Wednesday, 22 January 2025
WORLD

‘ร้านค้าจีน’ ผุดไอเดีย รังสรรค์ ‘เมนูปิ้งย่าง’ สุดแปลก ดึงดูดใจลูกค้า ‘กระบองเพชร-แตงโม-โชว์แกะสลักเป็นรูปร่าง-น้ำแข็ง’ มาหมด!!

(19 ก.ค. 67) บาร์บีคิวปิ้งย่างเป็นอาหารยอดนิยม ซึ่งเป็นที่คลั่งไคล้ของชาวจีนจำนวนมาก บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจึงมักสรรหาวัตถุดิบ พร้อมไอเดียสุดสร้างสรรค์มารังสรรค์เมนูใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ทั้งนี้ ล่าสุดคลิปวิดีโอบนเสี่ยวหงซู แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดฮิตของจีน ซึ่งโพสต์โดย ‘Jinkesi’ บล็อกเกอร์อาหาร มียอดไลก์มากกว่า 18,000 ไลก์ เผยภาพอาหารปิ้งย่างแปลก ๆ อย่าง ‘กระบองเพชรย่าง’ และ ‘แตงโมย่าง’ ในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน (เสฉวน)

ขณะที่ในโต่วอิน หรือติ๊กต็อกเวอร์ชันจีน แฮชแท็ก ‘ทุกอย่างย่างได้’ มีผู้เข้าชมเกือบ 3 พันล้านครั้ง โดยหนึ่งในคลิปวิดีโอยอดนิยม คือ ‘เมนูน้ำแข็งย่าง’ ที่ทำเอาหลายคนงงว่าจะกินตอนร้อน ๆ หรือจะทิ้งไว้ให้เย็นก่อนดี?

กระแสความนิยมของปิ้งย่างยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากสร้างสรรค์อาหารที่ไม่ซ้ำใคร โดยมีลักษณะคล้ายกับสิ่งของต่าง ๆ เช่น พริกเขียวที่แกะสลักเป็นรูประเบิดมือ มะเขือม่วงที่แกะสลักเป็นรองเท้าส้นสูง และ ไส้กรอกย่างที่พยายามทำเป็นรูป Peppa Pig

ด้านชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น “ในที่สุดโลกก็แปลกประหลาดเกินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ ถ้าฉันเสียสติเมื่อไหร่ ฉันจะลองชิมอาหารเหล่านี้ดู”, "กระบองเพชรย่างมีน้ำเยอะและอร่อยมาก" และ “ลองย่างเครื่องบิน รถถัง หรือเรือดำน้ำดูไหม?...”

อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของ Hongcan เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ระบุว่า จีนมีร้านบาร์บีคิวปิ้งย่างมากกว่า 330,000 ร้าน ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

‘นักวิเคราะห์’ ชี้ K-POP กำลังเข้าสู่ช่วงฟองสบู่แตก-ยากฟื้นตัว หุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่กอดคอร่วง ฟาก ‘YG-JYP’ ดิ่งสุด!!

(19 ก.ค.67) นักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นในบริษัทบันเทิงเริ่มหมดกำลังใจ เมื่อราคาหุ้นของบริษัทเอเยนซี่ K-pop ยักษ์ใหญ่อย่าง YG Entertainment และ JYP Entertainment ร่วงลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์และ 45 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าสาเหตุของการลดลงนี้มาจากอุตสาหกรรม K-pop กำลังผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้วและกำลังเข้าสู่ช่วงฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้การฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยาก

หุ้นของ HYBE ที่เคยพุ่งสูงถึง 300,000 วอน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ปัจจุบันซื้อขายที่ประมาณ 190,000 วอน ขณะที่ราคาหุ้นของ SM Entertainment ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดที่ 147,000 วอนมาที่ประมาณ 76,000 วอนในปีที่ผ่านมา

แต่ที่สถานการณ์แย่ที่สุดกลับเป็น JYP และ YG

ราคาหุ้นของ JYP Entertainment ลดลงมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 146,600 วอน ขณะที่หุ้นของ YG Entertainment สูญเสียมูลค่ามากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 83,800 วอน

การลดลงนี้เชื่อมโยงกับผลประกอบการไตรมาสแรกที่ไม่เป็นไปตามคาดหวังและคาดการณ์ที่ต่ำสำหรับครึ่งปีหลัง

ศูนย์วิจัยการลงทุนฮานาคาดว่า กำไรจากการดำเนินงานไตรมาสสองของ HYBE จะลดลง 22 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนมาอยู่ที่ 63.8 พันล้านวอน, SM จะลดลง 7 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 33.2 พันล้านวอน และ JYP จะลดลง 56 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 20.1 พันล้านวอน ส่วน YG คาดว่าจะขาดทุน 6.6 พันล้านวอนในช่วงนั้น

JYP Entertainment ยังคงได้รับประโยชน์จากความนิยมของกลุ่มอย่าง Stray Kids และ TWICE แต่การเติบโตของศิลปินใหม่ ๆ ยังไม่ค่อยเห็นผล

อัลบั้มที่ออกเมื่อต้นปีจากเกิร์ลกรุ๊ป ITZY ขายได้เพียง 320,000 แผ่นในสัปดาห์แรก เทียบไม่ได้เลยกับ 820,000 แผ่นของอัลบั้มก่อนหน้า

เช่นเดียวกับ NMIXX ที่ขายได้ 620,000 แผ่น ลดลงจาก 1.03 ล้านแผ่นของอัลบั้มก่อนหน้า กลุ่มบอยกรุ๊ปใหม่ Xdinary Heroes ที่มุ่งเป้าตลาดญี่ปุ่นแต่เปิดตัวในเกาหลี ขายได้ 110,000 แผ่นในสัปดาห์แรก

อี ฮวาจอง นักวิเคราะห์จาก NH Investment & Securities กล่าวว่า "กลุ่มที่อายุน้อยกว่าของ JYP มีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง"

อย่างไรก็ตาม คิม กยูยอน จาก Mirae Asset Securities กล่าวว่า "การเปิดตัวทีมใหม่สองทีมในครึ่งปีหลัง เริ่มจากบอยกรุ๊ปญี่ปุ่น Xdinary Heroes และการกลับมาออกทัวร์รอบโลกของ TWICE และ Stray Kids อาจช่วยฟื้นฟูมูลค่าได้"

YG Entertainment ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสมาชิกทั้ง 4 คนของวง BLACKPINK ไม่ต่อสัญญาการทำงานเดี่ยว แม้จะต่อสัญญาในรูปแบบวงต่อไป แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า BLACKPINK จะกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งเมื่อใด

ขณะที่ Babymonster กลุ่มเกิร์ลกรุ๊ปใหม่ของ YG ขายผลงานได้ 400,000 แผ่นในอัลบั้มเปิดตัวและขยายฐานแฟนคลับ ขายเพิ่มได้อีก 200,000 แผ่น

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นต่างกันว่าพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ BLACKPINK ได้หรือไม่

ยังไม่มีข่าวของบอยกรุ๊ปใหม่ของ YG Entertainment ตั้งแต่ Treasure เมื่อสี่ปีที่แล้ว การดำเนินงานของบริษัทพึ่งพากิจกรรมของสมาชิก BLACKPINK อย่างมาก ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ

คิม ฮยอนยอง นักวิเคราะห์จาก Hyundai Motor Securities กล่าวว่า "การฟื้นฟูผลการดำเนินงานของ YG จะขึ้นอยู่กับการกลับมากิจกรรมเต็มรูปแบบของ BLACKPINK, การเติบโตของ Babymonster และ Treasure และการเปิดตัวศิลปินใหม่ ปัจจุบันการรอดูเป็นวิธีที่เหมาะสม"

โดยนักวิเคราะห์บางคนในเกาหลีใต้เชื่อว่าตลาด K-pop ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

คิม โดฮอน นักวิจารณ์เพลง กล่าวว่า "ราคาหุ้นของเอเยนซี่ K-pop สูงเกินจริงในกระบวนการเข้าซื้อหุ้นของ SM โดย Kakao เมื่อปีที่แล้ว"

ขณะที่นักวิจารณ์เพลงอีกคนเสริมว่า "การต่อสู้การเข้าซื้อหุ้นของ SM, ปัญหาส่วนตัวของศิลปิน, และความขัดแย้งภายใน HYBE เช่น กรณีของซีอีโอ Ador มิน ฮีจิน ได้ทำลายความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรม K-pop เมื่อ K-pop ยังคงเน้นธุรกิจแฟนคลับ การเติบโตอย่างยั่งยืนของมันได้ถึงขีดจำกัด"

‘ชาวเน็ต’ ยกให้!! ชุดพิธีการ ‘มองโกเลีย’ ชนะเลิศ ‘สวยสง่า-ทันสมัย’ หลังเนรมิตจากเบื้องหลังของ ‘ชาติ-ศิลปะ’ ผสมผสานกันอย่างลงตัว

(19 ก.ค. 67) จากกรณีที่เพจ 'Stadium TH' ได้เปิดตัว 'ชุดพิธีการ' ของนักกีฬาทีมชาติไทยที่สวมใส่โดย 'ปอป้อ' ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย โดยนักกีฬาไทยทั้งหมดนั้นจะสวมใส่อวดสู่สายตาชาวโลกในพิธีเปิดการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก 

ต่อมาชาวโลกโซเชียลก็ได้มีการรวบรวม 'ชุดพิธีการ' โอลิมปิก 2024 ของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อได้เห็นชุดพิธีการของประเทศมองโกเลีย เนื่องด้วยชุดมีลวดลายที่สวยงาม และทันสมัย เหมาะกับการที่จะไปเปิดตัวในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นอย่าง กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 

สำหรับชุดเครื่องแบบพิธีการสำคัญชุดนี้ ก่อนหน้านี้มีการสำรวจชุดตัวอย่างถึง 9,000 คน และทีมนักกีฬาร่วม 303 คน ก่อนที่จะได้แบรนด์ของ 2 พี่น้อง Michel & Amazonka  (มิเชล และ อมาซอนกา) เป็นผู้ถูกเลือกให้ออกแบบชุดพิธีการนี้ 

ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของเบื้องหลังของชาติ ศิลปะ และอื่น ๆ อีกหลากหลายมิติ อีกทั้งผู้ออกแบบยังคงความดั้งเดิม ที่เอามาผสานกับความทันสมัยได้อย่างลงตัวมาก ๆ งานปัก และการตัดเย็บมีการใช้แพตเทิร์นแบบยุโรป นอกจากนั้นยังมีการเลือกโทนสีที่น่าสนใจ อาทิ สีขาว เบจ และสีน้ำเงิน อีกทั้งยังมีการสอดแทรกลวดลายปักสีทอง เรียกได้ว่าเป็นพาเลตต์สีที่ลงตัวสุด ๆ 

นอกจากนั้น ชุดนี้ยังมีการนำเสนอสัญลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศมองโกเลียอีกด้วย โดยชุดดังกล่าว มีการสอดแทรกดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และกวางในจินตนาการ ทั้งหมดนี้สอดคล้องเข้ากับวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด นอกจากนั้น ผู้ออกแบบยังมีการใส่ลวดลายสัญลักษณ์โอลิมปิก 2024 ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ 5 ห่วง และโลโก้ประจำมหกรรมครั้งนี้ โดยรวมชุดนี้น่าสนใจ และน่าจับตาดูในพิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ที่จะถึงนี้ 

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ พร้อมแถลงข่าว หลังประชุมแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 3 จ่อถ่ายทอดสดชี้แจงหลักการชี้นำต่างๆ วันนี้ 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว ได้มีการประมวลภาพบรรยากาศการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันจันทร์-พฤหัสบดี (15-18 ก.ค.) ในกรุงปักกิ่งของจีน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) จะจัดการแถลงข่าวเกี่ยวกับหลักการชี้นำต่าง ๆ จากการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 20 ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) ซึ่งก็คือวันนี้

โดยการแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มต้นตอน 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง จะได้รับการถ่ายทอดสดโดยไชน่า มีเดีย กรุ๊ป (China Media Group) และเว็บไซต์ข่าวสารที่สำคัญ เช่น พีเพิลดอทคอมดอทซีเอ็น (people.com.cn) ซินหัวเน็ตดอทคอม (xinhuanet.com) และไชน่าดอทคอมดอทซีเอ็น (china.com.cn)

‘เยอรมนี’ เล็งลดงบช่วยเหลือทางทหาร ‘ยูเครน’ ครึ่งหนึ่ง ขีดเส้น ปี 68 ท่ามกลางแนวโน้ม 'ทรัมป์' หวนเก้าอี้สมัย 2

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป วางแผนที่จะปรับลดการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า ท่ามกลางความวิตกกังวลในขณะนี้ว่าความสนับสนุนของสหรัฐต่อยูเครนอาจลดลง หากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ตามร่างงบประมาณประจำปี 2025 ของเยอรมนีที่รอยเตอร์เห็น เยอรมนีได้ปรับลดประมาณช่วยเหลือยูเครนลงเหลือ 4,000 ล้านยูโรในปี 2025 จากที่ให้อยู่ราว 8,000 ล้านยูโรในปี 2024

เยอรมนีหวังว่ายูเครนจะสามารถจัดหาความต้องการทางทหารส่วนใหญ่ได้จากเงินกู้ยืมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือ จี7 อนุมัติให้นำมาใช้จากสิ้นทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกยึดเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เงินอุดหนุนเพื่อนำไปใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อาจไม่ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่

ด้าน คริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนี กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า การจัดหาเงินทุนให้กับยูเครนสำหรับอนาคตอันใกล้ถือได้ว่ามีความมั่นคงแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณการดำเนินการของชาติในยุโรปและเงินกู้จากจี7

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้นำอียูเห็นพ้องกับแนวคิดในการจัดเงินกู้ยืมดังกล่าวให้กับยูเครน เพราะมองว่ามันจะทำให้โอกาสที่ยูเครนจะขาดเงินสนับสนุนในการทำสงครามกับรัสเซียลดน้อยลง หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง

ความหวั่นวิตกเกี่ยวกับท่าทีและจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐในอนาคต ถูกปลุกให้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศให้นายเจดี แวนซ์ ซึ่งมีจุดยืนคัดค้านการให้ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐต่อยูเครน พร้อมกับเตือนยุโรปว่าควรจะต้องพึ่งพาสหรัฐน้อยลงในการปกป้องภูมิภาคของตน

วิเคราะห์!! ชัยชนะ 'ฟอกขาวต่างด้าว' กระบวนการสมคบคิดของคนบางกลุ่ม ถ้าหากสำเร็จ!! หนี้บุญคุณจะถูกตอบแทนจากต่างด้าวอีกหลายรุ่น

คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า วันนี้มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองบางกลุ่มร่วมมือกับ NGO และสื่อบางสื่ออย่างเป็นขบวนการ 'สมคบคิด' ที่จะผลักดันแผนฟอกขาวให้คนต่างชาติเข้ามามีสิทธิ์ในประเทศไทยโดยแลกกับคะแนนเสียงที่จะได้ในอนาคต  

โดยไม่นานมานี้ มีกลุ่มเรียกร้องทางการเมืองบางกลุ่มพยายามเคลื่อนไหวให้ต่างด้าวสามารถเลือกตั้งได้ ซึ่งหลังจากนั้นทาง กกต. ก็ได้ออกมาแถลงทันทีว่าต่างด้าวที่สามารถเลือกตั้งได้นั้น จะต้องผ่านการแปลงเป็นสัญชาติไทยหรือมีใบต่างด้าวเท่านั้น

ตรงนี้ถือเป็นการจุดประเด็นให้รู้ว่า หากเราต้องการให้ต่างชาติมาเลือกตั้งได้ ต้องมีข้อกำหนดอะไรบ้าง...

ต่อมาคือ 'กระบวนการฟอกขาว' การที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค พยายามผลักดันให้เปิดศูนย์ CI เป็น 1 ในกระบวนการที่พยายามจะเอาคนต่างชาติบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยเข้ามาให้มากที่สุด โดยพยายามกดดันให้กระทรวงมหาดไทยรับรอง ด้วยการเปิดให้ต่างด้าวได้รับบัตรชมพูแบบไม่ได้สนใจว่า คนเหล่านั้นจะมีเอกสารถูกต้องหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลในเรื่องลดความซ้ำซ้อนของแรงงาน 

แต่ก่อนอื่นทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า 'บัตรชมพู' เป็นความรับผิดชอบโดยกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงแรงงาน...

ดังนั้นการอ้างเรื่องแรงงาน จึงไม่ใช่เหตุผลจริงในการทำบัตรชมพู แต่การทำบัตรชมพูคือ 'การยอมรับว่ามีคนที่ไม่ใช่เป็นคนสัญชาติไทยชื่อนี้ อาศัยอยู่ในประเทศไทย' พูดง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นบัตรประชาชนของคนต่างชาติ 

หมายความว่า การได้มาของบัตรชมพู หากไม่ถูกต้องหรือปราศจากพาสปอร์ตที่ออกโดยฝั่งเมียนมาและการเก็บอัตลักษณ์เป็นลายนิ้วมือหรือม่านตาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอย่างที่ เอย่า เคยกล่าวไปแล้วคือ...

- การเวียนว่ายตายเกิดของคนต่างด้าวคนนั้น กล่าวคือ 1 คนแต่มีบัตรชมพูหลายใบ โดยใช้ตัวสะกดต่างกันแค่อักษรบางคำ เอย่าจะยกตัวอย่างให้ดู เช่น นางอ่อนคำ มีบัตรชมพูใบที่ 1 ชื่อ Nang On Kham ในบัตรชมพูใบที่ 2 จะชื่อ Nann On Kham และบัตรชมพูใบที่ 3 จะชื่อ Nan Orn Kam เป็นต้น

- การเปลี่ยนสัญชาติ หลายคนกล่าวว่า การได้มาซึ่งสัญชาติไทยนั้นยากมาก แต่คนบางกลุ่มการได้มากลับไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะในการปฏิบัติกับทางกฎหมายที่ระบุมันต่างกัน เอย่าคิดว่าหากถามประเด็นนี้คงไม่ยาก ลองไปดูตามจังหวัดที่ติดชายแดนไทยจะทราบว่า หลายครอบครัวมีการได้มาซึ่งบัตรประชาชนอย่างไร อีกทั้งชาวเมียนมาบนโซเชียลหลายคนก็เคยพิมพ์บอกชาวเมียนมาด้วยกันว่า 'การได้สัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเงินแสนก็สามารถมีสัญชาติไทยได้'

ปัจจุบันการขอสัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากกฎหมายและระเบียบการขอสัญชาติไทยปี 2566 ระบุไว้ว่า ผู้ประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต้องมีคุณสมบัติดังนี้...

• บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายประเทศไทย (อายุ 20 ปี) และกฎหมายที่ผู้สมัครมีสัญชาติ

• ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย โดยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร

• อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี จากวันที่ระบุไว้ในใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือทะเบียนราษฎร

• มีอาชีพสุจริต โดยมีใบอนุญาตทำงาน/หนังสือรับรองการประกอบอาชีพที่ออกโดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด โดยมีรายได้ขั้นต่ำดังนี้

• กรณีที่ผู้สมัครไม่มีความสัมพันธ์ใดกับประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 บาท/เดือน

• กรณีที่ผู้สมัครมีคามสัมพันธ์กับประเทศไทย เช่นแต่งงานกับชาวไทย หรือมีบุตรที่มีสัญชาติไทย หรือจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากสถาบันศึกษาในประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท/เดือน

• มีหลักฐานการจ่ายภาษีเงินได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

• มีความประพฤติดี โดยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

• มีความรู้ด้านภาษาไทย สามารถร้องเพลงชาติไทย และเพลงสรรเสริญพระบารมีได้

ลองคิดดูว่า หากวันนี้เรามีการทำบัตรชมพูให้แรงงานเข้ามา แล้วแรงงานเหล่านั้น 'มีลูก' ภายใต้นโยบายของรัฐบาลล่าสุดที่ให้เรียนฟรี 15 ปี ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ... เด็กทุกคนที่แค่อาศัยในประเทศไทยมีสิทธิและโอกาสศึกษาเข้าเรียนเสมอภาค ก็จะทำให้ลูกที่เกิดจากแรงงานเหล่านั้น สามารถเข้าเรียนในไทยได้และสามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งเลยทีเดียว ... สุดท้ายพอลูกของแรงงานอายุ 20 ปี พอดีกับมีองค์กรใด ๆ มาโอบอุ้มการขอสัญชาติไทย ก็คงจะไม่ยากเย็นเท่าไรนัก และหลังจากนั้นบุญคุณระยะยาวนี้ จะถูกตอบแทนกลับไปจากคนต่างด้าวเหล่านั้นอีกกี่รุ่น เอย่าคงไม่ขอบรรยายนะ...

อันที่จริง เอย่า ก็ไม่ได้ระบุว่า นี่จะเกิดเฉพาะแค่คนเมียนมาเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้หมดกับคนต่างด้าวที่อยากจะหนีความแร้นแค้นในประเทศตนเองมาหาโอกาสที่ดีกว่าในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส แต่โอกาสนั้นควรเป็นคนต่างด้าวหรือต่างชาติที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

มิฉะนั้น จะมีกรณีที่เกิดขึ้น ดังที่เคยเป็นข่าวที่ว่า นายจ้างชาวอิหร่านและภรรยาหญิงไทยถูกลูกจ้างชาวเมียนมาฆ่าตาย เสร็จแล้วลูกจ้างก็หนีไปมอบตัวว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายให้ ตม. ไทยผลักดันกลับเมียนมา และสุดท้ายก็หนีไปอย่างลอยนวล 

เฉกเช่นเดียวกันกับคดีฆาตกรรมอดีตทูตไทยประจำกรุงโคเปนเฮเกน ที่คนร้ายก็เป็นชาวเมียนมา และเมื่อสังหารแล้วก็หลบหนีข้ามฝั่งไปยังเมียนมาอย่างลอยนวลยังจับไม่ได้จนทุกวันนี้

‘นักวิทย์อิตาลี’ ค้นพบ ‘หลุมถ้ำยักษ์’ บนดวงจันทร์ คาด!! อาจเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในอนาคตได้

(18 ก.ค.67) นักวิทยาศาสตร์ยืนยันการค้นพบถ้ำแห่งหนึ่งบนดวงจันทร์ อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ ‘นีล อาร์มสตรอง’ และ ‘บัซ อัลดริน’ สองนักบินอวกาศสหรัฐฯ ลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อ 55 ปีก่อน และคาดว่าน่าจะยังมีถ้ำลักษณะนี้อยู่อีกหลายร้อยแห่ง ซึ่งอาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับนักบินอวกาศได้

โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์อิตาลีรายงานเมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่า พบหลักฐานการมีอยู่ของถ้ำขนาดใหญ่ในบริเวณจุดที่เรียกว่า ‘ทะเลแห่งความสงบเงียบ’ (Sea of Tranquility) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดลงจอดของยานอะพอลโล 11 ไปราว 400 กิโลเมตร

หลุมถ้ำดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพังถล่มของท่อลาวา (lava tube) เช่นเดียวกับถ้ำลักษณะเดียวกันอีกกว่า 200 จุดที่พบในบริเวณนั้น

ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ผลการตรวจวัดด้วยเรดาร์โดยยาน Lunar Reconnaissance Orbiter ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) จากนั้นก็นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับท่อลาวาที่มีอยู่บนโลก โดยผลการศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Astronomy

ข้อมูลจากเรดาร์เปิดเผยให้เห็นเฉพาะพื้นที่ส่วนหน้าของถ้ำใต้ดินซึ่งมีความกว้างอย่างน้อย 130 ฟุต (40 เมตร) และยาวหลายสิบเมตร หรืออาจจะมากกว่านั้น

“ถ้ำบนดวงจันทร์ยังคงเป็นปริศนามานานกว่า 50 ปี ดังนั้น การที่เราสามารถพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงได้จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก” ลีโอนาร์โด คาร์เรอร์ และโลเรนโซ บรุซโซเน จากมหาวิทยาลัยเทรนโต ระบุในบทสัมภาษณ์ผ่านอีเมล

นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า หลุมถ้ำส่วนใหญ่ดูเหมือนจะตั้งอยู่บนที่ราบลาวาโบราณบนดวงจันทร์ และอาจจะมีอยู่บ้างบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นจุดที่นาซาเตรียมส่งนักบินอวกาศไปสำรวจในช่วงปลายทศวรรษนี้ ขณะที่หลุมในเงามืดที่เชื่อกันว่าอาจมีน้ำแข็งสะสมอยู่ก็อาจเป็นแหล่งน้ำดื่มและใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงสำหรับจรวดได้

ผลการศึกษายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หลุมถ้ำลักษณะนี้อาจมีอีกหลายร้อยแห่งบนดวงจันทร์ รวมถึงท่อลาวาอีกหลายพันจุด ซึ่งบางแห่งอาจใช้เป็นสถานที่พักพิงตามธรรมชาติสำหรับนักบินอวกาศเพื่อช่วยป้องกันพวกเขาจากรังสีคอสมิกและรังสีสุริยะ รวมไปถึงการตกของอุกกาบาตขนาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์บนดวงจันทร์อาจต้องใช้เวลานานและเป็นเรื่องท้าทายพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งของผนังถ้ำเพื่อป้องกันการพังถล่ม

หินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่พบในถ้ำเหล่านี้ยังอาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจวิวัฒนาการของดวงจันทร์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของกิจกรรมภูเขาไฟ

‘นักวิจัยอิสราเอล’ พัฒนา AI ช่วย ‘ผู้ป่วยอัมพาต’ ให้สามารถ ‘พูด’ ได้ ใช้วิธีถอดรหัสคลื่นสมอง เปล่งเสียงผ่านความคิด แล้วส่งไปยังคอมฯ

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟของอิสราเอลเปิดเผยว่าคณะนักวิจัยของอิสราเอลได้พัฒนาวิธีการทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตและเป็นใบ้ให้สามารถ ‘พูด’ ผ่านพลังความคิด

โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ และศูนย์การแพทย์ ซูราสกี เทลอาวีฟ ในวารสารนิวโรเซอร์เจอรี (Neurosurgery) ระบุว่า ขั้วไฟฟ้าวัดลึก (depth electrode) ที่ถูกฝังอยู่ในสมองของผู้ป่วยจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเปล่งเสียงสองพยางค์ตามที่ผู้ป่วยจินตนาการถึง

คณะนักวิจัยชี้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงชนิดของคำกับกิจกรรมของเซลล์ในสมอง ซึ่งอาจเป็นความหวังของผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์จากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออาการบาดเจ็บทางสมอง ในการแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดประดิษฐ์

นอกจากนั้นความก้าวหน้านี้อาจเปิดทางสู่การสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงระยะแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยยังสามารถพูดได้ เพื่อการตีความหมายหลังจากผู้ป่วยสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ

คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษา ซึ่งเป็นโรคลมบ้าหมูที่มีขั้วไฟฟ้าฝังอยู่ในสมองก่อนผ่าตัด ออกเสียงพยางค์ ‘เอ’ และ ‘อี’ เพื่อบันทึกกิจกรรมของสมองขณะผู้ป่วยเปล่งเสียง ต่อจากนั้นใช้เทคนิคการเรียนรู้เชิงลึกและการเรียนรู้ของเครื่องมาฝึกฝนต้นแบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อระบุเซลล์สมองจำเพาะที่เกิดกิจกรรมทางไฟฟ้าอันบ่งชี้ความตั้งใจออกเสียงพยางค์ทั้งสอง

เมื่อคอมพิวเตอร์เรียนรู้การจำแนกรูปแบบของกิจกรรมทางไฟฟ้าในสมองของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับพยางค์ทั้งสองข้างต้นแล้ว คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยจินตนาการการออกเสียงพยางค์ทั้งสองเท่านั้น โดยคอมพิวเตอร์จะแปลสัญญาณไฟฟ้าและเล่นเสียง ‘เอ’ และ ‘อี’ ที่บันทึกไว้ก่อนหน้าตามลำดับ

คณะนักวิจัยกล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปคือทำให้การพูดสมบูรณ์แบบ แม้สองพยางค์ที่แตกต่างกันสามารถช่วยให้ผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์ส่งสัญญาณว่า ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ ได้แล้ว โดยนี่ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาส่วนต่อประสานสมอง-คอมพิวเตอร์ ที่สามารถผลิตเสียงพูดออกมาได้

‘นักแข่งโกะชาวเกาหลีใต้’ ตัดสินใจลาวงการ หลังพ่ายแพ้ให้ AI ลั่น!! รู้สึกทุกข์ทรมานไม่จางหาย และไม่สนุกกับเกมได้อีกต่อไป

(18 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Techsauce’ รายงานถึงกรณีนักแข่งหมากล้อม (โกะ) ชาวเกาหลีใต้พ่ายแพ้ให้กับ AI ที่ชื่อว่า AlphaGo โดยระบุว่า…

“การที่ AI เปิดตัวในการแข่งหมากล้อม (โกะ) ผมก็ได้รู้ว่า ผมไม่ใช่คนที่อยู่บนจุดสูงสุดแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะเป็นที่ 1 จากการพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถเอาชนะได้”

อี เซดล คืออดีตนักแข่งหมากล้อมมืออาชีพชาวเกาหลีใต้ และเป็นอดีตอันดับ 1 ของโลก แต่เมื่อปี 2016 เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โปรแกรม AI ที่ชื่อว่า AlphaGo เจ้าตัวเผยว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังคงทุกข์ทรมานจากการที่พ่ายแพ้และไม่สามารถก้าวข้าม AlphaGo ได้

การพ่ายแพ้ในครั้งนั้นเป็นการสั่นสะเทือนทั้งวงการหมากล้อมและคนทั้งโลก หลังจากการพ่ายแพ้ทำให้อี เซดลตัดสินใจลาออกในปี 2019 เนื่องจากเขาไม่สามารถสนุกกับเกมได้อีกต่อไป เขายังออกมาเตือนอีกว่าเทคโนโลยีจะไม่ตามหลังนักแข่งหมากล้อมอีกต่อไป 

“ผมเผชิญกับปัญหาเรื่อง AI เร็วกว่าคนอื่น แต่ปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นกับคนอื่นเหมือนกัน และอาจจะเป็นจุดจบที่ไม่สวยเท่าไร” อี เซดล กล่าว

“ผมคิดว่า AI จะเอาชนะมนุษย์ได้ในสักวัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นตอนนี้” อี เซดลไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้ เขาคิดว่าการแข่งหมากล้อมถือว่าเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งซึ่งสะท้อนลักษณะและสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน แต่ตอนนี้ศิลปะเหล่านี้ถูกโยนทิ้งไปโดยอัลกอริทึมที่สามารถคำนวณอย่างเฉียบคมและไร้ความปรานี

อีกสิ่งที่เขากังวลคือ AI อาจจะเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ “คนมักจะตะลึงในนวัตกรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่การเข้ามาของ AI ทำให้หลาย ๆ อย่างหายไป” แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถมาแทนคนได้ ก็คือ ‘จิตวิญญาณ’

Spielberg ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังกล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการและอธิบายได้ และอัลกอริทึมยังไม่สามารถสร้างมันได้เช่นกัน มันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในพวกเราทุกคน”

อ้างอิง: https://www.businessinsider.com/lee-sedol-makes-surprise-move-before-final-match-against-alphago-2016-3

https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2024/07/10/defeated-by-ai-a-legend-in-the-board-game-go-warns-get-ready-for-whats-next 

'โซเชียลจีน' สะพัด!! ข่าว 'ปธน.สี จิ้นผิง' อาจป่วยหนัก หลอดเลือดในสมองตีบ

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดข่าวลือแพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ของประเทศจีน แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันออกมาอย่างแน่ชัด ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ หรือ สโตรก ระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 ซึ่งเขาเป็นประธานการประชุม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกลาง 

ถึงแม้ว่าสื่อกระแสหลักของโลกยังไม่มีการรายงานข่าวนี้แต่อย่างใด และในปี 2565 ก็เคยเกิดข่าวลือว่า 'สี จิ้นผิง' ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ หลังจากเขาหายหน้าไปจากสาธารณะระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง

นางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวด้านสิทธิมนุษยชน เป็นต้นกำเนิดข่าวลือล่าสุดนี้ โดยเธอโพสต์บนยูทูบ อ้างคำพูดของนายจางหมิง ศาสตราจารย์และหัวหน้างานระดับปริญญาเอก ของคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ซึ่งจู่ ๆ ก็โพสต์ข้อความว่า “มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” โดยไม่ขยายความต่อแต่อย่างใด 

เธอยังอ้างรายงานของนายซู เสี่ยวโหว นักข่าวชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามบนยูทูบ 1.79 แสนคน ว่า จู่ ๆ 'สี จิ้นผิง' ก็เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบขณะร่วมประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เธออ้างด้วยว่ามีผู้ใช้งานยูทูบคนอื่น ๆ ก็รายงานข่าวไปในทำนองเดียวกัน

'ซีอีโอ GAC' ลั่น!! ไทยไม่ใช่แค่ฐานประกอบรถยนต์ แต่เป็นฐานสำคัญ 'เพิ่มยอดขาย-ขยายบริการทั่วประเทศ'

(17 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเจิง ชิ่งหง ประธานบริษัท GAC กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่ 85,000 ตารางเมตร เพื่อมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาทั่วโลก โดยโรงงานแห่งนี้ จะช่วยดึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านการขาย การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเช่นเดียวกับโรงงานในประเทศจีน ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ โดย AION ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาทั้งหมด 6 แนวทาง ซึ่งรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิต การขยายสายผลิตภัณฑ์ และการกำหนดแนวทางของตลาดในเรื่องฐานการผลิตและจำหน่ายทั่วประเทศ

โรงงานผลิตรถยนต์ GAC AION ในประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศของ GAC AION จากปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 แห่งในประเทศจีน มีกำลังการผลิต 500,000 คันต่อปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 120% ทั้งยังมียอดการผลิตและจำหน่ายอยู่ใน 3 อันดับแรกของอุตสาหกรรม

“เมื่อเปิดโรงงานแห่งนี้ขึ้นอีก 1 แห่ง จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับบริษัท ในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และยังมีแผนสร้างฐานการผลิตและการจำหน่ายใน 7 พื้นที่ทั่วโลก และไม่เพียงแค่การประกอบรถเท่านั้น แต่เราจะนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย พร้อมวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การจำหน่ายและการบริการเป็นไปได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ” 

ด้านนายหม่า ไห่หยาง ผู้จัดการทั่วไป GAC AION ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึงแนวคิดหลักว่า ‘คุณภาพต้องมาก่อน’ และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีคุณภาพและชาญฉลาดแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยจุดเด่นด้านการผลิตที่ก้าวหน้าระดับโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้บริษัทพร้อมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มาพร้อมกับความสามารถที่รอบด้าน เทคโนโลยีอันเหนือชั้น และมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นการเผยโฉมในครั้งนี้ พร้อมกันกับการเผยโฉมรถ AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ในประเทศจีนด้วย

เพื่อตอกย้ำความสำคัญของตลาดในประเทศไทย รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและทันสมัยที่สุดสู่ตลาดโลก โดยผลิตขึ้นตามหลักการ 8 จุดเด่นหลัก ได้แก่ ดีไซน์ที่โดดเด่น, พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง, เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว, ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับโลก, เทคโนโลยี AI อัจฉริยะ, มีระยะทางวิ่งไกลและทนทานต่อสภาพอากาศ, เทคโนโลยีชาร์จเร็วอัจฉริยะ, แบตเตอรี่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์เชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ถือว่ามีข้อได้เปรียบด้านการผลิตอัจฉริยะชั้นนำของโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้หุ่นยนต์ร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ GAC AION จะไม่มีข้อบกพร่อง และมีการสลับแบบเรียลไทม์ของการกำหนดค่า 10W+ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลายพันคน เราใช้ ‘การรวมการจัดเก็บแสง การชาร์จ และการเปลี่ยน’ การใช้พลังงานอย่างครอบคลุมเพื่อมอบ ‘โซลูชั่น AION’ สำหรับการเปลี่ยนแปลงสีเขียวของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

และคาดว่าในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาขึ้นในประเทศไทย ผลักดันให้เกิดการจ้างงาน สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับประเทศไทย และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ GAC AION ประกาศว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณสำหรับการลงทุนโรงงานแห่งนี้ไว้ที่ 2,300 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะมีกำลังผลิตที่ 20,000 คันต่อปี และสามารถเพิ่มสูงสุดเป็น 70,000 คันต่อปีในอนาคต

‘อีลอน มัสก์’ เล็งย้าย สนง.ใหญ่ SpaceX และ X ออกจากแคลิฟอร์เนีย หลังฉุน ‘ผู้ว่าฯ’ ผ่านกม. ห้าม รร.แจ้งเปลี่ยนเพศสภาพ นร.ต่อผู้ปกครอง

‘อีลอน มัสก์’ ประกาศจะย้ายสำนักงานใหญ่ของตน ทั้ง SpaceX และ X ออกจากแคลิฟอร์เนียไปปักหลักที่เท็กซัสแทน หลังรู้ข่าวว่า ‘เกวิน นิวซอม’ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เซ็นผ่านร่างกฎหมายใหม่เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.67) ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าห้ามทางโรงเรียนแจ้งผู้ปกครองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพของนักเรียนภายในโรงเรียน หากไม่ได้รับความยินยอมจากตัวนักเรียน

‘อีลอน มัสก์’ โพสต์เดือดผ่านบัญชี X ของเขาว่า "นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว" หลังจากที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าว ที่เขามองว่าเป็นการจุด ‘ฉนวนสงครามทางวัฒนธรรม’ ท่ามกลางความวุ่นวายในปีที่มีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ

เขาเห็นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ และ ฉบับอื่น ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นการบ่อนทำลายสถาบันครอบครัว และ บริษัทต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ของ SpaceX จากเมืองฮอว์ธอร์น รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปยังเมืองสตาร์เบส ในรัฐเท็กซัสแทน

นอกจากนี้ มัสก์ ยังบอกอีกว่าเขากำลังจะย้ายสำนักงานใหญ่ของโซเชียลมีเดีย X จากเมืองซานฟรานซิสโก ไป เมืองออสติน ของเท็กซัส ซึ่งเขาเคยขู่มาก่อนแต่ยังทำไม่สำเร็จ 

แต่ก่อนหน้านี้ เขาได้ย้ายสำนักงานใหญ่ของ Tesla จากเมือง ปาโล อัลโต ใน ซิลิคอน วัลลีย์ ไปยังเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงสำนักงานแผนกวิศวกรรมไว้ในแคลิฟอร์เนีย 

อภิมหาเศรษฐีระดับโลกรายนี้ออกมาต่อต้านการใช้สรรพนามแทนตนตามใจฉัน และมักจะล้อเลียนการกระทำดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย เขามองว่าการเรียกร้องเรื่องการเปลี่ยนสรรพนามเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแส ‘Woke’ ที่เป็นอันตรายต่อสังคม 

ด้านชีวิตส่วนตัว อีลอน มัสก์ มีลูกสาวข้ามเพศคนหนึ่ง ที่ต่างก็เหินห่างกัน ซึ่งเขากล่าวโทษโรงเรียนเอกชนในแคลิฟอร์เนีย ที่ปลูกฝังแนวคิดการเมืองฝ่ายซ้ายให้กับลูกของเขา และมีส่วนทำให้ลูกมีพฤติกรรมต่อต้านเขา

สำหรับประเด็นเรื่องกฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงระหว่างกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้ปกครอง กับนักเคลื่อนไหวกลุ่ม LGBTQ ในเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กที่มีอัตตาลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย และกำลังเป็นปัญหากับโรงเรียนในเขตอนุรักษ์นิยม ที่เคยให้ครูต้องแจ้งผู้ปกครองหากนักเรียนขอเปลี่ยนสรรพนามนำหน้าชื่อของตน หรือขอใช้สิ่งอำนวยความสะดวก หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ตรงกับเพศตามธรรมชาติของตน

ด้าน เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้รับรองร่างกฎหมายดังกล่าว สังกัดพรรคเดโมแครต ที่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตาของพรรคในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ต่อจากโจ ไบเดน 

และมักแสดงความเห็นตอบโต้กลุ่มอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนรัฐ และเมื่อปีที่แล้ว นิวซอม ได้ลงนามในกฎหมายกำหนดค่าปรับสำหรับโรงเรียนที่ห้ามใช้หนังสือเรียนที่มีบรรยายถึงกลุ่ม LGBTQ หรือกลุ่มคนชายขอบผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

ซึ่ง ‘อีลอน มัสก์’ ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับ ‘เกวิน นิวซอม’ มาก่อน เมื่อครั้งที่นิวซอม ยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองซานฟรานซิสโก ในประเด็นเรื่องมาตรการการควบคุมการระบาด Covid-19 ในช่วงที่การระบาดกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ 

และเมื่อเห็นท่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ‘อีลอน มัสก์’ จึงตัดสินใจย้ายบริษัทหนีเสียเลย นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพที่กว้างใหญ่ ถ้ามีเงินเสียอย่างก็สามารถย้ายบ้านไปอยู่ในรัฐที่ออกกฎหมายที่ถูกจริตเราได้เสมอ

‘Huawei’ เผยโฉมศูนย์ R&D เฉียด 5 หมื่นล้าน ปูฐานสู่ผู้นำโลกนวัตกรรม ปลดล็อกอำนาจกีดกันจากสหรัฐฯ ทั้ง 'ชิป-มือถือ-OS-เน็ตเวิร์ก-อื่นๆ'

(17 ก.ค. 67)  Huawei Technologies ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก เดินหน้าก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) มูลค่า 10,000 ล้านหยวน (ราว 49,776 ล้านบาท) ในเซี่ยงไฮ้ จนแล้วเสร็จ ท่ามกลางการถูกสหรัฐอเมริกากีดกันทางการค้าอย่างหนัก

Lianqiu Lake R&D Center ของ Huawei ศูนย์ R&D ตั้งอยู่ในศูนย์นวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญของเมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในปี 2568 ประกอบด้วย 8 โซน มีอาคาร 104 หลัง เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการ สำนักงาน 40,000 แห่ง และพื้นที่พักผ่อนที่เชื่อมต่อกันผ่านระบบรถไฟภายในศูนย์

แม้ว่าการก่อสร้างสะพานและโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางโครงการยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการ แต่การพัฒนาป้าย ถนน และการบริการรถไฟสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

คาดว่าบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 35,000 คน จะย้ายไปยังศูนย์แห่งนี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ เครือข่ายไร้สาย และ Internet of Things (IoT)

Lianqiu Lake R&D Center ของ Huawei ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 2,400 เอเคอร์ (ราว 6,072 ไร่) และพื้นที่ก่อสร้างรวม 2.06 ล้านตารางเมตร (มีขนาดใหญ่กว่า Apple Park และสำนักงานใหญ่ Redmond Campus ของ Microsoft ในซีแอตเทิล รวมกัน) จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาระดับโลก และเริ่มดำเนินการในปีนี้ ตามประกาศก่อนหน้านี้ของรัฐบาลท้องถิ่น

“เรามุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติในการทำงานและอยู่อาศัย” Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท บอกกับพนักงานในการประชุมภายในปี 2021 ซึ่งหัวเว่ยเปิดเผยต่อสาธารณะในเวลาต่อมา ตามรายงานของ South China Morning Post

Ren Zhengfei คาดหวังว่าจะดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติด้วยสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟมากกว่า 100 แห่ง ที่เปิดให้บริการภายในศูนย์ฯ

ศูนย์ R&D นี้ จะรวมความพยายามด้านการวิจัยของ Huawei ในด้านเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีไร้สาย การพัฒนาสมาร์ทโฟนเรือธง การขับขี่อัจฉริยะ/ส่วนประกอบยานยนต์ พลังงานดิจิทัล และด้านอื่น ๆ ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจที่กำลังขยายตัวของ Huawei เช่น 5G/6G พลังงานดิจิทัล และโซลูชันยานยนต์อัจฉริยะ

การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนของ Huawei ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำในสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความไม่ย่อท้อของบริษัทที่มีฐานบัญชาการในเซินเจิ้นแห่งนี้กำลังดำเนินการเพื่อเอาชนะมาตรการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีที่ขัดขวางการเติบโตของบริษัท

ท่ามกลางการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และการคว่ำบาตรต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา Huawei ยิ่งจะต้องสนับสนุนความพยายามในการวิจัยและพัฒนาของตน การรวมศูนย์การวิจัยหลายแห่งเข้าด้วยกันเช่นนี้ ทำให้ Huawei สามารถปรับปรุงการดำเนินงานและอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และแน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของบริษัทได้อย่างมาก

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา Huawei เผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย โดยในปี 2563 TSMC ซึ่งเป็นผู้จัดหาชิปสมาร์ทโฟนของ Huawei มากกว่า 90% ได้หยุดส่งชิ้นส่วนสำคัญนี้ให้กับ Huawei เนื่องจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ Huawei ต้องออกจากสายธุรกิจทั้งหมดที่อาศัยเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงในที่สุด

ข้อจำกัดดังกล่าวยังส่งผลให้รายได้ของ Huawei ลดลงอย่างมาก โดยลดลง 23% จากปี 2562 ถึง 2564 ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการลงทุนในกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา

การคว่ำบาตรยังจำกัดความสามารถของ Huawei ในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มการวิจัยระดับโลก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจชะลอกระบวนการสร้างนวัตกรรมของบริษัท เพื่อตอบโต้ผลกระทบของการคว่ำบาตร Huawei ต้องลงทุนมหาศาลในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศและเทคโนโลยีทางเลือก

โครงการเรือธงนี้ จึงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนของ Huawei ในเทคโนโลยีแห่งอนาคต และความไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ทำให้ผู้บริหารชาวอเมริกันของบริษัทชิปจีนที่เป็นเป้าหมายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากวอชิงตันสั่งห้าม ‘บุคคลในสหรัฐฯ’ ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น

แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กล่าวถึงการจ้างงาน แต่กฎเกณฑ์นี้ได้จำกัดความสามารถของบุคคลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนการพัฒนาหรือการผลิตชิปที่โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางแห่งในจีนโดยไม่มีใบอนุญาต

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Huawei เสนอแพ็คเกจเงินเดือนที่แข่งขันได้ และได้จ้างวิศวกรจากประเทศอื่นที่มีประสบการณ์ในการผลิตเครื่องมือผลิตชิปและผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาชิปชั้นนำแล้ว 

"แม้จะถูกไล่บี้อย่างหนัก Huawei สร้างความประหลาดใจอีกครั้งในตลาดสมาร์ทโฟน 5G จากการที่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เมื่อเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่ขับเคลื่อนโดยโปรเซสเซอร์ 7 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่ได้รับการยกย่องในแผ่นดินใหญ่ และแน่นอนว่านวัตกรรมนี้ได้จุดประกายการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอีกครั้งจากวอชิงตันในแง่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีอยู่"

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ทำให้ผู้บริหารชาวอเมริกันของบริษัทชิปจีนที่เป็นเป้าหมายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากวอชิงตันสั่งห้าม 'บุคคลในสหรัฐฯ' ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น

แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กล่าวถึงการจ้างงาน แต่กฎเกณฑ์นี้ได้จำกัดความสามารถของบุคคลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนการพัฒนาหรือการผลิตชิปที่โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางแห่งในจีนโดยไม่มีใบอนุญาต

เมื่อปีที่แล้ว Huawei ลงทุน 23% ของรายได้ทั้งหมดหรือ 164,700 ล้านหยวน ในโครงการริเริ่มด้านการวิจัยและพัฒนาต่างๆ ตามรายงานประจำปีของบริษัท พนักงานประมาณ 114,000 คนหรือ 55% ของพนักงาน Huawei ทั้งหมด มีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เพิกถอนใบอนุญาต 8 ฉบับในปีนี้ ทำให้บริษัทสหรัฐอเมริกาบางแห่งสามารถจัดส่งสินค้าให้กับ Huawei ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก ตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อต้นเดือนนี้

ไม่เพียงเท่านี้ Huawei ต้องการจะทำลายการครอบงำระบบปฏิบัติการมือถือแบบตะวันตกในจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อเปิดตัว HarmonyOS Next ซึ่งจะยุติการสนับสนุนแอปฯ Android แม้จะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม

อีกหนึ่งความสำเร็จที่น่าชื่นชมคือในไตรมาสแรกของปีนี้ Huawei แซงหน้า Samsung Electronics กลายเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนจอพับได้ที่ขายดีที่สุดในโลก

‘สื่อเกาหลีใต้’ เผย!! ตัวเลขการเข้าสู่ตลาดงานของคนรุ่นใหม่ น่าห่วง เกือบครึ่ง 'ลาออก' เพราะชั่วโมงการทำงานนานไป และรู้สึกค่าจ้างต่ำ

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ที่เปิดเผยว่า เด็กจบใหม่ชาวเกาหลีใต้ใช้เวลาหางานแรกนานเกือบหนึ่งปี ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานที่ถดถอยลงสำหรับคนรุ่นใหม่

สำนักงานฯ ระบุว่าคนรุ่นใหม่อายุ 15-29 ปี ใช้เวลาเฉลี่ย 11.5 เดือนเพื่อให้ได้งานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจบการศึกษาในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.1 เดือนจากปีก่อนหน้า โดยถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เริ่มรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในปี 2006 ซึ่งบ่งชี้ว่าสถานการณ์การจ้างงานคนรุ่นใหม่ย่ำแย่ลง

ในจำนวนกลุ่มคนรุ่นใหม่ข้างต้น พบว่าร้อยละ 47.7 ใช้เวลาหางานแรกไม่ถึงสามเดือน ขณะร้อยละ 30 ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี

จำนวนพนักงานรุ่นใหม่ลดลง 173,000 คนจากปีก่อนหน้า เหลือ 3,832,000 คนในเดือนพฤษภาคม ขณะอัตราการจ้างงานลดลง 0.7 จุดเหลือร้อยละ 46.9 ส่วนจำนวนเด็กรุ่นใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้น 28,000 คนเป็น 276,000 คน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9 จุด เป็นร้อยละ 6.7

คนรุ่นใหม่ประมาณร้อยละ 66.8 ออกจากงานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจากทำงานในตำแหน่งนั้นเฉลี่ย 1 ปีกับ 2.8 เดือน

ในกลุ่มคนที่ลาออกจากงานแรก ร้อยละ 45.5 เผยว่าพวกเขาลาออกเนื่องจากสภาพการทำงานไม่เป็นที่พอใจ เช่น ชั่วโมงการทำงานยาวนานและค่าจ้างต่ำ รองลงมาร้อยละ 15.6 เผยว่าหมดสัญญาว่าจ้างงานชั่วคราว และร้อยละ 15.3 อ้างเหตุผลส่วนตัว เช่น การแต่งงาน เลี้ยงดูลูก และสุขภาพ

'ซีอีโอพานาโซนิค' เตือนพนักงานแรง ต้องรู้สึกรู้สากับวิกฤต ชี้!! หมดยุคจ้างงานตลอดชีพ ผลงานไม่ดีต้องถูกผู้อื่นแทนที่

(17 ก.ค. 67) นายยูกิ คุซุมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ หรือ Panasonic Holdings ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ในรถอีวี กล่าวว่า ผู้จัดการบริษัทจำเป็นต้องมีความรู้สึกถึงวิกฤติมากขึ้น ขณะนี้ บริษัทกำลังเผชิญกำไรสุทธิในระดับต่ำ พนักงานพานาโซนิคจะถูกประเมินผลงานตามนี้

สำหรับบริษัทพานาโซนิคนั้น ยึดมั่นในแนวคิดของการจ้างงานตลอดชีวิตมาหลายสิบปี แต่คำพูดดังกล่าวของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ นั้น ถือเป็นการกระตุ้นที่รุนแรงอย่างผิดปกติ

นายยูกิ คุซุมิ กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจที่มีปัญหา คือธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตลดต่ำลง อัตราส่วนผลตอบแทนของเงินลงทุน หรือ ROIC น้อยกว่าต้นทุนเฉลี่ยของกิจการ หรือ WACC ในปีผ่านมานั้น ราคาหุ้นของพานาโซนิคพุ่งทะยาน 26% แต่ขณะนี้ราคาหุ้นของพานาโซนิคตกต่ำลงราว 4% ซึ่งตรงกันข้ามกับภาวะตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่คึกคัก โดยดัชนี Topix เพิ่มขึ้นประมาณ 22% ในปีนี้ และขึ้นมาถึงหลัก 40,000 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่หลายครั้ง

นายยูกิ คุซุมิ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุดในเวลานี้ คือบริษัทไม่สามารถทำกำไรมากพอที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากบรรดานักลงทุน แม้ว่าราคาหุ้นบริษัทต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกำลังเติบโต แต่หุ้นของพานาโซนิคกลับติดอยู่ที่ราว 1,300 เยน หรือราว 325 บาท สำหรับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี หรือ Price/Book Value ในปัจจุบันของ พานาโซนิคอยู่ที่ 0.7 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทฮิตาชิ ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มเครื่องอิเล็กทรอนิกส์อีกแห่งที่เคยปรับโครงสร้างองค์กร และขายสินทรัพย์ออกไปนั้น มีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีสูงกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับพานาโซนิก

ทั้งนี้ ซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ เคยกล่าวเมื่อ 2 เดือนผ่านมาว่า บริษัทกำลังประสบปัญหาผลกำไรที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ต้องวางแผนที่จะลดจำนวนธุรกิจที่มีปัญหาให้เหลือศูนย์ภายในเดือนมีนาคม 2027 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า

สำหรับ นายยูกิ คุซุมิ ดำรงตำแหน่งซีอีโอในช่วงกลางปี 2021 ซึ่งพยายามเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อลงทุนในด้านต่าง ๆ ด้วยการวางเป้าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ที่ 10% หรือสูงกว่า ส่วนกำไรจากการดำเนินงานนั้น ตั้งไว้ที่ 1.5 ล้านล้านเยนภายใน 2 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนเมษายนปี 2025 ซีอีโอเผยว่า ภาวะความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อโรงงานแบตเตอรี่บางแห่งของบริษัท ซึ่งนำไปสู่การหยุดสายการผลิตบางส่วนที่โรงงาน Suminoe ในนครโอซากา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top