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ที่ตัดสินใจใช้กำลังทหารโจมตีเขตฉนวนกาซ่า และกลายเป็นสงครามที่ทำให้มีชาวปาเลสไตล์เสียชีวิตมากกว่าหมื่นคน และ พลัดถิ่นอีกนับล้าน ก็ถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเช่นกัน

คาริม ข่าน อัยการศาลอาญาโลก ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อสหรัฐฯว่า ทีมอัยการของ ICC กำลังเตรียมขอหมายจับ ยูอาฟ กัลลันท์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล และผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ของกลุ่มฮามาสเพิ่มเติมด้วย 

และกลายเป็นงานหยิกเล็บ เจ็บเนื้อ ขึ้นมาทันที เมื่อ โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาประนามความเคลื่อนไหวขององค์กร ICC ว่า การขอหมายจับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอลและผู้นำกลุ่มฮามาสของศาลอาญาโลก เป็นการทำให้กลุ่มก่อการร้าย กับ พันธมิตรระดับสูงของสหรัฐฯ มีสถานะเท่าเทียมกัน สำหรับสหรัฐฯ ถือเป็นความพยายามที่อุกอาจมาก

โจ ไบเดนกล่าวว่า “ผมขอชี้แจงให้ชัดเจน ไม่ว่าอัยการ ICC จะสื่อถึงอะไรก็ตาม แต่สำหรับผมแล้วจะไม่มีความเท่าเทียมกันระหว่างอิสราเอลและฮามาส”

ไบเดนยังได้กล่าวในงานเลี้ยงฉลองเดือนแห่งมรดกของชาวอเมริกันเชื้อสายยิวใน Rose Garden บริเวณทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (21 พฤษภาคม 2567) ที่ผ่านมาว่า "เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า อิสราเอลต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพลเมืองของตน และผมจะขอพูดชัดๆเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้น (ในฉนวนกาซ่า) ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

ไบเดนยังให้คำมั่นสัญญาแก่ชาวยิว-อเมริกันว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อช่วยเหลือตัวประกันชาวอิสราเอล ที่ยังคงถูกจับกุมโดยกลุ่มฮามาสออกมาให้ได้ และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างตามที่อิสราเอลร้องขอเพื่อป้องกันตนเองจากกลุ่มฮามาส และศัตรูทั้งมวลของอิสราเอล

แต่โจ ไบเดน หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงแผนการของ เบนจามิน เนทันยาฮู ที่ได้ประกาศว่าจะใช้กองกำลังชุดใหญ่บุกโจมตีราฟาห์ เมืองทางตอนใต้ของกาซ่า และมีค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่หนีสงครามลงมาจากเมืองกาซ่าซิตี้นับล้าน ท่ามกลางกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้นำอิสราเอลถูกหมายจับจาก ICC ในวันนี้จากคำสั่งการโจมตีทางทหารอย่างต่อเนื่อง รุนแรงในกาซ่าที่คร่าชีวิตพลเมืองปาเลสไตน์เป็นจำนวนมาก

แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้นำพากระแสต่อต้านเหล่านั้น และยังคงจัดส่งอาวุธให้แก่กองทัพอิสราเอล ซึ่งคำแถลงของ โจ ไบเดน ในวันนี้ก็ได้ย้ำชัดถึงจุดยืนของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนทุกแผนการทหารของอิสราเอลอย่างเต็มที่ และเตรียมยื่นเรื่องถึงสภาคองเกรซในการขายอาวุธชุดใหญ่ให้แก่อิสราเอลในเร็วๆนี้

เมื่ออัตลักษณ์แห่งศิลปะวัฒนธรรม 'เมียนมา' ยัง 'ฝังแน่น-มิจางหาย' คงเสน่ห์ไว้ได้หลายร้อยปี กลายเป็นของดีที่ไม่ต้องเคลมจากใคร

จากที่ใครต่อใครหลายคนเห็นว่า สื่อโซเชียลประเทศหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของไทยพยายามตั้งหน้าตั้งตาเคลมทุกอย่างจากไทย ด้วยการสร้างสตอรี่ขึ้นมาใหม่ ว่านี่เอย...นั่นเอย...เป็นของตนมาก่อน แค่ถูกชาวสยามขโมยไป สวนทางกับประเทศฝั่งตะวันตกอย่างเมียนมา ซึ่งก็มีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันกับไทย แต่กลับไม่เคยคิดจะเคลมว่าไทยขโมยมาจากพม่าแต่อย่างใด  

วันนี้เอย่าจะพาไปค้นหาว่าทำไมคนพม่า ไม่เคลมอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างของชาวสยาม หรือที่พม่าชอบเรียกว่า 'โยเดีย' นั้น ว่าเป็นของเขามาก่อน

1. พม่ายอมรับการมีอยู่ของโยเดียและยอมรับว่าโยเดียมีศิลปะของตนเอง ดั่งที่เราทราบว่าในเมียนมามีชุมชนชาวโยเดียที่เทครัวมาครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก  และนำพาศิลปะวิทยาการมาด้วย

2. ความชาตินิยมของชนเผ่า ต้องยอมรับว่าเมียนมาเป็นประเทศที่มีชนเผ่าหลายชาติพันธุ์รวมกัน แต่ละชาติพันธุ์ก็มีอัตลักษณ์ของตนเอง และสืบต่อให้ลูกหลานอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมของตน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ เครื่องแต่งกาย

3. ทางเมียนมาไม่ได้สนใจกับต้นกำเนิดว่ามาจากไหน เพียงแค่มีอยู่ในชีวิตประจำวันก็เพียงพอ อาทิเช่น มวยไทย กับ มวยพม่า (Lethwei) ที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เคยมีการเคลมว่ามวยพม่าเป็นต้นกำเนิดของมวยไทย หรืออย่างการนับวันปีใหม่ไทยก็คือ สงกรานต์ เช่นเดียวกับตะจ่านของเมียนมา แม้จะมีความเหมือนกันและต่างกันในรายละเอียดบางอย่าง แต่ทางเมียนมาก็ไม่คิดถามถึงว่าต้นกำเนิดมาจากใด

4. ความเชื่อที่ฝังแน่นจากรุ่นสู่รุ่นทำให้เกิดเป็นรากฐานทางสังคมที่แข็งแกร่ง อาทิเช่นการขอขมาผู้ใหญ่ในช่วงเทศกาลออกพรรษา หรือทางพม่าเรียกว่าตะดิงจุด ยังคงมีอยู่สืบรุ่นสู่รุ่น ในขณะที่ทางไทยธรรมเนียมนี้ได้หายไปจากสังคมไทยนานแล้ว

5. อีกสิ่งหนึ่งคือชาวเมียนมาไม่ได้ยึดติดกับอดีต  เท่าที่เอย่าได้คุยกับคนเมียนมาส่วนใหญ่ แม้ว่าเขาจะบอกว่าในอดีตเขาไม่เคยลืมว่าบรรพบุรุษของเขาว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ยุคสมัยเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว คนรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับหงสาวดีหรือคองบองเหมือนคนไทยที่ยังยึดติดกับกษัตริย์อย่างเหนียวแน่น...ชาวเมียนมายุคใหม่บอกว่ายุคของเขาเริ่มต้นในสมัยของนายพลอองซานที่ปลดแอกชาวเมียนมาจากจักรวรรดิอังกฤษ กล่าวสั้นๆ ได้ว่า 'จำได้แต่ไม่ยึดติด' นั่นเอง

ปัจจุบันชาวเมียนมายังคงอนุรักษ์สิ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตนับหลายร้อยปีจนถึงปัจจุบัน แสดงออกมาในแง่ของการแต่งกาย อาหาร คติความคิด ค่านิยม การใช้ชีวิต รวมถึงศิลปะวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จนไม่ต้องไปเคลมของชาติใด

‘นักวิทย์จีน’ เพาะ 'หมูคุณภาพสูง' สายพันธุ์ใหม่สำเร็จ หลังคุมด้วยเทคโนโลยี หวังลดพึ่งพานำเข้าจากตปท.

(21 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์หมูคุณภาพสูงสายพันธุ์ใหม่ ชื่อว่าหมูหลานซือ (Lansi pigs) ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาหมูสายพันธุ์จากต่างประเทศของจีน

ทั้งนี้ หมูสายพันธุ์ใหม่นี้เพาะพันธุ์โดยทีมวิจัยที่นำโดยหลี่ขุย ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันจีโนมิกส์ทางการเกษตรประจำเซินเจิ้น สังกัดสถาบันบัณฑิตเกษตรศาสตร์แห่งชาติจีน และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการทรัพยากรพันธุกรรมปศุสัตว์และสัตว์ปีกระดับชาติของกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทไม่นานมานี้

หลี่ กล่าวว่า ความสำเร็จในการผสมพันธุ์หมูหลานซือ ถือเป็นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ซึ่งส่งมอบเทคโนโลยีที่สำคัญและประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับการปรับปรุงพันธุ์หมูนำเข้าจำนวนมากในจีน

จีนเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคหมูรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีการผลิตคิดเป็นร้อยละ 44 และการบริโภคคิดเป็นร้อยละ 46 ของปริมาณการผลิตและการบริโภคหมูทั่วโลก ทว่าหมูกว่าร้อยละ 90 ที่ใช้ในการผลิตเชิงพาณิชย์ต้องพึ่งพาสายพันธุ์นำเข้า

ตั้งแต่ปี 2010 ทีมงานของหลี่ได้ใช้เทคโนโลยีการผสมพันธุ์ทางชีวภาพใหม่ ๆ เช่น การผสมพันธุ์แบบใช้เครื่องหมายพันธุกรรม (molecular marker) และการใช้สารพันธุกรรมทั้งหมด (whole genome) เพื่อเพาะเลี้ยงหมูสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูง โดยใช้หมูนำเข้าเชิงพาณิชย์สายพันธุ์ที่แพร่หลายอยู่แล้ว

ทีมงานรวบรวมประชากรหมูสายพันธุ์ดั้งเดิมมากกว่า 2,000 ตัว และพัฒนาชุดซอฟต์แวร์วิเคราะห์การผสมพันธุ์และระบบฐานข้อมูล ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผสมพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญ ลดระยะเวลาการผสมพันธุ์ และปรับปรุงความแม่นยำในการผสมพันธุ์

หลี่ เสริมว่า ทีมงานประสบความสำเร็จในการเพาะหมูหลานซือสายพันธุ์พิเศษ 3 สายพันธุ์ ในระยะเวลา 14 ปี หมูเหล่านี้ได้รับการปรับปรุงลักษณะที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ (economic traits) และความต้านทานโรคอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับหมูพันธุ์นำเข้าดั้งเดิม และมาพร้อมโอกาสทางการตลาดในวงกว้าง

‘เนทันยาฮู-ผู้นำฮามาส’ โดนคู่!! ‘ไอซีซี’ โร่ขอหมายจับ ข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม-อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

(21 พ.ค.67) คาริม ข่าน อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) กล่าวว่า เขาได้ขอหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล นายยูอาฟ กัลลันท์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล และผู้นำฮามาสอีก 3 คน ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม

แถลงการณ์ของข่านถูกเผยแพร่หลังสงครามในฉนวนกาซายืดเยื้อมานานกว่า 7 เดือน โดยระบุว่า เขามีเหตุผลอันสมควรที่ทำให้เชื่อว่า ชายทั้ง 5 คนนี้ต้องรับผิดทางอาญาต่อข้อกล่าวหาว่าได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ข่านกล่าวด้วยว่า เขาได้ยื่นขอหมายจับเนทันยาฮูและกัลลันท์ ที่ดูแลการรุกรานของอิสราเอลต่อกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา หลังจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน

ขณะเดียวกันก็ยังได้ยื่นขอหมายจับยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส โมฮัมเหม็ด อัล-มาสรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เดอีฟ และอิสมาอิล ฮานีเยห์ หัวหน้าสำนักการเมืองของกลุ่มฮามาสด้วย

ข่านระบุว่า อิสราเอลก็เหมือนรัฐอื่น ๆ ที่มีสิทธิที่จะดำเนินการเพื่อปกป้องพลเมืองของตน แต่สิทธิดังกล่าวไม่ทำให้อิสราเอลหรือรัฐใด ๆ พ้นจากพันธกรณีในการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

“อาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการโดยอิสราเอลนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีพลเรือนชาวปาเลสไตน์อย่างกว้างขวางและเป็นระบบตามนโยบายของรัฐ และจากการประเมินของเรา อาชญากรรมเหล่านี้ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้” ข่านกล่าว

หลักฐานที่สำนักงานของเขารวบรวมมาได้แสดงให้เห็นว่า อิสราเอลได้กีดกันพลเรือนจากสิ่งของที่ขาดไม่ได้สำหรับการอยู่รอดของมนุษย์อย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงอาหาร ยารักษาโรค และพลังงาน ซึ่งเนทันยาฮูและกัลลันท์ต้องรับผิดชอบ เพราะอิสราเอลจงใจก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง และการสังหารซึ่งเป็นอาชญากรรมสงคราม

ขณะที่ผู้นำกลุ่มฮามาสเผชิญข้อกล่าวหาว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่กลุ่มฮามาสก่อขึ้น รวมถึงการทำลายล้างและฆาตกรรม การจับตัวประกัน การทรมาน การข่มขืน และการกระทำรุนแรงทางเพศอื่น ๆ

หลังจากนี้องค์คณะผู้พิพากษาก่อนพิจารณาคดีจะตัดสินว่า หลักฐานที่อัยการได้นำเสนอนั้นเพียงพอที่จะให้ไอซีซีออกหมายจับหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไอซีซีไม่มีอำนาจให้การบังคับให้มีการดำเนินการตามหมายจับแต่อย่างใด

การสอบสวนในกรณีสงครามฉนวนกาซาโดยไอซีซีถูกต่อต้านจากทั้งสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ขณะที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของข่านอีกด้วย

เนทันยาฮู กล่าวว่า การตัดสินใจของข่านเป็นการบิดเบือนความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับปฏิเสธการที่อัยการไอซีซีนำเอาอิสราเอลที่เป็นประชาธิปไตยไปเปรียบเทียบกับกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นฆาตกรสังหารหมู่

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ เรียกการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นเรื่องรับไม่ได้ พร้อมกับย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ไบเดนกล่าวว่า การสนับสนุนของสหรัฐต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของอิสราเอลนั้นแข็งแกร่ง เรายืนหยัดร่วมกับอิสราเอลเพื่อกำจัดฮามาส เราต้องการให้ฮามาสพ่ายแพ้ และเรากำลังทำงานร่วมกับอิสราเอลเพื่อทำให้มันเกิดขึ้น

ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า การดำเนินการนี้ถือเป็นอันตรายต่อการเจรจาข้อตกลงตัวประกันและการหยุดยิง

ซามี อาบู ซูห์รี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮามาส กล่าวว่า การตัดสินใจของอัยการในการออกหมายจับผู้นำฮามาสทั้ง 3 คน ก็เท่ากับว่าเหยื่อมีสถานะเป็นผู้ประหัตประหาร พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยกเลิกหมายจับผู้นำของตนด้วย

ด้านเบนนี เกนต์ซ สมาชิกคณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอล กล่าวว่า การเปรียบเทียบผู้นำประเทศประชาธิปไตยที่มุ่งมั่นจะปกป้องตนเองจากความหวาดกลัวอันน่ารังเกียจต่ผู้นำองค์การก่อการร้ายกระหายเลือด ถือเป็นการบิดเบือนความยุติธรรมอย่างลึกซึ้ง และเป็นการล้มละลายทางศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง

‘ญี่ปุ่น’ ติดฉากกั้นสีดำบังวิว ‘ภูเขาไฟฟูจิ’  อวสานจุดเช็กอิน นักท่องเที่ยว ‘ไร้วินัย’

(21 พ.ค.67) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่าการได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิถึงจะเรียกได้ว่าเดินทางถึงญี่ปุ่นจริง ๆ และเมืองฟูจิคาวากุจิโกะก็เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงร้องเรียนจากคนท้องถิ่นว่าแขกผู้มาเยือนเหล่านี้มักจะทิ้งขยะเรี่ยราด รุกล้ำพื้นที่ หรือแม้กระทั่งฝ่าฝืนกฎจราจร เพื่อที่จะได้รูปในมุมที่สวยที่สุดเอาไปแชร์ลงโซเชียลมีเดีย

ชาวเมืองเล่าว่า นักท่องเที่ยวบางคนจอดรถในที่ห้ามจอด ไม่สนป้ายคำเตือนห้ามสูบบุหรี่ และไปยืนออกันอยู่บนบาทวิถี เพื่อจะถ่ายรูปกับร้านสะดวกซื้อซึ่งมีวิวยอดภูเขาไฟที่มีหิมะปกคลุมเป็นฉากหลัง

ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่ของเมืองเริ่มนำฉากตาข่ายสีดำขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 20 เมตร มาติดตั้งตรงจุดเช็กอินถ่ายรูปจนแล้วเสร็จเมื่อช่วงสาย ๆ ที่ผ่านมา ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพี

“ฉันหวังว่าตาข่ายนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มีใครทำกิจกรรมอันตรายบริเวณนี้อีก” มิจิเอะ โมโตโมจิ วัย 41 ปี เจ้าของร้านขนมหวานพื้นบ้านญี่ปุ่นในพื้นที่บอกกับเอเอฟพี

ด้าน คริสตินา รอยส์ นักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์ วัย 36 ปี ออกมาบ่นด้วยความเสียดายว่า “ฉันรู้สึกผิดหวังที่พวกเขาเอาตาข่ายมาติดตั้ง ตรงนี้มันเป็นจุดถ่ายรูปที่เยี่ยมมาก แต่ก็เข้าใจได้ พวกเรามาถึงตั้งแต่คืนวานนี้ และได้ถ่ายรูปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมีการติดตั้งฉาก และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเรา”

“จะว่าไปมันก็อันตรายอยู่ เพราะมีรถยนต์ขับไปมาบนถนน ยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่พวกคุณสามารถถ่ายภาพกับภูเขาไฟฟูจิได้”

ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนมากเป็นประวัติการณ์ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งทะลุ 3 ล้านคนต่อเดือนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และอีกครั้งในเดือน เม.ย.

นักท่องเที่ยวที่จะใช้เส้นทางยอดนิยมปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิในฤดูร้อนปีนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 2,000 เยนต่อคน โดยทางการยังได้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 4,000 คนเพื่อลดปัญหาความแออัด

1 ใน 4 ของคนอเมริกัน ที่มีอายุเกิน 60 ปี ยังต้องทำงาน ทั้งที่อยากทำเองและจำเป็นต้องทำ

(21 พ.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'Chalermporn Tantikarnjanarkul' หรือ เฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

“ที่อเมริกา คนอายุเกิน 60 ที่ยังต้องทำงาน อยู่ที่ราว 1 ใน 4 และตัวเลขเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ (อาจมีทั้งอยากทำเองและจำเป็นต้องทำ)

ก่อนนี้ไปเกาหลี ฮ่องกง ก็เห็นคนวัยเกิน 60 ทำงานแบกหาม ใช้แรงงาน

เทรนด์ของโลก ดูจะมาทางที่คนต้องทำงานมากขึ้น นานขึ้น”

‘สนามบินเซินเจิ้น’ เปิดห้องรับรอง ‘สัตว์เลี้ยง’ แห่งแรกของจีน พร้อมสอดรับกับจำนวนประชาชนที่เลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้น

(19 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า  หลังจากอยู่ในห้องรับรองสัตว์เลี้ยงของท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจิ้น เป่าอัน มณฑลกว่างตงทางตอนใต้ของจีนมานานถึง 20 ชั่วโมง เพราะเที่ยวบินโดนยกเลิก ในที่สุดเจ้า ‘ฉีฉี’ สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ ก็ได้ขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปยังเมืองสือเจียจวงทางตอนเหนือของจีน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง ฉีฉีได้รับอาหารจากเจ้าหน้าที่สนามบิน และได้เดินเล่นในพื้นที่ที่จัดไว้สำหรับการเล่นโดยเฉพาะ รวมถึงยังได้วิดีโอคอลกับเจ้าของของมันด้วย ด้วยความเอาใจใส่ต่างๆ เหล่านี้ ฉีฉีจึงมีอารมณ์ที่สงบตลอดช่วงเวลาที่รอเครื่อง และพนักงานก็รีบจัดการให้สุนัขตัวนี้ได้ขึ้นเครื่องในเที่ยวบินถัดไป

ทั้งนี้ บริการดูแลสัตว์เลี้ยงนี้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังสนามบินเซินเจิ้น เป่าอัน ได้เปิดห้องรับรองสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ นับเป็นบริการประเภทนี้แห่งแรกของจีน จวบจนปัจจุบันห้องรับรองนี้ได้ให้บริการแก่ ‘นายท่าน’ ทั้งหลายแล้วมากกว่า 40 ตัว

งานวิจัยของสถาบันการพัฒนาแห่งประเทศจีน สถาบันคลังสมองซึ่งตั้งอยู่ในนครเซินเจิ้น ระบุว่าจำนวนผู้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงในเซินเจิ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เกิดหลังปี 1980 ปัจจุบันเซินเจิ้นมีแมวและสุนัขเลี้ยงมากกว่า 500,000 ตัว บ่งชี้ว่าอุปสงค์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงนั้นกำลังเพิ่มมากขึ้น

เจ้าหน้าที่สนามบินระบุว่า ในอดีตสนามบินเซินเจิ้น เป่าอัน จะจัดการสัตว์เลี้ยงร่วมกับสินค้าอื่น ๆ บนพื้นที่ขนาดใหญ่ ก่อนจะดำเนินการขนส่ง และแม้ว่าจะมีการเปิดพื้นที่รองรับสัตว์เลี้ยงเมื่อปี 2018 แต่ก็ยังคงอยู่ภายในอาคารขนส่งสินค้าขนาดใหญ่

ขณะที่ห้องรับรองสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งเปิดใหม่นี้ มีพื้นที่ประมาณ 210 ตารางเมตร มีการใช้แสงนุ่มที่สบายตายิ่งขึ้น รวมถึงใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็นโซนแมวและโซนสุนัขแยกกัน แต่ละโซนมีพื้นที่สำหรับนั่งรอและพื้นที่ให้ความบันเทิงสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

ห้องรับรองนี้ดำเนินการโดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสัตว์เลี้ยง เจ้าหน้าที่ประจำห้องรับรองล้วนเป็นผู้ผ่านการอบรมทักษะเฉพาะทาง ตลอดจนมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นสูงหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือระบบการตรวจสอบแบบครอบคลุม ที่ช่วยให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงมั่นใจได้ว่าจะมีการเฝ้าระวังความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงระบบการติดตามตำแหน่ง การแจ้งเตือนอุณหภูมิ ความชื้น และ ค่าฝุ่น PM2.5 และอื่น ๆ

นอกเหนือจากช่องทางการตรวจสอบความปลอดภัยแบบพิเศษ การตรวจตราดูแลตามปกติ และการให้อาหารตามคำสั่งของลูกค้าแล้ว ห้องรับรองแห่งนี้ยังมีบริการสัตวแพทย์ทางไกลด้วย

สำหรับบริการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ต้องติดอยู่ที่สนามบินชั่วคราว เนื่องจากเที่ยวบินล่าช้าหรือการยกเลิกเที่ยวบินดังเช่นกรณีของเจ้าฉีฉี ทางสนามบินจะไม่มีการบวกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

หลังจากอยู่บนเครื่องบินนานกว่า 2 ชั่วโมง ฉีฉีก็เดินทางถึงสือเจียจวงอย่างปลอดภัย และทางครอบครัวของเจ้าของก็มารับมันไปในช่วงเย็นของวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา

หญิงแซ่จางซึ่งเป็นเจ้าของสุนัขตัวนี้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ดูแลและจัดการขนส่งสุนัขของเธออย่างราบรื่น พร้อมเผยเหตุผลว่าเธอจำเป็นต้องส่งเจ้าฉีฉีกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อให้ครอบครัวช่วยดูแลสักระยะ ในช่วงที่ตนเองต้องเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งบริการนี้ทำให้เธอสบายใจและหายห่วงอย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top