Saturday, 24 May 2025
WORLD

นทท.ข้ามแดนผ่านด่านยูนนานพุ่ง 3 แสน เพิ่มขึ้น 136% เมื่อเทียบปีที่แล้ว

(3 ม.ค. 68) สถานีตรวจสอบการผ่านแดนขาเข้า-ขาออกตำบลโม๋ฮัน มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน รายงานว่า ด่านรถไฟโม๋ฮันได้รองรับการเดินทางข้ามพรมแดนของประชาชนจากราว 100 ประเทศและภูมิภาค จำนวนมากกว่า 301,000 คนในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 136 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ด่านรถไฟโม๋ฮันได้รองรับการเดินทางโดยรถไฟข้ามพรมแดนในปี 2024 มากกว่า 7,900 เที่ยว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความนิยมของการเดินทางด้วยรถไฟจีน-ลาวในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดให้บริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดน เนื่องจากมีราคาถูกและสะดวกสบาย

'ท่องเที่ยวจีน' เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจสูงในขณะนี้ หลังจากจีนขยายโครงการฟรีวีซ่ากับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงการผ่อนปรนนโยบายเดินทางผ่าน (transit) แบบฟรีวีซ่า ซึ่งขยายระยะเวลาพำนักที่ได้รับอนุญาตสำหรับนักเดินทางชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จากเดิม 72 และ 144 ชั่วโมง เป็น 240 ชั่วโมง

เจ้าหน้าที่สถานีฯ กล่าวว่า การเปิดให้บริการรถไฟโดยสารข้ามพรมแดนจีน-ลาว เส้นทางสิบสองปันนา-หลวงพระบาง เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2024 ได้เพิ่มการเดินทางข้ามพรมแดนจาก 300 คนต่อวันเป็นมากกว่า 800 คนต่อวัน โดยตัวเลขสูงสุดในหนึ่งวันอยู่ที่มากกว่า 1,200 คน

มัคคุเทศก์แซ่หวังจากมณฑลอวิ๋นหนานกล่าวว่า การเดินทางด้วยรถไฟจีน-ลาวนั้นทั้งสะดวกและรวดเร็ว พร้อมทั้งสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดทาง ทำให้ผู้เดินทางเลือกใช้บริการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม

ริตชี เดวิด สจ๊วร์ต นักท่องเที่ยวชาวสหราชอาณาจักร ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวจีนครั้งแรกพร้อมภรรยา กล่าวว่า การเดินทางด้วยรถไฟจีน-ลาวนั้นให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน ทั้งสะดวกสบายและคุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมทั้งสามารถเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยที่สถานีรถไฟในคุนหมิงอีกด้วย

‘ทรัมป์’ จวกรัฐบาลเดโมแครตอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ เปิดชายแดนจนประเทศล้มเหลว ย้ำพบกัน 20 ม.ค. จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

เมื่อวันที่ (2 ม.ค.68)โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล หลังการเกิดเหตุคนร้ายขับรถพุ่งชนใส่ฝูงชนในเมืองนิวออร์ลีน รัฐฐลุยเซียนา โดยว่าที่ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า  ประเทศของเราตกอยู่ในหายนะ เป็นที่ขบขันของทั่วโลก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเปิดชายแดน ด้วยความเป็นผู้นำที่ไม่มีอยู่จริง อ่อนแอ และไร้ประสิทธิภาพ กระทรวงยุติธรรม (DOJ) สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) และอัยการรัฐและท้องถิ่นเดโมแครต ต่างไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ไร้สมรรถนะ และทุจริต ใช้เวลาทำงานทั้งหมดไปกับการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย คือผมเอง แทนที่จะมุ่งปกป้องชาวอเมริกัน จากคนเลวจากทั้งในและนอกประเทศที่ใช้ความรุนแรงและแทรกซึมอยู่ในทุกภาคส่วนของรัฐบาลและชาติของเรา"

ทรัมป์ ระบุอีกว่า "เดโมแครตควรละอายแก่ตนที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับประเทศของเรา สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องตอนนี้ ก่อนจะสายไป สหรัฐอเมริกากำลังแหลกสลาย ความปลอดภัย ความมั่นคงแห่งชาติ และประชาธิปไตย กำลังถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลายอย่างรุนแรงทั่วทั้งชาติ ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและทรงพลังเท่านั้นที่จะหยุดยั้งได้ แล้วพบกันวันที่ 20 มกราคม ผมจะทำให้อเมริกากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง"

คำกล่าวของทรัมป์สะท้อนเสียงวิจารณ์ของชาวอเมริกันบางกลุ่มที่มองว่ากรณีเหตุที่นิวออร์ลีน จุดชนวนข้อถกเถียงขึ้นเกี่ยวกับนโยบายคนเข้าเมืองภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดนว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก็ตาม ทำให้บุคคลสำคัญฝั่งขวาหลายคนรีบเชื่อมโยงโศกนาฏกรรมครั้งนี้เข้ากับนโยบายคนเข้าเมืองของประธานาธิบดีโจ ไบเดน  

BYD ยอดขายทั่วโลกใน Q4/67 พุ่ง คาดปี 2025 แซง Tesla ขึ้นแท่นค่ายรถอีวีขายดีสุด

วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า บีวายดี (BYD) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก โดยในไตรมาส 4 ของปี 2024 บีวายดีแซงหน้าเทสลา (Tesla) เป็นครั้งที่สอง

(3 ม.ค.68) จากรายงานระบุว่า บีวายดี ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ที่สุดของจีน ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (All-Electric Vehicles) จำนวน 207,734 คันในเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในไตรมาส 4 ปี 2024 บีวายดีส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรวมประมาณ 595,000 คัน มากกว่าเทสลาที่ส่งมอบได้ 496,000 คัน แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นสถิติใหม่ของเทสลา แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 507,000 คัน

สำหรับยอดขายทั้งปี 2024 บีวายดีสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าได้รวม 1.768 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เทสลามียอดขายรวม 1.79 ล้านคัน ลดลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023

รายงานของ WSJ สอดคล้องกับการเปิดเผยของเทสลา ที่ได้รายงานยอดการผลิตและส่งมอบรถยนต์ในไตรมาส 4 และตลอดปี 2024 โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี เทสลาส่งมอบรถยนต์รวม 495,570 คัน และมียอดผลิตรวม 459,445 คัน ขณะที่ยอดส่งมอบทั้งปีอยู่ที่ 1,789,226 คัน และยอดผลิตรวม 1,773,443 คัน นี่เป็นครั้งแรกที่ยอดส่งมอบรถยนต์ของเทสลาลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในปี 2023 เทสลาส่งมอบรถได้ทั้งหมด 1.81 ล้านคัน

ก่อนหน้านี้ เทสลาได้เตือนนักลงทุนถึงความเป็นไปได้ที่การเติบโตอาจลดลงในปี 2024 เนื่องจากบริษัทกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2024 เทสลาได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยเลิกจ้างพนักงานกว่า 10% เพื่อลดต้นทุนและเน้นการพัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับตามคำมั่นของ อีลอน มัสก์

ในช่วงครึ่งปีหลัง มัสก์กลายเป็นที่จับตามองอีกครั้ง จากบทบาทของเขาในการสนับสนุนแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ มัสก์ใช้เงินราว 277 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนทรัมป์และผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน พร้อมร่วมลงพื้นที่หาเสียงในหลายรัฐสำคัญ

แม้ว่าเทสลาจะยังคงเป็นผู้นำในด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าหากมองจากยอดขายรวมตลอดทั้งปี แต่ช่องว่างในการแข่งขันกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดย บีวายดี มีศักยภาพสามารถเพิ่มยอดขายรถยนต์ได้มากกว่า 41% ในปี 2024 เมื่อเทียบเป็นรายปี และมีโอกาสสูงที่จะแซงหน้าเทสลาในปี 2025

การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่แข็งแกร่ง รวมถึงการสนับสนุนจากตลาดในประเทศจีน ซึ่งมีการแข่งขันระหว่างแบรนด์ท้องถิ่นอย่างดุเดือด และยังได้รับแรงจูงใจจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลหลายประเทศ ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

กว่า 90% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของบีวายดี มาจากตลาดจีน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บีวายดีเหนือแบรนด์ต่างชาติอย่างโฟล์คสวาเกน และโตโยต้า

การเติบโตของบีวายดีและผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น ๆ ของจีนกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในตะวันตก ฮอนด้า และ นิสสัน ได้ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่ากำลังเจรจาควบรวมกิจการ เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่เข้มข้นจากอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน

บุกบ้านยุนซอกยอล ทีมสอบสวนใช้อำนาจตามหมายจับ แต่กองเชียร์ขวางไม่ให้เข้า

ช่วงเช้าตรู่วันที่ (3 ม.ค.68) ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงโซล คณะสอบสวนจากสำนักงานสอบสวนการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการเมือง (ซีไอโอ) พร้อมตำรวจจำนวนหนึ่ง เข้าตรวจค้นบ้านพักของประธานาธิบดียุนซอกยอล ในกรุงโซล เพื่อใช้อำนาจตามหมายจับควบคุมตัวผู้นำเกาหลีใต้ หลังมีการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา  

ศาลได้อนุมัติหมายจับประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำเกาหลีใต้ซึ่งยังดำรงตำแหน่งต้องเผชิญหมายจับ โดยหมายดังกล่าวมีผลบังคับถึงวันที่ 6 มกราคมนี้  

อย่างไรก็ตาม สื่อท้องถิ่นรายงานว่ามีการขัดขวางการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่สอบสวนโดยกองกำลังทหารที่ประจำอยู่ภายในบ้านพัก นายยุนคัปกึน ทนายความของประธานาธิบดี ยืนยันว่าการควบคุมตัวตามหมายจับดังกล่าว "ผิดกฎหมายและขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง" พร้อมเตือนว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  

สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่าคณะเจ้าหน้าที่ที่ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้มีประมาณ 150 คน ประกอบด้วยตำรวจ 120 นาย และเจ้าหน้าที่ซีไอโอ 30 คน โดยมีการแบ่งกำลังบางส่วนเข้าไปในพื้นที่บ้านพัก และอีกส่วนหนึ่งคอยตรึงกำลังอยู่ภายนอก ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีที่มาชุมนุมกันเพื่อคัดค้านการจับกุม  

ในกรณีที่นายยุนถูกจับ เจ้าหน้าที่สอบสวนวางแผนจะนำตัวเขาไปยังสำนักงานใหญ่ของซีไอโอในเมืองกวาชอน ชานกรุงโซล เพื่อสอบสวนก่อนส่งตัวไปยังศูนย์กักขังโซลในเมืองอึยวังซึ่งอยู่ใกล้เคียง ทางซีไอโอจะมีเวลา 48 ชั่วโมงในการตัดสินใจขอหมายจับเพิ่มเติมเพื่อควบคุมตัวอย่างเป็นทางการหรือปล่อยตัวชั่วคราว

ผู้นำคาซัคแถลงผลงาน 2024 ชูสำเร็จรอบด้าน สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษดึงนักลงทุนต่างชาติ

(3 ธ.ค. 67) ทำเนียบประธานาธิบดีคาซัคสถานได้เผยแพร่แถลงการณ์สุนทรพจน์ปีใหม่ 2025 ของนายคัสซิม-โจมาร์ต โตกาเยฟ ผู้นำคาซัคสถาน ซึ่งได้กล่าวถึงความสำเร็จของรัฐบาลคาซัคสถานภายใต้การนำของเขาอย่างรอบด้านทั้งด้าน การเมือง สังคม และเศรษฐกิจของคาซัคสถานตลอดปี 2024

ในแถลงการณ์ของนายโตกายเฟระบุว่า ตลอดปี 2024 เขาได้เดินทางเยือน 11 ภูมิภาคทั่วประเทศ และเยี่ยมชมเขตอุตสาหกรรมและพื้นที่เชิงวัฒนธรรมกว่า 60 แห่ง รวมถึงเข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมสำคัญกว่า 41 ครั้ง และพบปะกับบุคคลทางการเมืองและสาธารณะทั้งในและต่างประเทศ 137 ครั้ง นอกจากนี้ นายโตกาเยฟได้ลงนามในกฎหมายและคำสั่งประธานาธิบดีรวมกว่า 3,979 ฉบับ ซึ่งประกอบด้วยกฎหมาย 95 ฉบับ กฤษฎีกา 319 ฉบับ คำสั่ง 81 ฉบับ บันทึกการประชุม 28 ฉบับ และเอกสารทางการ 3,456 ฉบับ จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2024

ในบรรดากฎหมายที่นายโตกาเยฟลงนาม มีการปรับโครงสร้างการปกครองของจังหวัดอัลมาตี โดยการยกระดับตำบลเจตีเกนให้กลายเป็นเมืองอาลาตาว ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยนายโตกาเยฟได้ใช้โอกาสในการเยือนสิงคโปร์เพื่อหารือกับนักลงทุนเกี่ยวกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจเสรีในอัลมาตีและการปรับปรุงการปกครองในพื้นที่สำคัญ

ผู้นำคาซัคสถานยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสังคม 5 ประการ ได้แก่ การป้องกันการค้ามนุษย์ การส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงและเด็ก และการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว โดยการออกกฎหมายใหม่และปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนสิทธิที่สำคัญเหล่านี้

ในด้านการจัดการวิกฤต น้ำท่วมครั้งใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิที่ส่งผลกระทบต่อ 10 ภูมิภาคของประเทศ นายโตกาเยฟได้สั่งการอพยพผู้คนที่ได้รับผลกระทบและให้การช่วยเหลือทั้งทางการเงินและปัจจัยด้านต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วม พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ในด้านเศรษฐกิจ นายโตกาเยฟได้สั่งการให้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมการแข่งขันและลดการแทรกแซงจากรัฐ โดยมุ่งเน้นที่การลดต้นทุนธุรกิจและการส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น การทำเหมืองแร่ การค้า และการผลิต ซึ่งส่งผลให้คาซัคสถานสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศสูงถึง 9.8 พันล้านเหรียญสหรัฐในครึ่งแรกของปี 2024

นอกจากนี้ คาซัคสถานยังได้เปิดตัวศูนย์ขนส่งและโลจิสติกส์สำคัญหลายแห่ง รวมถึงในเมืองซีอาน ประเทศจีน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าไปยังยุโรป อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสาลีสูงสุดถึง 26.7 ล้านตัน แม้จะประสบกับภัยพิบัติจากน้ำท่วม

ปี 2024 คาซัคสถานยังได้เริ่มโครงการสร้างโรงเรียนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในพื้นที่ชนบท โดยสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนใหม่เพื่อให้บริการที่ดีกว่าแก่ประชาชนในชนบท

ในเดือนพฤษภาคม นายโตกาเยฟได้ลงนามในคำสั่งที่มุ่งเน้นการปรับปรุงเศรษฐกิจ โดยการลดการแทรกแซงจากรัฐและส่งเสริมการแข่งขัน ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาในด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการร่วมมือกับอุซเบกิสถานในการพัฒนาเส้นทางการค้าทรานส์-อัฟกัน แม้คาซัคสถานจะเผชิญกับน้ำท่วมในฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสาลีได้มากที่สุดในรอบสิบปีที่ 26.7 ล้านตัน

นอกจากนี้ การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครรงการ Taza Kazakhstan สามารถระดมพลประชาชน 2.4 ล้านคน เก็บขยะได้ 900,000 ตัน และปลูกต้นไม้ได้ 2.5 ล้านต้น

ปี 2024 คาซัคสถานยังได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยการเปิดตัวเมืองอาลาตาว จากการลงนามคำสั่งของนายโตกาเยฟในเดือนมกราคม ซึ่งได้เปลี่ยนหมู่บ้านเจทีเกนให้กลายเป็นเมืองอาลาตาว ตั้งอยู่ระหว่างอัลมาตีและโคนาเยฟ โครงการนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการหารือกับนักลงทุนในสิงคโปร์เกี่ยวกับการรวมกลุ่มอัลมาตีเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจเสรี

ตลอดทั้งปี 2024 นายโตกาเยฟได้แนะนำกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของผู้หญิงและความปลอดภัยของเด็ก โดยเน้นการเสริมบทลงโทษสำหรับความรุนแรงในครอบครัวและการค้ามนุษย์ รวมถึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนด้วยการกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับการทำลายทรัพย์สิน การห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้า และมาตรการลดการเสพติดการพนัน

โดยรวมแล้ว ปี 2024 ถือเป็นปีที่สำคัญสำหรับคาซัคสถานในการพัฒนาเศรษฐกิจ การปรับปรุงสังคม และการจัดการวิกฤต พร้อมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศในอนาคต

ผู้นำคาซัคสถานนายคัสซิม-โจมาร์ต โตกาเยฟ กล่าวว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปีหน้าเป็นปีที่ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น โดยกล่าวว่า "เราจะดำเนินการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องและทำโครงการที่ได้วางแผนไว้ให้สำเร็จ" 

"รัฐบาลต้องดำเนินการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง เราต้องเปิดโรงงานผลิตใหม่ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ สร้างถนนให้มากขึ้น และแก้ปัญหาในภาคบริการสาธารณะ" เขากล่าว

นายโตกาเยฟยังเน้นถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ในการขับเคลื่อนการพัฒนา "เป้าหมายหลักของการทำงานทั้งหมดนี้คือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน" นายโตกาเยฟกล่าว

มัสก์บอกกระบะ 'ไซเบอร์ทรัก' กันระเบิดได้ บึ้มหน้าโรงแรมทรัมป์จึงเสียหายไม่มาก

(2 ม.ค. 67) จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ตามเวลาสหรัฐฯ เมื่อรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรักของเทสลาระเบิดบริเวณด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล โฮเทล (Trump International Hotel) ในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บหลายคน

เจ้าหน้าที่ตำรวจนครลาสเวกัสเปิดเผยว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดระบุว่าแสงจากการระเบิดมีลักษณะคล้ายกับการระเบิดของพลุดอกไม้ไฟที่ใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งทำให้เชื่อว่าไม่ใช่การระเบิดจากระเบิดแสวงเครื่องที่มักใช้ในเหตุการณ์ก่อการร้าย อีกทั้งยังไม่พบความผิดปกติของตัวรถที่อาจทำให้เกิดการระเบิด

นายอีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทเทสลา ได้กล่าวผ่าน X ว่า "พวกหัวรั้นเลือกยานพาหนะผิดคันในการโจมตี รถกระบะ Cybertruck จริงๆ สามารถกักเก็บการระเบิดจากด้านข้างและส่งแรงระเบิดออกทางด้านบน ทำให้แม้แต่ประตูกระจกของล็อบบี้โรงแรมก็ไม่แตก"

มัสก์ยังกล่าวว่า ทีมระดับสูงของ Tesla กำลังสืบสวนเหตุการณ์นี้ โดยจากการสืบสวนพบว่า การระเบิดเกิดจาก "ดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ที่เก็บไว้ในรถคันดังกล่าว ไม่ใช่ความผิดปกติของตัวรถที่ทำให้เกิดการระเบิด"

คำกล่าวของมัสก์สอดคล้องกับรายงานของตำรวจลาสเวกัส ที่พบถังแก๊สและดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ในท้ายรถ Tesla Cybertruck ที่ระเบิดใกล้กับโรงแรม Trump International ในลาสเวกัส นายอำเภอเควิน แม็กมาฮิล ได้กล่าวในภายหลังและขอบคุณมัสก์และทีมงานสำหรับข้อมูลที่ให้มา

ผู้นำไต้หวันกร้าว จีน-รัสเซีย อันธพาลโลก เล็งทุ่มงบกลาโหมเสริมป้องกันประเทศ

(2 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวันกล่าวในตอนหนึ่งของสุนทรพจน์เนื่องในวันปีใหม่ว่า จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันประเทศ ท่ามกลางภัยคุกคามจากจีน พร้อมระบุว่าไต้หวันเป็น 'แนวป้องกันประชาธิปไตย' ที่สำคัญของโลก  

ประธานาธิบดีไล่กล่าวว่า "จีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน กำลังร่วมมือกันคุกคามระเบียบโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก สันติภาพ และเสถียรภาพของโลก" คำกล่าวดังกล่าวไต้หวันสะท้อนไปยังจีนซึ่งยังคงยืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตน และพร้อมใช้กำลังหากจำเป็น  

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มแรงกดดันต่อไต้หวัน เช่น การซ้อมรบรอบเกาะและการแย่งชิงพันธมิตรทางการทูตของไต้หวันให้หันไปสนับสนุนจีน ในขณะที่ไต้หวันตอบโต้ด้วยการปฏิรูปกองทัพและจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญ  

ไล่กล่าวว่า "เราต้องเตรียมพร้อมในยามสงบ ด้วยการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาธิปไตยและความมั่นคงของเรา ทุกคนมีหน้าที่ปกป้องไต้หวัน เพราะไต้หวันคือแนวป้องกันประชาธิปไตยสำคัญของโลก"  

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไล่ยังย้ำถึงความสำคัญของการรักษาประชาธิปไตยภายในประเทศ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยพรรคฝ่ายค้านได้ผ่านร่างกฎหมายที่ถูกวิจารณ์ว่าอาจเป็นภัยต่อประชาธิปไตย  

สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีไล่ มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงตอบโต้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงหลังจากที่ผู้นำจีนแถลงในสาส์นปีใหม่ว่า "ชาวจีนของทั้งสองฝั่งช่องแคบไต้หวันเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดสามารถตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือหยุดยั้งการรวมชาติได้"  

ส่งจดหมายถึงกองเชียร์ ประกาศสู้จนถึงที่สุด ก่อนศาลตัดสินถอดถอน เกาหลีใต้เร่งจับกุม

(2 ม.ค. 68) ทนายความของประธานาธิบดียุน ซอกยอลแห่งเกาหลีใต้ ซึ่งถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่หลังจากประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ได้เปิดเผยข้อความผ่านจดหมายน้อยที่ประธานาธิบดียุนซอกยอลส่งถึงบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนในวันที่ 1 มกราคม ระบุว่าเขาจะสู้จนถึงที่สุดหลังจากศาลเกาหลีใต้อนุมัติการออกหมายจับยุนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งคนแรกที่ต้องเผชิญการจับกุมในข้อหาก่อกบฏ

ข้อความในจดมหมายระบุว่า "ผมเห็นว่าพวกคุณกำลังต่อสู้อย่างหนักผ่านไลฟ์สดในยูทูป ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศนี้ร่วมกับพวกคุณ เนื่องจากกองกำลังภายในและภายนอก ละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศ รวมถึงกิจกรรมของกลุ่มต่อต้านรัฐ เกาหลีใต้จึงตกอยู่ในอันตราย ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศนี้พร้อมกับทุกคน"

พรรคประชาธิปไตย (ดีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านและมีเสียงข้างมากในสภา ได้ยื่นญัตติถอดถอนประธานาธิบดียุนเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม กล่าวว่า จดหมายของยุนไม่ช่วยให้เขาพ้นผิดแต่อย่างใด โดยนาย โจ ซึงแร โฆษกของพรรคดีพี กล่าวว่า ความพยายามในการก่อกบฏยังไม่เพียงพอสำหรับยุนและตอนนี้เขากำลังปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือขึ้น

สำนักงานการสอบสวนการทุจริตสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ มีเวลาที่จะดำเนินการหมายจับยุนจนถึงวันที่ 6 มกราคม และศาลมีกำหนดพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดีในวันที่ 3 มกราคม หากศาลตัดสินให้ยุนถูกถอดถอน จะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน

ทนายความของยุนกล่าวว่า การออกหมายจับประธานาธิบดีไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย เนื่องจาก CIO ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการดำเนินการดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียุนได้ส่งข้อความถึงผู้สนับสนุนที่รวมตัวกันที่หน้าบ้านพักประธานาธิบดีในกรุงโซล โดยกล่าวว่า "ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศ" และขอบคุณผู้สนับสนุนที่ต่อสู้ผ่านการถ่ายทอดสดทางยูทูบ

ปัจจุบันนายยุนกำลังเผชิญกับการสอบสวนในข้อหาก่อกบฏหลังจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม โดยศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าเขาจะถูกถอดถอนหรือไม่

พรรคฝ่ายค้านวิจารณ์ข้อความล่าสุดของยุน โดยกล่าวหาว่าเขากำลังยุยงให้เกิดความวุ่นวาย ขณะที่หน่วยงานปราบปรามการทุจริตกำลังดำเนินการตามหมายจับโดยเร็วที่สุด หลังจากศาลแขวงโซลออกหมายจับนายยุนในข้อหาวางแผนการประกาศกฎอัยการศึกและการใช้อำนาจในทางมิชอบ

หากจับกุมนายยุนได้ เจ้าหน้าที่จะนำตัวเขาไปสอบสวนที่สำนักงานของ CIO ก่อนจะควบคุมตัวที่สถานที่กักขังในเมืองอึยวัง ใกล้กับสำนักงานของ CIO

นอกจากนี้ คณะที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดียุนได้ยื่นหนังสือลาออกยกชุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม หลังจากที่รักษาการประธานาธิบดีชเว ซังม็อก อนุมัติการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ 2 คนเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดียุน

การลาออกเกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่รักษาการประธานาธิบดีชเว อนุมัติการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ 2 คน ซึ่งส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีองค์คณะผู้พิพากษา 8 คนจากทั้งหมด 9 คน การพิจารณาคดีของประธานาธิบดียุนจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 6 เสียง

พรรคพลังประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของรักษาการประธานาธิบดีชเว ว่าเป็นการกระทำที่ "ดันทุรัง" และขาดการปรึกษาหารืออย่างเพียงพอ

นักศึกษาไทยฝึกงานเมคคาทรอนิกส์-หุ่นยนต์ในจีน กรุยทางสู่อาชีพในอุตสาหกรรมระดับโลก

(2 ม.ค. 68) ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาของไทยได้ส่งเสริมโครงการความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยอาชีวะและเทคนิคหลิ่วโจวของจีนกับวิทยาลัยเทคนิคของไทย จำนวน 5 แห่ง ซึ่งมีการรับสมัครนักศึกษารวม 85 คน เพื่อตอบสนองความต้องการบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์

โครงการนี้จัดการฝึกอบรมแบบ “ภาษาจีน+วิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์” แก่นักศึกษา โดยนักศึกษาจะเข้าฝึกงานที่บริษัท จูไห่ ฟาวน์เดอร์ ปริน เซอร์กิต บอร์ด ดีเวลอปเมนต์ จำกัด หรือฟาวน์เดอร์ พีซีบี (Founder PCB) ในจีนหลังจากผ่านการฝึกอบรม รวมถึงมีโอกาสเข้าทำงานที่ฐานการผลิตของฟาวน์เดอร์ พีซีบี ในไทยด้วย

สง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งเดินทางไปส่งคณะนักศึกษาชาวไทยที่เข้าร่วมโครงการในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีนเมื่อไม่นานนี้ กล่าวว่าโครงการนี้ช่วยให้เด็กไทยได้เล่าเรียนและฝึกงานในจีน เปิดกว้างมุมมองและประสบการณ์ มีโอกาสได้งานทำที่ดี และส่งเสริมการพัฒนาอาชีวศึกษาในไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อนึ่ง กว่างซีได้เดินหน้ากระชับความร่วมมือเชิงปฏิบัติกับอาเซียน ซึ่งรวมถึงความร่วมมือทางอาชีวศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาของกว่างซีได้จัดตั้งวิทยาลัยช่างฝีมือสมัยใหม่จีน-อาเซียน จำนวน 17 แห่ง ในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเกษตร การอนุรักษ์น้ำ ไฟฟ้า การขนส่ง ฯลฯ

ความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาระหว่างจีนกับอาเซียนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนรุ่นใหม่ในอาเซียนจำนวนไม่น้อย เฉกเช่นอินทิรา พันธ์วิไล หรือหลี่เฟิ่งหวง บัณฑิตวิทยาลัยอาชีวะและเทคนิคหลิ่วโจว ได้เข้าทำงานที่บริษัท เซินหนาน เซอร์กิต จำกัด ในไทย ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จจากความร่วมมือดังกล่าว

กลุ่มคนวงในอุตสาหกรรมต่างๆ มองว่าความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาระหว่างจีนกับไทยไม่เพียงบ่มเพาะผู้มีความรู้ความสามารถมากทักษะที่บริษัทนานาชาติต้องการ แต่ยังนำมาซึ่งโอกาสใหม่ของอาชีวศึกษาสมัยใหม่ในสองประเทศ อัดฉีดแรงกระตุ้นใหม่สู่การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

คาซัคสถานผงาด! ครองฮับการลงทุนเอเชียกลาง ดึงเม็ดเงิน 15.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

(2 ม.ค.68) คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (ESCAP) ได้เผยแพร่รายงานการลงทุนประจำปี 2024 ซึ่งระบุว่า คาซัคสถานได้กลายเป็นประเทศชั้นนำของแถบเอเชียกลางที่สามารถดึงดูดการลงทุนในโครงการใหม่ได้ถึง 15.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นผู้นำด้านการลงทุนในภูมิภาคเอเชียเหนือและเอเชียกลาง  

ข้อมูลระบุว่าในปี 2024 การลงทุนในคาซัคสถานเพิ่มขึ้นถึง 88% เมื่อเทียบกับปี 2023 คิดเป็น 63% ของการลงทุนทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ติดในการจัดอันดับชาติที่ได้รับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียกลางสูงสุดคือ อุซเบกิสถาน – 4 พันล้านดอลลาร์ (-49%)  คีร์กีซสถาน – 2.1 พันล้านดอลลาร์ (+310%)  อาเซอร์ไบจาน – 1.2 พันล้านดอลลาร์ (+1%) เติร์กเมนิสถาน – 339 ล้านดอลลาร์ จอร์เจีย – 126 ล้านดอลลาร์ อาร์เมเนีย – 67 ล้านดอลลาร์  

รายงานยังชี้ให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมการลงทุนในภูมิภาคสะท้อนถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งของบริษัทนานาชาติที่มุ่งกระจายกลยุทธ์การลงทุน โดยให้ความสำคัญกับโครงการในสาขาสำคัญ เช่น พลังงานสีเขียว การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี  

ในรายงานของESCAP ระบุว่า “ความสำเร็จนี้สะท้อนจากความพยายามอย่างจริงจังของหน่วยงานด้านการลงทุนและกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ความสำเร็จในภาคส่วนเกิดใหม่ไม่เพียงขึ้นอยู่กับนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน แต่ยังต้องมีการสนับสนุนครอบคลุมในทุกขั้นตอน รวมถึงการดูแลนักลงทุนหลังการลงทุนด้วย” 

แม้จะมีความท้าทายระดับโลก แต่คาซัคสถานยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ โดยยืนหยัดเป็นเวทีสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและโอกาสใหม่ ๆ ในปีนี้ คาซัคสถานยังจัดงานสำคัญด้านการลงทุน เช่น สภานักลงทุนต่างชาติ และการประชุมโต๊ะกลมการลงทุนระดับโลกคาซัคสถาน 2024 ซึ่งช่วยย้ำสถานะของประเทศในฐานะศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคนี้

'เทสลา ไซเบอร์ทรัก' ระเบิด ดับ 1 ราย มัสก์เชื่ออาจเป็นเหตุก่อการร้าย

(2 ม.ค. 68) เกิดเหตุรถกระบะไฟฟ้า 'ไซเบอร์ทรัก' (Tesla Cybertruck) ระเบิดที่ลานจอดรถด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล โฮเทล (Trump International Hotel) เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันพุธที่ 1 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 7 ราย ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) กำลังเร่งตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว

ภาพจากกล้องวิดีโอแสดงให้เห็นว่า รถไซเบอร์ทรักคันดังกล่าวเกิดระเบิดและไฟลุกท่วมในขณะที่จอดอยู่ด้านนอกของโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล โฮเทล

นายเควิน แมคมาฮิลล์ นายอำเภอเขตคล้ากเคาตี เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ KSNV ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08:40 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่รถคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณทางเข้าโรงแรม และเริ่มมีควันก่อนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตภายในรถ 1 ราย

สำนักงานตำรวจลาสเวกัสได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ระบุว่า “เรากำลังสอบสวนเหตุการณ์ระเบิดรถไซเบอร์ทรักที่ทางเข้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ส ขณะนี้เพลิงถูกควบคุมแล้ว ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว”

ตำรวจยืนยันว่า มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 7 ราย โดย 2 รายต้องถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ในโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล ได้รับการย้ายไปยังโรงแรมใกล้เคียงคือ รีสอร์ท เวิลด์ ลาสเวกัส

แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับรายงานสรุปเหตุการณ์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ABC News ว่า รถไซเบอร์ทรักคันนี้บรรทุกดอกไม้ไฟชนิดกระสุนปืนครก (fireworks-style mortars) ซึ่งฝ่ายสืบสวนกำลังหาสาเหตุว่าการระเบิดเป็นอุบัติเหตุหรือจงใจ

“การสืบสวนกำลังพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมและการก่อการร้าย จนกว่าจะพบแรงจูงใจที่ชัดเจน” รายงานระบุ

ด้านนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “ทีมผู้บริหารระดับสูงของเทสลากำลังสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เรายืนยันว่าเหตุการณ์เกิดจากดอกไม้ไฟขนาดใหญ่หรือระเบิดที่อยู่ในรถไซเบอร์ทรักที่เช่ามา และไม่เกี่ยวข้องกับระบบของรถเอง”

เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้พักอาศัยในพื้นที่และผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา ซึ่งยังคงต้องติดตามผลการสืบสวนต่อไป

'ยุนซอกยอล' ลุแก่อำนาจ สภาผลักดันถอดถอนพ้นปธน.

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอก-ยอล สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งประเทศด้วยการประกาศกฎอัยการศึกครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปี โดยกล่าวถึง 'กองกำลังต่อต้านรัฐ' และภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ซึ่งทำให้ประชาชนและนักการเมืองจำนวนมากพากันตื่นตัวและแสดงความไม่พอใจ

แม้ว่าการประกาศดังกล่าวจะถูกอ้างถึงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากภายนอก แต่ไม่นานนักก็เริ่มชัดเจนว่ากฎอัยการศึกนี้อาจมีสาเหตุมาจากความพยายามของประธานาธิบดีในการจัดการปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองที่เขากำลังเผชิญหน้า

ทันทีที่กฎอัยการศึกประกาศออกมา ผู้คนหลายพันคนได้ออกมาประท้วงหน้ารัฐสภาเกาหลีใต้ โดยเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าว พร้อมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรคฝ่ายค้านที่เร่งรุดไปที่รัฐสภาเพื่อทำการลงมติยกเลิก

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุนเกิดขึ้นในช่วงที่เขาถูกกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองภายใน โดยเขาอ้างว่าเป็นการดำเนินการเพื่อกำจัด "กองกำลังต่อต้านรัฐ" ซึ่งเขาเชื่อว่าอยู่ภายในเกาหลีใต้เอง

ภายใต้มาตรการกฎอัยการศึกนี้ทำให้กองทัพเกาหลีใต้มีอำนาจพิเศษ โดยทหารและตำรวจเต็มเครื่องแบบถูกส่งไปยังรัฐสภา พร้อมทั้งมีเฮลิคอปเตอร์บินลงจอดบนหลังคาของอาคารรัฐสภา ขณะที่มีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้ารัฐสภา แต่ความตึงเครียดไม่ได้บานปลายเป็นความรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ในเวลา 1:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น รัฐสภาเกาหลีใต้ได้ลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกด้วยคะแนน 190 เสียง ซึ่งทำให้กฎอัยการศึกที่ประกาศออกมาในตอนแรกเป็นโมฆะ โดยสมาชิกพรรคฝ่ายค้านในเกาหลีใต้ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึก โดยระบุว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและละเมิดรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันผู้นำพรรคประชาธิปไตย (DP) ได้เรียกร้องให้สมาชิกพรรคมารวมตัวกันที่รัฐสภาเพื่อทำการโหวตคว่ำการประกาศดังกล่าว 

ประธานาธิบดียุนได้รับความนิยมที่ลดลงเรื่อย ๆ หลังจากการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2024 โดยพรรคฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งและสามารถยับยั้งการผ่านกฎหมายของรัฐบาล ในช่วงที่ผ่านมา เขายังต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาคอร์รัปชันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องที่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งรับของขวัญจากดีออร์

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ในเวลาต่อมา วันที่ 14 ธันวาคม ที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติเกาหลีใต้ในกรุงโซล มีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 204 เสียง 'ถอดถอนประธานาธิบดี ยุน ซ็อกยอล' ออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศแล้ว นับเป็นการลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง (อิมพีชเมนท์) เป็นครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลีใต้ จากปัญหาอื้อฉาวกรณีการประกาศกฎอัยการศึกกลางดึกคืนวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ในการโหวต มีสมาชิกรัฐสภา 204 ต่อ 85 เสียง ลงมติเห็นชอบกับญัตติดดังกล่าว นั่นหมายความว่ายุนจะถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ทันที และ "นายกรัฐมนตรี" จะทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดีแทน

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ อำนาจและหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีเกาหลีใต้ของยุน ซ็อกยอล จะถูกระงับลงชั่วคราวทันที ประธานาธิบดีต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ทันที "นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ฮัน ด็อกซู" จะเข้ามารักษาการแทนชั่วคราว

ขั้นตอนต่อไป รัฐสภาจะต้องส่งเรื่องมติถอดถอนในสภาไปยัง "ศาลรัฐธรรมนูญ" ต่อ โดยศาลมีเวลาไต่สวน 180 วัน เพื่อพิจารณาว่าจะให้ยุนพ้นจากตำแหน่งหรือจะคืนอำนาจให้ตามเดิม หากศาลพิจารณาเห็นชอบตามรัฐสภา จะต้องมีการประกาศจัดการเลือกตั้งใหม่ตามมาภายใน 60 วัน นับตั้งแต่มีคำตัดสินของศาล

โดนัลด์ ทรัมป์ คัมแบ็ก คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จับตานโยบายสะท้านการเมือง-เศรษฐกิจโลก

โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 เอาชนะคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ด้วยผลคะแนนที่ขาดลอย โดยทรัมป์ชนะใน 30 รัฐ รวมถึง 7 รัฐสมรภูมิสำคัญ นอกจากนี้ เขายังสามารถรักษาฐานเสียงในรัฐอนุรักษ์นิยมในภูมิภาคตอนกลางและตอนเหนือได้ครบถ้วน เช่น ไวโอมิง, ยูทาห์, โอคลาโฮมา, ลุยเซียนา และอาร์คันซอ ทรัมป์ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเดโมแครตมาเกือบ 1 ศตวรรษ โดยเขาได้รับคะแนนกว่า 5,000,000 และ 3,500,000 คะแนนตามลำดับในรัฐทั้งสอง

ในวัย 78 ปี ขณะเลือกตั้ง ทรัมป์กลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเขาประกาศชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการในช่วงดึกของวันที่ 5 พฤศจิกายน ณ เวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา พร้อมประกาศว่า เจ.ดี.แวนซ์ จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 50 ของสหรัฐฯ โดยทั้งคู่มีกำหนดเข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม 2568

ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ดำรงตำแหน่ง 2 สมัยไม่ต่อเนื่องกัน นับตั้งแต่โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ในปี 2435 นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันคนแรกในรอบกว่า 20 ปีที่สามารถชนะคะแนนมหาชน (Popular Vote) หลังจากล้มเหลวในการเลือกตั้งปี 2559 และ 2563 ในครั้งนี้เขาได้รับคะแนนมหาชนเกือบ 75 ล้านเสียง

การกลับสู่ทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นที่จับตามองถึงผลกระทบที่จะมีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 โดยเฉพาะในหลายนโยบายที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐอาจจะสร้างปรากฏการณ์เขย่าการเมืองโลกอยู่ไม่น้อย

ยุ่นรับเคราะห์ต้นปี แผ่นดินไหว 7.6 คร่าชีวิต 460 ราย วันถัดมาเครื่องบินชนกลางฮาเนดะ

ปี 2567 เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 1 มกราคม เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.6 ที่คาบสมุทรโนโตะ จังหวัดอิชิคาวะ ทางตอนกลางของญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นต้องออกประกาศเตือนสึนามิในหลายจังหวัด อาทิ อิชิคาวะ ยามางาตะ นีงาตะ โทยามะ ฟุกุอิ และเฮียวโงะ ก่อนที่จะยกเลิกในภายหลัง 

แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวส่งผลให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกกว่า 8,500 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 460 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 1,300 คน โครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประเมินมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5.9 แสนล้านบาท  

เพียงวันถัดมา วันที่ 2 มกราคม เหตุการณ์โศกนาฏกรรมอีกครั้งเขย่าขวัญคนทั่วโลก เมื่อเครื่องบินโดยสารสายการบิน Japan Airlines เฉี่ยวชนกับเครื่องบินของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น ขณะลงจอดที่สนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว ส่งผลให้เครื่องบินโดยสารเกิดเพลิงไหม้  

ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องบิน Japan Airlines รวม 379 คนสามารถอพยพออกจากเครื่องได้ในเวลาเพียง 18 นาที แม้มีผู้บาดเจ็บ 15 รายที่ต้องเข้ารับการรักษา แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ฝั่งเครื่องบินของหน่วยยามฝั่ง ซึ่งมีลูกเรือ 6 คนบนเครื่อง กลับต้องสูญเสียชีวิตถึง 5 ราย รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว  

เหตุการณ์ทั้งสองสร้างความโศกเศร้าและความสูญเสียครั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2567 ทำให้ทั่วโลกจับตามองถึงมาตรการป้องกันภัยพิบัติและอุบัติเหตุทางอากาศของญี่ปุ่นในอนาคต

สื่อเผยรถยนต์ราคาถูกสหรัฐฯ ส่อวิกฤต คนอเมริกันต้องซื้อรถแพงขึ้นเพราะกำแพงภาษี

(30 ธ.ค. 67) เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่าการหาซื้อรถยนต์ราคาเอื้อมถึงในสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องท้าทายของชาวอเมริกันจำนวนมากที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจากการจัดเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกในอัตราใหม่อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้เลวร้ายกว่าเดิม

เอ็ดมันด์ส (Edmunds) เว็บไซต์ซื้อขายรถยนต์ วิเคราะห์ว่าเกือบหนึ่งในสามของยานยนต์ทั้งหมดที่มีราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.02 ล้านบาท) และจำหน่ายในสหรัฐฯ นั้นผลิตในเม็กซิโก เช่น นิสสัน เซนตรา (Nissan Sentra) ฟอร์ด เมเวอริกค์ (Ford Maverick) และรถยนต์ยอดนิยมรุ่นอื่นๆ

ทั้งนี้ เม็กซิโกถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ราคาเอื้อมถึงได้ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ราวหนึ่งในห้าเมื่อสิบปีที่แล้ว

รายงานเสริมว่าเม็กซิโกเป็นจุดหมายที่บรรดาผู้ผลิตยานยนต์นึกถึง หากต้องการควบคุมต้นทุนการผลิตยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นเล็กที่จำหน่ายในราคาต่ำกว่าและทำกำไรน้อยกว่ารถยนต์รุ่นใหญ่กว่าอย่างรถบรรทุกและรถเอสยูวี (SUV) ขนาดใหญ่

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ข้างต้นด้วยการกำหนดจัดเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาราวร้อยละ 25 ซึ่งอาจหมายถึงการล้มเลิกข้อตกลงการค้าเสรีที่เขาเคยเจรจาตอนดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก

เหล่านักวิเคราะห์และตัวแทนจำหน่ายยานยนต์มองว่าต้นทุนที่เกี่ยวพันกับการจัดเก็บภาษีนำเข้าอัตราใหม่จะถูกโยนสู่ผู้บริโภคในระยะเวลาอันใกล้และส่งผลกระทบต่อรถยนต์ราคาเอื้อมถึงได้และรถยนต์เอสยูวีอย่างหนักที่สุด ขณะรถยนต์ราคาต่ำบางรุ่นและชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกและแคนาดายังจะถูกคิดภาษีนำเข้าใหม่ ซึ่งกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ผลิตและผู้บริโภค


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top