Wednesday, 26 March 2025
WORLD

จีนพบแหล่งทองคำขนาดใหญ่ในมณฑลหูหนาน คาดปริมาณกว่า 1,000 ตัน มูลค่าราว 2.8 ล้านล้านบาท

(22 พ.ย.67) ทีมนักธรณีวิทยาของจีนเปิดเผยว่าได้พบแหล่งทองคำสำรองแห่งใหม่ที่คาดว่าน่าจะมีทองคำอยู่ปริมาณ 1,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าราว 82,800 ล้านดอลลาร์ (2.8 ล้านล้านบาท) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลางของประเทศ

รายงานระบุว่า แห่งทองคำแห่งใหม่นี้มีความลึกราว 2,000 เมตร บริเวณพื้นที่หวางกู่ในเขตผิงเจียง ประมาณเบื้องต้นมีปริมาณทองคำอย่างน้อยราว 300.2 ตัน 

ทีมผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าแหล่งทองคำหวางกู่มีขนาดใหญ่มาก อาจจะมีความลึกประมาณ 2-3,000 เมตร คาดว่าจะมีปริมาณทองคำทั้งหมดราว 1,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 6 แสนล้านหยวน หากประเมินจากราคาทองในปัจจุบัน

ทั้งนี้ จีนเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยตามข้อมูลจากสภาทองคำโลก จีนคิดเป็น 10% ของทองคำที่มีการซื้อขายทั่วโลกในปี 2023

ฮิวแมนไรท์วอชประณามสหรัฐฯ ส่ง 'ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล' ให้ยูเครน ละเมิดสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดปี 1997

(21 พ.ย. 67) แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ 2 รายเผยกับวอชิงตันโพสต์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติการส่งมอบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปยังยูเครน ซึ่งการอนุมัติดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญาห้ามใช้กับระเบิด ปี 1997 

แมรี่ วาเรแฮม รองผู้อำนวยการฝ่ายวิกฤตความขัดแย้งและอาวุธ ของฮิวแมนไรท์วอช กล่าวว่า “การตัดสินใจของประธานาธิบดีไบเดนในการมอบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น มีความเสี่ยงต่อชีวิตพลเรือน และขัดขวางความพยายามของนานาชาติในการกำจัดอาวุธเหล่านี้... สหรัฐฯ ควรทบทวนการส่งมอบดังกล่าว ซึ่งรั้งแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้พลเรือนได้รับลูกหลงจากกับระเบิดและต้องทนทุกข์ทรมาณในระยะยาว"

แหล่งข่าวยังเผยว่า รัฐบาลสหรัฐคาดหวังให้ยูเครนใช้อาวุธนี้ เฉพาะในเขตเเดนยูเครนที่ไม่มีพลเรือนอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ฮิวแมนไรท์วอช มองว่าไม่มีอะไรการันตีได้ว่า กองทัพยูเครนจะใช้ทุ่นระเบิดดังกล่าวในพื้นที่ไร้พลเรือนตามที่สัญญา

“การยอมรับและใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล ถือเป็นความเสี่ยงที่ยูเครนจะละเมิดสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิดเพิ่มเติม” แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอชระบุ  

ด้านโฆษกทำเนียบเครมลิน ดมิทรี เปสคอฟ กล่าวว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ารายงานเกี่ยวกับการอนุมัติของไบเดนในการส่งกับระเบิดไปยังเคียฟเป็นความจริงหรือไม่ แต่ไม่ได้ตัดความเป็นว่ารัฐบาลสหรัฐที่ใกล้หมดวาระกำลังรีบเร่งดำเนินการบางอย่าง

ที่ผ่านมา ทางการรัสเซียย้ำหลายครั้งว่าการส่งอาวุธให้ยูเครนเป็นการขัดขวางการยุติความขัดแย้ง และถือเป็นการที่ประเทศในนาโต้เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง

สำหรับสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิด ได้รับการลงนามในปี 1997 ที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา โดยปัจจุบันมีชาติที่ร่วมลงสัตยาบันไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแล้วกว่า 164 ชาติทั่วโลก 

จีนแซงเยอรมนี ผงาดเบอร์ 3 ของโลก ใช้หุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรมมากสุด

(21 พ.ย.67) จีนแซงเยอรมนี ครองเบอร์ 3 ของโลกด้านความหนาแน่น ‘หุ่นยนต์อุตสาหกรรม’ รายงานจากสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (IFR) ระบุว่าจีนสร้างความก้าวหน้าอย่างมากในด้านระบบอัตโนมัติของกระบวนการผลิต โดยแซงหน้าเยอรมนีและขึ้นครองอันดับ 3 ในการจัดอันดับความหนาแน่นของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมระดับโลกในปี 2023

รายงานระบุว่าความหนาแน่นของหุ่นยนต์ของจีนอยู่ที่ 470 หน่วยต่อพนักงาน 10,000 คนในปี 2023 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 402 หน่วยในปีก่อนหน้า และตัวเลขนี้ยังเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปี 2019

ทาคายูกิ อิโตะ ประธานสหพันธ์ฯ เผยว่าจีนลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ และการเติบโตของจีนมีความโดดเด่นอย่างมาก โดยรายงานระบุว่าจีนเพิ่งเข้ามาติดโผ 10 อันดับแรกของโลกเมื่อปี 2019

ความหนาแน่นของหุ่นยนต์ เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของระดับการใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิต ซึ่งเกาหลีใต้ครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนหุ่นยนต์ 1,012 ตัวต่อพนักงาน 10,000 คนในปี 2023 ส่วนสิงคโปร์อยู่อันดับสอง และเยอรมนีอยู่อันดับสี่ โดยมีเครื่องจักรอัตโนมัติ 429 หน่วยต่อพนักงาน 10,000 คน

"การโจมตียูเครนไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือของ วลาดิมีร์ ปูติน ตามที่เราเข้าใจกันทุกวันนี้"

ศ.เจฟฟรี่ แซคส์ ศาสตราจาร์ยด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

(21 พ.ย. 67) ศ.เจฟฟรี่ แซคส์ ศาสตราจาร์ยด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวในตอนหนึ่งของงานเสวนาที่จัดขึ้นโดยสมาคมโต้วาที Cambridge Union Society ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีตอนหนึ่งที่ศ.แซคส์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในยูเครนว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นในยูเครนทุกวันนี้ ไม่ใช่ฝีมือของวลาดิมีร์ ปูติน ในแบบที่เราได้ยินกันมา

แซคส์ อธิบายว่า ย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็นช่วงที่เยอมนีตะวันออกและตะวันตกยังคงแบ่งแยก นายมิคฮาอิล กอบาชอฟ ผู้นำโซเวียตในเวลานั้นเห็นพ้องที่จะยุติ ภาวะตึงเครียมของชาติมหาอำนาจสองฝ่าย จึงยอมให้มีการควบรวมชาติเยอรมนีขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรจะไม่ขยายขอบเขตอิทธิพลของตนในยุโรปมากขึ้น 

กระทั่งในช่วงยุคปี 1994 ประธานาธิบดีบิล คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ได้ลงนามคำสั่งขยายอิทธิพลของนาโต้ในยูเครนหรือที่เรียกว่าคำสั่ง 'neocons took power' 

หลังจากนั้นในปี 1999 นาโต้เริ่มขยายตัวมากขึ้นผ่านการเริ่มเข้าไปมีบทบาทในโปแลนด์ ซึ่งในปีเดียวกันนี้ โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และฮังการี เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต้ จากนั้นสหรัฐเริ่มเข้าไปมีบทบาททางการเมืองในเซอร์เบียปี 1999 ส่งทหารเข้าไปเซอร์เบียเพื่อจัดการความขัดแย้งภายใน แสดงให้เห็นถึงการรุกคืบของอิทธิพลของสหรัฐผ่านนาโต้ที่ค่อยๆประชิดยุโรปตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ

ศ.แซคส์ อธิบายต่อว่า ปูตินเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกช่วงปี 2000 ในขณะนั้นเขายังมีจุดยืนสนับสนุนนาโต้และสนับสนุนสหรัฐ ถึงขึ้นที่อาจจะนำรัสเซียร่วมเป็นพันธมิตรนาโต้ กระทั่งปี 2002 ถึงจุดที่ทำให้ปูตินต้องเปลี่ยนความคิด หลังจากที่สหรัฐถอนตัวออกจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งทำให้สหรัฐสามารถนำขีปนาวุธเข้าไปในยุโรปตะวันออกมากขึ้น ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นภัยคุกคาม

ในปี 2009 วิกเตอร์ ยานูโควิช ขึ้นเป็นประธานาธิบดียูเครน เขามีนโยบายเป็นกลางที่ทำให้ยูเครนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งมีส่วนบรรเทาความตึงเครียดในยุโรปตะวันออกลงเนื่องจากชาวยูเครนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการให้เข้าร่วมนาโต้

ต่อมาในปี 2014 สหรัฐมีความพยายามอย่างหนักในการแทรกแซงยูเครนเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดียานูโควิช เพื่อหวังขยายอิทธิพลของนาโต้ในยุโรปตะวันออก ซึ่งในเวลานั้นเป็นผลให้รัสเซียตัดสินใจรุกคืบยุโรปกลับด้วยการประกาศผนวกคาบสมุทรไครเมียในปีเดียวกัน

แซคส์อธิบายต่อว่า ในวันที่ 15 ธันวาคม 2021 ปูตินได้ร่างข้อตกลงความมั่นคงรัสเซีย-สหรัฐ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐกับรัสเซียจะให้คำมั่นว่าต่างฝ่ายจะไม่ขยายอิทธิพลของตนในยุโรปตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามในยูเครน แต่ทำเนียบขาวภายใต้การนำของรัฐบาลโจ ไบเดน ปฏิเสธการเจรจาข้อตกลงดังกล่าว 

ศาสตราจารย์จากฮาร์วาร์ดอธิบายว่า ที่ผ่านมาผู้นำรัสเซียพยายามหลีกการเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจ แต่สหรัฐกลับเป็นฝ่ายขยายอิทธิพลในยุโรปตะวันออกเสียเองโดยผ่านทางนาโต้ ซึ่งผลสุดท้ายคือการบีบให้ผู้นำรัสเซียต้องทำสงครามกับยูเครนในที่สุด

หมอไทยสุดยื้อ สาวออสซี่เสียชีวิต หลังดื่มเหล้าขาวในลาว ก่อนส่งมารักษาตัวในกรุงเทพฯ

(21 พ.ย.67) สื่อออสเตรเลียรายงานว่า เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวสาววัยรุ่นชาวออสเตรเลียส่งตัวเข้ารับการรักษาในไทย เนื่องจากสงสัยว่ามีอาการภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษรุนแรง หลังดื่มเครื่องดื่มปนเปื้อนในลาว

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวสาวอายุวัยเพียง 19 กำลังเดินทางท่องเที่ยวในลาว แต่เกิดล้มป่วยในเมืองวังเวียง ส่งผลให้ครอบครัวประสานงานกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์ นำตัวมาเข้ารับการรักษาตัวยังโรงพยาบาลใน กรุงเทพ ซึ่งครอบครัวของทั้งสองสาวเดินทางมายังกรุงเทพด้วยเพื่อเฝ้าดูอาการ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมเนื่องจากเหตุผลความเป็นส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า บิอังกา โจนส์ หนึ่งในสาววัย 19 ปี ที่ถูกส่งตัวมากรักษาในกรุงเทพได้เสียชีวิตลงแล้วจากภาวะได้รับพิษจากเมทานอล ส่วนเพื่อนของเธอซึ่งอายุ 19 ปีเช่นกัน ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าทั้งสองคนดื่มอะไร แต่บางครั้งเมทานอลถูกนำมาใช้เป็นแอลกอฮอล์ในการผสมเครื่องดื่มตามบาร์ที่ไม่น่าเชื่อถือ  และอาจก่อให้เกิดพิษร้ายแรงหรือเสียชีวิตได้

สื่อออสเตรเลียยังรายงานด้วยว่า มีนักท่องเที่ยวชาวเดนมาร์กเสียชีวิต 2 คน หลังจากดื่มแอลกอฮอล์ปนเปื้อนในเมืองวังเวียง ในช่วงเวลาเดียวกับหญิงชาวออสเตรเลีย แต่ไม่สามารถยืนยันรายละเอียดได้ 

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตจากการสุราเป็นพิษในลาวแล้วทั้งหมด 4 ราย เป็นชาวออสเตรเลีย 1 ราย อเมริกัน 1 ราย และชาวเดนมาร์ก 2 ราย

เวียดนามให้สอนกอล์ฟเป็นวิชาพละ เรียนฟรี อุปกรณ์ฟรี มีโปรมาสอน

(21 พ.ย.67) โรงเรียนประถม To Vinh Dien ในฮานอย จะถือเป็นโรงเรียนรัฐแห่งแรกในเวียดนามที่มีการสอนกอล์ฟเป็นวิชาพื้นฐานในวิชาพละ โดยการสอนจะเริ่มต้นกับนักเรียนจำนวน 850 คน ช่วงต้นปีหน้า

Ha Ngoc Lan ผู้อำนวยการโรงเรียนประถม To Vinh Dien กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับศูนย์ส่งเสริมและพัฒนากอล์ฟเวียดนาม และสมาคมกอล์ฟเวียดนาม รวมถึงองค์กรอื่น ๆ โดยนักเรียนทั้งหมด 857 คนในโรงเรียนจะได้รับการเรียนกอล์ฟฟรี และจะมีอุปกรณ์กอล์ฟให้ใช้งาน

ผู้อำนวยการโรงเรียนประถม To Vinh Dien เปิดเผยว่า เธอต้องการให้นำกีฬากอล์ฟมาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรเพราะมันเป็นกีฬานานาชาติ ซึ่งเธอต้องการบุกเบิกในเรื่องนี้เพราะถือเป็นโรงเรียนรัฐแห่งแรกในเวียดนามที่ดำเนินการสอนกอล์ฟในวิชาพละ

"กอล์ฟไม่เพียงแต่พัฒนาความสามารถทางร่างกายของนักเรียน แต่ยังช่วยพัฒนาคุณสมบัติที่สำคัญ เช่น ความอดทน วินัย และสมาธิ"

โรงเรียนจะเริ่มสอนกอล์ฟตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงสิ้นปีการศึกษาในช่วงฤดูร้อน จากนั้นโรงเรียนจะประเมินผลการดำเนินโครงการ รับความคิดเห็นจากผู้ปกครองและนักเรียน และวางแผนสำหรับปีการศึกษาถัดไป

นาย Vu Anh Long ผู้อำนวยการโครงการพัฒนากอล์ฟเยาวชน R&A-VGA กล่าวว่ามีโรงเรียนโตวินห์เดียนเป็นโรงเรียนที่สองในเวียดนามหลังจากโรงเรียน Alpha ในกรุงฮานอย และเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการนี้ "เป้าหมายคือการทำให้กอล์ฟเป็นที่นิยมและเผยแพร่คุณค่าด้านการศึกษา รวมถึงการค้นหาดาวรุ่งที่มีความสามารถพัฒนาเป็นโปรมืออาชีพในอนาคต" Long กล่าว

สหรัฐฯ ฟ้อง 'โกตัม อดานี' เจอข้อหา ติดสินบน-ฉ้อโกงหลายพันล้านดอลลาร์

(21 พ.ย. 67) โกตัม อดานี มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ประธานกลุ่มธุรกิจอดานี กรุ๊ป และหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ถูกทางการรัฐนิวยอร์กดำเนินคดีข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องในการให้สินบนและการฉ้อโกงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

เจ้าหน้าที่อัยการของสหรัฐกล่าวว่า นายอดานีและจำเลยอีก 7 คน รวมถึงนายซาการ์ อดานี หลานชาย ตกลงจ่ายเงินประมาณ 265 ล้านดอลลาร์เป็นสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เพื่อให้ได้สัญญาหลายฉบับที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 20 ปี และมีพฤติการณ์ร่วมฮั่วประมูลในโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย 

อัยการยังระบุด้วยว่า นายอดานีและผู้บริหารอีกคนของอดานี กรีน เอนเนอจี รวมถึงอดีตซีอีโอของอดานี กรีน เอนเนอจี ระดมทุนมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์จากการกู้ยืมและการออกพันธบัตร โดยการให้ข้อมูลเท็จหรือปกปิดการทุจริตไม่ให้เจ้าหนี้และนักลงทุนได้รับทราบ

ผู้พิพากษาสหรัฐได้อนุมัติหมายจับนายอดานีและหลานชายของเขาแล้ว และอัยการเตรียมที่จะส่งหมายจับให้กับหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ

ตามรายงานข้อมูลของนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) ระบุว่า นายอดานี วัย 62 ปี มีทรัพย์สินมูลค่า 69,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 22 ของโลก

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า อดานี กรีน เอนเนอจี ได้ประกาศยกเลิกแผนการระดมทุน 600 ล้านดอลลาร์ ด้วยการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีของนายอดานี

บราซิลลงนามสัญญา SpaceSail เช่าอินเทอร์เน็ตดาวเทียมแทน Starlink

(21 พ.ย.67) บริษัท Telebras ผู้ให้บริการโทรคมนาคมของบราซิล เปิดเผยว่าได้ทางเลือกใหม่ในการหาคู่สัญญาให้บริการ อินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับพื้นที่ห่างไกล โดยบริษัทได้ลงนามในจดหมายแสดงเจตจำนงร่วมกับบริษัท SpaceSail ของจีนแทนที่การพิจารณาเลือกบริษัท Starlink ของอีลอน มัสก์ ท่ามกลางที่รัฐบาลบราซิลกับอีลอน มัสก์ กำลังมีข้อพิพาทกรณีแพลตฟอร์ม x 

ภายใต้เงื่อนไขใหม่ระหว่าง Telebras และ SpaceSail บริษัทจีนจะรับหน้าที่เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในบราซิล แต่รายงานยังไม่ได้ระบุรายละเอียดของความร่วมมือดังกล่าว 

นายจุเซลิโน ฟีลโฮ รัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารของบราซิลกล่าวว่า SpaceSail มีดาวเทียม 40 ดวงที่อยู่ในวงโคจรแล้วและวางแผนจะส่งดาวเทียมอีก 648 ดวงในอีก 14 เดือนข้างหน้า เมื่อดาวเทียมเหล่านี้ถูกส่งขึ้นสำเร็จ บริษัทจีนจะสามารถให้บริการในบราซิลได้อย่างครอบคลุม

ทั้งนี้ ประเด็นข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลบราซิลกับอีลอน มัสก์ มีขึ้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของบราซิล อเล็กซานเดร เดอ โมราเอส ได้สั่งให้ระงับการใช้งาน X ในประเทศหลังจากที่มัสก์ปฏิเสธที่จะแต่งตั้งตัวแทนทางกฎหมายใหม่สำหรับเครือข่ายสังคมนี้ โดยผู้พิพากษายังได้สั่งอายัดบัญชีของ Starlink ในบราซิลด้วยเหตุผลเดียวกัน

สหรัฐสั่งปิดสถานทูตในกรุงเคียฟ หลังยูเครนยิงขีปนาวุธอเมริกันใส่รัสเซีย

(21 พ.ย. 67) สหรัฐอเมริกาสั่งปิดสถานทูตอเมริกันในกรุงเคียฟ เมื่อช่วงเช้าวันพุธ (20 พ.ย.67) นี้ หลังกองทัพยูเครนใช้ขีปนาวุธของอเมริกันโจมตีรัสเซีย หวั่นเป็นเป้าหมายการโจมตีกลับจากฝ่ายรัสเซีย

แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งกล่าวว่า ทางสถานทูตในกรุงเคียฟจำเป็นต้องปิดทำการ (ชั่วคราว) เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีทางอากาศจากรัสเซีย ด้านกรีซ สเปน และ อิตาลี ก็ได้สั่งให้ปิดสถานทูตของตนเช่นกัน ส่วนสถานทูตฝรั่งเศสยังคงเปิดทำการตามปกติ แต่ได้ออกประกาศเตือนภัยพลเมืองฝรั่งเศสในยูเครนถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจยกระดับกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ได้ 

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ได้ถูกยกระดับขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ออกคำสั่งทิ้งทวนก่อนลาตำแหน่ง อนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธระยะไกลของอเมริกันโจมตีเข้าไปในพรมแดนรัสเซียได้ 

โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการตอบโต้ที่ รัสเซียได้ขอกองกำลังเสริมจากเกาหลีเหนือกว่า 10,000 นายเข้าไปช่วยรบในยูเครน อีกทั้งยังเป็นการครบรอบ 1,000 วัน สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่เห็นหนทางยุติ  ด้านกองทัพยูเครนก็ไม่รอช้า จัดการยิงขีปนาวุธ  ATACMS  6 ลูกข้ามฝั่งไปยังแคว้นเบรียนสค์ ชายแดนทางภาคตะวันตกของรัสเซียในทันที

ด้านโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน กล่าวว่า เมื่อเรามีประเทศเพื่อนบ้านที่บ้าคลั่ง ก็ต้องคุยกันด้วยขีปนาวุธเท่านั้น

แต่หลังจากที่กองทัพยูเครนใช้ขีปนาวุธของสหรัฐ โจมตีดินแดนรัสเซียแล้ว โฆษกประจำตัว วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียก็ได้ออกมากล่าวว่าสหรัฐอเมริกากำลังราดน้ำมันลงในเปลวไฟ ซึ่งรัสเซียก็พร้อมที่จะตอบโต้ด้วยกำลังเช่นกัน

จึงทำให้ช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาในกรุงเคียฟ มีแต่สัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศดังสนั่น และข่าวลือเรื่องการใช้ขีปนาวุธร้ายแรงของรัสเซียแพร่สะพัดไปทั่วโลกโซเชียลในยูเครน 

ประกอบกับคำสั่งปิดสถานทูตอเมริกันในกรุงเคียฟในวันนี้ ยิ่งสร้างความหวั่นวิตกว่า สงครามขีปนาวุธระหว่างรัสเซีย-ยูเครนมาแน่ แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะยืนยันว่าเป็นเพียงการปิดทำการชั่วคราว ซึ่งคาดว่าจะกลับมาเปิดได้ตามปกติภายในสัปดาห์นี้ก็ตาม 

โซเชียลญี่ปุ่นวิจารณ์นายกฯ ไม่ลุกขึ้นขณะทักทายผู้นำชาติอื่น

(21 พ.ย.67) นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับ 'มารยาทที่ไม่เหมาะสม' หลังจากมีคลิปวิดีโอจากการประชุมสุดยอด APEC ที่เปรู เผยให้เห็นว่าเขาทักทายผู้นำประเทศอื่นในขณะที่ยังคงนั่งอยู่ 

ในคลิปดังกล่าว อิชิบะกำลังนั่งใช้สมาร์ทโฟน ในขณะที่ผู้นำประเทศอื่น อาทิ นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และนายอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย เดินเข้ามาทักทายนายกฯ ญี่ปุ่นคนใหม่ แต่นายอิชิบะเพียงแค่เงยหน้าจากโทรศัพท์และจับมือกับผู้นำเหล่านั้น แต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืน 

นอกจากนี้ ยังปรากฏภาพเขายังคงนั่งขณะจับมือกับประธานาธิบดีดีนา โบลูอาร์เต ผู้นำเจ้าภาพของเปรู  

"น่าอายจริงๆ" ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่งโพสต์เป็นภาษาญี่ปุ่น ขณะที่อีกคนกล่าวว่า "ไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาเป็นนายกฯ แต่นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อสำหรับผู้ใหญ่คนหนึ่ง"

นอกจากนี้ อิชิบะยังถูกวิจารณ์ว่ามีท่าทีไม่สุภาพ หลังจากมีคลิปวิดีโออีกชุดที่แสดงให้เห็นว่าเขานั่งกอดอกระหว่างชมการแสดงเต้นรำในพิธีต้อนรับการประชุม APEC  

อิชิบะเพิ่งเปิดตัวในเวทีการทูตในฐานะผู้นำญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่แล้ว ในการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่ประเทศลาว

นายกอังกฤษไม่ขอวิจารณ์จีน หลังฮ่องกงจำคุก แก๊งโจชัว หว่อง หวั่นกระทบเศรษฐกิจ

(21 พ.ย. 67) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ปฏิเสธที่จะกล่าววิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย 45 คนในฮ่องกง ที่ศาลฮ่องกงมีคำตัดสินเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยผู้นำอังกฤษให้เหตุผลว่าการแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาควรเกิดขึ้นในที่ส่วนตัว เพื่อไม่ให้กระทบต่อเป้าหมายการสร้าง "ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด" กับจีน  

รายงานระบุว่าสตาร์เมอร์ อยู่ระหว่างการร่วมประชุม G20 ที่ประเทศบราซิล และได้มีโอกาสหารือกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง โดยนายกอังกฤษยอมรับว่า เขาได้พูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับผู้นำจีน เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง อย่างไรก็ตาม เขาเลือกที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวต่อสาธารณะ

ในระหว่างการแถลงข่าว เมื่อถูกถามโดย Financial Times ว่าจะประณามการกวาดล้างผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำ "การล้มล้าง" ในหมู่นักวิชาการ นักข่าว และนักการเมืองในฮ่องกงหรือไม่ สตาร์เมอร์ปฏิเสธและกล่าวว่า

"ในประเด็นที่เรามีความเห็นต่าง เราได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับที่เราทำเมื่อวานเกี่ยวกับฮ่องกง สิ่งงที่ผมไม่ทำคือสูญเสียโอกาสสำหรับเศรษฐกิจของเราในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีขึ้น ผมต้องการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพราะจีนเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พูดถึงความแตกต่างเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือแนวทางที่ผมใช้ และจะใช้ต่อไป"  

การประชุมแบบตัวต่อตัวระหว่างสตาร์เมอร์และสีในริโอเดจาเนโรเมื่อวันจันทร์ ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำอังกฤษได้พบกับประธานาธิบดีจีนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีของอังกฤษที่เปิดกว้างมากขึ้นต่อปักกิ่ง  

ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนเย็นชาลง ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ พบกับสีในปี 2018 ต่อมาภายใต้การนำของริชี ซูนัค ความสัมพันธ์ยังคงตึงเครียด โดยสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวต่อจีน 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่พรรคแรงงานเข้ามาบริหารในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลใหม่ได้มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับจีนมากขึ้น โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ เดวิด แลมมี ได้เดินทางเยือนจีนแล้ว และมีแผนที่ทั้งสตาร์เมอร์และรัฐมนตรีการคลังราเชล รีฟส์ จะเดินทางไปในปีหน้า    

สตาร์เมอร์ยังเน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและจีนควรปราศจาก "ความคลางแคลงใจ" และกล่าวถึงการเปิด "บทสนทนาใหม่" กับปักกิ่งในเรื่องอื่นที่ท้าทายร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม เซอร์เอียน ดันแคน สมิธ อดีตหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม ได้วิจารณ์ท่าทีของสตาร์เมอร์ที่ไม่แสดงจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์จีนในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า "เขาและรัฐบาลของเขาหมกมุ่นกับการค้าเสียจนพร้อมจะมองข้ามความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น"

ปักกิ่งเผย 'เผิงต้าซุ่น' ผู้นำโกก้าง อยู่ในจีน แต่มารักษาอาการป่วย

(20 พ.ย.67) จีนเปิดเผยว่า นายเผิง ต้าซุ่น ผู้นำกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง หนึ่งในกลุ่มกบฏสำคัญในเมียนมา ได้เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์ หลังจากมีรายงานข่าวจากเมียนมาว่า เขาถูกทางการจีนจับกุมตัวแล้ว

โดยระหว่างการแถลงข่าวประจำวัน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน นายหลิน เจียน ได้ถูกถามถึงรายงานการจับกุมตัวนายเผิง โดยเขาตอบว่า ก่อนหน้านี้นายเผิงได้ยื่นคำร้องขอเดินทางมาจีนเพื่อรับการรักษา และตอนนี้อยู่ระหว่างการรักษาตัวและฟื้นฟูสุขภาพ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอาการหรือที่อยู่ของนายเผิง

สำหรับ MNDAA ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2532 โดยกลุ่มชนกลุ่มน้อยโกก้างในรัฐฉาน และเคยเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ ที่ทำข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวดำเนินมานานเกือบ 20 ปี ก่อนที่การปะทะในโกก้างเมื่อปี 2552 จะทำให้ข้อตกลงหยุดยิงพังทลาย

ในการปะทะครั้งนั้น MNDAA ถูกผลักดันออกจากเมืองเล่าก์ก่าย และทำให้ มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารในปัจจุบันได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้บัญชาการส่วนภูมิภาค แต่ในเดือนมกราคมปีที่แล้ว MNDAA สามารถกลับบมายึดเมืองเล่าก์ก่ายกลับคืนมาได้สำเร็จ หลังจากทหารรัฐบาลมากกว่า 2,000 นายยอมจำนน

หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน กองทัพ MNDAA ยังสามารถยึดเมืองล่าเสี้ยวได้สำเร็จ ซึ่งห่างจากเขตปกครองตนเองโกก้างประมาณ 100 กม. แต่การยึดเมืองล่าเสี้ยวนี้กลับทำให้จีนเริ่มแสดงความกังวล เนื่องจากมีความกลัวว่าอิทธิพลจากชาติทิศตะวันตกอาจแทรกซึมเข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมา และการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลทหาร

หลังจากเหตุการณ์การยึดเมืองล่าเสี้ยว จีนได้ตัดการให้บริการน้ำและอินเทอร์เน็ตแก่เขตปกครองตนเองโกก้าง ซึ่งติดกับมณฑลยูนนานของจีน

ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวจับกุม นายเจสัน ทาวเวอร์ จากสถาบันสันติภาพในสหรัฐฯ ระบุว่า การที่จีนจับกุมตัวนายเผิงอาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะรักษาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมากับฝ่ายต่อต้าน โดยจีนหวังว่าจะสามารถเจรจาให้ MNDAA สละเมืองล่าเสี้ยวเพื่อยุติความขัดแย้ง

ขนส่งแบตเตอรี่ลิเธียมทางรถไฟ สร้างตู้ขนส่งโดยเฉพาะ มั่นใจปลอดภัยไม่ระเบิด

(20 พ.ย.67) บริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด ได้ดำเนินการทดลองขนส่งแบตเตอรี่ลิเธียมสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าปริมาณมากครั้งแรกของประเทศเมื่อวันอังคาร (19 พ.ย.) โดยรถไฟบรรทุกแบตเตอรี่ลิเธียม จำนวน 3 ขบวน เดินทางออกจากเทศบาลนครฉงชิ่ง มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) และมณฑลกุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

รายงานระบุว่าจีนเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมรายใหญ่ที่สุดของโลก และนี่เป็นก้าวสำคัญของการขนส่งแบตเตอรี่ยานยนต์ ซึ่งจัดเป็นสินค้าอันตรายและเดิมทีขนส่งทางทะเลหรือทางถนนเท่านั้น โดยการขนส่งแบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงตรงที่อาจเกิดไฟลุกไหม้หรือระเบิดหากถูกเขย่ากระแทก

เจี่ยผิง รองผู้จัดการทั่วไปของบริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน สาขาเฉิงตู จำกัด กล่าวว่าการทดลองเดินรถครั้งนี้ใช้ตู้คอนเทนเนอร์แบบใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อขนส่งแบตเตอรี่ลิเธียมโดยเฉพาะ โดยตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวผลิตจากวัสดุไม่ติดไฟ พร้อมติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน อุณหภูมิ และอุปกรณ์ระบายอากาศไว้ด้วย

เจี่ยชี้ว่าการขนส่งทางรางจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่การส่งออกแบตเตอรี่ลิเธียมของจีน เนื่องจากสามารถขนส่งได้มากกว่าการขนส่งทางบกและรวดเร็วกว่าการขนส่งทางทะเล

บริษัท คอนเทมโพรารี แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี จำกัด (CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำของจีน แสดงความยินดีกับการทดลองเดินรถครั้งนี้ โดยหลิวเจี๋ย ฝ่ายห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ของบริษัทฯ กล่าวว่าการทดลองขนส่งทางรางถือเป็นการรับรองประสิทธิภาพความปลอดภัยของแบตเตอรี่ลิเธียมภายในประเทศเพิ่มเติม

หลิวทิ้งท้ายว่าการขนส่งทางรางเปิดช่องทางใหม่อันมีประสิทธิภาพในการขนส่งแบตเตอรี่ลิเธียม และจะกระตุ้นการส่งออกด้วยต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลงและประสิทธิภาพทางโลจิสติกส์ที่พัฒนาดีขึ้น

พอใจในเซ็กส์-เสพติดความโรแมนติก ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ รั้งท้าย

(20 พ.ย. 67) IPSOS หน่วยงานวิจัยของฝรั่งเศสออกมาเปิดเผยที่เกี่ยวข้องกับความรักความสัมพันธ์ใน 3 ด้าน จากการสำรวจประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวน 24,269 ราย ที่ไม่เกิน 75 ปี ใน 31 ประเทศ โดยด้านแรกเป็นการประเมินความพึงพอใจในความโรแมนติกและเซ็กส์ โดยพบว่า ชาวอินเดียร้อยละ 76% พอใจในชีวิตเซ็กส์และชอบความโรแมนติกของคู่รักของตัวเอง ตามด้วยเม็กซิโก 76% จีน 75% และประเทศไทยในอันดับ 4 ที่ 75% 

ขณะที่การสำรวจความพึงพอใจในด้านการรู้สึกรักหรือถูกรัก พบว่า ประเทศโคลอมเบียมากสุดที่ 86% ตามด้วย เปรู 86% อินเดีย 84% เนเธอร์แลนด์ 82% เม็กซิโก 81% ส่วนประเทศไทยอยู่ที่ 80%

และการสำรวจความพึงพอใจในด้านความสัมพันธ์กับคู่ชีวิตหรือคู่สมรส ประเทศไทยมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 92% ตามด้วย เนเธอร์แลนด์ 91% อินโดนีเซีย เปรู มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ได้คะแนนเท่ากันที่ 88% 

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับผลสำรวจทั้ง 3 ด้านพบว่า เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น อยู่ในอันดับรั้งท้ายของการสำรวจ โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวญี่ปุ่นเพียง 37% เท่านั้นที่ได้รับความพึงพอใจในเรื่องเซ็กส์และความรัก  ขณะที่ชาวเกาหลีใต้ก็ไม่พอใจในเรื่องเซ็กส์และความรักน้อยเช่นเดียวกัน โดยความพึงพอใจในเรื่องเซ็กส์เป็นอันดับสองเพียง 45%

เช่นเดียวกับเมื่อถามว่าพวกเขารู้สึก "ได้รับความรัก" ในชีวิตมากเพียงใด ชาวญี่ปุ่น 51% ตอบว่ารู้สึกเช่นนั้น ซึ่งถือเป็นอันดับต่ำที่สุด โดยอยู่อันดับรองลงมาเล็กน้อยจากชาวเกาหลีใต้ 

ผลสำรวจนี้สะท้อนสภาพสังคมของทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ที่กำลังเผชิญภาวะประชากรหดตัวเนื่องจากอัตราการเกิดที่น้อยลงในทั้งสองชาติ  ซึ่ง IPSOS ระบุถึงหนึ่งในเหตุผลที่ชาวญี่ปุ่นมีอันดับความไม่พอใจดังกล่าวในระดับต่ำเป็นเพราะ "บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่นที่ไม่เก่งในการแสดงอารมณ์และทัศนคติเมื่อเป็นเรื่องของความรัก" 

'Ralph Lauren' แบรนด์อเมริกัน ขายดีในจีน สะท้อนคนแผ่นดินใหญ่นิยมเทรนด์ Quiet Luxury

(20 พ.ย.67) ในช่วงเวลาที่ตลาดสินค้าหรูหราในจีนกำลังซบเซา แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง 'LVMH' และ 'Kering' ต่างต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวจีน แต่ในท่ามกลางกระแสนี้ กลับมีหนึ่งแบรนด์ที่โดดเด่นและสวนทางกับกระแสความท้าทายเหล่านั้น นั่นคือ 'Ralph Lauren' แบรนด์หรูจากสหรัฐฯ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแดนมังกร

เมื่อไม่นานมานี้ Ralph Lauren รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2025 โดยมียอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% และภูมิภาคเอเชียเป็นผู้นำการเติบโต ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 11% แม้รายได้จากจีนยังคงเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อย (ประมาณ 8% ของยอดขายทั้งหมด) แต่แบรนด์มองว่านี่คือก้าวแรกที่สำคัญสำหรับการขยายตลาดในประเทศนี้

นีล ซอนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการของ GlobalData Retail ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Ralph Lauren ยังคงครองใจผู้บริโภคในจีนได้ นั่นคือ 'ความเรียบหรูและความคลาสสิก' ที่แตกต่างจากแบรนด์สินค้าหรูหราทั่วไป ในยุคที่ชาวจีนบางส่วนเริ่มลดความสนใจในสินค้าหรูที่แสดงถึงความมั่งคั่งเกินจำเป็น Ralph Lauren กลับนำเสนอสไตล์ที่ไม่โอ้อวด แต่ยังคงสะท้อนถึงคุณภาพและความคงทน ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาด

มาร์ติน โรล นักยุทธศาสตร์ธุรกิจจาก McKinsey อธิบายเพิ่มเติมว่า แนวคิด 'วิถีชีวิตแบบอเมริกันคลาสสิก' ของแบรนด์นี้ สอดรับกับความสนใจของผู้บริโภคชาวจีนที่กำลังมองหาความหรูหราที่ประณีตและยั่งยืน คุณภาพและประวัติศาสตร์ของแบรนด์กลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่าง และทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดในตลาดจีนได้อย่างมั่นคง

Ralph Lauren ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนำเสนอสินค้าคลาสสิก แต่ยังใช้กลยุทธ์ Omnichannel อย่างชาญฉลาดในการเข้าถึงผู้บริโภคชาวจีน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เช่น Tmall, JD.com และ WeChat รวมถึงการเปิดร้านป๊อปอัปเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า อีกทั้งยังเจาะกลุ่ม Gen Z ชาวจีน ที่มีแนวโน้มซื้อสินค้าหรูผ่านช่องทางดิจิทัล

นอกจากนี้ การเน้นความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความสำเร็จ Ralph Lauren สื่อสารถึงความมุ่งมั่นในการรักษ์โลกอย่างชัดเจน ซึ่งตรงกับความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ในจีน ที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

แม้ Ralph Lauren จะสามารถฝ่ากระแสและทำตลาดได้อย่างแข็งแกร่งในจีน แต่อนาคตยังคงมีความท้าทายรออยู่ ทั้งเรื่องภาษีศุลกากรและกระแสชาตินิยมในจีน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม นี่คือบทพิสูจน์สำคัญว่า Ralph Lauren สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และจะรักษาความนิยมในตลาดจีนได้อย่างยั่งยืนแค่ไหน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top