Friday, 3 May 2024
WORLD

ระทึก!! สะพานกระจก ‘The Geong’ แตกกะทันหัน ทำนักท่องเที่ยวดิ่งพื้น 15 เมตร ดับสลด 1 ราย

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) สื่อต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุการณ์สลด มีนักท่องเที่ยวพลัดตกสะพานกระจก ‘เดอะ กอง (The Geong)’ ที่มีความสูง 15 เมตร ในเขตป่าสนลิมปาคูวัส เมืองบันยูมาส จังหวัดชวากลาง ของอินโดนีเซีย

ตามรายงาน ขณะเกิดเหตุ มีกลุ่มนักท่องเที่ยว 13 คนเดินไปถ่ายภาพบนสะพาน ทันใดนั้นพื้นกระจกของสะพานที่มีความหนาราว 1 เซนติเมตรได้แตกและร่วงลงไป 1 แผ่น ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยว 4 คนตกเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุครั้งนี้

โดยมีนักท่องเที่ยว 2 คนพลัดตกจากสะพาน เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย ขณะที่อีก 2 คนติดอยู่บนสะพานกระจกและได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย

พยานผู้เห็นเหตุการณ์เปิดเผยว่า ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงดังเหมือนระเบิด ก่อนที่จะมีเสียงกระจกแตก เขาจึงรีบขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงทันที

“มันเหมือนมีการระเบิด พื้นกระจกตกลงไป ตรงนั้นมีนักท่องเที่ยวไปเซลฟี่ 4 คน มี 2 คนร่วงลงไป ส่วนอีก 2 คนติดอยู่ด้านบน เป็นผู้หญิงทั้งหมด”

ปัจจุบันสะพานกระจกถูกปิดชั่วคราว โดยตำรวจได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของการก่อสร้างสะพานกระจก รวมถึงสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกด้วย

‘เวียดนาม’ ยิ้ม!! ‘ทุเรียน’ ผงาด 9 เดือนแรก ปี 66 แหล่งรายได้ใหญ่สุดในหมู่ ‘ผัก-ผลไม้’ ส่งออก

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฮานอย เผยว่า สำนักข่าวท้องถิ่นของเวียดนามรายงานว่า มูลค่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2023 ทะลุ 1.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5.89 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้ทุเรียนกลายเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุด ในอุตสาหกรรมผักและผลไม้ของเวียดนาม

สำนักงานศุลกากรเวียดนามระบุว่า ตัวเลขข้างต้นสูงกว่าตัวเลขจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 14 เท่า

รายงานระบุว่า ยอดส่งออกทุเรียนแซงหน้าขนุน, แก้วมังกร, แตงโม, กล้วย และลิ้นจี่ จนขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่ง ครองสัดส่วนร้อยละ 38.7 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอุตสาหกรรมดังกล่าว

ปัจจุบัน ‘จีน’ ยังคงเป็นตลาดส่งออกทุเรียนที่สำคัญของเวียดนาม โดยเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียน 422 แห่ง และโรงบรรจุหีบห่อทุเรียน 153 แห่งที่ได้รับสิทธิส่งออกทุเรียนสู่จีน

อนึ่ง มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนาม ช่วงเดือนมกราคม-กันยายน สูงถึง 4.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.52 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘มะกัน’ ผวา!! คนร้ายใช้ปืนไรเฟิลบุกกราดยิงในบาร์-วอลมาร์ต ที่รัฐเมน ดับสลด 22 ศพ บาดเจ็บครึ่งร้อย ตร.เร่งล่าตัว-สั่งร้านค้าปิดให้บริการชั่วคราว

(26 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเหตุกราดยิงในเมืองลูอิสตัน รัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในคืนวันพุธ ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) ครอบคลุมสถานที่ 3 แห่งซึ่งเป็นบาร์ ร้านอาหาร และวอลมาร์ต สโตร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้เผยแพร่ภาพผู้ต้องสงสัย เป็นชายคนหนึ่งพร้อมอาวุธปืนไรเฟิล

ทั้งนี้ มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 22 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากกว่า 50-60 ราย และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนประชาชนให้อยู่ในสถานที่พักอาศัย และให้ร้านค้าผู้ประกอบการหยุดให้บริการ

โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจลูอิสตันยังคงเร่งไล่ล่าผู้ก่อเหตุ พร้อมเผยภาพผู้ต้องสงสัย และยานพาหนะที่คาดว่าใช้ในการหลบหนี

สำหรับ เมืองลูอิสตัน มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 38,000 คน ใช้เวลาขับรถ 45 นาทีไปทางเหนือของพอร์ตแลนด์ รัฐเมน

เมื่อการทำสงครามถล่มกาซาของอิสราเอล ทำให้เศรษฐกิจพัง วันละ 1.33 พันล้านบาท

(25 ต.ค. 66) อินโฟเควสท์ รายงานถึงสถานการณ์ในอิสราเอลภายใต้หัวข้อ 'ราคาของการแก้แค้น เมื่อการทำสงครามถล่มกาซาต้องแลกมาด้วยเศรษฐกิจของอิสราเอล' ระบุว่า...

สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธฮามาสในฉนวนกาซาไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของแสนยานุภาพทางการทหารและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของผลสะเทือนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวอิสราเอลด้วย”

เหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ เปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 7 ต.ค. จนมีพลเรือนเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลนั้น ทำให้อิสราเอลต้องการล้างแค้นและประกาศลั่นกลองรบโดยทิ้งระเบิดถล่มกาซาตลอด 2 สัปดาห์นับแต่นั้นมา อย่างไรก็ดี ราคาของการล้างแค้นต้องแลกมาด้วยความเสียหายทางเศรษฐกิจของอิสราเอล ซึ่งมีมูลค่าสูงอย่างที่อิสราเอลไม่ได้ประสบมาในรอบหลายทศวรรษ

>> ภาคธุรกิจหยุดชะงัก แรงงานโดนเกณฑ์ไปรบ
ขอบฟ้าของกรุงเทลอาวีฟที่มักจอแจไปด้วยเสียงรถเครนและกิจกรรมการก่อสร้างต้องเงียบสงัดอยู่หลายวันหลังจากที่เมืองสั่งปิดไซต์ก่อสร้าง โดยแม้จะเพิ่งกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในสัปดาห์นี้ภายใต้มาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น แต่การหยุดชะงักของภาคการก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมาคาดว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้อิสราเอลถึง 150 ล้านเชเกล (1.33 พันล้านบาท) ต่อวัน

นายราอูล ซารูโก ประธานสมาคมผู้รับเหมาก่อสร้างของอิสราเอลกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่แค่กระทบกับผู้รับเหมาหรือนักอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังกระทบต่อทุกครัวเรือนในอิสราเอลด้วย”

นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ยังส่งผลให้แรงงานหายไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากทหารกองหนุนนับแสนรายถูกเรียกตัวเข้าประจำการ ส่วนแรงงานชาวปาเลสไตน์นับพันที่ทำงานให้อิสราเอลก็ไม่สามารถเดินทางข้ามพรมแดนจากฉนวนกาซากับเขตเวสต์แบงก์มาได้ ทำให้ภาคธุรกิจขาดแคลนกำลังคนและสร้างความปั่นป่วนต่อห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ท่าเรือไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ในขณะที่ผู้ค้าปลีกก็ต้องให้พนักงานหยุดงานเนื่องจากไม่มีงานให้ทำ

โรงแรมต่าง ๆ มีชาวอิสราเอลที่อพยพจากพื้นที่ชายแดนมาพักอยู่ราว ๆ ครึ่งหนึ่ง ส่วนห้องที่เหลือส่วนใหญ่ไม่มีใครเข้าพัก โรงงานหลายแห่งแม้กระทั่งโรงที่ตั้งอยู่ใกล้กาซายังคงดำเนินงานต่อไป แต่ขาดแคลนคนขับรถบรรทุกจนไม่สามารถขนส่งสินค้าได้มากเท่าปกติ

บันไดเลื่อนและทางเดินในห้างสรรพสินค้าหลักของเมืองเยรูซาเลมร้างผู้คนในช่วงสองสัปดาห์แรกของสงคราม แม้ว่าช่วงหลังจะเริ่มมีลูกค้าทยอยเข้าห้างบ้างก็ตาม แต่นายเนทาเนล ชรากา ผู้จัดการร้านชุดกีฬาโคลัมเบียในห้างดังกล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า “จำนวนคนเดินผ่านไปผ่านมาลดลงไปมาก”

นายชรากากล่าวว่า พนักงานของเขาบางคนถูกเรียกตัวเข้ากองทัพ บางคนก็กลัวเกินกว่าจะมาทำงาน

อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งคิดเป็น 18% ของ GDP อิสราเอล ก็กำลังประสบความยากลำบาก โดยนายดรอร์ บิน ซีอีโอของสำนักงานนวัตกรรมอิสราเอลคาดว่า แรงงานในภาคไอทีประมาณ 10-15% ถูกเรียกตัวเข้าประจำการกองหนุน

“เราได้ติดต่อกับบริษัทเทคฯ หลายร้อยราย โดยเฉพาะพวกบริษัทสตาร์ตอัป” นายบินกล่าว พร้อมเสริมว่า หลายบริษัทกำลังจะหมดเงินทุนในการทำธุรกิจต่อไป

ด้านนายบารัค ไคลน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินจากบริษัทฟินเทคทีตาเรย์กล่าวว่า “ผลิตภาพลดลงไปมาก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะจดจ่ออยู่กับงานในแต่ละวันเมื่อในหัวคุณกังวลแต่เรื่องความเป็นความตาย”

>> 'วิกฤตทางจิตใจ' คนอิสราเอลพากันรัดเข็มขัด
ด้วยแนวโน้มที่อิสราเอลจะส่งทหารบุกภาคพื้นดินเข้าฉนวนกาซาและความเป็นไปได้ที่สงครามจะลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในภูมิภาค ชาวอิสราเอลต่างพากันรัดเข็มขัด พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลดลง 12% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยการใช้จ่ายลดฮวบฮาบในเกือบทุกด้าน ยกเว้นการซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ต

เมื่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็นมากกว่าครึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของอิสราเอล ความเสียหายทางเศรษฐกิจย่อมมีมหาศาล

ลีโอ ไลเดอร์แมน หัวหน้าที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของแบงก์ฮาโปอาลิม (Bank Hapoalim) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอลกล่าวว่า มี “วิกฤตทางจิตใจ” ในหมู่ประชาชนชาวอิสราเอล

“ประชาชนจะลดการใช้จ่ายด้านการบริโภค เพราะสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและบรรยากาศที่ไม่เป็นใจ” นายไลเดอร์แมนกล่าว

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อาวุโสในกระทรวงการคลังของอิสราเอลเปิดเผยกับทางรอยเตอร์ว่า “อิสราเอลฟื้นตัวได้ดีอย่างน่าทึ่งจากการสู้รบครั้งที่ผ่าน ๆ มา แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มีความรุนแรงมากกว่าที่เคย แม้ตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าที่จะบอกได้ก็ตาม”

>> เศรษฐกิจหด เครดิตลด หนี้เพิ่ม เงินอ่อนค่า แม้แบงก์ชาติมั่นใจว่าจะฟื้นตัว
เมื่อวันจันทร์ (23 ต.ค.) ธนาคารกลางอิสราเอลปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2566 เหลือ 2.3% จาก 3% และลดเหลือ 2.8% จาก 3.0% ในปี 2567 โดยตั้งสมมติฐานว่าสงครามจะถูกจำกัดวงไว้อยู่ในกาซาเท่านั้น

รัฐบาลอิสราเอลได้ให้สัญญาว่าจะใช้จ่ายในการทำสงครามครั้งนี้แบบ “ไม่จำกัด” นั่นหมายความว่างบประมาณจะยิ่งขาดดุลมากขึ้นและประเทศมีหนี้มากขึ้น โดยธนาคารกลางคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP จะพุ่งแตะระดับ 62% ในปี 2566 และ 65% ในปี 2567 จากเดิมที่อยู่ระดับ 60.5% ในปี 2565

ขณะเดียวกัน นายอามีร์ ยารอน ผู้ว่าการธนาคารกลางอิสราเอล ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในไม่ช้านี้ หลังจากธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุม 3 ครั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพในระบบการเงิน พร้อมกับกล่าวว่า ธนาคารกลางยังไม่ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากการลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินเชเกลอ่อนค่าลงอีก และจะยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เริ่มสงคราม สกุลเงินเชเกลของอิสราเอลอ่อนค่าลง 5% และหากนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ก็ร่วงลงไปแล้ว 15.5%

แม้ว่าธนาคารกลางอิสราเอลยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ แต่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอล โดยมีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ A1 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส

“ความขัดแย้งทางทหารในครั้งนี้กำลังทำให้อิสราเอลมีความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์เพิ่มขึ้นอีก จากเดิมที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานและส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอิสราเอลอย่างเป็นรูปธรรม”

“ต่อให้ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ยังจะส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอล ดังนั้นหากความขัดแย้งยืดเยื้อเป็นเวลานานขึ้น รุนแรงมากขึ้น และลุกลามเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย การคลังสาธารณะ (public finance) และเศรษฐกิจของอิสราเอล” มูดี้ส์กล่าว

มูดี้ส์ระบุว่า อิสราเอลได้ใช้จ่ายเงินด้านกลาโหมประมาณ 4.5% ของ GDP ซึ่งมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และคาดว่าอิสราเอลจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเมื่อพิจารณาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้

นอกจากมูดี้ส์แล้ว เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.) เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) ประกาศลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของอิสราเอลลงสู่ “เชิงลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” และคงอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอลไว้ที่ระดับ AA- โดยระบุว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มที่จะบานปลาย และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับที่รุนแรงมากขึ้น

เอสแอนด์พีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอิสราเอลจะหดตัวลง 5% ในไตรมาส 4 ปีนี้เมื่อเทียบกับในไตรมาส 3 เนื่องจากสงครามในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันและทำให้กิจกรรมทางธุรกิจอ่อนแอลง นอกจากนี้ ภาวะสงครามยังทำให้รัฐบาลอิสราเอลต้องเกณฑ์ทหารกองหนุนจำนวนมาก อีกทั้งทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถูกชัตดาวน์ และบั่นทอนความเชื่อมั่นเป็นวงกว้าง

>> สิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อ 'ตาต่อตา ฟันต่อฟัน'
เศรษฐกิจอิสราเอลในอดีตฟื้นตัวมาได้หลายต่อหลายครั้ง เช่นเมื่อปี 2549 ในการทำสงคราม 34 วันกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอนที่มีอิหร่านหนุนหลัง GDP ของอิสราเอลลดลงถึง 0.5% แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้น

อย่างไรก็ดี สงครามในปัจจุบันส่งผลสะเทือนทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างมากยิ่งกว่าที่เคย ราคาของการล้างแค้นครั้งนี้ไม่เพียงต้องจ่ายด้วยชีวิตคนและความไร้เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสร้างภาระหนักต่อเศรษฐกิจของอิสราเอลเองอีกด้วย

'จีน' ส่งเทียบเชิญ 'นักบินอวกาศต่างชาติทั่วโลก' ร่วมภารกิจท่องสถานีอวกาศของจีนในปี 2030

(25 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลินซีเฉียง รองผู้อำนวยการองค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) แถลงข่าวว่าจีนสามารถและพร้อมจะเชิญชวนนักบินอวกาศชาวต่างชาติเข้าร่วมภารกิจการเดินทางสู่สถานีอวกาศของจีน

หลินกล่าวว่ามีการส่งคำเชิญชวนไปทั่วโลก โดยยินดีต้อนรับทุกประเทศและภูมิภาคที่มุ่งมั่นใช้อวกาศอย่างสันติเพื่อร่วมมือกับจีนและเข้าร่วมภารกิจสถานีอวกาศของจีน โดยหลินเสริมว่าในอนาคตจะมีการเชิญชวนนักบินอวกาศชาวต่างชาติเข้าร่วมภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์ของจีนด้วย

ทั้งนี้ จีนวางแผนส่งยานอวกาศลงจอดบนดวงจันทร์โดยมีมนุษย์ควบคุมภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบันจีนเดินหน้างานวิจัยและพัฒนาอย่างแข็งขันเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวตามกำหนดการ

หลินเน้นย้ำว่าการดำเนินงานทางวิศวกรรมอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมของจีนมีวัตถุประสงค์เพื่อความสันติโดยเฉพาะ และจีนไม่เคยแสวงหาหรือจะแสวงหาการมีอำนาจนำในอวกาศ โดยจีนยินดีเดินหน้าความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศบนพื้นฐานของการใช้อย่างสันติ ความเท่าเทียม ผลประโยชน์ร่วม และการพัฒนาร่วมกัน

นอกจากนั้นหลินเสริมว่าการทำงานร่วมกันนั้นครอบคลุมการเดินทางสู่อวกาศร่วมกันของนักบินอวกาศ การพัฒนาและการทดลองอุปกรณ์บรรทุก (payload) ในอวกาศ การกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมในอวกาศ และการศึกษาวิทยาศาสตร์การบินและอวกาศสำหรับเยาวชน

‘อันโตนิอู กุแตเรซ’ ชี้ ชาวปาเลสไตน์บอบช้ำยาวนาน 56 ปี ต้องทนเห็นแผ่นดิน-บ้านเมือง-เศรษฐกิจ พังยับเยิน สูญสิ้นหนทางแก้ปัญหา

อันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความคิดเห็นแทนชาวปาเลสไตน์ในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ถึงชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ ตลอด 56 ปี ภายใต้การยึดครอง ที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก…ความฝันที่จะแก้ปัญหาก็สลายหายไปพร้อมกับสงคราม

'อิสราเอล' กดดัน 'เลขาฯ ยูเอ็น' ลาออก ถาม "คุณอาศัยอยู่ในโลกใด?" หลัง 'กุแตเรซ' บอก มีการละเมิด กม.มนุษยชน ชัดเจนในกาซา

(25 ต.ค. 66) นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่า การโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยกลุ่มฮามาส ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ

“ชาวปาเลสไตน์อยู่ภายใต้การยึดครองที่ทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกมานานถึง 56 ปี พวกเขาได้เห็นดินแดนของตนถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องจากการตั้งถิ่นฐาน และถูกรบกวนจากความรุนแรง เศรษฐกิจของพวกเขาหยุดชะงัก ผู้คนต้องพลัดถิ่น และบ้านเรือนของพวกเขาต้องพังยับเยิน ความหวังของพวกเขาที่จะหาทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองต่อชะตากรรมที่พวกเขาเผชิญก็สลายหายไปแล้วเช่นกัน” กุแตเรซกล่าว

อย่างไรก็ดี กุแตเรซย้ำว่า ความคับข้องใจของชาวปาเลสไตน์ไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลสำหรับการโจมตีที่น่าตกใจของฮามาสได้ และการโจมตีที่น่าตกใจเหล่านั้นก็ไม่สามารถเป็นเหตุผลให้มีการลงโทษแบบเหมารวมต่อชาวปาเลสไตน์ได้ด้วยเช่นกัน

เลขาธิการยูเอ็นกล่าวด้วยว่า มีการละเมิดกฎหมายด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา การคุ้มครองพลเรือนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการสู้รบใด ๆ

“แต่การปกป้องพลเรือนไม่ได้หมายความถึงการใช้พวกเขาเป็นโล่มนุษย์ ไม่ได้หมายถึงการสั่งให้ผู้คนมากกว่าหนึ่งล้านคนอพยพไปทางใต้ ซึ่งไม่มีที่พักพิง ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มียารักษาโรค และไม่มีเชื้อเพลิง แล้วจึงทิ้งระเบิดใส่ทางตอนใต้ต่อไป” กุแตเรซกล่าว

กุแตเรซกล่าวว่า เขารู้สึกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมอย่างชัดเจนที่เราได้เห็นในฉนวนกาซา พร้อมกับย้ำให้ชัดเจนว่า ไม่มีฝ่ายใดในการขัดแย้งด้วยอาวุธที่อยู่เหนือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้เอ่ยชื่ออิสราเอลหรือฮามาสแต่อย่างใด

คำกล่าวกุแตเรซได้รับการตอบโต้กลับอย่างดุเดือดจากนายกิลาด เออร์ดาน เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรอิสราเอลประจำยูเอ็น ที่เรียกร้องให้นายกุแตเรซลาออก หลังคำกล่าวที่ว่า การโจมตีของฮามาสไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ

เออร์ดานกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลหรือประเด็นใด ๆ ในการที่จะพูดคุยกับพวกที่แสดงความเข้าใจต่อการกระทำอันเลวร้ายที่สุดต่อพลเมืองอิสราเอล ซึ่งไม่ต่างไปจากที่องค์กรก่อการร้ายได้ประกาศไป

เออร์ดานยังโพสต์ข้อความบน X ว่า “ผมขอเรียกร้องให้กุแตเรซลาออกทันที”

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลตั้งคำถามกับกุแตเรซว่า “คุณอาศัยอยู่ในโลกใด?”

ลิออร์ ฮายัต โฆษกรัฐบาลอิสราเอลให้สัมภาษณ์ในรายการ The World Tonight ทางสถานีวิทยุ BBC Radio 4 ว่า เนื้อหาคำกล่าวของกุแตเรซเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหนึ่งนาทีเกี่ยวกับความโหดร้ายของกลุ่มผู้ก่อการร้ายฮามาส และให้เหตุผลสำหรับการก่อการร้าย

“แทนที่จะยืนเคียงข้างเหยื่อ เขากลับกล่วโทษเหยื่อสำหรับความโหดร้ายที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แทนที่จะยืนขึ้นพร้อมข้อความว่ามันต้องไม่เกิดขึ้นอีก เขากลับพูดกับผู้ก่อการร้ายว่า คุณได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น เรายอมรับการก่อการร้ายอันโหดร้ายของคุณ เพราะอิสราเอลเป็นฝ่ายที่ต้องถูกตำหนิ” ฮายัตกล่าว

'จีน' สั่งสอบด่วน!! คลิปพนักงานฉี่ใส่ถังเบียร์ชิงเต่า พบเป็นคนนอก ถือเป็นวินาศกรรมร้ายแรงแห่งวงการ

ทางการจีนทนเฉยไม่ไหว สั่งสอบสวนด่วน เหตุคลิปฉาวที่ถ่ายจากภายในโรงงานเบียร์ชิงเต่าของจีน ที่พบพนักงานในเครื่องแบบสีฟ้าปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วฉี่ใส่แทงก์เก็บส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตเบียร์ยี่ห้อดัง จนฉาวไปทั่วโลกออนไลน์ของจีน และมียอดวิวทะลุ 10 ล้านครั้งใน Weibo เพียงชั่วข้ามคืน 

สื่อจีนรายงานว่า โรงงานที่ปรากฏในคลิปเชื่อว่าเป็น Tsingtao Brewery No.3 ที่ตั้งอยู่ในเขตผิงตู ของเมืองชิงเต่า มณฑลชานตง ซึ่งเป็นเมืองต้นกำเนิดเบียร์ชื่อดัง

ด้าน Tsingtao Brewery บริษัทเจ้าของเบียร์ได้ออกแถลงการณ์ทันทีหลังพบคลิปที่แพร่กระจายว่อนไปทั่วโลกโซเชียลจีนตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทติดตาม สอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด และแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแทงก์ส่วนผสม และเบียร์ทั้งล็อตที่ผลิตในวันนั้นถูกเก็บ และปิดผนึกแล้วทั้งหมด 

ต่อมามีรายงานว่าได้ควบคุมตัวชายผู้ต้องสงสัยว่าเป็นบุคคลในคลิป ที่อุตริปีนขึ้นไปยืนฉี่ใส่แทงก์เบียร์ พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนที่เป็นคนถ่ายคลิปได้แล้ว เบื้องต้น ยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ใช่พนักงานประจำของโรงงานเบียร์ชิงเต่า แต่เป็นพนักงานจากบริษัทภายนอกที่จ้างงานชั่วคราว แต่ได้แอบลักลอบเข้าไปในโรงงานเบียร์ช่วงกลางคืน และกระทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการก่อวินาศกรรมร้ายแรงในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร 

'Tsingtao' ถือเป็นแบรนด์ที่ผลิตเบียร์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน และมียอดการส่งออกเป็นอันดับ 1 ที่กินส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ส่งออกของจีนถึง 50% ปัจจุบัน Tsingtao Brewery เป็นโรงงานผลิตเบียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และทำให้ 'เบียร์ชิงเต่า' เป็นภาพลักษณ์ของเบียร์จีนในตลาดโลก 

จากคลิปเหตุฉาวครั้งนี้ สั่นสะเทือนภาพลักษณ์ และ ความเชื่อถือต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก จนสื่อนอกขนานนามว่าเป็น 'Pee-gate' หรือ 'คดีฉี่ฉาว' ที่อาจสร้างผลกระทบต่อมูลค่าของบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างมหาศาล 

ซึ่งคล้ายกับคดีของเครือร้านซูชิเจ้าดังของญี่ปุ่น ที่เคยเกิดกรณีเด็กมัธยมเล่นตลกด้วยการแอบถ่ายคลิปตนเองกำลังเลียขวดซอสโชยุของร้านเผยแพร่ทางออนไลน์ จนสร้างความไม่สบายใจต่อลูกค้าของร้านเป็นวงกว้าง ทำให้แบรนด์ของร้านซูชิเจ้าดังสูญเสียมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 122 ล้านเหรียญภายในชั่วข้ามวัน จากความคึกคะนองของเด็กเพียงคนเดียว  

แต่ในกรณีของเบียร์ชิงเต่า ดูจะหนักกว่ามาก จนรัฐบาลจีนต้องสั่งให้สอบสวนเป็นกรณีเร่งด่วน ที่ต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ให้ยังคงนึกถึงเบียร์จีน นึกถึงชิงเต่า ได้อย่างที่เคยเป็นมา

‘ทีมวิศวกร MIT’ ออกแบบระบบใช้ประโยชน์ ‘พลังงานสุริยะ’  ผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสะอาด แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

เมื่อวานนี้ 23 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลงานการออกแบบใหม่ที่อาจควบคุมและใช้ประโยชน์จากความร้อนของดวงอาทิตย์สูงถึงร้อยละ 40 เพื่อผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสะอาด

ผลการศึกษาที่เผยแพร่ผ่านวารสารโซลาร์ เอ็นเนอร์จี เจอร์นัล (Solar Energy Journal) ระบุว่าทีมวิศวกรของสถาบันฯ ได้ทำการออกแบบระบบที่สามารถผลิตไฮโดรเจนทางอุณหเคมีหรือเคมีความร้อน (thermochemical) จากพลังงานแสงอาทิตย์

ระบบดังกล่าวควบคุมและใช้ประโยชน์จากความร้อนของดวงอาทิตย์เพื่อแยกน้ำโดยตรงและผลิตไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่สามารถเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถบรรทุก เรือ และเครื่องบินในระยะไกลโดยไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

อนึ่ง ระบบการผลิตไฮโดรเจนแบบดั้งเดิมพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ระบบใหม่ใช้เพียงพลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น

อาห์เมด โกเนิม อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลของสถาบันฯ ซึ่งเป็นผู้เขียนผลการศึกษาลำดับแรก เผยว่าไฮโดรเจนถือเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต โดยมีความจำเป็นต้องผลิตไฮโดรเจนให้ได้ในต้นทุนที่ถูกและปริมาณมาก

‘นายกฯ อิตาลี’ ประกาศแยกทางสามีสายฟ้าแลบ หลังฝ่ายชายโชว์หื่นออกทีวี ขณะคุยเรื่องเพศกับพิธีกรหญิง

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน่า นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนีของอิตาลี ประกาศเลิกรากับคู่ครองผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ หลังจากเขาแสดงความเห็นลามกในรายการโทรทัศน์

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเมโลนี วัย 46 ปี ประกาศทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันศุกร์ (20 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับนายอันเดรีย จัมบรูโน ที่ดำเนินมาเกือบ 10 ปี ได้ยุติลงแล้ว ขอขอบคุณเขาที่ได้ใช้เวลายอดเยี่ยมร่วมกันมาหลายปี ผ่านพ้นปัญหามาด้วยกัน และให้สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ นั่นคือจีเนวรา บุตรสาววัย 7 ขวบ

ผู้นำอิตาลีประกาศเรื่องนี้ 2 วันหลังจากนายจัมบรูโน วัย 42 ปี ที่ใช้ชีวิตคู่กับเธอโดยไม่ได้แต่งงานกัน แสดงความเห็นลามกและจับของสงวนของตนเองขณะชวนพิธีกรร่วมที่เป็นสตรีคุยเรื่องเพศในช่วงพักโฆษณา ซึ่งยังมีการถ่ายทอดสดทางสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ของรายการ เขาแถลงผ่านตัวแทนในวันศุกร์ว่า ได้ตกลงกับบริษัทผู้ผลิตรายการว่าจะพักการทำหน้าที่พิธีกรหลังเกิดเหตุดังกล่าว

‘ญี่ปุ่น’ เปิดผลสำรวจพบ ‘วัยทำงาน’ 45% นอนน้อยกว่า 6 ชม.ต่อคืน ชี้!! เสี่ยงเป็น ‘ซึมเศร้า’ เร่งหาวิธีร่นเวลาทำงาน-เซฟสภาพจิตใจ

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า ผลสำรวจจากรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้ พบประชาชนที่ทำงานในญี่ปุ่นทั้งหมดร้อยละ 45.5 นอนหลับโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน

สมุดปกขาวที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนนี้ ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสำรวจร้อยละ 10 เผยว่านอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน ร้อยละ 35.5 นอนหลับคืนละ 5-6 ชั่งโมง และร้อยละ 35.2 นอนหลับคืนละ 6-7 ชั่วโมง

ผลสำรวจพนักงาน 10,000 คน พบราวร้อยละ 70 ของผู้นอนหลับตามปริมาณเวลาอันเหมาะสม ไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 40 ในหมู่ผู้นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 3-5 ชั่วโมง

ผลสำรวจจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น พบร้อยละ 27.4 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 4 ชั่วโมง และร้อยละ 38.5 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 5 ชั่วโมง มีแนวโน้มป่วยโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลขั้นรุนแรง

กระทรวงฯ เสริมว่า มีความจำเป็นต้องแก้ไขชั่วโมงการทำงานอันยาวนานอย่างยิ่ง และช่วยให้คนงานมีเวลานอนหลับพักผ่อนเพิ่มขึ้น เพื่อพวกเขาสามารถรักษาสภาพจิตใจให้แข็งแรงดีได้

4 เคล็ดลับของคุณแม่แดนอาทิตย์อุทัย ที่ทำให้ ‘ญี่ปุ่น’ มีเด็กที่มีสุขภาพดีที่สุดในโลก

(23 ต.ค. 66) ท่ามกลางวัฒนธรรมการบริโภคอาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็งที่อุดมด้วยโซเดียม ไขมัน น้ำตาล สารเคมี อันเป็นสาเหตุให้มีเด็ก และเยาวชนทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน เสี่ยงต่อการเป็นโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง แม้อายุยังน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงจะเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สวัสดิการความเป็นอยู่ดี มีอาหารการกินสะดวก สบาย แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า เด็กๆ ในประเทศเหล่านี้ จะไม่มีปัญหาในการเลือกรับประทานอาหารการที่สมดุลย์ ถูกหลักโภชนาการแต่อย่างใด และดูเหมือนว่า ยิ่งมีอาหารปรุงแต่งให้เลือกสรรมาก เด็กๆ ยิ่งมีปัญหาสุขภาพ และโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

แต่เมื่อมีการสำรวจโภชนาการเด็กขององค์การ ‘UNICEF’ ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในบรรดา 41 ชาติจากสหภาพยุโรป และ กลุ่มประเทศเศรฐกิจชั้นนำในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีเพียง ‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเดียวเท่านั้นที่มีเด็กในอัตราส่วนน้อยกว่า 1 ใน 5 ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน สร้างความแปลกใจให้กับบรรดาพ่อแม่ชาวตะวันตกอย่างมาก ว่าคุณแม่ชาวญี่ปุ่นทำอย่างไร ที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติเด็กมีสุขภาพดีที่สุดในโลก

ซึ่งพบว่า พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับเพียง 4 ประการ ในการดูแลลูกที่แตกครอบครัวชาวตะวันตกอื่นๆ

1.) ครอบครัวชาวญี่ปุ่นยึดมั่นวิถีการกินอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’
วิถีการรับประทานอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ (食育) คิดค้นโดยนายแพทย์ อิชิสุกะ กาเซ็น เมื่อราวปี 1896 ที่เป็นการสอนหลักด้านโภชนาการของชาวญี่ปุ่น

นายแพทย์อิชิสุกะ ถือเป็นผู้บุกเบิกโภชนาการแนว ‘Macrobiotic diet’ หรือ ‘อาหารมหชีวนะ’ เน้นการบริโภคข้าวเป็นหลัก กับ พืชผักท้องถิ่น พืชทะเล ถั่ว ในสัดส่วนที่สมดุลย์ เหมาะสมต่อร่างกาย ซึ่งในแต่ละมื้อควรประกอบด้วย ข้าวกล้อง 40-60% ผัก 25-30% ถั่ว หรือพืชตระกูลถั่ว 5-10% พืชทะเล หรือสาหร่าย 5-10% และอาหารท้องถิ่นปรุงจากกรรมวิธีธรรมชาติ 5-10% โดยเนื้อสัตว์จะเน้นเป็นปลา หรืออาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่

ประกอบกับการจัดวางเซทอาหารแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘อิชิจู ซันไซ’ (一汁三菜) ที่ต้องประกอบด้วยข้าวสวย 1 ถ้วย ซุปมิโสะ 1 ถ้วย และกับข้าว 3 อย่าง ที่เป็นกับข้าวจานหลัก 1 จาน ที่อาจเป็นปลา ไข่ หรือ เนื้อ กับข้าวจานรอง 1 จาน ที่มักเป็นเต้าหู้ ถั่ว ผักสดท้องถิ่น กับผักดอง 1 ถ้วยเล็ก ใน 1 เซทจะได้สารอาหารครบถ้วนต่อความต้องการของร่างกาย

ซึ่งชาวญี่ปุ่นจริงจังกับการบริโภคอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ อย่างมาก ถึงขั้นตราเป็นกฎหมายพื้นฐานที่ต้องมีหลักสูตรการสอนโภชนาการแนวญี่ปุ่นในระดับโรงเรียน รวมถึงการปรุงอาหาร ถนอมอาหาร และการเพาะปลูกพืชผักท้องถิ่น ให้กับนักเรียนด้วย ที่ทำให้วิถีการกินอยู่แบบญี่ปุ่น ที่เน้นความสมดุลย์ของสารอาหาร จากวัตถุดิบท้องถิ่นถูกปลูกฝังให้แก่เยาวชนของญี่ปุ่นมานานหลายสิบปี จึงส่งผลดีต่อค่าเฉลี่ยสุขภาพของเด็ก และ เยาวชนในประเทศญี่ปุ่น

2.) ส่งเสริมค่านิยมการทำอาหารกินเอง
95% ของโรงเรียนประถม และมัธยมในญี่ปุ่นมีระบบอาหารกลางวันที่ทำขึ้นเองในโรงเรียน ที่มีการคิดเมนูที่คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารแต่ละมื้อ โดยนักโภชนาการอย่างรอบคอบ อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้นักเรียนญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการทำอาหาร มีการผลัดเวรทำหน้าที่บริการเสิร์ฟ แจกอาหารให้กับเพื่อนร่วมชั้น

แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล ผู้ปกครองญี่ปุ่นมักเตรียมข้าวกล่อง ที่เรียกกว่า ‘เบนโตะ’ ให้เด็กไปโรงเรียน ซึ่งครูมักให้เด็กๆ รวมกลุ่มรับประทานข้าวกล่องที่เตรียมมาร่วมกัน มีการพูดคุยเกี่ยวกับข้าวกล่องของนักเรียนแต่ละคน และมีการแลกเปลี่ยน แบ่งปันกับข้าวกับเพื่อน ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการกินอาหารที่ทำเองของชาวญี่ปุ่นที่ให้ประโยชน์ และความสดใหม่มากกว่าอาหารสำเร็จรูป

3.) ชาวญี่ปุ่นวางแผน และเตรียมอาหารล่วงหน้า
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นนิยมเตรียมวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการอาหารให้กับสมาชิกในบ้าน ทั้งผักดอง ผักสด ผลไม้ โปรตีน ที่เตรียมไว้โดยคำนึงถึงคุณค่าโภชนาการแบบ ‘โชคุอิคุ’ เช่นกัน อีกทั้งในบางโรงเรียนยังมีกฏ ห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวที่มีไขมัน น้ำตาลสูง หรือคาเฟอีน เช่น มันฝรั่งทอด คุกกี้ กาแฟ ภายในโรงเรียนด้วย เป็นการจำกัดโอกาสการรับประทานขนมขบเคี้ยวที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเด็ก

4.) ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มน้ำ หรือน้ำชา มากกว่าน้ำอัดลม
นี่อาจเป็นนิสัยการกินดื่มที่ดีอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่เลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำแร่ หรือ ชา มากกว่าน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และเมื่อคนในครอบครัวไม่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำในบ้าน เด็กญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มสูงที่จะไม่ดื่มน้ำอัดลมตามผู้ปกครองเช่นกัน ซึ่งช่วยลดโอกาสการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มรสหวาน หรือน้ำอัดลมมากเกินไป ที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานแคลอรีส่วนเกินในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุของ ‘โรคอ้วน’ นั่นเอง

และนี่ก็คือเคล็ดลับ 4 ประการของครอบครัวชาวญี่ปุ่น จากการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการวิถีญี่ปุ่น ที่นอกจากจะทำให้เด็กๆมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญให้ชาวญีปุ่นมีค่าเฉลี่ยอายุที่แข็งแรง และยืนยาวจนชาวตะวันตกต้องทึ่งกันนั่นเอง 

‘มะกัน’ จ่อส่งระบบ THAAD-ขีปนาวุธแพทริออตเพิ่มในตะวันออกกลาง เพื่อตอบโต้ท่าที ‘อิหร่าน’ หลังสถานการณ์เริ่มทวีความตึงเครียดต่อเนื่อง

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเตรียมที่จะส่งระบบต่อต้านมิสไซล์เพดานบินสูง (THAAD) และระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออตเพิ่มเติมไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีใส่กองทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางในช่วงที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้มีการส่งเรือบรรทุกอากาศยาน 2 ลำพร้อมเรือสนับสนุน และทหารเรือราว 2,000 คนไปในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อิหร่านให้การหนุนหลัง ขณะที่ความตึงเครียดในภูมิภาคดังกล่าวได้พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส

นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “หลังมีการหารือกันอย่างละเอียดกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำของสหรัฐฯ ถึงท่าทีที่ยั่วยุของอิหร่านในช่วงที่ผ่านมา และกองกำลังตัวแทนของอิหร่านทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง วันนี้ผมได้กำหนดขั้นตอนเพิ่มเติมหลายขั้นตอนเพื่อเสริมท่าทีของกระทรวงกลาโหมในภูมิภาคดังกล่าว”

นอกจากระบบ THAAD และขีปนาวุธแพทริออตแล้ว อาจมีการส่งทหารเข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มเติมอีกด้วย โดยไม่ได้มีการระบุตัวเลขจำนวนทหารที่แน่ชัด

“ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนความพยายามในการป้องปรามในภูมิภาค เพิ่มการป้องกันสำหรับกองกำลังของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง และช่วยเหลือการป้องกันตนเองของอิสราเอล” นายออสตินกล่าว

โดยคำสั่งดังกล่าวมีขึ้น 2 ปีหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศออกจากภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยให้เหตุผลว่า ความตึงเครียดกับอิหร่านได้คลี่คลายลงแล้ว

อย่างไรก็ดี การโจมตีใส่กองทัพสหรัฐฯ ในประเทศอิรักและซีเรียได้เพิ่มสูงขึ้นหลังสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือรบของสหรัฐฯ ได้ยิงโดรนหลายลำและขีปนาวุธร่อน 4 ลูกที่ยิงมาจากที่ตั้งของกลุ่มกบฏฮูตีในประเทศเยเมน

‘นักวิทย์ฯ จีน’ ผุดวัสดุก่อสร้างแบบใหม่ แรงบันดาลใจจาก ‘หนอนทะเล’ ช่วยประหยัดพลังงาน-ปล่อยคาร์บอนต่ำ-ลดมลพิษในภาคการก่อสร้าง

(22 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนได้พัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบใหม่ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากหนอนทะเล โดยมีศักยภาพประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซมลพิษในภาคการก่อสร้าง

‘หวังซู่เทา’ ผู้ร่วมเขียนผลการศึกษาและนักวิจัยประจำสถาบันเทคนิคฟิสิกส์และเคมี (TIPC) สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน กล่าวว่าวัสดุก่อสร้างจากซีเมนต์แบบดั้งเดิมใช้พลังงานมากในการผลิต ขณะเดียวกันก่อเกิดการปล่อยคาร์บอนมาก การพัฒนาวัสดุใหม่นี้จึงมีนัยสำคัญ

คณะนักวิจัยสังเกตเห็นว่าหนอนทะเลอย่าง ‘หนอนปราสาททราย’ (Sandcastle worm) สร้างรังอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถเชื่อมเม็ดทรายหรือเศษเปลือกหอยเข้าด้วยกันโดยใช้สารยึดติดที่หลั่งออกมาจากข้างในตัวมาก่อสร้างอาณาจักรปราสาททรายของตัวเอง

ทั้งนี้ คณะนักวิจัยพัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบใหม่โดยใช้ประโยชน์จากสารยึดติดธรรมชาติอันมีแรงบันดาลใจมาจากหนอนทะเลดังกล่าว โดยวัสดุใหม่นี้ผลิตได้ในอุณหภูมิและความกดอากาศต่ำ สามารถประยุกต์ใช้กับทรายจากทะเลทราย ทรายทะเล ตะกรันคอนกรีต ขี้เถ้าถ่านหิน และกากแร่ธาตุ

วัสดุใหม่นี้มีประสิทธิภาพเชิงกลที่ดี ความสามารถรีไซเคิล รวมถึงคุณสมบัติต้านทานการผุกร่อนและความสามารถปรับขนาด โดยหวังกล่าวว่าประสิทธิภาพอันรอบด้านเหล่านี้อาจช่วยให้วัสดุใหม่กลายเป็นวัสดุก่อสร้างที่น่าสนใจในการก่อสร้างแบบปล่อยคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่

อนึ่ง คณะนักวิจัยได้เผยแพร่ผลการวิจัยผ่านวารสารแมตเตอร์ (Matter) เมื่อไม่นานนี้

‘ฟินแลนด์’ เร่งสอบสวนเรือขนส่ง ‘จีน-รัสเซีย’ หลังเกิดเหตุวินาศกรรม ทำ ‘ท่อก๊าซรั่ว-สายเคเบิลใต้ทะเลฟินแลนด์-เอสโตเนีย’ เสียหายหนัก

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 ‘สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ’ ของฟินแลนด์ เดินหน้าคดีสืบสวนหาต้นต่อ การก่อวินาศกรรมท่อส่งก๊าซใต้ทะเล Baltic Connector Gas Pipeline ในบริเวณอ่าวฟินแลนด์ จนทำให้ก๊าซรั่วจนต้องปิดท่อก๊าซชั่วคราว ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงกัน ยังพบว่า สายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลได้รับความเสียหายด้วย

ถึงแม้ว่าเบื้องต้นจะไม่พบร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากการใช้ระเบิด แต่เกิดจากการใช้กำลังเครื่องยนต์อื่น และยังพบวัตถุที่มีน้ำหนักมากตกอยู่ใกล้จุดที่เสียหาย จมฝังอยู่ใต้พื้นทะเล   ทางการฟินแลนด์จึงใช้คำว่า “มีการก่อวินาศกรรม” ท่อก๊าซ และ สายเคเบิลสื่อสาร จนได้รับความเสียหายมากที่ต้องใช้ระยะเวลานานหลายเดือนในการซ่อมแซม

เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงราวๆ ตี 1 ของวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาเมื่อ สถาบันตัวจับแผ่นดินไหวของนอร์เวย์ พบแรงสั่นสะเทือนใต้ทะเลบริเวณทะเลบอลติก ในเขตน่านน้ำเขตเศรษฐกิจพิเศษของฟินแลนด์ถึง 2 จุด แต่แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังถือว่าเบากว่าเหตุระเบิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream ของรัสเซียเมื่อปี 2022 มาก

เมื่อทางการฟินแลนด์เข้าไปสำรวจ พบว่า ท่อส่งก๊าซ Baltic Connector เกิดรอยรั่ว รวมถึงสายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลในพื้นที่ใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน

ลำพังแค่ท่อส่งก๊าซเสียหายก็เรื่องใหญ่แล้ว แต่พอมีกรณีสายเคเบิลใต้ทะเลที่เชื่อมต่อระหว่าง ‘ฟินแลนด์’ กับ ‘เอสโตเนีย’ ถูกทำลายในลักษะเดียวกันด้วย ซึ่งสายเคเบิลส่วนที่เสียหายอยู่ในเขตของเอสโตเนีย ที่บริษัทของสวีเดนเป็นเข้าของความโกลาหลจึงยังจบง่ายๆ เมื่อประเทศผู้เสียหายมีทั้งที่เป็นสมาชิก และเกือบจะเป็นสมาชิก NATO จึงทำให้ถูกมองว่าน่าจะเป็นการก่อวินาศกรรม เพื่อขัดขวางการสื่อสารภายในระหว่างเอสโตเนีย สวีเดน ฟินแลนด์ หรือกับชาติสมาชิก NATO อื่นๆ

ด้าน ‘พอล โจนสัน’ รัฐมนตรีกลาโหมสวีเดนออกมากล่าวว่า มีการระดมทีมจากกองทัพ ตำรวจ และ หน่วยตระเวณชายฝั่ง ประสานงานกับทางเอสโตเนียเพื่อสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมองว่าเป็น ‘คดีด้านความมั่นคงที่เกี่ยวกับการบ่อนทำลายโครงสร้างพื้นฐานของชาติ’ จึงต้องให้ความสำคัญอย่างมากเป็นอันดับต้นๆ

ตามมาด้วย ‘เยนส์ สโทเทนเบิร์ก’ เลขาธิการ NATO ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า ได้พูดคุยกับนายเซาลี นีนิสเตอ ผู้นำฟินแลนด์ถึงความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลของทั้งฟินแลนด์ และเอสโตเนียแล้ว ทาง NATO พร้อมร่วมแชร์ข้อมูล และให้การสนับสนุนพันธมิตรของเราอย่างเต็มที่ จึงกลายเป็นคดีที่มีหลายชาติ พัลวัน พัลเก เต็มไปหมด

โดยคดีท่อส่งก๊าซเป็นเขตของฟินแลนด์ จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเฮลซิงกิในการสืบสวน และต่อมาได้เปิดเผยว่า มีเรือต้องสงสัย 2 ลำ ที่อยู่ใกล้บริเวณจุดเกิดเหตุ ในช่วงเวลานั้น ก็คือ ‘เรือขนส่งพลังงานนิวเคลียร์ Sevmorput’ ของรัสเซีย และ ‘เรือขนส่งจีน Newnew Polar Bear’

แต่ถึงจะมีเรื่อลำอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงด้วย แต่ตอนนี้ ทีมสืบสวนขอโฟกัสแค่ 2 ลำนี้ เพราะคดีนี้ ถูกมองในมุมมองของ NATO เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่เรือจาก 2 สัญชาตินี้เท่านั้นที่น่าสงสัยที่สุด

จากข้อมูลเดินเรือ พบว่าเรือทั้ง 2 ลำกำลังมุ่งหน้าไปเทียบฝั่งที่ท่าเรือเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเรือของจีนตามหลังเรือของรัสเซียอยู่เล็กน้อย ขณะผ่านใกล้จุดเกิดเหตุ

ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศฟินแลนด์ ได้ประสานผ่านช่องทางการทูตถึงรัฐบาลจีน และรัสเซีย เพื่อบอกให้รู้ว่าฟินแลนด์จะต้องสืบสวนเส้นทางของเรือทั้ง 2 สัญชาตินี้แล้ว ซึ่ง ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซียออกมากล่าวว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไร้สาระมาก แค่มีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซียลอยอยู่แถวนั้น เป็นผู้ต้องสงสัยแล้วหรือ

แต่มาวันนี้ มีรายงานเพิ่มเติมจากฟินแลนด์ว่า น่าจะโฟกัสที่เรือ Newnew Polar Bear ของจีนมากกว่า เพราะลอยอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ ในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าเรือของรัสเซีย
ซึ่ง Newnew Polar Bear ปักธงฮ่องกงในการเดินทางก็จริง แต่บริษัทของจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเจ้าของชื่อ ‘Hainan Xin Xin Yang Shipping’

แต่ทางการฟินแลนด์ และเอสโตเนีย ยอมรับว่าคดีนี้มีความอ่อนไหวทางการเมือง และการทูตอย่างมาก จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เมื่อต้องแถลงข้อมูลออกสื่อ ถ้าไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนจริงๆ

เพราะเดี๋ยวจะเหมือนกรณีข้อพิพาท ‘อินเดีย-แคนาดา’ ที่ตอนนี้ยังมองหน้ากันไม่ติด กลายเป็นวิกฤติการทูตที่ใช้เวลาซ่อมนานยิ่งกว่าท่อส่งก๊าซใต้ทะเลบอลติกเสียอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top