Tuesday, 1 July 2025
WORLD

ทรัมป์เดินเกม!! บีบยุโรปอัดงบซื้ออาวุธสหรัฐฯ กดดันอียูหนุนยูเครนสู้ศึกรัสเซีย

(11 ก.พ.68) รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแผนกระตุ้นให้ชาติพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนยูเครนในช่วงเวลาที่สงครามกับรัสเซียยังคงดำเนินอยู่ โดยแผนดังกล่าวอาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้ยูเครนก่อนการเจรจาสันติภาพที่อาจเกิดขึ้น

แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า หากแผนนี้ได้รับการอนุมัติ อาจช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำยูเครนที่วิตกกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ อาจลดการสนับสนุนทางทหาร ขณะเดียวกัน กองทัพยูเครนยังคงเผชิญแรงกดดันจากการรุกคืบของกองกำลังรัสเซียทางภาคตะวันออก

ในอดีต หลายประเทศในยุโรปได้ซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยเสริมศักยภาพของยูเครนภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะขอให้ชาติยุโรปจัดซื้ออาวุธผ่านสัญญาทางพาณิชย์ หรือใช้วิธีการซื้อโดยตรงจากคลังแสง ซึ่งในบางกรณีอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้น

คีธ เคลล็อกก์ อดีตพลโทเกษียณและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซียในรัฐบาลทรัมป์ มีกำหนดจะหารือกับตัวแทนพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงในนครมิวนิก สัปดาห์นี้

ในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เคลล็อกก์ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นโดยตรงต่อแผนการดังกล่าว แต่กล่าวว่า "สหรัฐฯ สนับสนุนการขายอาวุธที่ผลิตในประเทศของตนเอง เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ" พร้อมระบุว่า มีหลายทางเลือกที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ เคลล็อกก์ยังกล่าวว่า การส่งอาวุธที่เคยได้รับอนุมัติในสมัยไบเดน ยังคงดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้ และย้ำว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า"

ขณะเดียวกัน สถานทูตยูเครนในกรุงวอชิงตันยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้

ทรัมป์สั่งขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% กระทบทุกประเทศ มีผลบังคับใช้ 4 มี.ค. จ่อดันต้นทุนสินค้าสหรัฐแพงขึ้น

(11 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลกเป็น 25% โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับประเทศใด ซึ่งมาตรการนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง

ทำเนียบขาวระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้า อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการนี้อาจจุดชนวนให้เกิดข้อพิพาททางการค้ากับนานาประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ของโลก

แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังต้องนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในปริมาณมากจากประเทศอย่างแคนาดา เม็กซิโก และบราซิล แต่มาตรการนี้จะทำให้การนำเข้าสินค้าดังกล่าวมีต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ ในอดีต สหรัฐฯ เคยกำหนดภาษีนำเข้าเหล็กจากจีนในอัตราเพิ่มเติม 25% และภาษีอะลูมิเนียม 10% ตั้งแต่สมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง และอัตราภาษีดังกล่าวยังคงมีผลต่อเนื่องในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั่นหมายความว่า การนำเข้าเหล็กจากจีนในปัจจุบันต้องเผชิญภาษีรวมไม่ต่ำกว่า 50% และไม่น้อยกว่า 25% สำหรับอะลูมิเนียม

แม้ว่ามาตรการภาษีจะมุ่งเป้าไปที่จีน แต่ในความเป็นจริง จีนไม่ได้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมมายังสหรัฐฯ โดยตรงเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่มักถูกส่งไปแปรรูปในประเทศที่สามก่อนเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

แน่นอนว่าการขึ้นภาษีจะส่งผลให้ราคาเหล็กและอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อผู้ผลิตที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้ ขณะที่ผู้บริโภคปลายทางอาจต้องแบกรับราคาสินค้าที่แพงขึ้นตามไปด้วย

แม้ว่ามาตรการนี้จะถูกบังคับใช้กับทุกประเทศ แต่ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณว่า อาจพิจารณายกเว้นภาษีให้กับออสเตรเลียเป็นกรณีพิเศษ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ

ทรัมป์ยังเปิดเผยว่า เขากำลังพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้ายานยนต์ ยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงชิปคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจขยายวงกว้างของความตึงเครียดทางการค้ากับพันธมิตรหลายประเทศ เมื่อนักข่าวถามถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจเผชิญมาตรการตอบโต้จากนานาประเทศ ทรัมป์ตอบสั้น ๆ ว่า “ผมไม่สนใจ”

จี้ยูเครนชดใช้เงินช่วยเหลือ USAID แลกทรัพยากรแร่หายาก-น้ำมัน

(10 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ มีแผนหารืออย่างเป็นทางการกับผู้นำยูเครนเกี่ยวกับแนวทางในการชำระคืนความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ ได้ให้ผ่านโครงการ USAID ซึ่งรวมถึงการให้สหรัฐสามารถเข้าถึงทรัพยากรแร่หายาก น้ำมัน และก๊าซของยูเครน เป็นการชดใช้ความช่วยเหลือที่เคยให้ไป ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เผย

วอลซ์ ระบุว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมจะนำทุกประเด็นมาพูดคุยในสัปดาห์นี้ รวมถึงอนาคตของ USAID ที่มอบให้ยูเครน เราต้องได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกับยูเครนในแง่ของทรัพยากรแร่หายาก น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และการซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ" วอลซ์กล่าวกับ NBC News พร้อมย้ำว่าการเจรจาเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้

วอลซ์ยังเสริมว่า ทรัมป์มีเป้าหมายที่จะยุติความขัดแย้งในยูเครน แต่คาดหวังให้ยุโรปรับผิดชอบด้านหลักประกันความมั่นคง

"หลักการสำคัญคือ ยุโรปต้องเป็นเจ้าภาพในการจัดการความขัดแย้งนี้ต่อไป ประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นผู้ยุติความขัดแย้ง แต่ในแง่ของหลักประกันด้านความมั่นคง ยุโรปต้องเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง" วอลซ์กล่าว

ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้จะมีการเจรจาในยุโรปโดยมีตัวแทนสหรัฐฯ เข้าร่วม ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม รองประธานาธิบดี และทูตพิเศษ โดยจะหารือถึงรายละเอียดของข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับจุดยืนของรัสเซียต่อการยุติความขัดแย้งนั้น หากย้อนไปในเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้เสนอแนวทางสันติภาพ โดยระบุว่ารัสเซียพร้อมที่จะหยุดยิงและเจรจาทันทีหากยูเครนดำเนินการตามเงื่อนไขต่อไปนี้

ยูเครนต้องประกาศยกเลิกการเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO อย่างเป็นทางการ, กองทัพยูเครนต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่รัสเซียผนวกเข้าใหม่, รัฐบาลเคียฟต้องดำเนินมาตรการปลดอาวุธทางทหารและขจัดลัทธินาซี, ยูเครนต้องประกาศสถานะเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ปูตินยังกล่าวถึงการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสันติภาพ

รัสเซียได้ย้ำหลายครั้งว่ายูเครนเองเป็นฝ่ายห้ามการเจรจามาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 อีกทั้งสถานะความชอบธรรมของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในมอสโก

ทรัมป์สนใจซื้อฉนวนกาซาเป็นของสหรัฐ ให้ทุนต่างชาติบริหาร ยุติขัดแย้งในดินแดน

(10 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ว่า เขามีความตั้งใจที่จะเข้าควบคุมฉนวนกาซา โดยเสนอให้สหรัฐฯ เป็นเจ้าของดินแดนดังกล่าว และให้ประเทศในตะวันออกกลางเข้ามามีบทบาทในการฟื้นฟูพื้นที่

ทรัมป์กล่าวระหว่างเดินทางบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน (Air Force One) มุ่งหน้าสู่นิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา เพื่อเข้าชมการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ (Super Bowl) ว่า “สหรัฐฯ ตั้งใจจะเข้าควบคุมฉนวนกาซาอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มฮามาสกลับมามีอำนาจอีก ส่วนเรื่องการพัฒนา เราอาจให้ประเทศในภูมิภาคเข้ามามีส่วนร่วม หรือให้หน่วยงานอื่นดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของเรา”

รายงานจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า แนวคิดของทรัมป์เกี่ยวกับ “การเป็นเจ้าของระยะยาว” ฉนวนกาซา ถูกหยิบยกขึ้นหารือระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยหลายประเทศอาหรับ รวมถึงชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรป แสดงท่าทีคัดค้าน เนื่องจากมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง

ลาวลดจ่ายไฟให้ท่าขี้เหล็กเหลือ 13 เมกะวัตต์ สกัดแก๊งคอลเซนเตอร์ข้ามชาติ

เมื่อวันที่ (7 ก.พ.68) รัฐบาลลาวประกาศมาตรการจำกัดการจ่ายไฟฟ้าไปยังเมืองท่าขี้เหล็กในรัฐฉาน ทางตะวันออกของเมียนมา พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามชาติ

โพไซ สายะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ลาว กล่าวระหว่างการหารือกับฟางหง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศลาวว่า ลาวได้ดำเนินมาตรการจำกัดการจ่ายไฟฟ้าไปยังเมืองท่าขี้เหล็ก และยืนยันว่าจะไม่ยินยอมให้มีการใช้ไฟฟ้าของลาวเพื่อกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้าในการก่ออาชญากรรม เช่น การฉ้อโกง

โพไซกล่าวเพิ่มเติมว่า ลาวจะทำงานร่วมกับประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในประเด็นนี้ และจะดำเนินการเพิ่มเติมหากจำเป็น พร้อมเน้นย้ำว่าการต่อสู้กับการทุจริตทางไซเบอร์ข้ามชาติเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศในภูมิภาค

ฟางหงได้กล่าวเสริมว่า จีนจะเสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือด้านความมั่นคงกับลาวและประเทศอื่น ๆ โดยใช้มาตรการที่เด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมกันปกป้องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ รัฐบาลไทยได้ตัดการจ่ายไฟฟ้าไปยัง 5 พื้นที่ในเมียนมา รวมถึง เมียวดีและท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมที่มีการซ่องสุมในพื้นที่ดังกล่าว โดยหลังจากที่ไทยตัดไฟฟ้า เมืองท่าขี้เหล็กได้ประกาศว่าจะนำเข้าไฟฟ้าจากลาวมาแทน

ในขณะเดียวกัน สำนักข่าว Tachileik News Agency ของเมียนมา รายงานความคืบหน้าสถานการณ์ที่เมืองท่าขี้เหล็ก หลังจากไทยตัดการจ่ายไฟฟ้าไปยังเมียนมา ระบุว่า ลาวได้ลดการจ่ายไฟฟ้าให้เหลือ 13 เมกะวัตต์ ส่งผลให้เมืองท่าขี้เหล็กต้องจัดลำดับความสำคัญในการจ่ายไฟฟ้าใหม่

ก่อนหน้านี้ เมืองท่าขี้เหล็กเคยตกลงซื้อไฟฟ้าจากลาวจำนวน 30 เมกะวัตต์ แต่เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ทางฝั่งลาวได้แจ้งว่าจะลดปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายให้เหลือ 13 เมกะวัตต์ โดยไม่ได้ระบุเหตุผลที่ชัดเจน

ทรัมป์สั่งโรงกษาปณ์หยุดผลิตเหรียญ 1 เซนต์ เชื่อประหยัดงบ ตามคำแนะนำอีลอน มัสก์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังสหรัฐหยุดการผลิตเหรียญ 'เพนนี' หรือเหรียญ 1 เซนต์ หลังจากมีการชี้แจงว่าค่าใช้จ่ายในการผลิตเหรียญดังกล่าวสูงกว่ามูลค่าของมันเอง  

ตามรายงานจากกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ (10 ก.พ.68) ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย 'ทรูธ โซเชียล' โดยระบุว่า การผลิตเหรียญกษาปณ์ของสหรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีต้นทุนเกินกว่า 2 เซนต์ต่อเหรียญ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรอย่างมาก  

ในคำสั่งของทรัมป์ เขาได้กำหนดให้กระทรวงการคลังสหรัฐหยุดผลิตเหรียญเพนนีใหม่เป็นการชั่วคราว เพื่อประหยัดงบประมาณให้กับรัฐบาล

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐบาล (ดอจ) ภายใต้การนำของนายอีลอน มัสก์ ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาในเดือนมกราคมที่ผ่านมา  

การลดต้นทุนการผลิตเหรียญในสหรัฐเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันมานานและเคยมีการนำเสนอร่างกฎหมายหลายฉบับในสภาคองเกรส แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายใดที่ได้รับการอนุมัติจากสภา

'ทรัมป์' ฝากความหวัง 'มัสก์' แฉกลาโหมทุจริตหลายแสนล้าน

(10 ก.พ.68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า เขาคาดหวังให้อีลอน มัสก์ เปิดเผยปัญหาการใช้งบประมาณอย่างไม่เหมาะสมและการทุจริตครั้งใหญ่ภายในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน)

ทรัมป์กล่าวเรื่องนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Fox News เนื่องในโอกาสการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ซึ่งบางส่วนของการสัมภาษณ์ถูกนำมาเผยแพร่เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น

“ผมกำลังจะแจ้งให้เขาทราบภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้านี้ ให้เริ่มตรวจสอบกระทรวงศึกษาธิการก่อน จากนั้นค่อยตรวจสอบกระทรวงกลาโหม ผมมั่นใจว่าเราจะพบการทุจริตและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไม่เหมาะสม คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้าน หรืออาจสูงถึงหลายแสนล้านดอลลาร์” ทรัมป์กล่าว

ด้านรอยเตอร์รายงานว่า งบประมาณของเพนตากอนอยู่ที่เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี โดยในเดือนธันวาคม 2567 อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามอนุมัติงบประมาณกลาโหมจำนวน 8.95 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2568

มัสก์ ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่าเป็น "พนักงานพิเศษของรัฐบาล" ได้รับมอบหมายจากทรัมป์ให้เป็นผู้นำในการปรับลดขนาดกำลังคนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทีมงานของมัสก์ได้รับสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลับในระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องทางกฎหมาย และมีความกังวลว่าอาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหล อีกทั้งยังอาจเป็นการรื้อโครงสร้างหน่วยงานรัฐโดยไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากบริษัทของมัสก์มีสัญญามูลค่ามหาศาลกับเพนตากอน

ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Meet the Press” ของช่อง NBC ว่ากระบวนการต่อเรือของเพนตากอนเป็นจุดอ่อนที่ควรได้รับการตรวจสอบเป็นพิเศษ โดยเสนอให้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ซึ่งมัสก์เป็นผู้นำ เข้ามาดูแลปัญหานี้

วอลซ์ยังระบุว่า เพนตากอนมีปัญหาด้านความล่าช้าในการจัดซื้อจัดจ้าง และจำเป็นต้องให้ผู้นำจากภาคธุรกิจเข้ามาช่วยปฏิรูป

แม้ว่าปัญหาประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของเพนตากอนจะถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนานจากนักการเมืองทั้งสองพรรค แต่พรรคเดโมแครตและสหภาพข้าราชการพลเรือนยังคงแสดงความกังวลว่า ทีมงานของมัสก์อาจไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการปรับโครงสร้างเพนตากอนอย่างเหมาะสม

อีลอน มัสก์ จี้ปิด VOA สื่อทุนรัฐบาล ลั่นเป็นขยะพันล้านผลาญภาษี

(10 ก.พ.68) อีลอน มัสก์ เรียกร้องให้ยุติการดำเนินงานของ Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) ซึ่งเป็นองค์กรสื่อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยอ้างว่าสื่อเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

มัสก์แสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพื่อตอบกลับโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ของริชาร์ด เกรเนลล์ ทูตพิเศษด้านภารกิจพิเศษของสหรัฐฯ ซึ่งวิจารณ์สื่อทั้งสองว่าเป็น "องค์กรสื่อที่ใช้ภาษีประชาชนเพื่อเผยแพร่แนวคิดของฝ่ายซ้ายสุดโต่ง"  

"นี่คือสื่อที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ" เกรเนลล์ระบุ "พวกมันเป็นเพียงสิ่งตกค้างจากอดีต เราไม่จำเป็นต้องมีสื่อที่ได้รับเงินจากรัฐบาลอีกต่อไป"  

มัสก์เห็นด้วยและตอบกลับว่า "ใช่ ควรปิดมันซะ" พร้อมกล่าวเสริมว่าสื่อเหล่านี้เป็นเพียง "กลุ่มคนฝ่ายซ้ายสุดโต่งที่พูดคุยกันเอง ขณะเดียวกันก็เผาผลาญภาษีของประชาชนอเมริกันไปปีละ 1 พันล้านดอลลาร์"  

RFE/RL และ VOA อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ U.S. Agency for Global Media และก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามเย็นเพื่อต่อต้านโฆษณาชวนเชื่อของรัฐเผด็จการ ปัจจุบันทั้งสององค์กรยังคงออกอากาศในพื้นที่ที่มีเสรีภาพสื่อจำกัด เช่น รัสเซีย อิหร่าน และบางส่วนของเอเชียกลาง  

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เคยพยายามลดงบประมาณสำหรับสื่อระหว่างประเทศที่ได้รับทุนจากรัฐบาล รวมถึงโครงการช่วยเหลือต่างประเทศ ซึ่งเผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักจากฝ่ายเดโมแครตในสภาคองเกรส  

ยูเครนยอมรับแพ้รัสเซียแน่ หากสหรัฐระงับความช่วยเหลือ

(7 ก.พ.68) โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ยอมรับว่าสถานการณ์ของประเทศอาจย่ำแย่ลงอย่างมาก หากสหรัฐฯ ยุติการให้ความช่วยเหลือทางทหารและการเงิน

คำกล่าวของเซเลนสกีมีขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ต่อยูเครน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งระงับโครงการสนับสนุนเงินทุนสำหรับต่างประเทศเกือบทั้งหมด

สำนักข่าว RT ของรัสเซียรายงานว่า สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนหลักของยูเครนตั้งแต่เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ระบุว่าสหรัฐฯ ได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนยูเครน อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีโต้แย้งว่าตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 76,000 ล้านดอลลาร์

ระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เซเลนสกียืนยันว่าความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในขณะนี้ยังคงดำเนินต่อไปและยังไม่ถูกระงับ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กล่าวถึงแนวโน้มของมาตรการช่วยเหลือในอนาคต

“ผมไม่อยากคิดเลยว่าหากเราไม่ได้รับการสนับสนุนต่อไป สถานการณ์จะเป็นอย่างไร” เซเลนสกีกล่าว “แน่นอนว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการป้องกันประเทศของเราอย่างรุนแรง และผมไม่มั่นใจว่าเราจะสามารถรับมือได้หรือไม่”

เปิดเบื้องหลังสายลับจอเงิน ฮีโร่จริง หรือแค่โฆษณาชวนเชื่อ

(7 ก.พ.68) นับตั้งแต่การเข้ามามีบทบาทอีลอน มัสก์ ในฐานะผู้นำหน่วยงาน DOGE ประสิทธิภาพของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีการออกมาพูดถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐ (CIA) ในการเข้าไปมีบทบาทในหลายแวดวงการ ตั้งแต่การออกมาแฉเบื้องหลังของสำนักข่าว Politico จนถึง การออกมาพูดถึงประเด็นผู้อพยพ

ล่าสุดมีการพูดถึงวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ และเหล่าดาราฮอลลีวูด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ของหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ให้ดูเป็นฮีโร่ผู้เสียสละ ซึ่งบางครั้งต้องใช้มาตรการรุนแรงเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

สำนักข่าวสปุตนิกของรัสเซีย ตั้งข้อสังเกตว่า หนึ่งในดาราสาวชื่อดังอย่าง แองเจลินา โจลี นักแสดงชื่อดังเคยเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของ CIA เพื่อรับคำปรึกษาสำหรับบทบาทของเธอในภาพยนตร์สายลับ Salt (2010) อย่างไรก็ตาม ด้วยบทบาทนักเคลื่อนไหวระดับโลกของเธอ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับหน่วยงานดังกล่าว

ไม่เพียงแค่นั้น นักแสดงสาวอย่าง เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ จากซีรีส์ Alias ซึ่งรับบทเป็นสายลับ CIA เคยได้รับเชิญไปยังสำนักงานใหญ่ของ CIA ในเมืองแลงลีย์ และในปี 2004 เธอยังได้ร่วมแสดงในวิดีโอรับสมัครงานของหน่วยข่าวกรองนี้ด้วย

ขณะที่ ฌอน เพนน์ หลังจากที่เขาได้สัมภาษณ์เจ้าพ่อค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกัน "เอล ชาโป" (วาคีน กุซมาน) ซึ่งไม่นานต่อมาถูกจับกุม ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเพนน์อาจเป็นหนึ่งในทรัพย์สินของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ

ส่วน เบน แอฟเฟล็ก นักแสดงและผู้กำกับชื่อดังเคยรับบทเป็นรองผู้อำนวยการ CIA แจ็ค ไรอัน ในภาพยนตร์ The Sum of All Fears (2002) นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงนำใน Argo (2012) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ยกย่องภารกิจช่วยเหลือนักการทูตสหรัฐฯ ระหว่างวิกฤติการณ์ตัวประกันในอิหร่าน

สื่อรัสเซียยังระบุว่า มีข้อกล่าวอ้างว่าวอลต์ ดิสนีย์เคยร่วมมือกับ CIA ในการสนับสนุนแผนต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น นอกจากนี้ ในช่วงปี 1990 CIA ได้จัดตั้งสำนักงานประสานงานเพื่อสร้างความร่วมมือกับผู้สร้างภาพยนตร์และนักเขียนบทในฮอลลีวูด เพื่อมีอิทธิพลต่อการนำเสนอภาพลักษณ์ของหน่วยงานข่าวกรองในสื่อบันเทิง

โดยตัวอย่างภาพยนตร์และซีรีส์ที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ของ CIA อาทิ 

Zero Dark Thirty (2012) ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวการตามล่าตัวโอซามา บิน ลาเดน ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการทรมานผู้ต้องสงสัยของ CIA

ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายของทอม แคลนซี เช่น The Sum of All Fears และ Clear and Present Danger ซึ่ง The Atlantic เคยระบุว่าเป็น "หัวใจสำคัญของโฆษณาชวนเชื่อของ CIA ในช่วงทศวรรษ 1990"

Homeland ซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวของ CIA ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมแต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับหน่วยข่าวกรองแห่งนี้

การมีส่วนร่วมของ CIA กับฮอลลีวูดยังคงเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม ว่าภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นบนจอเงินนั้นสะท้อนความเป็นจริง หรือเป็นเพียงเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่ช่วยขับเคลื่อนอิทธิพลของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ กันแน่

เวียดนาม-มาเลเซีย เร่งสปีดส่งออก ไทยเสี่ยงเสียแชมป์ทุเรียนตลาดจีน

(7 ก.พ.68) รายงานการวิจัยความเสี่ยงของประเทศและอุตสาหกรรมของบีเอ็มไอ (BMI Country Risk and Industry Research) หน่วยงานในเครือสถาบันวิจัยฟิทช์ (Fitch) คาดการณ์ว่าความต้องการทุเรียนที่เพิ่มมากขึ้นในจีนจะผลักดันการส่งออกทุเรียนของผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เติบโต

สถาบันฯ คาดว่าการแข่งขันในตลาดทุเรียนจะดุเดือดมากขึ้น โดยการส่งออกจากเวียดนามและมาเลเซียจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งน่าจะท้าทายสถานะของไทยในการเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดในโลกมากยิ่งขึ้น

สถาบันฯ มองว่ามาเลเซียจะกลายเป็นผู้ส่งออกทุเรียนสดป้อนตลาดจีนที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องมาจากข้อตกลงเมื่อปี 2024 ที่รัฐบาลจีนบรรลุข้อตกลงกับมาเลเซียในการอนุญาตการส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน โดยในช่วงเวลานั้นมาเลเซียได้ส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งเปลือกและเนื้อทุเรียนแช่แข็งไปยังจีนอยู่แล้ว

ส่วนการผลิตและการส่งออกทุเรียนของเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักบางประการที่ผลักดันการเติบโต ส่วนใหญ่คือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยในไทยที่กระทบการส่งออก และข้อตกลงที่กระทรวงเกษตรของเวียดนามและสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปจีนบรรลุร่วมกันในปี 2022 ซึ่งอนุญาตการส่งออกทุเรียนสดไปยังจีน

นอกจากนี้ เวียดนามยังได้รับประโยชน์จากการมีพรมแดนทางบกติดกับจีน และการผลิตทุเรียนนอกฤดูกาล สิ่งนี้เป็นพัฒนาการสำคัญที่จะเพิ่มรายได้จากการส่งออกของเวียดนาม ควบคู่กับการเพิ่มการแปรรูปและลดแรงกดดันในการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล

ด้านรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเร่งทำงานเพื่อให้สามารถส่งออกทุเรียนสดไปยังจีน ขณะที่ลาวเป็นอีกประเทศหนึ่งที่สถาบันฯ คาดว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานทุเรียน

สถาบันวิจัยฟิทช์เผยว่าจีนนำเข้าทุเรียนสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสิบปีมานี้ พร้อมคาดการณ์ว่าความต้องการทุเรียนจากจีนจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยคาดว่าในระยะสั้นถึงระยะกลางจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในภาคส่วนนี้

บีเอ็มไอคาดว่าการเติบโตจะดำเนินต่อไปในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากตลาดยังคงห่างจากช่วงอิ่มตัว และผลไม้ชนิดนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ ทุเรียนเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีราคาแพงที่สุด และมักถูกมองว่าเป็นสินค้าแปลกใหม่ที่มักรับประทานในโอกาสพิเศษ บีเอ็มไอจึงเชื่อว่าทุเรียนเป็นสินค้าที่จะมีศักยภาพทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงในแง่อำนาจซื้อของผู้บริโภค

'ฮังการี' จ่อถอดตัว 'อนามัยโลก' หลังสหรัฐฯ-อาร์เจนตินานำร่อง ชี้มหาอำนาจยังเมิน

(7 ก.พ.68) หลังจากสหรัฐฯ และอาร์เจนตินาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ล่าสุด ฮังการีอาจเป็นประเทศถัดไปที่พิจารณาก้าวออกจากองค์กรนี้  

เมื่อวันพฤหัสบดี สำนักงานของนายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน แห่งฮังการี เปิดเผยว่ากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการถอนตัวจาก WHO โดย เกร์เกย์ กุยยาช รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “หากประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกตัดสินใจออกจากองค์กรระหว่างประเทศ เราก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเดินตามแนวทางนั้นหรือไม่”  

กุยยาชระบุว่า ฮังการีอาจตัดสินใจอยู่ต่อ หรืออาจเลือกทางอื่น แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง เนื่องจาก “ประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตัดสินใจออกจาก WHO ด้วยความสมัครใจ”  

ในวันเดียวกัน รองประธานสภารัสเซียก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดการถอนตัว โดย พีออตร์ ตอลสตอย สมาชิกพรรคสหรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เขียนบน Telegram ว่า “ถึงเวลาตรวจสอบการทำงานของ WHO ในรัสเซียอย่างละเอียด และในระหว่างกระบวนการตรวจสอบ เราควรระงับสมาชิกภาพของรัสเซีย หรือทางที่ดีกว่า เราควรอำลา WHO ไปเลย”  

ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพันธมิตรได้วิจารณ์ WHO ว่าแทรกแซงอธิปไตยของประเทศต่างๆ ถูกจีนครอบงำ และบริหารจัดการวิกฤตโควิด-19 อย่างผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เทดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการ WHO ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยกล่าวต่อที่ประชุมสมาชิกว่า WHO เป็นองค์กรที่เป็นกลางและทำงานเพื่อประโยชน์ของทุกประเทศทั่วโลก  

“เมื่อประเทศต่างๆ ขอให้ WHO ดำเนินการเกินขอบเขตหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพื่อสนับสนุนสุขภาพโลก เราก็ต้องปฏิเสธอย่างสุภาพ” เทดรอสกล่าว

สองแบรนด์สหรัฐ Calvin Klein - Tommy Hilfiger ถูกขึ้นบัญชีดำ ตอบโต้นโยบายทรัมป์ อาจเสี่ยงปิดกิจการในจีน

(7 ก.พ.68) ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรัฐบาลจีนตัดสินใจขึ้นบัญชีดำ PVH Corp. บริษัทแม่ของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก Calvin Klein และ Tommy Hilfiger หลังถูกกล่าวหาว่าปฏิเสธการใช้ฝ้ายจากเขตซินเจียง มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจของ PVH ในจีน รวมถึงความเสี่ยงในการปิดร้านค้าปลีกและโรงงานผลิตในประเทศ

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2024 กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้เริ่มสอบสวน PVH โดยกล่าวหาว่าบริษัทปฏิเสธการใช้ฝ้ายจากซินเจียง ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้ จนกระทั่งล่าสุด จีนได้ขึ้นบัญชีดำ PVH ภายใต้กฎหมายว่าด้วยหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ

การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เปิดทางให้รัฐบาลจีนสามารถใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรง อาทิ ห้ามนำเข้าและส่งออกสินค้า เพิกถอนใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ และ ปฏิเสธการออกวีซ่าและขับไล่พนักงานต่างชาติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PVH อาจต้องปิดร้านค้าปลีกและโรงงานผลิตทั้งหมดในจีน รวมถึงอาจถูกห้ามจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคชาวจีนทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าวจะถูกบังคับใช้ใน ฮ่องกง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัท

หลังจากถูกขึ้นบัญชีดำ PVH ออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวัง ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลจีน แต่ยืนยันว่าบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจในจีนตามปกติ

“ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดของจีนอย่างเคร่งครัด เราหวังว่าจะสามารถหาทางออกที่เป็นบวกและร่วมมือกับทางการจีนต่อไป”

แม้ว่ายอดขายของ PVH ในจีนจะคิดเป็นเพียง 6% ของรายได้รวม แต่บริษัทต้องพึ่งพาการผลิตในจีนถึง 18% ของสินค้าทั่วโลก ทำให้การถูกคว่ำบาตรอาจสร้างแรงกดดันต่อซัพพลายเชนของแบรนด์

Neil Saunders นักวิเคราะห์จาก GlobalData มองว่า การขึ้นบัญชีดำ PVH ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะถึงแม้บริษัทสามารถย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น แต่ปัญหาสำคัญคือ คุณภาพการผลิตที่จีนสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน

“คุณสามารถหาฐานการผลิตใหม่ได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรับประกันมาตรฐานคุณภาพ ซึ่งจีนมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ”

Sam Eide ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก Asia Group วิเคราะห์ว่า จีนต้องการใช้ PVH เป็นตัวอย่าง ให้บริษัทสหรัฐฯ เห็นถึงความเสี่ยงในการทำธุรกิจในประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บัญชีดำของจีนมักพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมกลาโหมหรือเทคโนโลยีมากกว่า

“นี่อาจเป็นกลยุทธ์ของจีนในการกดดันรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เดินหน้านโยบายขึ้นภาษีสินค้าจีนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังแบรนด์อเมริกันรายอื่น เช่น Nike และ Apple ที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก”

นายพลเร่งดันใช้โซลาร์เซลล์ ลดเสี่ยงอุตสาหกรรมสะดุด

(7 ก.พ.68) พลเอก โซ วิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานคณะกรรมการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อย (MSME) ของเมียนมา สนับสนุนให้ภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าในประเทศ

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะมิเรอร์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ MSME ในกรุงเนปิดอว์ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาพลังงานให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยพล.อ.โซ วิน เน้นย้ำถึงความสำคัญของพลังงานแสงอาทิตย์ในฐานะทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาไฟฟ้าขาดแคลน

ปัจจุบัน เมียนมามีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมมากกว่า 6,300 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม โรงงานหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการจากปัญหาต่าง ๆ ขณะที่กระทรวงพลังงานไฟฟ้ากำลังเร่งจัดหาไฟฟ้าทางเลือกเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

พล.อ.โซ วิน เปิดเผยว่า มีบริษัทบางแห่งเริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว และสามารถขยายกิจการได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างให้ธุรกิจอื่น ๆ หันมาลงทุนด้านพลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ เขายังชี้ว่า การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง แต่ยังเปิดโอกาสให้ขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนเข้าสู่โครงข่ายแห่งชาติ ทำให้สามารถคืนทุนจากการลงทุนในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ได้ในระยะเวลาไม่นาน

นอกจากพลังงานแสงอาทิตย์ รัฐบาลเมียนมายังเดินหน้าผลิตพลังงานไฮบริดจากก๊าซธรรมชาติและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ในหลายภูมิภาคและรัฐ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนพลังงานในระยะยาว

ทรัมป์สั่งอายัดทรัพย์-แบนวีซ่าเจ้าหน้าที่ ICC ตอบโต้สหรัฐและอิสราเอลถูกสอบสวน

(7 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) โดยกล่าวหาว่าศาลดำเนินการอย่างไม่ชอบธรรมและไร้มูลความจริงต่อสหรัฐและอิสราเอล

ตามรายงานของบีบีซี (BBC) และเอพี (AP) ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดมาตรการคว่ำบาตร ICC ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเฮก โดยให้เหตุผลว่าศาลได้ดำเนินการสอบสวนอิสราเอลและสหรัฐโดยไม่มีความชอบธรรม คำสั่งดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น

คำสั่งของทรัมป์ระบุว่า "ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินการอย่างมิชอบและปราศจากมูลความจริง โดยมุ่งเป้าไปที่สหรัฐและอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของเรา" นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวิพากษ์วิจารณ์ ICC ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบในการออกหมายจับต่อเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และโยอาฟ กัลแลนต์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล

คำสั่งดังกล่าวยังเน้นว่า 'ICC ไม่มีอำนาจเหนือสหรัฐหรืออิสราเอล' และระบุว่ามาตรการคว่ำบาตรจะรวมถึงการจำกัดการทำธุรกรรมทางการเงินและการออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ICC ซึ่งมีส่วนช่วยในการสอบสวนพลเมืองของสหรัฐและชาติพันธมิตร

การแซงก์ชั่นอาจรวมถึงการอายัดทรัพย์สินและการห้ามเจ้าหน้าที่ของ ICC และครอบครัวของพวกเขาเข้าประเทศสหรัฐ คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในช่วงเวลาที่เนทันยาฮูเดินทางเยือนสหรัฐเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์

การตอบโต้ของสหรัฐเกิดขึ้นหลังจาก ICC ออกหมายจับเนทันยาฮูเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ในข้อกล่าวหาการก่ออาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันยาฮูปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด นอกจากนี้ ICC ยังออกหมายจับต่อผู้บัญชาการของกลุ่มฮามาสด้วย

ทำเนียบขาวกล่าวหาว่า ICC กำลังสร้างมาตรฐานที่เป็นอันตราย โดยทำให้สหรัฐและเจ้าหน้าที่ของตนตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงจากการคุกคาม การล่วงละเมิด และการจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม

“การกระทำของ ICC เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของสหรัฐ และเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติของเรา รวมถึงนโยบายต่างประเทศที่สำคัญของสหรัฐและพันธมิตร เช่น อิสราเอล” คำสั่งดังกล่าวระบุ

นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังกล่าวหา ICC ว่าจำกัดสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล ขณะเดียวกันก็มองข้ามบทบาทของอิหร่านและกลุ่มต่อต้านอิสราเอลในความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ สหรัฐไม่ใช่สมาชิกของ ICC และปฏิเสธอำนาจศาลของ ICC มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ในสมัยแรกของทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐเคยใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่ของ ICC ที่กำลังสืบสวนกรณีที่กองทัพสหรัฐอาจก่ออาชญากรรมสงครามในอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวถูกยกเลิกไปในยุครัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top