Thursday, 22 May 2025
WORLD

เผยบัณฑิตม.กลุ่ม Ivy League รายได้เฉลี่ย 93,000 ดอลลาร์ หลังเรียนจบสิบปี สูงกว่าบัณฑิตมหาวิทยาลัยทั่วไปเกือบสองเท่า

(24 ธ.ค.67) สำนักข่าว vnexpress ของเวียดนามอ้างอิงข้อมูลจาก Ivy Coach ซึ่งเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำแก่ผู้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาในกลุ่ม Ivy League ระบุว่า บัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League มีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 93,000–111,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากจบการศึกษา 10 ปี ซึ่งเกือบจะเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยรายได้ของคนในประเทศ 

ข้อมูลที่เผยแพร่โดย College Scorecard ของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ระบุว่า บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Brown ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 มหาวิทยาลัย Ivy League มีรายได้เฉลี่ยต่อปีต่ำที่สุดที่ประมาณ 93,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายได้ของบัณฑิตมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 53,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 1.75 เท่า

ขณะที่บัณฑิตจาก Dartmouth College ได้รับรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 97,430 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่วนบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Ivy League อื่นๆ มีรายได้เฉลี่ยเกิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania ได้รับรายได้สูงสุดที่ 111,370 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ในขณะเดียวกัน ค่าครองชีพสุทธิสำหรับนักศึกษาที่เรียนที่มหาวิทยาลัยเหล่านี้หลังจากได้รับทุนการศึกษาและความช่วยเหลือทางการเงินมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 8,000–31,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

หากเปรียบเทียบความคุ้มค่าในการเรียนแล้ว พบว่าบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัย Princeton ได้รับความคุ้มค่าที่ดีที่สุดจากการลงทุนทางการศึกษา โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 8,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งปีการศึกษาในช่วงการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่สามารถทำรายได้เฉลี่ย 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีหลังจากจบการศึกษาไปแล้ว 10 ปี 

ขณะที่บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าเล็กน้อยประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ค่าครองชีพสุทธิของพวกเขาในระหว่างการศึกษาระดับปริญญาตรีก็สูงกว่าถึงสามเท่าเช่นกัน

ตามข้อมูลจาก Ivy Coach องค์กรที่เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำแก่ผู้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ ข้อมูลนี้สะท้อนถึงคุณค่าของปริญญาจาก Ivy League ในตลาดงาน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของบัณฑิตจาก Ivy League ยังมาจากความมุ่งมั่นและความสามารถของพวกเขาเองด้วย

ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม Ivy League ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยเอกชน 8 แห่งในสหรัฐฯ ที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ ความเข้มงวดในการคัดเลือกนักศึกษา และความมีชื่อเสียงระดับโลก โดยในอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ Times Higher Education ปี 2025 มหาวิทยาลัย Harvard และ Princeton ได้รับการจัดอันดับที่ 3 และ 4 ตามลำดับ ส่วนมหาวิทยาลัย Ivy League อื่นๆ ส่วนใหญ่ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน 20 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยโลก

รัสเซียแฉกลาโหมสหรัฐฯ ตั้งหน่วยด้านชีวภาพในแอฟริกา

(24 ธ.ค. 67) พลโท อเล็กเซย์ ริติเชฟ รองหัวหน้ากองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพของกองทัพรัสเซีย เปิดเผยในรายงานโดยระบุว่า พบความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยะสำคัญของกองทัพสหรัฐฯ บริเวณทวีปแอฟริกาโดยเฉพาะการตั้งฐานทัพทางทหารและหน่วยวิจัยด้านชีวภาพ

พลโท ริติเชฟ กล่าวว่า "เรามีเอกสารหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า การมีอยู่ของทหารสหรัฐและหน่วยด้านชีวภาพในแอฟริกากำลังขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็ว" โดยนายพลรัสเซียเชื่อว่า สหรัฐได้ส่งหน่วยงานด้านการแพทย์ไปยังกานาและจิบูตี 

พลโท ริติเชฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า  “พบกิจกรรมที่กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้นในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐ อาทิ  การตั้งสาขาของศูนย์การแพทย์ทางทหารของกองทัพเรือในกานาและจิบูตี ซึ่งมีการทำงานอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของโรค การแยกและการถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อโรค"

คำกล่าวของนายพลรัสเซียสอดคล้องกับรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่ระบุว่า สหรัฐกำลังดำเนินโครงการวิจัยเพื่อการแพทย์ในพื้นที่แอฟริกา ได้แก่ ไนจีเรีย ได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยทางการแพทย์ร่วมและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์สำหรับกองทัพในปี 2024

เคนยา ก่อตั้งศูนย์การแพทย์ทหารของสหรัฐฯ ได้ตั้งเครือข่ายสถานีสนามเพื่อเฝ้าติดตามการแพร่กระจายของโรคติดต่อทั่วแอฟริกาตอนกลาง เซเนกัล การก่อสร้างห้องปฏิบัติการมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งมีผู้รับเหมาเดียวกันกับที่ทำงานในสหภาพโซเวียตเดิม รวมถึงอาร์เมเนีย จอร์เจีย คาซัคสถาน และยูเครน กานาและจิบูตี สหรัฐฯ ได้จัดตั้งสาขาของศูนย์การแพทย์ทางทะเลแห่งชาติและกำลังจัดการการระบาดของโรคตามธรรมชาติและการแยกเชื้อโรค

พลโท รติชฟ กล่าวเสริมว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าแอฟริกาเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคที่อันตรายและเป็นพื้นที่ทดสอบยารักษาโรคใหม่ๆ โดยที่วอชิงตันใช้เชื้อโรคชนิดใหม่ที่ทดสอบแล้วในสมรภูมิยูเครนและที่จอร์เจีย

นายพลรัสเซีย กล่าวเพิ่มเติมว่า วอชิงตันกำลังใช้ประโยชน์จากความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศในแอฟริกาประสบปัญหาโดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขเพื่อการวิจัยบางอย่าง ขณะที่สหรัฐเกรงว่ารัสเซียกับจีนจะเปิดโปงการวิจัยดังกล่าว

"สหรัฐฯ มักจะไม่เปิดเผยวัตถุประสงค์สุดท้ายของการทดลองให้กับชาติพันธมิตร" พลโท ริติเชฟ กล่าวทิ้งท้าย

ย้อนประเด็น 'กรีนแลนด์-ปานามา-แคนาดา' 'ทรัมป์' หมายตาคิดผนวกดินแดน

(24 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไม่ทันเข้าสาบานตนรับตำแหน่งสมัยสอง ก็ออกมาพูดหลายครั้งถึงประเด็นอธิปไตยในต่างแดนหลายต่อหลายครั้ง ที่แม้ฟังดูเป็นเรื่องติดตลก แต่ทรัมป์ก็ให้เหตุผลที่น่าคิดอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียวตามแนวคิด 'อเมริกามาก่อน'  

เริ่มตั้งแต่ประเด็นกับชาติเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา โดยทรัมป์ได้กล่าวเมื่อ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา ระหว่างการหารือมื้อค่ำกับ นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ที่มาร์อาลาโก้ บ้านพักตากอากาศของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในรัฐฟลอริด้า 

การเยือนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาขู่ว่าแคนาดาอาจจะโดนกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% เมื่อกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว เพื่อบีบบังคับให้เร่งจัดการกับปัญหายาเสพติดและผู้อพยพที่เข้ามาในสหรัฐ โดยเรื่องนี้ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าสงครามการค้าในภูมิภาคอาจจะเกิดขึ้น นายกทรูโดจึงรีบรุดหารือเป็นการส่วนตัวกับทรัมป์

ในระหว่างการหารือมื้อค่ำของสองผู้นำ นายกแคนาดาได้รับปากว่าจะแก้ปัญหาเรื่องภาษีศุลกากรแต่ก็อาจมีข้อจำกัดบางประการในประเด็นที่รัฐบาลท้องถิ่นในบางแคว้นของแคนาดาที่มีอาณาเขตติดกับพรมแดนสหรัฐฯ สามารถกำหนดอัตราภาษีศุลกากรได้ด้วยตนเอง

ทรูโดกล่าวกับทรัมป์ว่า เขาไม่สามารถเรียกเก็บภาษีนำเข้าได้เพราะจะทำลายเศรษฐกิจของแคนาดาอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเป็นสิทธิ์ของรัฐบาลแคว้นท้องถิ่น ซึ่งทรัมป์ตอบเชิงติดตลกว่า

"ถ้าแคนาดาไม่สามารถจัดการปัญหาภาษีศุลกากรได้ ประเทศคุณก็คงไม่สามารถเลี่ยงกำแพงภาษีสหรัฐได้ เว้นเสียแต่บางแคว้นของแคนาดาจะเข้าร่วมเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ"

ต่อมา 20 ธันวาคม ทรัมป์ โพสต์ลงในแพลตฟอร์ม ทรูธ โซเชียล (Truth Social) แซวว่าเป็นความคิดที่ดี หากแคนาดาเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และชาวแคนาดาเองก็เห็นด้วยกับไอเดียนี้ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีใจความว่า "ไม่มีตอบได้ว่าทำไมเราต้องจ่ายเงินช่วยแคนาดาปีละ 100 ล้านล้านดอลลาร์ ไม่สมเหตุสมผล! ชาวแคนาดาอยากให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ เพราะคงช่วยประหยัดภาษีไปได้มากและได้ความคุ้มครองทางทหาร ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดี รัฐที่ 51!"

ในประเด็นเรื่องคลองปานามา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้วิจารณ์รัฐบาลปานามาอย่างรุนแรง หลังจากที่เขาขู่ว่าจะยึดคลองปานามาคืน หากปานามาไม่สามารถแก้ไขปัญหาค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นที่เรียกเก็บจากเรือสินค้าของสหรัฐฯ ที่แล่นผ่านคลองดังกล่าว

ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ทรูธ โซเชียล ว่า “กองเรือและการค้าของเราได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ค่าธรรมเนียมที่ปานามาเรียกเก็บนั้นไร้เหตุผลจริง ๆ” พร้อมทั้งระบุว่า การเอาเปรียบสหรัฐฯ “ต้องยุติลงทันที”

ประธานาธิบดียังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากปานามาไม่สามารถรับประกันความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือของคลองปานามาได้ "สหรัฐฯ จะขอเรียกคืนคลองปานามากลับมาเป็นของเราอย่างเต็มรูปแบบ"

คลองปานามาได้รับการขุดเสร็จสมบูรณ์โดยสหรัฐฯ ในปี 1914 ก่อนที่จะส่งคืนให้กับปานามาภายใต้สนธิสัญญาในปี 1977 ที่ลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ และปานามาได้รับการควบคุมคลองนี้อย่างสมบูรณ์ในปี 1999

ในด้านของปานามา ประธานาธิบดีโฮเซ่ ราอูล มูลิโน ได้ตอบโต้ทรัมป์ในวิดีโอว่า “ทุกตารางเมตรของคลองปานามาคือของปานามาและจะเป็นเช่นนั้นต่อไป” ขณะที่ทรัมป์ได้โพสต์ตอบกลับในสื่อสังคมออนไลน์ของเขาว่า “เดี๋ยวได้รู้กัน”

ส่วนเรื่องกรีนแลนด์ ย้อนกลับไปในปี 2019 ที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก ทรัมป์เคยพูดเรื่องการซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก โดยทรัมป์กลับมาฟื้นประเด็นนี้อีกครั้งหลังจากที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เสนอชื่อนาย เคน ฮาวเวอรี อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสวีเดนและนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเดนมาร์กคนใหม่ โดยทรัมป์เชื่อมั่นว่าฮาวเวอรีจะ "ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสหรัฐฯ"

โดนัลด์ ทรัมป์  กล่าวผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล Truth Social โดยยืนยันถึงการฟื้นแนวคิดการเป็นเจ้าของพื้นที่กรีนแลนด์ ซึ่งทรัมป์มองว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง

"เพื่อความมั่นคงและส่งเสริมเสรีภาพทั่วโลก สหรัฐอเมริกาเห็นว่าการเป็นเจ้าของและควบคุมพื้นที่กรีนแลนด์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง"

ย้อนไปในปี 2019 สื่อหลายแห่งรายงานว่าทรัมป์มีความสนใจที่จะซื้อกรีนแลนด์ ซึ่งต่อมาเขาเองยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าเป็นความสนใจเชิงยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรีนแลนด์ย้ำว่ากรีนแลนด์ไม่ใช่สินค้าที่จะขายได้ ขณะที่รัฐบาลเดนมาร์กแสดงความหวังว่าทรัมป์กำลังพูดเล่น และเรียกแนวคิดการขายกรีนแลนด์ว่า 'ไร้สาระ'

สำหรับกรีนแลนด์ปัจจุบันถือเป็นดินแดนอาณานิคมของเดนมาร์กถึงปี 1953 แม้ว่าจะยังเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก แต่ในปี 2009 กรีนแลนด์ได้รับสิทธิ์ปกครองตนเองและสามารถตัดสินใจเรื่องนโยบายภายในประเทศได้อย่างอิสระ

จากประเด็นทั้งหมด ด้านสตีเฟน ฟาร์นสเวิร์ธ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์จาก University of Mary Washington ในรัฐเวอร์จิเนีย บอกว่า ทรัมป์ใช้แนวทางอันก้าวร้าวแบบนักธุรกิจในการหยิกแกมหยอกประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ และมองว่าทั้งกรณีของแคนาดาและกรีนแลนด์ ทรัมป์เพียงแค่ต้องการเอาชนะ ไม่ว่าจะในเรื่องการค้า พรมแดน หรือในประเด็นอื่น ๆ กับประเทศพันธมิตร

อีลอน มัสก์จวกธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำงานล่าช้า-พนักงานเกินจำเป็น

(24 ธ.ค.67) บลูมเบิร์กรายงานว่า อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ เทสลา (Tesla) และ สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ว่าที่ประธานร่วมของ สำนักงานควบคุมประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) โดยมัสก์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าเป็นหน่วยงานที่มีพนักงานมากเกินความจำเป็น  

มัสก์แสดงความคิดเห็นผ่าน แพลตฟอร์ม X โดยระบุว่าเฟดเป็นหน่วยงานที่มีจำนวนพนักงานที่มากเกินไป ซึ่งความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นในกระทู้ที่พูดถึงการตัดสินใจด้านนโยบายล่าสุดของเฟด อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองดังกล่าว  

ขณะเดียวกัน มัสก์ยังถือเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในชื่อ DOGE เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลและตั้งเป้าลดการใช้จ่ายให้ได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์  

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐในกรุงวอชิงตันและธนาคารระดับภูมิภาคอีก 12 แห่งทั่วประเทศ มีพนักงานรวมประมาณ 24,000 คน เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าธนาคารกลางในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ที่มีจำนวนพนักงานรวมกันมากกว่าของสหรัฐ  

ต่างจากหน่วยงานอื่นของรัฐบาล ธนาคารกลางสหรัฐไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณของรัฐสภา แต่มีรายได้จากการดำเนินงานของธนาคาร เช่น ดอกเบี้ยจากหลักทรัพย์รัฐบาลที่เฟดถือครอง โดยรายได้ส่วนเกินจะถูกส่งกลับไปยัง กระทรวงการคลัง ซึ่งในช่วงเวลาปกติ เฟดถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล  

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2565 ทำให้รายได้สุทธิของเฟดลดลง แต่ยังคงสามารถส่งรายได้ส่วนเกินประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ให้กับกระทรวงการคลังได้  

ในอดีต เฟดเคยตกเป็นเป้าหมายของทรัมป์ โดยในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์เคยกล่าวว่าตนควรมีสิทธิ์ในการกำหนดนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ทรัมป์ยังล้อเลียนบทบาทของ เจอโรม พาวเวลล ประธานเฟด ว่าเป็น 'งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรัฐบาล' 

แม้พาวเวลไม่ได้ตอบโต้โดยตรง แต่ คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาท้าทายทรัมป์ในก่อนหน้านั้น โดยเธอเชิญเขาไปดูการทำงานของทีม ECB ที่แฟรงก์เฟิร์ต พร้อมย้ำว่า  

“ฉันมีพนักงานที่ทำงานหนักหลายพันคน ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ พวกเขาทำงานหนักทุกวัน ไม่ใช่แค่เดือนละครั้ง เราปกป้องยูโร เช่นเดียวกับที่เฟดปกป้องดอลลาร์ ฉันมั่นใจว่าพาวเวลก็เห็นงานของเขาในมุมเดียวกัน”

คองเกรสสหรัฐฯ เปิดงบช่วยยูเครน ใช้เงินภาษีคนอเมริกันไปแล้วเกือบ 5 ล้านดอลลาร์

(24 ธ.ค. 67) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตลอดทั้งปี 2024 รัฐบาลสหรัฐมีการใช้เงินภาษีของชาวอเมริกันไปแล้วเกือบ 4.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 163 ล้านบาท) ซึ่งภายหลังการเปิดเผยดังกล่าว สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทักกี นาย แรนด์ พอล กล่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการใช้งบประมาณของรัฐบาลไบเดนที่ไร้เหตุผลที่สุดของปี 2024 

รายงานยังระบุว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งในยูเครน รัฐบาลวอชิงตันได้ใช้เงินภาษีของชาวอเมริกันในการให้การสนับสนุนรัฐบาลเคียฟและช่วยเหลือทหารยูเครนไปแล้วเกือบ 174 พันล้านดอลลาร์ โดยนายพอล กล่าวว่า "บางคนในกระทรวงการต่างประเทศยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่จะใช้เงินภาษีชาวอเมริกันอีก  4.8 ล้านดอลลาร์เพื่อกิจการในยูเครน 

นายพอล ยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ กลับไปใช้วิธีการทางการทูตที่จริงจัง แทนที่จะพึ่งพากลยุทธ์ผ่านการทหาร พร้อมเน้นย้ำว่า ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจำนวนมากที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้พอเพียงในการดำรงชีวิตกำลังเป็นผู้จ่ายเงินในการใช้จ่ายนี้

พอลกล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่ “น่าฉงน” ที่เห็นรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนในช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันจำนวนมากกำลัง “ประสบปัญหาทางการเงิน”

รายงานที่มีความยาว 41 หน้าครอบคลุมถึงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสว.พอลเรียกว่า "เป็นการใช้จ่ายที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล"

ก่อนหน้านี้ ในการสัมภาษณ์กับ NBC News ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวว่า ภายใต้การบริหารของเขา รัฐบาลเคียฟไม่น่าจะได้รับความช่วยเหลือในระดับเดียวกับที่พวกเขาได้รับในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ตุรกียึด 'ลูกกอริลลา' กลางสนามบิน ต้นทางไนจีเรีย ปลายทางส่งมากรุงเทพฯ

(24 ธ.ค.67) กระทรวงการค้าของตุรกีเปิดเผยว่า การตรวจยึดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยลูกกอริลลาดังกล่าวถูกส่งเข้ามายังตุรกีผ่านเที่ยวบินจากไนจีเรีย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะตรวจสอบและพบลูกกอริลลาอยู่ภายในลังไม้ดังกล่าว  

ลูกกอริลลานี้เป็นสายพันธุ์กอริลลาตะวันตก (Gorilla) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ตามอนุสัญญา CITES โดยการค้าระหว่างประเทศของสัตว์ชนิดนี้จะอนุญาตเฉพาะในกรณีจำเป็น เช่น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น  

หลังจากการจับกุม ลูกกอริลลาได้ถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานอุทยานแห่งชาติของตุรกี ขณะที่กระทรวงเกษตรตุรกีระบุว่า ขณะนี้ลูกกอริลลากำลังได้รับการฟื้นฟูและดูแล โดยสุขภาพของมันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด  

การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปกป้องสัตว์ป่าและถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของทีมงานบังคับใช้กฎหมายศุลกากรในกระทรวงการค้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ลักลอบขนส่งลูกกอริลลา รวมถึงผู้ที่เป็นปลายทางในกรุงเทพฯ  

มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า (WFFT) ได้ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบสวนและเปิดโปงเครือข่ายที่ลักลอบค้าสัตว์ป่าครั้งนี้ พร้อมย้ำว่าในยุคปัจจุบัน ไม่ควรมีกรณีลักลอบค้าสัตว์ป่าข้ามประเทศแบบนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป

กัมพูชาเตือนภัย! มีผู้ป่วยโรคหัดแล้ว 375 ราย พบระบาดหนักตามแนวชายแดน

(23 ธ.ค.67) กระทรวงสาธารณสุขกัมพูชา (MOH) ออกคำเตือนเมื่อวันเสาร์ (21 ธ.ค.) เกี่ยวกับการระบาดเพิ่มของโรคหัด หลังพบผู้ป่วยโรคหัดอย่างน้อย 375 รายในปี 2024

กระทรวงฯ ระบุในแถลงการณ์ว่าโรคหัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็วผ่านทางระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอหรือจาม พร้อมเสริมว่าโรคนี้สามารถก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง เช่น ตาบอด สร้างความเสียหายต่อสมอง หรือกระทั่งเสียชีวิต โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ

กระทรวงฯ พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงเรียนและจังหวัดตามแนวชายแดนบางแห่ง โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคมปีนี้ กัมพูชายืนยันจำนวนผู้ป่วยโรคหัดใน 17 จังหวัด รวม 375 ราย

แถลงการณ์ระบุว่าอาการของโรคหัดมักปรากฏหลังจากได้รับเชื้อไวรัส 10-14 วัน ได้แก่มีไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล ตาแดงและมีน้ำตา และมีจุดผื่นขาวขนาดเล็กที่กระพุ้งแก้ม ผู้ป่วยโรคนี้มักมีผื่นแดงปรากฏตามร่างกายในช่วง 7-18 วันหลังรับเชื้อ โดยเริ่มจากใบหน้าและลำคอส่วนบน จากนั้นลามไปยังมือและเท้า พร้อมเตือนให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานที่มีอาการไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล และมีผื่นแดง ไปพบแพทย์ที่ศูนย์สุขภาพหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน

กระทรวงฯ ยังเรียกร้องให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานที่มีอายุ 9-59 เดือนไปรับวัคซีนป้องกันโรคหัดและหัดเยอรมันฟรีที่ศูนย์สุขภาพทุกแห่งเพื่อป้องกันการระบาดของโรค

อนึ่ง กัมพูชาเคยประกาศว่าตนเป็นประเทศปลอดโรคหัดเมื่อเดือนมีนาคม 2015 แต่กลับมาพบผู้ป่วยโรคหัดรายแรกอีกครั้งใน 7 เดือนต่อมา

ทรัมป์ปลุกประเด็นเดือด! ฟื้นไอเดียครอบครอง 'กรีนแลนด์' ย้ำเพื่อความมั่นคงโลก

(23 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล Truth Social โดยยืนยันถึงการฟื้นแนวคิดการเป็นเจ้าของพื้นที่กรีนแลนด์ ซึ่งทรัมป์มองว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง

"เพื่อความมั่นคงและส่งเสริมเสรีภาพทั่วโลก สหรัฐอเมริกาเห็นว่าการเป็นเจ้าของและควบคุมพื้นที่กรีนแลนด์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง" 

ทรัมป์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาได้เสนอชื่อนาย เคน ฮาวเวอรี อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสวีเดนและนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเดนมาร์กคนใหม่ โดยทรัมป์เชื่อมั่นว่าฮาวเวอรีจะ "ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสหรัฐฯ"   

ย้อนไปในปี 2019 สื่อหลายแห่งรายงานว่าทรัมป์มีความสนใจที่จะซื้อกรีนแลนด์ ซึ่งต่อมาเขาเองยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าเป็นความสนใจเชิงยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรีนแลนด์ย้ำว่ากรีนแลนด์ไม่ใช่สินค้าที่จะขายได้ ขณะที่รัฐบาลเดนมาร์กแสดงความหวังว่าทรัมป์กำลังพูดเล่น และเรียกแนวคิดการขายกรีนแลนด์ว่า 'ไร้สาระ'

สำหรับกรีนแลนด์ปัจจุบันถือเป็นดินแดนอาณานิคมของเดนมาร์กถึงปี 1953 แม้ว่าจะยังเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก แต่ในปี 2009 กรีนแลนด์ได้รับสิทธิ์ปกครองตนเองและสามารถตัดสินใจเรื่องนโยบายภายในประเทศได้อย่างอิสระ

วันแรกที่เข้าทำเนียบขาว ผู้เชี่ยวชาญหวั่นกระทบสาธารณสุขโลก

(23 ธ.ค.67) คณะผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขเตือนผลกระทบระดับ 'หายนะ' ต่อสาธารณสุขทั่วโลกหากสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) หลังจากทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ กำลังหาทางทำการถอนตัวดังกล่าวในวันแรกของการเข้าทำงานบริหารประเทศ

รายงานระบุว่าสมาชิกทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของทรัมป์ได้แจ้งกับคณะผู้เชี่ยวชาญถึงเจตจำนงจะประกาศการถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ณ พิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ในวันที่ 20 ม.ค. 2025 ซึ่งการถอนตัวดังกล่าวจะทำให้องค์การฯ สูญเสียแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ที่สุดและส่งผลกระทบต่อความสามารถรับมือวิกฤตสาธารณสุข

ลอว์เรนซ์ กอสติน ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขประจำศูนย์กฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ชี้ว่าแผนการถอนตัวของสหรัฐฯ จะเป็น 'หายนะ' กับสาธารณสุขทั่วโลก ทำให้องค์การอนามัยโลกเผชิญช่วงเวลายากลำบากในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และอาจนำสู่การตัดลดบุคลากรทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่

สื่อแฉ 'ทรัมป์' ส่งข้อความหา 'เซเลนสกี' แนะสละดินแดนยูเครนแลกหยุดยิง

(23 ธ.ค.67) El Pais สื่อของสเปนรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งข้อความถึง โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ขอให้พิจารณาทบทวนเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงและยอมรับการละทิ้งดินแดนบางส่วนที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์เอลปาอิส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม

ทรัมป์ยืนยันคำสัญญาที่ว่า เขาจะยุติความขัดแย้งในยูเครนภายในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าแผนการของเขาจะสำเร็จได้อย่างไร คำประกาศของเขาทำให้เกิดความกังวลในเคียฟ โดยเฉพาะเรื่องความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่อาจลดลง และการตรวจสอบเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ที่ยูเครนได้รับจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

“หากคุณมองไปที่เมืองต่าง ๆ เหล่านั้น บางเมืองไม่มีอาคารหลงเหลืออยู่ในสภาพดีเลยแม้แต่สักอาคารเดียว ดังนั้น เมื่อคุณพูดถึงการฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูอะไร? การฟื้นฟูต้องใช้เวลามากกว่า 110 ปี” ทรัมป์กล่าวในข้อความที่ส่งถึงเซเลนสกี จากกอล์ฟคลับของเขาในฟลอริดา เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ทรัมป์เรียกร้องให้ทั้งยูเครนและรัสเซียบรรลุข้อตกลงหยุดยิงทันที โดยเขาโพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของเขาหลังจากที่ได้พบกับเซเลนสกีและประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสในกรุงปารีส

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่าในต้นเดือนธันวาคม ทรัมป์ได้กล่าวว่า ยุโรปตะวันตกควรประจำการทหารในยูเครน เพื่อสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิง และว่าอียูควรมีบทบาทหลักในการป้องกันและสนับสนุนยูเครน ในขณะที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนทางการเงิน แต่ไม่ส่งกำลังพล

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้เน้นย้ำในการแถลงข่าวสิ้นปีว่า มอสโกยังคงเปิดกว้างในการเจรจากับเคียฟโดยไม่ต้องวางเงื่อนไขล่วงหน้า ยกเว้นเงื่อนไขที่เคยตกลงกันในโต๊ะเจรจาที่อิสตันบูลในปี 2022 โดยพิจารณาสถานะความเป็นกลางของยูเครนและข้อจำกัดการประจำการอาวุธต่างชาติ

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฮังการี ปีเตอร์ ซิยาร์โต ได้กล่าวกับ RIA Novosti ของรัสเซีย ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่จำเป็นต้องการตัวกลางในการแก้ไขวิกฤตยูเครน “ถ้าจำเป็นต้องมีตัวกลาง ก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย หรือทุกฝ่าย และผมไม่เห็นการเห็นชอบเช่นนั้นในตอนนี้” ซิยาร์โตกล่าว และเสริมว่า ทรัมป์สามารถติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดีของยูเครนหรือประธานาธิบดีของรัสเซียได้

'ทรัมป์' ขู่ยึดคลองปานามาคืน จวกผู้นำปานามาคิดค่าผ่านทางแพงไป

(23 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีขู่ทวงคืนคลองปานามาให้กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ พร้อมทั้งกล่าวหาปานามาว่าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปสำหรับการใช้คลองในการเดินเรือสินค้าและเรือทหารไปยังทวีปอเมริกากลาง ขณะที่เตือนว่าจีนนั้นมีอิทธิพลเหนือคลองปานามา

ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะกล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุนในงาน AmericaFest ซึ่งจัดโดยกลุ่มเคลื่อนไหวอนุรักษนิยม Turning Point ที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โดยทรัมป์ประกาศว่าจะไม่ยอมให้คลองปานามาตกไปอยู่ในมือของบุคคลที่ไม่สมควร

“เราโดนโกงที่คลองปานามาเหมือนกับที่โดนโกงที่อื่น ๆ ค่าธรรมเนียมที่ปานามาเรียกเก็บนั้นไร้สาระและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง การฉ้อโกงประเทศของเราจะยุติลงทันที” ทรัมป์กล่าว โดยอ้างถึงช่วงเวลาที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนหน้า

ทรัมป์กล่าวว่า คลองปานามาเคยเป็นของสหรัฐฯ แต่ถูกส่งมอบให้ปานามาควบคุมในปี 1999 ภายใต้การลงนามของจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า การส่งมอบในครั้งนั้นเป็นการขายในราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการกระทำที่โง่เขลา

ทรัมป์ยังย้ำว่า การมอบคลองปานามาให้ปานามาและประชาชนชาวปานามา ควรเป็นการมอบให้รัฐบาลปานามาบริหารจัดการเพียงประเทศเดียว ไม่ใช่ให้จีนหรือประเทศอื่นเข้ามามีบทบาท

“หากหลักการทั้งทางศีลธรรมและกฎหมายของการมอบของขวัญนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม เราจะเรียกร้องให้คืนคลองปานามาให้กับเราโดยทันทีและไม่ลังเล” ทรัมป์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่าคลองปานามาเป็น ‘ทรัพย์สินสำคัญของชาติ’ สำหรับสหรัฐฯ และหลังจากร่วมงานที่รัฐแอริโซนา เขายังโพสต์ภาพธงชาติสหรัฐฯ เหนือผืนน้ำ พร้อมข้อความว่า “ยินดีต้อนรับสู่คลองสหรัฐฯ!”

ด้าน โชเซ ราอูล มูลิโน ประธานาธิบดีปานามา ตอบโต้ท่าทีของทรัมป์ โดยยืนยันว่า 'ทุกตารางเมตร' ของคลองปานามาและพื้นที่โดยรอบเป็นของประเทศปานามา และอำนาจอธิปไตยของปานามาไม่สามารถต่อรองได้

สำหรับคลองปานามามีความยาว 82 กิโลเมตร เชื่อมต่อมหาสมุทรแอตแลนติกกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางหลักสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างทวีป โดยคลองแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1900 และอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ จนถึงปี 1977 ก่อนจะมีการลงนามสนธิสัญญาตอร์ริโฮส-คาร์เตอร์ (Torrijos-Carter Treaties) ซึ่งรับประกันการส่งมอบคลองให้แก่ปานามาในปี 1999

ทุกปีมีเรือมากถึง 14,000 ลำที่เดินทางผ่านคลองปานามา รวมถึงเรือบรรทุกสินค้าและเรือรบ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ใช้งานคลองนี้มากที่สุด โดยกว่า 72% ของการขนส่งผ่านคลองปานามาเป็นการขนส่งระหว่างท่าเรือสหรัฐฯ

โฮจิมินห์เปิดรถไฟฟ้าสายแรก ชาวเวียดนามแห่โดยสาร ค่าบริการเริ่ม 8 บาท

เมื่อวันที่ (22 ธ.ค.67) ชาวเวียดนามจำนวนมากหลั่งไหลมาที่สถานีเบนถัน (Ben Thanh) ซึ่งเป็นสถานีหลักของรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ เพื่อรอใช้บริการเที่ยวปฐมฤกษ์ที่เริ่มต้นเวลา 10.00 น. รถไฟฟ้าสายนี้มีระยะทางรวม 19.7 กิโลเมตร ครอบคลุม 14 สถานี เชื่อมต่อจากตลาดเบนแถ่งในเขต 1 ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ ไปยังเมืองถูดึ๊ก (Thu Duc) และสวนสนุกเสื่อยเตียน (Suoi Tien) ในเขต 9

ในช่วงเปิดตัว รถไฟฟ้าจะให้บริการฟรี 30 วัน จนถึงวันที่ 20 มกราคมปีหน้า หลังจากนั้นจะคิดค่าโดยสารตามระยะทาง เริ่มต้นที่ 6,000-20,000 ดอง (ประมาณ 8-27 บาท) โดยเปิดให้บริการวันละ 200 เที่ยว รองรับประชากรในนครโฮจิมินห์กว่า 10 ล้านคน

โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์ใช้งบประมาณราว 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 58,310 ล้านบาท) เริ่มต้นในปี 2555 โดยมีบริษัทวิศวกรรมโยธาหมายเลข 6 ของเวียดนาม และบริษัทซูมิโตโมคอร์ปอเรชั่นจากญี่ปุ่นร่วมดำเนินการ แม้โครงการจะได้รับอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2550 และวางแผนจะเสร็จภายใน 5 ปี แต่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เช่น การเวนคืนที่ดิน การปรับแบบสถานีใต้ดินเบนแถ่งเพื่อรองรับโครงการอื่น ปัญหาขาดแคลนงบประมาณ และข้อบกพร่องในงานก่อสร้าง ส่งผลให้ล่าช้ากว่ากำหนดเดิม

รองประธานนครโฮจิมินห์ระบุว่า การเปิดตัวรถไฟฟ้าสายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะของเมือง เพื่อตอบสนองความต้องการการเดินทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ด้านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำเวียดนาม แสดงความหวังว่ารถไฟฟ้าสายเบนแถ่ง-เสื่อยเตียน จะช่วยลดปัญหาจราจรในพื้นที่หนาแน่น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว

โครงการรถไฟฟ้าสายแรกนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในนครโฮจิมินห์ แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานระหว่างเวียดนามและญี่ปุ่นในระดับนานาชาติ

นักบินอวกาศจีน สร้างประวัติศาสตร์ เดินบนอวกาศ!! นานกว่า 9 ชั่วโมง

(22 ธ.ค. 67) 2 นักบินอวกาศสัญชาติจีน สร้างสถิติโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการเดินบนอวกาศกว่า 9 ชั่วโมง ตามแถลงการณ์ขององค์การอวกาศจีน (China Manned Space Agency)

การเดินสำรวจอวกาศ ดำเนินการโดย Cai Xuzhe และ Song Lingdong ซึ่งอยู่บริเวณสถานีอวกาศเทียนกง (Tiangong Space) ที่โคจรอยู่ในระดับวงโคจรต่ำของโลก โดยนานกว่าสถิติล่าสุด ของนักบินนาซา 2 คน คือ เจมส์ วอสส์ และซูซาน เฮล์มส์ ที่ทำไว้ในปี พ.ศ.2001 อย่างน้อย 4 นาที

โดยนักบินทั้งสองได้สวมชุดอวกาศรุ่น เฟยเทียน (Feitian) เพื่อดำเนินภารกิจที่สำคัญหลายรายการนอกสถานี เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเศษวัสดุจากอวกาศ

การสำรวจอวกาศของนักบินอวกาศของจีน เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2008 นับว่าความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสำเร็จทางอวกาศอื่นๆ ด้วย ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ปักกิ่งมีจุดยืนทางการแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ จีนได้ส่งยานสำรวจลำแรกลงจอดบนดาวอังคารได้ในปี 2021 พร้อมตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 จะส่งนักบินอวกาศชุดแรกไปเหยียบดวงจันทร์ โดยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ปักกิ่งได้ขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ประมาณ 12 ประเทศ สำหรับโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ โดยมีความพยายามที่จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ (moon base) ที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ด้วย (moon’s south pole)

‘สาวจีน’ อินเทรนด์!! สาดน้ำเป็นน้ำแข็ง แล้วถ่ายรูป อวดโซเชียล ได้ผลไม่เหมือนที่คิดไว้ น้ำร้อนลวกตัว เกิดแผลไหม้ ระดับ 2

(22 ธ.ค. 67) เรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการถ่ายรูปอย่าหาทำตาม เสี่ยงอันตราย โดยสาวรายหนึ่งอยากถ่ายรูปตามเทรนด์ ‘สาดน้ำเป็นน้ำแข็ง’ เธอได้ใช้น้ำร้อนเหวี่ยงไปท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ หวังได้รูปสวย แต่แล้วเกิดผิดพลาด น้ำร้อนลวกบริเวณศีรษะ ทำให้เกิดแผลไหม้ระดับ 2

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นักท่องเที่ยวรายนี้เดินทางไปเที่ยวกับแฟน ที่มู่ตันเจียง ตั้งอยู่ในมณฑลเฮยหลงเจียง ของจีน ระหว่างเพลิดเพลินกับสถานที่ แฟนสาวอยากได้รูปสวยตามเทรนด์โซเชียลในจีน ที่สาดน้ำให้เป็นน้ำแข็งทันที จึงให้แฟนหนุ่มถ่ายให้

โดยเธอเหวี่ยงน้ำร้อนสาดทวนเข็มนาฬิกาขึ้นไปในอากาศ หวังจะให้เป็นน้ำแข็ง แต่แล้วปรากฏไม่เป็นตามที่คิด น้ำร้อนดันลวกโดนตัวเธอเต็มๆ จนศีรษะเธอเกิดแผลไหม้ระดับ 2 โชคดีที่เธอเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ จึงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น

เธอรีบประคบเย็นด้วยหิมะเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงรีบไปที่คลินิกใกล้เคียง เพื่อรับการรักษา สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือแม้ว่าสาวรายนี้จะถูกไฟไหม้ระดับ 2 แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอพยายามจะเลียนแบบการถ่ายรูปแบบนี้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้นท่ามกลางอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส แต่สุดท้ายก็ยังล้มเหลว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ‘การสาดน้ำลงในน้ำแข็ง’ ไม่ได้หมายความว่าน้ำร้อนจะแข็งตัวทันที แต่น้ำที่ไหลออกมากลายเป็นไอน้ำ และไอน้ำจะควบแน่นเป็นหยดน้ำ หรือผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กในอากาศเย็น

‘นักวิชาการ’ ชี้ให้เห็นว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่จะสาดน้ำแล้วน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งทันที แต่การที่น้ำจะเป็นน้ำแข็งได้นั้นจะต้องอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด จึงจะมีความเป็นไปได้ ‘ไม่ควรลองทำตาม’ ไม่เช่นนั้นมีโอกาสสูงที่การผ่าตัดกรณีเกิดแผลไหม้

‘ดร.เอ้’ เผยสาเหตุ!! ทำไม ‘Nvidia’ บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ ชี้!! ‘พัฒนาคน – หนุนการลงทุน – มีนโยบายต่อเนื่อง - สามัคคี ช่วยเหลือกัน'

(21 ธ.ค. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ แล้ว ‘ไทยจะทำอย่างไร’ เมื่อ ‘เวียดนาม’ ขึ้นแท่น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’

ผมได้ยินจากปาก ‘เจนเซ่น หวง’ ประธานบริหาร Nvidia บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่า "เราจะเปิดศูนย์ออกแบบและวิจัยที่เวียดนาม" ก่อนที่ Nvidia จะประกาศอย่างเป็นทางการเสียอีก

ผมถามกลับทันทีว่า ‘เวียดนาม’ เสนออะไรแก่คุณ ถึงไปลงทุน ‘ศูนย์ออกแบบ’ ที่เป็น ‘หัวใจ’ และ ‘มันสมอง’ ของอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ทุกคนหวงแหน

คนสนิท เจนเซ่น หวง ขยับตัวทันที ห้ามไม่ให้นายพูดอะไรต่อ เจนเซ่นเลยตอบว่า "มันไม่สำคัญหรอก" (ไทยอย่าไปรู้เลย)

แต่ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะผมในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย ‘CMKL’ ที่ Carnegie Mellon สถาบันระดับโลกด้าน AI มาก่อตั้งร่วม เราเป็น ‘ลูกค้าคนแรก’ ที่ซื้อ ‘ซุปเปอร์ AI คอมพิวเตอร์’ รุ่น DGX-A100 ความเร็วสูงสุดในประเทศจาก Nvidia เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ยิ่งผมนั่งตรงข้าม ‘ตามองตา’ กับ ‘เจนเซ่น หวง’ เราเป็นพันธมิตรกันมาหลายปี ‘รู้กัน’ จึงตอบคำถามได้ไม่ยากว่า มีอยู่ 4 ปัจจัยที่บริษัทระดับโลกไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’

1. เวียดนามพัฒนาคุณภาพคน

ประสบการณ์ของผม ทั้งที่มีเพื่อนชาวเวียดนามเมื่อครั้งเรียนที่ MIT และทั้งเคยสอนเด็กเวียดนามที่มาเรียนวิศวะลาดกระบัง ไม่ต้องอายแล้วที่จะบอกว่า "เด็กเวียดนาม" ฉลาด เก่ง และขยันมากกว่า ทั้งคะแนนวัดผล PISA ชี้ชัดว่าเด็กเวียดนามได้คะแนนสูงที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงเด็กสิงคโปร์เท่านั้น

เวียดนามยังส่งเด็กรุ่นใหม่ ไปเรียนในสาขา ‘วิศวกรรม และคอมพิวเตอร์’ ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย มากกว่าชาติใดในอาเซียน เพื่อกลับมาสร้าง ‘นวัตกรรม’ พัฒนาเวียดนามสู่โลก AI เต็มรูปแบบ

พิสูจน์เวียดนาม ‘ทุ่มเท’ พัฒนาคุณภาพคน ตั้งแต่ ‘อนุบาลถึงปริญญาเอก’ จึงไม่แปลกที่บริษัทไฮเทค ทั้ง Nvidia Apple SpaceX และ Samsung ถึงยอมมาลงทุนที่เวียดนาม เพราะได้ ‘คนเก่ง’ ที่คุ้มค่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ค่าจ้าง’

2. เวียดนามสนับสนุนการลงทุน
เพราะเวียดนามเรียนรู้จาก ‘จีน’ เรื่องการ ‘ดึงดูดทุนต่างชาติ’ ใช้วิธี "วันนี้ฉันยอมเธอก่อน" วันหน้าฉันทำได้เอง แล้วค่อยว่ากัน คือ ยอมสนับสนุน ให้สิทธิพิเศษมากมาย พอบริษัทไฮเทคมาลงทุนสร้างโรงงาน สร้างศูนย์วิจัย ให้ SME เวียดนามได้เป็นผู้จัดหาของ หรือ Supplier เรียนรู้จนทำได้เอง คราวนี้แหละ เดี๋ยวได้รู้กัน ฉันอาจจะชนะเธอก็เป็นไปได้ เลียนแบบกรณีจีนยอมเสนอให้ Tesla มาตั้งโรงงาน เพื่อให้ SME จีนเรียนรู้ สุดท้ายจีนกลายเป็น ‘เจ้าตลาด’ รถพลังงานไฟฟ้า ไปเรียบร้อย

3. เวียดนามมีนโยบายต่อเนื่อง

ไม่ว่า ‘ผู้นำ’ จะเป็นใครนโยบายเวียดนามไม่เปลี่ยน เพราะอะไรที่ดีต่อประเทศชาติ ยังไงก็ต้องสานต่อ

นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1986 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม เปิดประเทศให้กับการลงทุนจากต่างชาติ นโยบายเดินไปอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งเวียดนามเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2007 ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เวียดนามได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zones) ตามแบบจีน ยิ่งเกิดการลงทุนแบบก้าวกระโดด จนถึงทุกวันนี้

ขณะที่แนวคิดสานต่อไม่ค่อยเห็นในสังคมไทย เราดีแค่ไหน คนใหม่มา เขาก็อยากเปลี่ยน อยากทำแบบของเขา สุดท้ายองค์กร ‘เสียหาย’ ไม่พัฒนาต่อเนื่อง หากไม่เปลี่ยน ‘ทัศนคติ’ ประเทศไทยสู้คนอื่นยากครับ

4. เวียดนามสามัคคี ช่วยเหลือกัน

‘เวียดนาม’ ประเทศสังคมนิยม ที่บอบช้ำจากสงครามยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเคยอยู่ใต้อิทธิพลของจีนมานานนับพันปี แต่วันนี้ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้ง ‘ด้านเศรษฐกิจ’ เพราะรู้ว่า ‘ทางรอด’ มีทางเดียว คือ ‘ชาตินิยม’ เพราะไม่มีชนชาติใดรักเรา เท่าชนชาติเราเอง

คนเวียดนามไม่ว่าอยู่ที่ใดรวมกันติด และ ช่วยเหลือกัน ผลักดันทุกรูปแบบ ให้รัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย ต้องสนับสนุนเวียดนาม

‘ชาตินิยม’ แบบเวียดนาม จึงเป็นความรักชาติที่กลมกล่อม ไม่ไปรุกรานใคร แต่ก็พร้อมจะแข่งขันกับทุกคน ผมขอพยากรณ์ว่า เวียดนามจะเป็น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’ และอาจขึ้นเทียบชั้นกับ 'เกาหลี' ในอนาคตได้

ที่จริงไทยเราจับ ‘สัญญาณ’ การก้าวกระโดดของเวียดนามได้มาหลายปี เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากต่อเนื่อง แต่ไทยเรายังนิ่งไม่เข้าสู่โหมดแข่งขันอย่างจริงจังสักที ทำให้เสียโอกาสไปทุกวัน ที่ไม่อาจย้อนคืน

แม้ผมยังเชื่อมั่นว่า #คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ก็กังวลไม่น้อย เมื่อรู้แจ้งว่า เวียดนามและชาติอื่น วันนี้ไม่มีใครอยู่นิ่งเลย ทุกชาติ ‘พร้อมแข่งขัน’ แล้วไทยจะทำอย่างไร 

ทุกท่านคิดว่าไง แชร์กันได้นะครับ!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top