Saturday, 15 March 2025
WORLD

ทั่วโลกรับมือภัยพิบัติธรรมชาติถ้วนหน้า สเปนอ่วม!! ภาวะน้ำท่วมทำตาย 95

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะนี้ทั่วโลกอยู่ระหว่างการเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดย THE STATES TIMES รวบรวมมานำเสนอ ดังนี้

>>>ประเทศญี่ปุ่น
สื่อในประเทศญี่ปุ่นอย่าง Asahi ได้รายงานว่า ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศญี่ปุ่น ไม่มีหิมะปกคลุมเมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปีที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น 

>>>ประเทศสเปน
สื่อดังประเทศเยอรมันอย่าง DW ได้รายงานว่า แคว้นบาเลนเซีย(Valencia) ประเทศสเปน ได้ประสบอุทกภัยอย่างหนัก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 92 ราย จากจำนวนผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วม 95 รายในประเทศสเปน ล่าสุดทางสหภาพยุโรป(EU) ได้เสนอความช่วยเหลือแล้ว 

>>>ไต้หวัน
สำนักข่าว CNN รายงานว่า เกาะไต้หวันกำลังเผชิญหน้ากับพายุไต้ฝุ่นที่มีความรุนแรงระดับสูง โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย นอกจากนี้ทางรัฐบาลไต้หวันได้เตรียมความพร้อมกำลังพลถึง 36,000 นายเพื่อให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูเกาะ

สาวจีนโดนเจ้าหน้าที่โทรจี้ ถามเมื่อไหร่จะมีลูกเพิ่ม!!

(30 ต.ค. 67) สาวจีนรายหนึ่ง แชร์ประสบการณ์ถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจีนโทรศัพท์จี้ถามถึงแผนการมีลูก ตามนโยบายสนับสนุนการมีบุตรเพื่อเพิ่มอัตราเด็กเกิดใหม่ของรัฐบาลจีน ผ่านโซเชียล ปรากฏว่ามีหญิงสาวที่เจอประสบการณ์เดียวกันเพียบ 

สาวจีน ผู้ใช้ชื่อบัญชี 'Guo Guo' ในแพลตฟอร์ม Xiaohongshu ได้เล่าว่าเธอได้รับโทรศัพท์แปลกๆ จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรัฐ ที่โทรเข้ามาถามเรื่องการวางแผนครอบครัว และตอนนี้ได้ตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ แม้เธอจะเป็นคุณแม่ที่มีลูกอยู่แล้ว 2 คน แต่เจ้าหน้าที่ยังรุกถามต่อว่า แล้ววางแผนจะมีลูกคนที่ 3 เมื่อไหร่ 

สาวจีนเริ่มรู้สึกอึดอัดใจกับคำถามที่ละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวเกินงาม แต่ยังตอบปลายสายอย่างสุภาพว่า ตอนนี้เธอมีภาระมากพอแล้ว และไม่ว่างที่จะมีลูกคนที่ 3 อีก แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมแพ้ที่จะหว่านล้อมให้เธอมีลูกเพิ่ม ถ้าแม่สามีช่วยเลี้ยงไม่ได้ ลองถามแม่ของเธอให้ช่วยเลี้ยงก็ได้

หลังจากหญิงสาวแชร์เรื่องราวลงในโซเชียลจีน ปรากฏว่าโพสต์ของเธอมียอดวิวสูงถึง 11,000 วิว กับความเห็นของชาวเน็ตจีนอีกหลายพัน แถมบางคนยังยืนยันว่าเคยได้รับโทรศัพท์สอบถามแผนการตั้งครรภ์จากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกัน

และกลายเป็นประเด็นถกเถียงถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล และความชอบธรรมทางกฎหมายของการสอบถามข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ หลายคนแสดงความเห็นว่า นึกไม่ออกว่าการโทรมาจี้ถามราวกับสอบสวนจะส่งเสริมให้แต่ละครอบครัวมีบุตรเพิ่มขึ้นที่ตรงไหน และบางคนยังเห็นว่า เป็นการโทรที่แปลกยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เสียอีก

แต่ทว่า นี่ไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญรณรงค์เรื่องการมีบุตรอย่างเข้มข้นของรัฐบาลจีนจริง ๆ

โดย Caixin Global สื่อจีน รายงานว่ามีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระดับรากหญ้า เก็บรวบรวมข้อมูลสถิติการแต่งงาน และการคลอดบุตรของชาวบ้าน ส่งเข้าสู่ฐานข้อมูลของรัฐบาลกลาง เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมหลายครอบครัวจึงลังเลที่จะมีบุตร 

ซึ่งการสำรวจครั้งนี้ เจาะกลุ่มสตรีที่อยู่ในช่วงวัยที่มีความสามารถในการตั้งครรภ์อายุตั้งแต่ 15 - 49 ปี ในหัวเมืองใหญ่ 150 เมืองทั่วประเทศ เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหา และปัจจัยที่จำเป็นในการตั้งครรภ์และเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวจีน ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงสวัสดิการ และนโยบายส่งเสริมการมีบุตรของรัฐบาลในอนาคต 

เนื่องจากปัจจุบัน จีนกำลังเผชิญปัญหาอัตราเด็กเกิดใหม่น้อยลงมาก จากข้อมูลของสำนักสถิติแห่งชาติพบว่าในปี 2023 จีนมีเด็กแรกเกิดที่ 9 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงกว่าครึ่ง จากเมื่อปี 2014 ที่จีนมีเด็กแรกเกิดถึง 17 ล้านคน

แต่ความกระตือรือร้นที่หาเหตุ-ปัจจัย ที่จะกระตุ้นการมีบุตรของรัฐบาลจีนเป็นเรื่องดี จะผิดก็แต่เรื่องวิธีการเข้าถึงแหล่งข้อมูล ที่ดูจะขาดจิตวิทยาและความนุ่มนวลไปหน่อย ที่อาจทำให้หญิงสาวบางคนจากเดิมที่คิดจะมี กลายเป็นคิดหนักได้เหมือนกัน

มหาเศรษฐีอินเดีย ‘ราตัน ทาทา’ ยกมรดกมหาศาลให้สุนัขตัวโปรด

(30 ต.ค. 67) นาย Ratan Tata นักอุตสาหกรรมชาวอินเดียได้ยกมรดกมูลค่า 91 ล้านปอนด์ให้กับสุนัขของเขาในพินัยกรรม โดยขอให้สุนัขตัวโปรดของเขาได้รับ 'การดูแลอย่างไม่จำกัด' หลังจากที่เขาเสียชีวิต

นาย Tata ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เปลี่ยน Tata Group ให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในมุมไบเมื่อต้นเดือนนี้ด้วยวัย 86 ปีตามธรรมเนียมในอินเดีย นักธุรกิจที่ไม่เคยแต่งงานหรือมีบุตรคนนี้จะยกมรดกซึ่งมีมูลค่าประมาณ 91 ล้านปอนด์ให้กับพี่น้องของเขา

แต่ประธานคนก่อนของ Tata Group กลับมองข้ามพี่ชายของเขา Jimmy Tata และน้องสาวต่างมารดา Shireen และ Deanna Jejeebhoy เพื่อมอบสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดที่เขารัก Tito ให้กับแทน

ตามรายงานของ Times นาย Tata กล่าวว่าสุนัขของเขา Konar Subbiah พ่อบ้านและผู้ช่วยทั่วไปของเขา และ Rajan Shaw พ่อครัวของเขา ควรได้รับส่วนแบ่งจากมรดกของเขาเป็นจำนวนมาก พี่น้องของเขาจะได้รับมรดกเพียงส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของเขาเท่านั้น

ในอินเดีย เป็นเรื่องยากที่สัตว์เลี้ยงและคนรับใช้จะได้รับเงินจำนวนมากขนาดนี้ โดยส่วนใหญ่ทรัพย์สินมักจะเก็บไว้ภายในครอบครัว

ในพินัยกรรม นายทาทา ระบุว่าควรมีการเตรียมการเพื่อ 'ดูแลสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของเขาอย่างไม่จำกัด' ซึ่งอยู่เคียงข้างเขาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต

สอดคล้องกับความรักสัตว์ตลอดชีวิตของนายทาทา โดยพนักงานเฝ้าประตูที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มทาทาได้รับคำสั่งห้ามปฏิเสธสัตว์จรจัด

ตามคำบอกเล่าของ Suhel Seth เพื่อนสนิทของ Tata เงินจำนวนที่ทิ้งไว้ให้กับพ่อบ้านและพ่อครัวคนเก่าของ Tata ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่มีอายุ 50 ปีและดูแล Tito นั้นถือเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร

"เขาได้เตรียมการไว้ให้พวกเขาอย่างมากมายมหาศาล" เขากล่าวกับ The Times "พวกเขาจะไม่ต้องทำงานอีกต่อไป และพวกเขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี" เขากล่าวเสริมว่าคำสั่งดังกล่าวไม่น่าแปลกใจสำหรับผู้ที่รู้จักนายทาทาเป็นอย่างดี โดยกล่าวว่า "พินัยกรรมนี้ไม่ใช่คำประกาศทรัพย์สิน แต่เป็น "ท่าทางแสดงความขอบคุณสำหรับความสุขและความเอาใจใส่" ที่เขาได้รับจากสัตว์เลี้ยงและผู้ช่วยที่ใกล้ชิดสองคนของเขา

เมื่อต้นเดือนนี้ บรรดาผู้แสดงความอาลัยหลั่งไหลเข้ามา หลังจากมีการประกาศการเสียชีวิตของนายทาทา

นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี เรียกทาทาว่า "ผู้นำทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ จิตวิญญาณที่มีความเมตตากรุณา และเป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดา"

ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google กล่าวว่า ราตัน ทาทา ได้ทิ้งมรดกทางธุรกิจและการกุศลที่ไม่ธรรมดาไว้เบื้องหลัง และเขามีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาและพัฒนาความเป็นผู้นำทางธุรกิจสมัยใหม่ในอินเดีย

"ในการประชุมครั้งล่าสุดของผมกับราตัน ทาทา ที่ Google เราได้พูดคุยเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ Waymo และวิสัยทัศน์ของเขาเป็นแรงบันดาลใจในการรับฟัง" พิชัยกล่าวบน X

"เขาใส่ใจอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศอินเดียดีขึ้น" นายทาทาเกิดเมื่อปี 1937 ที่เมืองบอมเบย์ ซึ่งปัจจุบันคือเมืองมุมไบ เดิมทีเขาตั้งใจจะเป็นสถาปนิกและทำงานในสหรัฐอเมริกา แต่คุณยายของเขาซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเขามา ขอให้เขากลับบ้านและเข้าร่วมธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่โต

เขาเริ่มต้นธุรกิจในปี 1962 ที่ TISCO ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Tata โดยพักในโฮสเทลสำหรับลูกมือและทำงานในพื้นที่ปฏิบัติงานใกล้กับเตาเผา

ในปี 1991 เขาเข้ามาบริหารอาณาจักรของครอบครัว โดยอาศัยกระแสการปฏิรูปตลาดเสรีสุดโต่งที่อินเดียเพิ่งประกาศใช้ในปีนั้น

นายทาทาดำรงตำแหน่งผู้นำมาเป็นเวลา 21 ปี โดยกลุ่มบริษัทที่ขายเกลือและเหล็กแห่งนี้ได้ขยายฐานการดำเนินงานไปทั่วโลกจนรวมถึงแบรนด์หรูของอังกฤษ เช่น Jaguar และ Land Rover

เจ้าพ่อรายนี้ก้าวลงจากตำแหน่งประธานในปี 2012 ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งประธานชั่วคราวในเดือนตุลาคม 2016 หลังจากไซรัส มิสทรี ผู้สืบทอดตำแหน่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง ปัจจุบัน Tata Group เป็นบริษัทในเครือที่ประกอบด้วยบริษัทต่าง ๆ เกือบ 100 แห่ง รวมถึงผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ บริษัทเหล็กเอกชนรายใหญ่ที่สุด และบริษัทเอาท์ซอร์สชั้นนำ

Tata Group มีพนักงานทั่วโลกมากกว่า 350,000 คน ในเดือนมิถุนายน 2008 Tata ได้ซื้อ Jaguar และ Land Rover จาก Ford ในราคา 2.3 พันล้านดอลลาร์

อินโดนีเซีย กดดัน แอปเปิล หนัก ผลประโยชน์จากทั้งยอดขาย-แร่นิกเกิล

(30 ต.ค. 67) นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัววิเคราะห์ถึงการตัดสินใจแบนไอโฟนในประเทศอินโดนีเซีย ว่า 

ตามที่มีข่าวอินโดนีเซียกดดันไม่ให้ขาย iPhone 16 Series จากการที่ Apple ไม่ได้ลงทุนตามที่ตกลงรับปากรับคำกันเอาไว้กับรัฐบาลก่อน ... หลังจากที่พวกเขาประกาศไป ศุลกากรก็ตรวจกระเป๋าและจับยึดที่สนามบินไปแล้วเกือบหมื่นเครื่อง ... ทำไม Prabowo Subianto ถึงเอาจริง?

ประธานาธิบดีคนก่อน Joko Widodo พบกับ Tim Cook หลายต่อหลายครั้งและได้พูดคุยกันในประเด็นการลงทุนในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตและกำลังจะกลายไปเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมประชากรสองร้อยกว่าล้านคนที่อายุเฉลี่ยค่อนข้างน้อย ... อินโดนีเซียต้องการที่จะเป็นประเทศ "ต้นทาง" ของการผลิตเทคโนโลยีเพราะพวกเขามีแหล่งนิกเกิลปริมาณมากที่สุดในโลกอยู่ในมือ ... การผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายต้องใช้ Nickle เป็นส่วนประกอบสำคัญ ... วิโดโดจึงประกาศห้ามส่งออกแร่นิกเกิล เพื่อกดดันให้เกิดการลงทุนในอินโดนีเซียเท่านั้น

ด้วยเหตุแหล่งสำรองของนิกเกิลและการห้ามส่งออกแร่ ทำให้ผู้ผลิตของจีนรีบตกลงมาลงทุนทันที, ออสเตรเลียก็มา, แม้กระทั่งเกาหลีและญี่ปุ่น ต่างก็เข้ามาลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน (ผมเขียนเอาไว้ปีที่แล้วว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ มากันหลายหมื่นล้านเหรียญ) ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมต้นน้ำของสินค้ายุคใหม่ ... แอปเปิลก็เช่นกันครับ แอปเปิลตกลงกับวิโดโดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลงทุนสร้าง Developer Centre เพื่อพัฒนาทางเทคนิคให้กับอินโดนีเซีย ถึงตอนนี้พวกเขาก็มีถึง 4 แห่งในประเทศนี้ 

การลงทุนที่ตกลงเอาไว้ขนาด 100+ ล้านเหรียญก็ทำได้จริงราว 90% ถือว่าไม่แย่แต่ในรายละเอียดนั้นยังไม่มีโรงงานประกอบของแอปเปิลในอินโดนีเซีย, ยังไม่มีการ Committed ว่าจะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 40% ตามที่วิโดโดเคยขอเอาไว้ (แต่ทิมไม่ได้รับปากตรง ๆ ว่าจะทำ) การเอาประชากร 283 ล้านคนของพวกเขาที่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ 354 ล้านเครื่องมาเป็นเดิมพันให้แอปเปิลต้องคิดก็ถือว่า Make Sense ครับ 

จากทุกมุมมอง พวกเขากำลังจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในไม่ช้า และจะเป็นประเทศที่มีอิทธิพลอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดและจำนวน ... คู่แข่งสำคัญของพวกเขาอย่างมาเลเซียก็เล่นแรง ฉกเอาการลงทุนใหญ่ ๆ จากอินโดนีเซียและสิงคโปร์ไปหลายดีลแล้ว ... พวกเขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

‘เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ’ ยังคึกคัก พร้อมเดินหน้าต่อเนื่อง แม้เผชิญโควิด-เศรษฐกิจซบ

(30 ต.ค.67) เพจ Biz Laos ได้รายงานความเคลื่อนไหว เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ล่าสุด โดยระบุว่า โครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดปี 2023 - 2024 

การก่อสร้างและพัฒนาโครงการ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้เผชิญปัญหาทั้งสถานการณ์โควิด ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จนประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ส่วนของโครงการ อาทิ 

- โครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานและซ่อมแซมถนนภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แล้วเสร็จ 90%

- โครงการก่อสร้างโรงแรมดอกงิ้วคำ, สนามกอล์ฟ รีสอร์ท พูกิ่วลม, สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว, โรงเรียนประถมศึกษาดอกงิ้วคำ (อนุบาล-ทั่วไป), ท่าเรือน้ำลึกสามเหลี่ยมทองคำ เสร็จสมบูรณ์ 100% 

- ท่าเรือขนส่งสินค้า บ้านมอม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

- โครงการก่อสร้างตลาดน้ำวัฒนธรรมนานาชาติ แล้วเสร็จ 70%

- โครงการก่อสร้างด่านตรวจสากลเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สร้าง และ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงโรงแรมดอกงิ้วคำ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% 

- การก่อสร้างศูนย์บำบัดน้ำเสีย 80%

- โครงการก่อสร้างสวนสาธารณะแคมของ แล้วเสร็จ 80%, การก่อสร้างสำนักงานรักษาความปลอดภัย

- โครงการก่อสร้างโรงน้ำประปาใหม่ เสร็จสมบูรณ์ 100%

- โครงการก่อสร้างบ้าน และอื่น ๆ 

ปัจจุบันโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเสร็จและบางโครงการยังอยู่ในช่วงดำเนินการทั้งการตกแต่งภายในและภายนอก ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เพื่อเตรียมเปิดทดลองอย่างเป็นทางการ

สำหรับบางโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะดำเนินการต่อเนื่อง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% ภายในสิ้นปี 2567 ตรงตามแผน

จีนเปิดตัวทีมนักบินอวกาศ 'เสินโจว-19' เตรียมปล่อยยานสู่ห้วงอวกาศพรุ่งนี้

(29 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน ประกาศว่าทีมนักบินอวกาศของจีน ได้แก่ ไช่ซวี่เจ๋อ ซ่งลิ่งตง และหวังเฮ่าเจ๋อ จะเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 (Shenzhou-19) โดยจะทำหน้าที่ผู้บัญชาการ

หลินซีเฉียง โฆษกองค์การฯ กล่าวว่ายานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 มีกำหนดปล่อยสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตอน 04.27 น. ของวันพุธ (30 ต.ค.) ตามเวลาปักกิ่ง

สำหรับ "ไช่ซวี่เจ๋อ" เคยร่วมปฏิบัติภารกิจเสินโจว-14 ในปี 2022 ส่วน "ซ่งลิ่งตง" และ "หวังเฮ่าเจ๋อ" ซึ่งทั้งสองเป็นนักบินอวกาศของจีน ชุดที่ 3 และเกิดในทศวรรษ 1990 จะเดินทางสู่อวกาศเป็นครั้งแรก

ซ่งเป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศก่อนได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศ และหวังเคยเป็นวิศวกรอาวุโสประจำสถาบันเทคโนโลยีขับเคลื่อนการบินและอวกาศ สังกัดบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบินและอวกาศแห่งประเทศจีน (CASC)

ปัจจุบันหวังเป็นวิศวกรหญิงด้านการบินในอวกาศเพียงคนเดียวของจีน และจะเป็นผู้หญิงจีนคนที่ 3 ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม

ยูเครน ช็อก!! นักบินเสียชีวิต หลัง F-16 ลำแรกถูกสอยร่วง อ้างไม่เกี่ยวโดนรัสเซียยิง แต่เครื่องยนต์พังจากเศษอาวุธ

เมื่อ F-16 ของยูเครน...ถูกรัสเซียยิงตก

นับแต่การสู้รบในปฏิบัติการพิเศษทางทหารของสหพันธรัฐรัสเซียกับสาธารณรัฐยูเครนเกิดขึ้นมานานกว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสงครามระหว่างกองทัพของสหพันธรัฐรัสเซียและกองทัพของสาธารณรัฐยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรรวมถึงชาติสมาชิกองค์การ NATO จึงทำให้กองทัพของสาธารณรัฐยูเครนสามารถคงสภาพการรบอยู่ได้จนทุกวันนี้

อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรสมาชิกองค์การ NATO นั้นมากมายมหาศาลตั้งแต่อาวุธเบาเช่นปืนเล็กยาว ปืนกล ขีปนาวุธนานาชนิด ปืนใหญ่ รถถัง รถหุ้มเกราะ สารพัดชนิดกระทั่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 (จนอาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังสำรองของประเทศเหล่านั้นแทบจะหมดเกลี้ยง) ตามข้อมูลในสื่อนานาชาติ ยูเครนจะได้รับ F-16 รวม 111 ลำ (แต่สื่อบางแหล่งระบุว่า 79 ลำ) โดยมาจากเบลเยียม 30 ลำ เดนมาร์ก    19 ลำ เนเธอร์แลนด์ 24 ลำ นอร์เวย์ 6 ลำ และกรีซ 32 ลำ โดยเครื่องบินเหล่านี้บางส่วนจะถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงตามความจำเป็นก่อนจะส่งต่อไปให้กับยูเครน โดยสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการฝึกนักบิน F-16 ของยูเครนในสหรัฐฯ และมีการฝึกนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง F-16 ของยูเครนในเดนมาร์กและโรมาเนีย เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ทั้งหมดที่ เดนมาร์ก กรีซ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และเบลเยียม มอบกับให้ยูเครนจะเป็นรุ่น F-16AM (ที่นั่งเดี่ยว) / F-16BM (ที่นั่งคู่) Block 15 Mid-Life Update (MLU) รุ่นเหล่านี้คล้ายคลึงกับ F-16C/D Block 30/50/52 

ณ เดือนสิงหาคม 2024 ยูเครนได้รับเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 จำนวน 10 ลำ และนักบินยูเครน 6 คนได้ผ่านการฝึกอบรมการบิน F-16 แล้ว ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2024 ยูเครนจะมีเครื่องบิน F-16 จำนวน 20 ลำ เครื่องบินที่เหลือจะถูกทยอยส่งมอบให้กับยูเครนเป็นชุด ๆ ตลอดปี 2025 นอกจากนั้นแล้ว 6 มิถุนายน 2024 ตามรายงานของ Le Figaro ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้ประกาศการโอนเครื่องบินรบ Mirage 2000-5F จำนวนหนึ่งให้กับยูเครนอีกด้วย

นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish)

ต้นเดือนสิงหาคม 2024 เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ลำแรกเดินทางมาถึงยูเครน ทำให้ชาวยูเครนรู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาความรู้สึกดังกล่าวในหมู่ชาวยูเครนกลายเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่เมื่อต้องสูญเสีย F-16 ไปหนึ่งลำพร้อมกับชีวิตของนักบิน เมื่อ นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish) นักบิน F-16 คนแรกของยูเครนถูกยิงตกในบริเวณจัตุรัสกลางเมืองเชเปตีฟกา แคว้นคเมลนิตสกีของยูเครน ขณะปฏิบัติการต่อต้านการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกองทัพรัสเซียต่อยูเครน

Volodymyr Zelenskyy ประธานาธิบดียูเครน กับ Mette Frederiksen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
 บนเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ที่จะมอบให้ยูเครน

โดยยูเครนอ้างว่า ก่อนถูกยิงตก ผู้ฝูง Moonfish สามารถสกัดขีปนาวุธได้ 3 ลูก และโดรนอีก 1 ลำ ก่อนที่จะถูกยิงตก โดยนักบินผู้นี้เคยเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบปะกับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สำหรับภารกิจขอรับการสนับสนุนให้พวกเขาส่ง F-16 ไปช่วยยูเครน ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวถูกปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับรัฐบาลยูเครน เพราะการที่ F-16 ตกในเวลาไม่นานหลังจากได้รับเครื่องบินลำดังกล่าว หมายความว่า ปัญหาดังกล่าว "มีความละเอียดอ่อนมากเป็นสองเท่า หรืออาจจะมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งไม่มีใครออกมาแถลงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการเลย"

เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ของยูเครน

ทั้งนี้ฟากฝั่งยูเครนพยายามให้ข่าวว่า ผู้ฝูง Moonfish ถูกยิงตก อันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดของหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศแบบ Patriot หรือ F-16 บินผ่านกลุ่มเศษซากที่เกิดจากการสกัดกั้นและทำลายขีปนาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ แต่เศษซากของขีปนาวุธที่ถูกทำลายเหล่านี้อาจทำให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเครื่องบินได้รับความเสียหาย จนทำให้ F-16 ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ทำให้นักบินเสียชีวิตก่อนที่จะดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ โดยวันดังกล่าว กองกำลังของรัสเซียยิงขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากไปทั่วประเทศยูเครน ซึ่งกองทัพอากาศยูเครนบอกว่า ส่วนใหญ่ถูกสกัดเอาไว้ได้ โดย ในแถลงการณ์ระบุว่า กองกำลังรัสเซียยิงขีปนาวุธ 5 ลูกและโดรน Shahed 74 ลำไปที่เป้าหมายในยูเครน ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสามารถหยุดขีปนาวุธ 2 ลูกและโดรน 60 ลำได้ และคาดว่าโดรนอีก 14 ลำตกลงมาก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง Buk-M3 ของรัสเซีย

แต่กองทัพรัสเซียระบุว่า F-16 ถูกยิงตกด้วยระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง (Viking) Buk-M3 ของรัสเซีย ด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบนี้ในปัจจุบันเป็นวิธีการปฏิบัติมาตรฐานในการป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพรัสเซีย มีระยะการตรวจจับเป้าหมายสูงถึง 120 กม. ในภาค 90° สถานีตรวจจับเป้าหมาย (STS) “มองเห็น” ที่ 200 กม. เมื่อใช้สถานีเรดาร์สแตนด์บายภาคพื้นดิน 1L119 ส่วนระบบป้องกันทางอากาศระยะกลาง จะมีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายที่อยู่หลังแนวข้าศึกได้ลึกถึง 360 กม. ทำให้สามารถทำลายการโจมตีทางอากาศและการลาดตระเวนของกองทัพอากาศยูเครนในภาพรวมทั้งหมด ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารตั้งแต่วันแรกของการรบ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 (พัฒนาโดยสถาบันวิจัยวิศวกรรมเครื่องมือ V.V. Tikhomirov) ดำเนินการโดยโรงงานเครื่องจักรกล Ulyanovsk ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท Almaz-Antey วิสาหกิจของรัฐบาลรัสเซีย โดย Buk-M3 สามารถทำลายเครื่องบิน 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ และขีปนาวุธปฏิบัติการทางยุทธวิธีแบบ Tochka -U, UAV แบบ Bayraktar TB2 และขีปนาวุธ HIMARS MLRS อีกเป็นจำนวนมาก"

‘โฟล์คสวาเกน’ เตรียมปิด 3 โรงงานในบ้านเกิดเยอรมนี หลังไม่เคยปิดโรงงานกว่า 30 ปี รับแรงกระแทก EV จีน

(29 ต.ค. 67) Volkswagen ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของเยอรมนีมีแผนจะปิดโรงงานอย่างน้อย 3 แห่งในเยอรมนี สภาแรงงานของบริษัทกล่าวเมื่อวันจันทร์

แผนการปิดโรงงานที่รายงานนี้เป็นมาตรการที่ Volkswagen กล่าวเมื่อไม่นานนี้ว่าไม่สามารถตัดทิ้งได้ท่ามกลางยอดขายที่ลดลง

สำนักข่าว Reuters อ้างคำพูดของ Daniela Cavallo หัวหน้าสภาแรงงานของ Volkswagen ที่บอกกับพนักงานหลายร้อยคนในเมือง Wolfsburg ว่า "ฝ่ายบริหารจริงจังกับเรื่องนี้มาก นี่ไม่ใช่การขู่เข็ญในการเจรจาต่อรองร่วมกัน"

"นี่คือแผนการของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีที่จะเริ่มการขายกิจการในประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิด" Cavallo กล่าวเสริมโดยไม่ได้ระบุว่าโรงงานใดจะได้รับผลกระทบ หรือพนักงานของบริษัทเกือบ 300,000 คนในเยอรมนีอาจถูกเลิกจ้างกี่คน

"โรงงาน Volkswagen ในเยอรมนีทั้งหมดได้รับผลกระทบจากแผนเหล่านี้ ไม่มีแห่งใดปลอดภัย" Cavallo กล่าวขณะที่เธอพูดคุยกับพนักงานของ VW ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมือง Wolfsburg Cavallo กล่าวว่าฝ่ายบริหารของ VW ยังเรียกร้องให้ลดเงินเดือนร้อยละ 10 และไม่มีการขึ้นเงินเดือนอื่นๆ ในอีกสองปีข้างหน้า Cavallo และผู้นำแรงงานคนอื่นๆ ใน VW ให้คำมั่นว่าจะต่อต้านการลดเงินเดือนอย่างแข็งกร้าว โดยผู้นำแรงงานของ VW กล่าวว่าบริษัทอยู่ใน "จุดตัดสินใจ" ในประวัติศาสตร์

ในการตอบสนองต่อคำขอความคิดเห็นจาก VW บริษัทกล่าวว่า "ไม่ได้มีส่วนร่วมในการคาดเดาเกี่ยวกับการเจรจาเป็นความลับ" กับสหภาพแรงงาน IG Metall ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัท

"Volkswagen อยู่ในจุดตัดสินใจในประวัติศาสตร์องค์กร สถานการณ์ร้ายแรง และความรับผิดชอบของพันธมิตรในการเจรจาก็มหาศาล" บริษัทกล่าวเสริม

"หากไม่มีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของเรา เราจะไม่สามารถลงทุนในอนาคตที่จำเป็นได้" แถลงการณ์ดังกล่าวอ้างคำพูดของ Gunnar Kilian เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล “เหตุผลประการหนึ่งในการปรับโครงสร้างใหม่ที่จำเป็นคือข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดรถยนต์ในยุโรปหดตัวลงสองล้านคันตั้งแต่ปี 2020 ตลาดกำลังซบเซาและจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ในอนาคตอันใกล้นี้ Volkswagen มีส่วนแบ่งประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ในตลาดนี้ นั่นหมายความว่าบริษัทขาดรถยนต์ประมาณ 500,000 คัน” VW กล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมล
สหภาพแรงงานแสดงความไม่พอใจ

สหภาพแรงงาน IG Metall ออกมาประณามข่าวนี้

“นี่เป็นการแทงลึกเข้าไปในหัวใจของพนักงาน VW ที่ทำงานหนัก” สำนักข่าว DPA ของเยอรมนีอ้างคำพูดของ Thorsten Gröger ผู้จัดการเขต IG Metall กล่าว

“เราคาดหวังว่า Volkswagen และคณะกรรมการบริหารจะสรุปแนวคิดที่เป็นไปได้สำหรับอนาคตที่โต๊ะเจรจา แทนที่จะเพ้อฝันถึงการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจนถึงขณะนี้ฝ่ายนายจ้างเสนอเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า”

Thomas Schäfer ซีอีโอของ VW กล่าวในแถลงการณ์ว่าต้นทุนของโรงงานในเยอรมนีสูงขึ้นเป็นพิเศษ “เราไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้เหมือนอย่างเดิม” นายเชเฟอร์กล่าว “เราไม่มีผลิตภาพเพียงพอที่โรงงานของเราในเยอรมนี และต้นทุนของโรงงานของเราในปัจจุบันสูงกว่าที่เราได้วางแผนไว้ 25% ถึง 50% ซึ่งหมายความว่าโรงงานแต่ละแห่งในเยอรมนีมีราคาแพงกว่าคู่แข่งถึงสองเท่า”

ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีน
VW รายงานว่ากำไรสุทธิลดลง 14% ในช่วงครึ่งแรกของปี และถูกบังคับให้ยกเลิกข้อตกลงด้านความมั่นคงในการทำงานกับสหภาพแรงงานในเยอรมนีซึ่งทำกันมาหลายสิบปี

>>>รัฐบาลเยอรมนีมีปฏิกิริยาอย่างไร

วูล์ฟกัง บึชเนอร์ โฆษกรัฐบาลเยอรมนีกล่าวว่าเบอร์ลินทราบถึงความท้าทายของ VW และได้ติดต่อสื่อสารกับบริษัทและตัวแทนคนงานอย่างใกล้ชิด

“อย่างไรก็ตาม จุดยืนของนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ชัดเจน นั่นคือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของฝ่ายบริหารที่อาจเกิดขึ้นในอดีตไม่ควรส่งผลเสียต่อพนักงาน เป้าหมายในปัจจุบันคือการรักษาและรักษาตำแหน่งงาน” โฆษกกล่าวในการบรรยายสรุปตามปกติ 

ยังไม่ชัดเจนในทันทีว่า Büchner กำลังหมายถึงเรื่องอื้อฉาวที่เรียกว่า dieselgate ที่กลายเป็นคดีอาญาหรือไม่ ซึ่ง Martin Winterkorn อดีต CEO ของ VW ถูกกล่าวหาว่าให้การเท็จ ปั่นราคาตลาด และฉ้อโกงทางการค้า

VW ดำเนินการโรงงานทั้งหมด 10 แห่งในเยอรมนี โดย 6 แห่งตั้งอยู่ใน Lower Saxony 3 แห่งอยู่ในรัฐ Saxony ทางตะวันออก และ 1 แห่งอยู่ในรัฐ Hesse ทางตะวันตก Volkswagen ไม่เคยปิดโรงงานในเยอรมนี และไม่เคยปิดโรงงานที่ใดในโลกเลยมานานกว่าสามทศวรรษ

ประธานาธิบดีป้ายแดงแห่งอินโดนีเซียไฟสุดแรง ขีดเส้น 4 ปี อาคารสำคัญเมืองหลวงใหม่ต้องเสร็จ

(28 ต.ค. 67) ผู้นำคนใหม่ของอินโดนีเซีย ปราโบโว สุเบียนโต ต้องการสร้างอาคารรัฐบาลและรัฐสภาที่สำคัญในเมืองหลวงแห่งใหม่มูลค่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐของประเทศให้เสร็จภายใน 4 ปีข้างหน้า ตามคำกล่าวของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี

โครงการดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของอดีตประธานาธิบดีโจโก วิโดโด โดยมุ่งหวังที่จะย้ายศูนย์กลางอำนาจของอินโดนีเซียที่อยู่ห่างจากจาการ์ตาที่กำลังจมดิ่งและแออัดไปประมาณ 1,200 กม. ไปยังนูซันตารา ซึ่งตั้งอยู่ในดงดิบของเกาะบอร์เนียว

“เขา (ปราโบโว) หวังด้วยซ้ำว่าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซียในปี 2029 จะเกิดขึ้นที่นูซันตารา” ราชา จูลี อันโตนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป่าไม้ กล่าวในบัญชี Instagram ของเขาเมื่อวันเสาร์ (26 ต.ค.) 

คำพูดเกี่ยวกับเจตนาของปราโบโวเกิดขึ้นท่ามกลางความสงสัยว่าเขาจะดำเนินโครงการนี้ด้วยความเร็วเท่ากับวิโดโดหรือไม่ ซึ่งสนับสนุนเขาโดยปริยายในการเลือกตั้ง และงบประมาณของรัฐจะขยายไปสนับสนุนนูซันตาราควบคู่ไปกับโครงการอาหารฟรีหลายพันล้านดอลลาร์ของเขา ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในการหาเสียงเลือกตั้งของเขาได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ราชา จูลี กล่าวเพิ่มเติมว่าไม่ควรมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับความมุ่งมั่นของปราโบโวที่จะดำเนินโครงการมรดกของอดีตประธานาธิบดีต่อไป เนื่องจากเขาได้รับประกันแล้วว่าเขาจะทำให้โครงการนี้เสร็จสมบูรณ์

“สำหรับเขา (ปราโบโว) นูซันตาราเป็นเมืองหลวงของการเมือง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในอีกสี่ปีข้างหน้า นอกเหนือไปจากอาคารของรัฐบาล เราต้องสร้างอาคารสำหรับหน่วยงานนิติบัญญัติและตุลาการให้เสร็จ” รัฐมนตรีกล่าวเสริม

อาคารสำคัญของรัฐบาล เช่น ทำเนียบประธานาธิบดีและที่พักของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่การก่อสร้างถนนเก็บค่าผ่านทางและสนามบินอยู่ระหว่างดำเนินการ

ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างในปี 2565 โครงการนี้ประสบปัญหาในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ความคืบหน้าของโครงการเร็วขึ้น รัฐบาลตกลงกันว่างบประมาณทั้งหมดเพียงหนึ่งในห้าจะมาจากรัฐบาล

รัฐบาลได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Delonix Group ของจีนลงทุน 500,000 ล้านรูเปียห์ (31.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสร้างโรงแรมและสำนักงาน

‘ความปลอดภัยหรือการเมือง’ เมื่อรัฐในอินเดีย เล็ง ออกกฎหมายลงโทษ ‘การทำอาหารสกปรก’

(28 ต.ค. 67) ในเดือนนี้ สองรัฐภายใต้การปกครองของพรรคภารติยะชนตา (BJP) ของอินเดีย ประกาศแผนที่จะปรับและจำคุกอย่างหนักสำหรับการปนเปื้อนอาหารด้วยน้ำลาย ปัสสาวะ และสิ่งสกปรก

รัฐอุตตราขันต์ทางตอนเหนือจะปรับผู้กระทำผิดสูงสุด 100,000 รูปี (1,190 ดอลลาร์; 920 ปอนด์) ในขณะที่รัฐอุตตรประเทศซึ่งเป็นรัฐใกล้เคียงเตรียมที่จะออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหานี้

คำสั่งของรัฐบาลตามมาหลังจากการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ไม่ผ่านการตรวจสอบบนโซเชียลมีเดียซึ่งแสดงให้เห็นพ่อค้าแม่ค้าถ่มน้ำลายลงบนอาหารที่แผงขายของและร้านอาหารในท้องถิ่น และมีคลิปวิดีโอหนึ่งที่แสดงให้เห็นแม่บ้านกำลังผสมปัสสาวะลงในอาหารที่เธอกำลังปรุง

แม้ว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวจะจุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ผู้ใช้ โดยหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารในรัฐเหล่านี้ แต่คลิปวิดีโอบางส่วนยังกลายเป็นประเด็นในการกล่าวโทษชาวมุสลิม ซึ่งต่อมาเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีหลายคนในโซเชียลมีเดียกล่าวหาว่าผู้หญิงที่ใส่ปัสสาวะลงในอาหารเป็นชาวมุสลิม แต่ต่อมาตำรวจระบุว่าเธอเป็นชาวฮินดู

เจ้าหน้าที่กล่าวว่ากฎหมายที่เข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็นและมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขอนามัยเกี่ยวกับอาหาร แต่ผู้นำฝ่ายค้านและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของกฎหมายเหล่านี้และกล่าวหาว่ากฎหมายเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อใส่ร้ายชุมชนใดชุมชนหนึ่ง

หนังสือพิมพ์ Indian Express วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เสนอโดยรัฐอุตตรประเทศโดยกล่าวว่ากฎหมายเหล่านี้ "ทำหน้าที่เป็นนกหวีดเรียกความสนใจของชุมชน [นิกาย] ที่ใช้ประโยชน์จากแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์และมลพิษของคนส่วนใหญ่ และมุ่งเป้าไปที่กลุ่มชนกลุ่มน้อยที่ขาดความมั่นคงอยู่แล้ว"

อาหารและนิสัยการกินเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนในอินเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับศาสนาและระบบวรรณะตามลำดับชั้นของประเทศ บรรทัดฐานและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารบางครั้งนำไปสู่การปะทะกันระหว่างชุมชน ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ดังนั้น แนวคิดเรื่อง 'ความปลอดภัยของอาหาร' จึงได้เข้ามาเกี่ยวพันกับศาสนาด้วย ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อระบุแรงจูงใจจากเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าปนเปื้อน

ความปลอดภัยของอาหารยังเป็นข้อกังวลสำคัญในอินเดีย โดยสำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหาร (FSSAI) ประมาณการว่าอาหารที่ไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการติดเชื้อประมาณ 600 ล้านรายและเสียชีวิต 400,000 รายต่อปี

ผู้เชี่ยวชาญระบุสาเหตุต่างๆ ของความปลอดภัยด้านอาหารที่ย่ำแย่ในอินเดีย รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยด้านอาหารที่ไม่เพียงพอและการขาดการตระหนักรู้ ห้องครัวที่คับแคบ อุปกรณ์ที่สกปรก น้ำที่ปนเปื้อน และการขนส่งและจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้ความปลอดภัยของอาหารลดลงไปอีก

ดังนั้น เมื่อมีการเผยแพร่วิดีโอของพ่อค้าแม่ค้าที่ถุยน้ำลายลงในอาหาร ผู้คนก็ตกใจและโกรธแค้น ไม่นานหลังจากนั้น รัฐอุตตราขันต์ก็ประกาศปรับผู้กระทำผิดจำนวนมาก และกำหนดให้ตำรวจต้องตรวจสอบพนักงานโรงแรมและติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องครัว

ในรัฐอุตตรประเทศ หัวหน้ารัฐมนตรี Yogi Adityanath กล่าวว่าเพื่อหยุดเหตุการณ์ดังกล่าว ตำรวจควรตรวจสอบพนักงานทุกคน รัฐยังวางแผนที่จะบังคับให้ศูนย์อาหารแสดงชื่อเจ้าของ ให้พ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟสวมหน้ากากและถุงมือ และติดตั้งกล้องวงจรปิดในโรงแรมและร้านอาหาร ตามรายงาน Adityanath กำลังวางแผนที่จะออกกฎหมายสองฉบับที่ลงโทษการถ่มน้ำลายลงในอาหาร โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี

ในเดือนกรกฎาคม ศาลฎีกาของอินเดียได้ระงับคำสั่งที่ออกโดยรัฐบาลอุตตราขันต์และอุตตรประเทศที่ขอให้ผู้ที่เปิดแผงขายอาหารตามเส้นทาง Kanwar yatra ซึ่งเป็นการแสวงบุญของชาวฮินดูประจำปี แสดงชื่อและรายละเอียดประจำตัวอื่นๆ ของเจ้าของอย่างชัดเจน ผู้ร้องเรียนบอกกับศาลสูงสุดว่าคำสั่งดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิมอย่างไม่เป็นธรรมและจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจของพวกเขา

เมื่อวันพุธ ตำรวจในเมืองบารากังกิของรัฐได้จับกุมเจ้าของร้านอาหาร Mohammad Irshad ในข้อกล่าวหาถ่มน้ำลายลงบนโรตี (แผ่นแป้งแบน) ขณะเตรียมอาหาร นาย Irshad ถูกตั้งข้อหาก่อกวนความสงบและความสามัคคีทางศาสนา หนังสือพิมพ์ Hindustan Times รายงาน

เมื่อต้นเดือนนี้ ตำรวจในเมืองมัสซูรี รัฐอุตตราขันต์ ได้จับกุมชายสองคน คือ Naushad Ali และ Hasan Ali ในข้อกล่าวหาถ่มน้ำลายลงในหม้อขณะชงชา และกล่าวหาว่าพวกเขาก่อให้เกิดความโกรธแค้นในสังคมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หนังสือพิมพ์ The Hindu รายงาน

วิดีโอที่ชายทั้งสองถ่มน้ำลาย ซึ่งเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียไม่กี่วันก่อนที่พวกเขาจะถูกจับกุม ได้รับการนำไปโยงกับศาสนา หลังจากบัญชีของชาตินิยมฮินดูจำนวนมากเริ่มเรียกพวกเขาว่าเหตุการณ์ 'thook-jihad' หรือ 'spit-jihad'

คำนี้เป็นการโยงกับคำว่า 'love-jihad' ซึ่งกลุ่มฮินดูหัวรุนแรงเป็นผู้คิดขึ้น โดยใช้คำนี้เพื่อกล่าวหาว่าผู้ชายมุสลิมเปลี่ยนศาสนาให้ผู้หญิงฮินดูด้วยการสมรส โดยขยายความ 'thook-jihad' กล่าวหาว่ามุสลิมพยายามทำให้ชาวฮินดูเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยการถุยน้ำลายลงในอาหาร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชุมชนมุสลิมตกเป็นเป้าหมายของการกล่าวหาเรื่องการถุยน้ำลาย ในช่วงการระบาดของโควิด-19 วิดีโอปลอมชุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นชาวมุสลิมถุยน้ำลาย จาม หรือเลียสิ่งของเพื่อแพร่เชื้อไวรัสให้ผู้คนกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย วิดีโอดังกล่าวทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนามากขึ้น โดยบัญชีของฮินดูหัวรุนแรงโพสต์ข้อความต่อต้านมุสลิม

ผู้นำฝ่ายค้านในสองรัฐที่ปกครองโดยพรรค BJP ได้วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายใหม่ว่า คำสั่งดังกล่าวระบุว่าอาจใช้กำหนดเป้าหมายไปที่ชาวมุสลิม และรัฐบาลใช้คำสั่งดังกล่าวเป็นฉากบังตาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาสำคัญอื่นๆ เช่น การว่างงานและเงินเฟ้อที่พุ่งสูง

แต่นายมานิช ซายานา เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยด้านอาหารในรัฐอุตตราขันต์ กล่าวว่าคำสั่งของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภค เขากล่าวกับบีบีซีว่า เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยด้านอาหารและตำรวจได้เริ่มดำเนินการตรวจค้นร้านอาหารแบบกะทันหัน และ "พวกเขาเรียกร้องให้ผู้คนสวมหน้ากากและถุงมือ และติดตั้งกล้องวงจรปิด" ทุกที่ที่พวกเขาไปตรวจค้น

V Venkatesan ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องมีการบัญญัติและกฎหมายใหม่ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารเพื่อให้มีการถกเถียงกันอย่างเหมาะสมในที่ประชุม

"ในความเห็นของฉัน กฎหมายที่มีอยู่ [ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร พ.ศ. 2549] นั้นเพียงพอที่จะดูแลความผิดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาหาร ดังนั้น เราต้องถามว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายและคำสั่งใหม่ๆ เหล่านี้" เขากล่าว

“รัฐบาลดูเหมือนจะคิดว่ากฎหมายที่กำหนดบทลงโทษที่รุนแรงจะช่วยยับยั้งไม่ให้ผู้คนก่ออาชญากรรม แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมต่างหากที่จะยับยั้งไม่ให้ผู้คนก่ออาชญากรรมได้ ดังนั้น กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างเหมาะสมในรัฐเหล่านี้หรือ”

ซีอีโอ JPMorgan แนะคนรุ่นใหม่ เลิกเล่น Facebook - TikTok ซะ!! เพราะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์สุดๆ ควรอ่านหนังสือแทน โดยเฉพาะแนวประวัติศาสตร์

(27 ต.ค. 67) Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan กล่าวว่า คนหนุ่มสาวควรใช้เวลาน้อยลงกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น ในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมคุณภาพตลาดการเงินประจำปีของ Georgetown Psaros Center for Financial Markets and Policy เมื่อมีคนถามว่าเขามีคำแนะนำอะไรให้กับนักศึกษาที่นั่นบ้าง

 “สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ ปิด TikTok หรือ Facebook ซะ เพราะมันเป็นการเสียเวลาที่โง่เขลาอย่างยิ่ง” Dimon กล่าว

Dimon ยังแนะนำอีกว่าการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย อ่านแบบรวดเดียว น่าจะเป็นการใช้เวลาที่ดีกว่ามาก

“คำแนะนำของผมสำหรับนักเรียนคือ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ หากคุณเป็นเดโมแครต ให้อ่านความเห็นของรีพับลิกัน ซึ่งเป็นความเห็นที่ดี หากคุณเป็นรีพับลิกัน ให้อ่านความเห็นของเดโมแครต” Dimonกล่าว

“จงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น Nelson Mandela, Abe Lincoln, Sam Walton คุณเรียนรู้ได้จากการอ่านและพูดคุยกับผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น” เขากล่าวเสริม

Dimon เรียกได้ว่าแตกต่างจากผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่ เขาค่อนข้างที่จะ ‘โลว์โปรไฟล์’ บนโซเชียลมีเดีย โดยนอกจาก LinkedIn แล้ว Dimon ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X หรือ TikTok แม้ว่าเขาจะยอมรับในปี 2021 ว่ามีบัญชี Instagram ภายใต้ชื่อผู้ใช้ปลอมก็ตาม

Dimon ยังวิพากษ์วิจารณ์โซเชียลมีเดียในปีนี้ในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น โดยระบุว่าแพลตฟอร์มต่างๆ จำเป็นต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้น

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบเชิงลบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนการเลือกตั้ง ไปจนถึงผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตของเด็กๆ ที่ได้รับการบันทึกว่าเพิ่มมากขึ้น” Dimon ระบุ 

“นี่คือปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวมของเรา” เขากล่าวเสริม

“และถึงเวลาแล้วที่บริษัทโซเชียลมีเดียจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว”

แปลและเรียบเรียงจาก Jamie Dimon Says TikTok and Facebook Are a 'Total Stupid Waste of Time' and People Should Read Books Instead

‘เอเวอรี่ แจ็คสัน’ ขึ้นปกนิตยสารดังระดับโลก ‘แนชันแนล จีโอกราฟิก’ ล่าสุดประกาศ!! ตนเองไม่ใช่ทรานส์ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นมากกว่าหนึ่งเพศ

(27 ต.ค. 67) ‘Sompop Pordi’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘เอเวอรี่ แจ็คสัน’ เด็กที่ตกเป็นเหยื่อ ของลัทธิ Woke โดยได้ระบุว่า …

Woke อำมหิต

เด็ก 9 ขวบที่อยู่บนปกนิตยสาร แนชันแนล จีโอกราฟิก ฉบับเดือนมกราคม 2017 หรือ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ชื่อ เอเวอรี่ แจ็คสัน
ก่อนถ่ายภาพขึ้นปกหนังสือ เอฟเวอรี่เป็นเด็กผู้ชาย ที่ชอบสีชมพู ชอบเล่นตุ๊กตา ชอบแอบเอาเครื่องสำอางค์ของแม่มาเล่น 

แม่ของเอเวอรี่ ชื่อ เดบี้ เป็นนักรณรงค์สนับสนุน LGQLEDTV เลยพาเอเวอรี่ไปหาหมอที่ทำงานร่วมกันและเป็นผู้ชำนาญเรื่อง การยืนยันเพศสภาพ หรือ gender affirming care 
และหมอที่ว่าก็บอกเอเวอรี่และแม่ว่า อันที่จริงแล้ว เอเวอรี่ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง

ดังนั้น ก่อนถ่ายภาพขึ้นปกนิตยสาร เอเวอรี่จึงได้เข้ากระบวนการเปลี่ยนเพศด้วยการรับ ฮอร์โมนและสารเคมีเพื่อยับยั้งการพัฒนาของร่างกายตามธรรมชาติ หรือ puberty blocker โดยความยินยอมและดีใจของแม่

หลังจากได้ขึ้นปกนิตยสาร เอเวอรี่และแม่ก็โด่งดังมีชื่อเสียงในฐานะตัวแทนของคนข้ามเพศหรือ trans ได้รับเชิญให้ไปพูดในโรงเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กคนอื่นๆที่สงสัยในเพศของตน และตามชุมชนคนข้ามเพศเพื่อร่วมกันเรียกร้องสิทธิของคนข้ามเพศให้เท่าเทียมกับคนทั่วไป
เอเวอรี่กลายเป็น โปสเตอร์ไชลด์ (นางแบบเด็กผู้โด่งดัง) ของ LGQLEDTV ส่วนเดบี้ได้รับการยกย่อง ชื่อเสียงและเงินทองจากกลุ่มคนข้ามเพศอย่างมาก

ปีนี้ 2024 เอเวอรี่ ไม่ได้รู้สึกอยากเป็นผู้หญิงอีกต่อไป ไม่ได้ชอบสีชมพู ไม่ชอบเล่นตุ๊กตา ไม่ชอบใช้เครื่องสำอาง
แล้วเอเวอรี่ก็ประกาศว่าตนเองไม่ใช่ทรานส์ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็น นอน-ไบนารี่ หรือ เป็นมากกว่าหนึ่งเพศ 

เอเวอรี่เลิกใช้สรรพนาม she/her แล้วเปลี่ยนไปใช้ they/them แทน 

แต่ไม่ว่าเอเวอรี่จะอยากเป็นอะไร ต้องการเป็นอะไรก็ตาม เอเวอรี่ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นผู้ชายจริงๆตามธรรมชาติ เพราะ puberty blocker ทำลายพัฒนาการของร่างกาย จนเป็นหมัน กุ๊กกู๋ไม่พัฒนาตามวัย ไม่มีสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีสเปิร์ม หรือจะผู้หญิงอย่างที่เคยอยากเป็นก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเนรมิตให้ได้

เอเวอรี่จะเป็นได้แค่คนที่สับสนทางเพศ จนกว่าจะตายไป 

เอเวอรี่เป็นแค่ หนึ่งในเด็กที่ไร้เดียงสาหลายพันรายที่เป็นเหยื่อของลัทธิอำมหิต ลัทธิ Woke เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จนยินยอมให้ตนเองถูกทำหมัน ถูกตอน เพื่อไม่ให้สามารถเติบโตมีชีวิตปกติ มีลูกมีหลานสืบต่อไป เพราะ Woke เกลียดมนุษย์ Woke เชื่อว่าประชากรมนุษย์ที่มากเกินไปจะทำลายโลก
เมื่อเด็กเหล่านี้ เติบโตขึ้น พวกเขาเปลี่ยนกลับไปตามธรรมชาติของตน แต่สายเกินไปแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เสียหายแตกหักอย่างถาวรแล้ว
นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

เป็นเรื่องจริงที่อำมหิต และน่าเศร้ามาก

‘อินวิเดีย’ แซงหน้า ‘แอปเปิ้ล’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก หลังราคาหุ้นอินวิเดีย!! ได้แรงหนุนจาก ดีมานด์ชิปเอไอ

(27 ต.ค. 67) อินวิเดีย (Nvidia) แซงหน้าแอปเปิ้ล (Apple) ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกในวันศุกร์ (25 ต.ค.) หลังจากราคาหุ้นอินวิเดียทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยได้แรงหนุนจากความต้องการอย่างต่อเนื่องในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่

ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า มูลค่าตลาดของอินวิเดียแตะที่ 3.53 ล้านล้านดอลลาร์ชั่วคราว ขณะที่มูลค่าตลาดของแอปเปิ้ลอยู่ที่ 3.52 ล้านล้านดอลลาร์

ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา อินวิเดียเคยขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของโลกในระยะสั้น ๆ เช่นกัน แต่ไม่นานก็ถูกไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอปเปิ้ลแซงหน้าไปได้ ซึ่งมูลค่าตลาดของทั้ง 3 บริษัทนี้ใกล้เคียงกันมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยมูลค่าตลาดของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์

‘อิหร่าน’ ประกาศความสำเร็จ ในการสกัดกั้น ‘ขีปนาวุธ’ เผย!! สามารถต้านทานการโจมตี ของ ‘อิสราเอล’ ได้สำเร็จ

(26 ต.ค. 67) กองบัญชาการกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติของอิหร่านได้ประกาศความสำเร็จของระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบบูรณาการของประเทศในการสกัดกั้นการโจมตีฐานทัพในจังหวัดเตหะราน คูเซสถาน และอีลัม ในช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2024 

การโจมตีดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายในวงจํากัดในบางพื้นที่ และขอบเขตความเสียหายจากเหตุโจมตีทั้งหมดอยู่ระหว่างการตรวจสอบ คําแถลงระบุเสริม แต่ก็ยอมรับว่า ‘ได้รับความเสียหายในวงจำกัด’ ในบางพื้นที่ โดยยืนยันว่า กองบัญชาการกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติสามารถต้านทานการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ได้สำเร็จ 

แถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลเปิดเผยเมื่อเช้าวันเสาร์ว่า ได้โจมตีฐานทัพของอิหร่าน แม้จะมีการบันทึกภาพการสกัดกั้นขีปนาวุธที่ไม่ทราบชนิดบนท้องฟ้าของอิหร่านไว้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงความเสียหายหรือการสูญเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญต่อเป้าหมายภาคพื้นดินของอิหร่านแต่อย่างใด

ส่วนอิสราเอลได้แถลงการณ์ผ่านวิดีโอซึ่งเผยแพร่เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ โดย Daniel Hagari โฆษกกองทัพอิสราเอล ระบุว่า รัฐบาล ‘กำลังดำเนินการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่านอย่างแม่นยำ’ เขาปฏิเสธที่จะระบุเป้าหมายหรืออาวุธที่ใช้ แต่กล่าวว่า "อิสราเอลมีความสามารถในการป้องกันและโจมตีอย่างเต็มที่"

สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านมีกำลังรบหลัก 2 ส่วนได้แก่ (1) กองทัพแห่งชาติ มี 4 เหล่าทัพได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ มีกำลังพลรวม 420,000 นาย และ (2) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม มีกำลังพล 125,000 นาย กองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติถือเป็นเหล่าทัพหนึ่งของกองทัพแห่งชาติ มีกำลังพล 15,000 นาย มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจในการป้องกันภัยทางอากาศขแงประเทศโดยเฉพาะ 

‘สหรัฐฯ’ ชี้ ‘อิสราเอล’ โจมตี ‘อิหร่าน’ เป็นการป้องกันตนเอง หลังถูกรัฐบาลเตหะราน โจมตีด้วยขีปนาวุธ เมื่อหลายวันก่อน

(26 ต.ค. 67) นายฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวแถลงเมื่อกลางดึกวันศุกร์ (25 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐคนหนึ่งกล่าวว่า สหรัฐ ‘ได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง’ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่า อิสราเอลแจ้งล่วงหน้ากี่วันหรือบอกข้อมูลใดให้ทราบบ้าง

ต่อมาทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ได้รับข้อมูลสรุปเรื่องการโจมตีแล้ว ทีมความมั่นคงแห่งชาติจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้ทราบเรื่อย ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top