Sunday, 6 July 2025
WORLD

ผู้อพยพประท้วงรบ.ทรัมป์ บอยคอตหยุดงาน แสดงพลังเป็นเบื้องหลังผู้สร้างศก.อเมริกา

(4 ก.พ. 68) สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่า บรรดาประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวและผู้อพยพ ต่างออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายจับกุมและเนรเทศผู้อพยพของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะที่นครลอสแอนเจลิส (LA) ซึ่งมีการรวมตัวประท้วงหลายจุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า การประท้วงทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐภายใต้แคมเปญ Day without immigrations ที่นครลอสแองเจลิส กลุ่มผู้ประท้วงเดินขบวนไปยังศาลากลาง LA พร้อมโบกธงและถือป้ายต่อต้านมาตรการแข็งกร้าวต่อผู้อพยพ ก่อนที่บางส่วนจะเคลื่อนตัวไปปิดกั้นทางด่วนหมายเลข 101 ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตในใจกลางเมืองนานหลายชั่วโมง ขณะที่เมืองริเวอร์ไซด์ ทางตะวันออกของ LA ก็มีการชุมนุมเช่นกัน โดยบางกลุ่มใช้รถยนต์เบิร์นยางกลางสี่แยกเพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ

ส่วนที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส กลุ่มภาคประชาสังคมได้เดินขบวนประท้วงนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ ที่มุ่งเน้นจับกุมและเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย พร้อมเพิ่มงบประมาณปิดกั้นพรมแดน รายงานระบุว่ารัฐบาลทรัมป์จับกุมผู้อพยพเฉลี่ยวันละ 900-1,200 คน โดยเฉพาะในเมืองที่มีศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ เช่น นิวยอร์กและชิคาโก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกาใต้ เปรียบเทียบกับยุครัฐบาลโจ ไบเดน ที่มีอัตราการจับกุมเฉลี่ยเพียง 311 คนต่อวัน

กลุ่มผู้อพยพหลายกลุ่มได้แสดงพลังในการสนับสนุนบทบาทของแรงงานต่างด้าวในฐานะกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการบอยคอตการทำงานและการงดซื้อสินค้าต่างๆ เพื่อแสดงออกว่าแรงงานต่างด้าวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากขาดแรงงานต่างด้าว สหรัฐฯ จะไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงได้

ขณะเดียวกันนาย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางเยือนปานามา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับคลองปานามา ซึ่งทรัมป์เคยขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าควบคุม อ้างเหตุผลว่าค่าธรรมเนียมผ่านทางสูงเกินไปและปานามาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโฮเซ ราอูล มูลิโน ของปานามายืนยันว่าคลองปานามาเป็นของประเทศตนและไม่สามารถเจรจาเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะพิจารณาข้อกังวลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการลงทุนของบริษัทจีนและฮ่องกง รวมถึงมาตรการควบคุมผู้อพยพ

รูบิโอยังมีกำหนดเดินทางเยือนเอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา กัวเตมาลา และสาธารณรัฐโดมินิกัน เพื่อหารือเรื่องการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ในการควบคุมการเข้าเมืองผิดกฎหมาย

มักส์เล็งสั่งปิด 'USAID' องค์กรมนุษยธรรมโลก ซัด ไร้ประสิทธิภาพ-ผลาญเงิน-เกินเยียวยา

(4 ก.พ. 68) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและนักธุรกิจชื่อดัง  ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้นำกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE ได้ประกาศแผนปรับลดขนาดหน่วยงานรัฐ  โดยมีหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการสั่งปิด องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (USAID) โดยให้เหตุผลว่าหน่วยงานดังกล่าว "ไร้ประสิทธิภาพและไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

มักส์ โพสต์ในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ว่า กำลังหารือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลหรือ DOGE เรื่องปิดยูเอสเอด เนื่องจาก “เกินเยียวยา” แล้ว และว่าประธานาธิบดีทรัมป์เห็นด้วยว่าควรปิดหน่วยงานนี้

USAID เป็นผู้บริจาคเดี่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยได้บริจาคความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามที่สหประชาชาติหรือยูเอ็นติดตามข้อมูลได้ในปี 2567 มากถึงร้อยละ 42 ของความช่วยเหลือทั้งหมด

ก่อนหน้าที่มักส์จะประกาศเรื่องดังกล่าว เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้สั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 รายของ USAID หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางตัวแทนจาก DOGE ของมัสก์ไม่ให้เข้าถึงพื้นที่ควบคุมของหน่วยงานดังกล่าว

USAID ถือเป็นองค์กรบริจาครายใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปีงบประมาณ 2023 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้เงินช่วยเหลือทั่วโลกรวมกว่า 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ครอบคลุมโครงการด้านสุขภาพ น้ำสะอาด การรักษาโรค HIV/AIDS ความมั่นคงด้านพลังงาน และมาตรการต่อต้านการทุจริต โดยคิดเป็น 42% ของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมดที่องค์การสหประชาชาติติดตามในปี 2024

ก่อนหน้านี้ไม่นานหลังโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่ง นโยบาย America First ของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการให้ความช่วยเหลือระดับนานาชาติ โครงการสำคัญ เช่น โรงพยาบาลสนามในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่สงคราม และการแจกจ่ายยารักษาโรค HIV อาจถูกยกเลิกเนื่องจากมาตรการลดงบประมาณครั้งนี้

มัสก์คาดการณ์ว่ามาตรการลดงบประมาณดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาทในปีหน้า โดยเขากล่าวหาว่ามีกลุ่มอาชญากรทางการเงินจากต่างประเทศปลอมแปลงตัวตนเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เพื่อฉ้อโกงเงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ให้หลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ หรืออธิบายว่าตัวเลข 1 ล้านล้านดอลลาร์นั้นถูกคำนวณอย่างไร

นอกจากนี้ มีข้อกังวลเกี่ยวกับการที่มัสก์สามารถเข้าถึงระบบการเงินของกระทรวงการคลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับหน่วยงานรัฐบาลกลาง และยังมีข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนสหรัฐฯ ที่ได้รับเงินสวัสดิการทางสังคมและการคืนภาษี ซึ่งเรื่องนี้ ส.ว. ปีเตอร์ เวลช์ จากพรรคเดโมแครต ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลอธิบายว่าเหตุใดมัสก์จึงสามารถเข้าถึงระบบดังกล่าวได้ โดยกล่าวตำหนิมัสก์ว่า 

“นี่เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และสะท้อนให้เห็นว่าการเงินสามารถซื้ออำนาจในรัฐบาลทรัมป์ได้” 

ในขณะเดียวกัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับบทบาทของมัสก์ โดยเฉพาะการมุ่งทำงานเพื่อตัดลดงบประมาณของรัฐบาล ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า "ผมเห็นด้วยกับเขา เขาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก แม้ว่าบางครั้งเราอาจมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ผมคิดว่าเขากำลังทำงานได้ดี เขาเป็นคนฉลาดมาก และมีความมุ่งมั่นในการลดขนาดรัฐบาลกลางของเรา"

ผู้นำไต้หวัน หมดหวังพึ่ง ‘ทรัมป์’ ชวน 'จีน' หันหน้าพูดคุยสร้างสันติภาพ

(3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวัน ระบุวันนี้ว่า ไต้หวันและจีนจำเป็นต้องหันหน้าพูดคุยกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ หลังบริบทการเมืองโลกเกิด “การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน” ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณชวนปักกิ่งรอมชอมมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากันต่อไป

ไล่ ซึ่งถูกรัฐบาลจีนตราหน้าว่าเป็น “นักแบ่งแยกดินแดน” พยายามยื่นข้อเสนอขอพูดคุยกับปักกิ่ง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้ยกระดับกดดันไต้หวันทั้งในทางการเมืองและทหารเพื่อบีบให้ไทเปยอมรับในอำนาจอธิปไตยของจีน

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทั้งจีนและไต้หวันต่างก็เผชิญแรงบีบจากรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนอกจากจะสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจีนแล้ว ยังขู่จะใช้มาตรการเดียวกันกับเซมิคอนดักเตอร์นำเข้าซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของไต้หวันด้วย

ระหว่างกล่าวปาฐกถาต่อผู้แทนภาคธุรกิจไต้หวันที่เข้าไปลงทุนในจีน ไล่ ชี้ว่าไต้หวันและจีนต่างมี “ศัตรูร่วม” ก็คือภัยธรรมชาติ และมี “เป้าหมายร่วม” อยู่ที่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้ผู้คนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบ

“ดังนั้น ในห้วงเวลาที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนเช่นนี้ เราทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบจึงยิ่งควรที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันด้วยดี เพื่อให้เกิดสันติภาพ” เขากล่าว

ผู้นำไต้หวันเอ่ยเสริมว่า รัฐบาลของเขาเต็มใจที่จะเปิดเจรจากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมที่ไร้เงื่อนไข และอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าพูดคุยมากกว่าเผชิญหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ย้ำว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงประชาชนไต้หวันเท่านั้นที่จะตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนยังไม่ออกมาให้ความเห็นต่อคำพูดของ ไล่ ชิงเต๋อ ทว่าที่ผ่านมาจีนเรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับว่าดินแดน 2 ฝั่งช่องแคบคือส่วนหนึ่งของ “จีนเดียว” (One China) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ไล่ และรัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ไม่เอาด้วย

ไล่ ยังกล่าวด้วยว่า ไต้หวันไม่ควรมี “ภาพลวงตา” เกี่ยวกับสันติภาพ และจำเป็นต้องแสวงหาสันติภาพผ่านความเข้มแข็งด้วยการเสริมเขี้ยวเล็บของตนเอง และยืนหยัดเคียงข้างรัฐประชาธิปไตยอื่นๆ อย่างสง่าผ่าเผย

“ประเทศจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีอธิปไตย และเพราะมีไต้หวันเท่านั้นจึงมีสาธารณรัฐจีน” ไล่ กล่าว โดยเอ่ยถึงชื่ออย่างเป็นทางการของเกาะไต้หวัน

‘แคนาดา’ สู้ไม่ถอย ตั้งกำแพงภาษีสินค้าตอบโต้ ‘สหรัฐฯ’ พร้อมจ่อฟ้อง ‘ทรัมป์’ ละเมิดกฎหมายการค้าโลก

(3 ก.พ. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Canada to take legal action against US for tariffs ระบุว่า แคนาดาเตรียมใช้กลไกระหว่างประเทศยื่นฟ้องสหรัฐอเมริกา กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบายขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดา โดยเจ้าหน้าที่แคนดาที่ไม่ขอระบุชื่อ ให้ข้อมูลว่า การขึ้นภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ทำนั้นผิดกฎหมายและไร้เหตุผล นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ใช้นโยบาย “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” ขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน

ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีนำเข้าร้อยละ 25 กับสินค้าของแคนาดาทั้งหมด ยกเว้นผลิตภัณฑ์พลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซ และไฟฟ้า ซึ่งจะมีอัตราภาษีร้อยละ 10 เมื่อเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งมาตรการภาษีร้อยละ 25 นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป ส่วนมาตรการภาษีพลังงานจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ขณะที่ฝั่งแคนาดากำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จำนวน 1,256 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 17 ของสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568 เช่น   น้ำส้ม เนยถั่ว ไวน์ เบียร์ มอเตอร์ไซค์ เครื่องสำอาง และอื่นๆ ซึ่งจะมีมูลค่ารวมกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญแคนาดา (ราว 7.2 แสนล้านบาท)

โดยสินค้าที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย มูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 8.4 หมื่นล้านบาท) เครื่องใช้ไฟฟ้าและของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ มูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 8.16 หมื่นล้านบาท) ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษและกระดาษ มูลค่า 3 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 7.2 หมื่นล้านบาท) นอกจากนั้น รัฐบาลแคนาดา จะประกาศรายการสินค้าเพิ่มเติมในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุก รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม ผลไม้และผักบางชนิด ผลิตภัณฑ์อากาศยาน ซึ่งการนำเข้าสินค้าเหล่านี้มีมูลค่ารวม 125,000 ล้านเหรียญแคนาดา (ราว 3 ล้านล้านบาท)

แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแคนาดา อธิบายว่า นโยบายของทรัมป์ละเมิดพันธกรณีทางการค้าระหว่างสองประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีและภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) และหากแคนาดามีทางเลือกทางกฎหมายอื่นก็จะพิจารณาทางเลือกเหล่านั้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ยอมรับว่า ทั้งมาตรการของสหรัฐฯ และของแคนาดา ในการตอบโต้กันครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของแคนาดา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 2 ก.พ. 2568 รัฐบาลแคนาดา กล่าวว่า จะจัดเตรียมกลไกให้ธุรกิจในแคนาดาได้รับการผ่อนปรนจากภาษีศุลกากรตอบโต้ ภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า “การผ่อนปรน” ธุรกิจในแคนาดาสามารถยื่นขอผ่อนปรนหรือขอคืนเงินภาษีศุลกากรได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางประการ

ทรัมป์สั่งจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเป็นวงกว้าง พร้อมเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ควบคุมการไหลเข้าของเฟนทานิล และผู้อพยพผิดกฎหมายในกรณีของแคนาดาและเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐอเมริกา การกระทำของทรัมป์ทำให้เกิดสงครามการค้าที่อาจขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและจุดชนวนให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง ทั้งนี้ เม็กซิโกและแคนาดาเป็นคู่ค้ารายใหญ่สองรายของสหรัฐฯ

สาวไปเชียร์!! คู่หมั้นแข่งเบสบอล จู่ ๆ เจอ ‘แมวจร’ กระโดดนอนตัก สภาพสุดสงสาร!! ต้องพาไปหาหมอ สุดท้ายผูกพัน พากลับประเทศด้วย

(2 ก.พ. 68) ‘แนท รูโมโร’ หญิงสาวจากสหรัฐได้เดินทางไปเชียร์คู่หมั้นแข่งเบสบอลที่เปอร์โตริโก และต้องพบกับการต้อนรับสุดไม่คาดคิดจาก ‘ลูกแมวจร’ ตัวหนึ่ง ที่จู่ ๆ ก็กระโดดขึ้นมาบนตักของเธออย่างสบายใจและไม่ยอมลุกไปไหน

ภาพความน่ารักครั้งนี้ทำให้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาทักว่า “ดูเหมือนลูกแมวตัวนี้จะเลือกคุณแล้วนะ” ซึ่งขณะนั้นเธอยังไม่ใช่ทาสแมวจึงตอบชายคนดังกล่าวไปว่า เธอคงไม่พาเจ้าลูกแมวตัวนี้กลับบ้านด้วยแน่นอน

เมื่อการแข่งขันเบสบอลจบลง ลูกแมวก็วิ่งหายไป เธอคิดว่าลูกแมวคงไม่กลับมาอีกแล้วจึงเตรียมตัวกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม หางตาเธอเหลือบเห็นลูกแมวตัวหนึ่งหน้าตาคุ้น ๆ วิ่งมา แล้วก็นั่งลงตรงเท้าของเธอ ราวกับไม่ยอมให้เธอจากไปไหน

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาดึก เธอและคู่หมั้นจึงต้องตัดสินใจว่า พวกเขาควรปล่อยลูกแมวไป หรือควรนำกลับไปที่ Airbnb ด้วย และเมื่อพิจารณาสภาพของลูกแมวที่มีแผลหลายแห่ง พวกเขาจึงเลือกที่จะช่วยมัน

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขารีบพาลูกแมวไปพบสัตวแพทย์ ลูกแมวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไรในหู ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากได้รับยาปฏิชีวนะและยารักษา ลูกแมวก็เริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยกัน เธอและคู่หมั้นตัดสินใจพาลูกแมวกลับไปยังรัฐเคนทักกี้ ของสหรัฐด้วย พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ‘เจ้าโทโร่’ และแม้ว่าหลายสิ่งในชีวิตโทโร่จะเปลี่ยนไป แต่บางสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือมันยังคงเดินตามเธอไปทุกที่ และชอบนั่งบนตักของเธอเป็นเวลาหลายชั่วโมง

‘สำนักข่าวอิศรา’ เผย!! ‘ทรัมป์’ ระงับทุนการศึกษา นศ.เมียนมา ลั่น!! ต้องการให้เงินให้ไหล ไปทำอย่างอื่น ที่เหมาะสมกว่า

(1 ก.พ. 68) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศถึงการระงับเงินทุนช่วยเหลือด้านการศึกษามูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,518,884,289 บาท) สำหรับนักเรียน นักศึกษาชาวเมียนมา

โดยเงินทุนดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่มีการอนุมัติโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนนักเรียนในเมียนมาตามนโยบาย DEI (นโยบายสนับสนุนความหลากหลาย,ความเท่าเทียม และการเปิดรับคนทุกคน) ภายใต้ชื่อโครงการทุนการศึกษาความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก (DISP)

แนวคิดริเริ่มของทุนการศึกษานั้นเกิดขึ้นหลังกองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารในปี 2564 ส่งผลทำให้เกิดปัญหาเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นับแต่นั้น

ทั้งนี้ทุนการศึกษาดังกล่าวมีผู้ดูแลได้แก่ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) และสถานทูตสหรัฐฯในนครย่างกุ้ง ซึ่งได้มีการเริ่มเดินหน้าทุนการศึกษา DISP ที่กรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ.2567

โครงการทุนการศึกษา DISP มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าว่าจะช่วยเหลือนักศึกษากว่า 1,000 คนจากเมียนมาเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้คำสั่งระงับการสนับสนุนทุนการศึกษาดังกล่าวเป็นผลการดำเนินงานของกระทรวงพัฒนาประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department Of Government Efficiency (D.O.G.E.) ซึ่งมีนายอีลอน มัสก์ รับผิดชอบกระทรวงนี้

ทางด้านของนายทรัมป์กล่าวถึงการระงับทุนการศึกษา DISP ว่า “เงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นเป็นเงินที่มากสำหรับทุนการศึกษาเพื่อความหลากหลายในเมียนมา คุณสามารถจินตนาการได้ว่าเงินนั้นจะไปไหน นี่คือประเภทของการจ่ายเงิน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมสามารถยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันและบอกคุณถึงสิ่งที่เราได้พบมา และเราต้องหาเงินพวกนี้อย่างรวดเร็วเพราะเราต้องการให้เงินให้ไหลไปยังที่ๆเหมาะสมกว่า”

ขณะที่สำนักข่าว DVB ของเมียนมาได้มีการไปสัมภาษณ์นักศึกษาเมียนมาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งใช้ทุนจากโครงการนี้ โดยนักศึกษารายนี้กล่าวยอมรับว่าทุน DISP ให้การช่วยเหลือกับนักเรียนนักศึกษาให้มีความต่อเนื่อง ดังนั้นการสูญเสียทุน DISP ไปก็เท่ากับว่าเป็นการสูญเสียสิทธิพิเศษที่นักศึกษาจะได้รับ และการจ่ายเงินค่าเทอมในปีถัดๆไปก็จะยากขึ้น

ชำแหละ!! มหากาพย์ ‘แดนสแกมเมอร์’ ริมชายแดน ตอนที่ 2 เผย!! มีสายลึกลับ เสนอ 20 ล้าน หลังเพิ่งตัดสัญญาณไปไม่นาน

จากตอนแรกที่เอย่า นำเสนอเรื่องของที่มาของเมืองสแกมเมอร์มาแล้วว่ามีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เอย่าจะมาเสนอตอนต่อในชื่อที่ว่า ‘ทำไมไทยคือจำเลย’

เอย่าได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลเมียนมามาว่าการที่ทางเมียนมามั่นใจมากถึงขั้นกล่าวหาว่าฝั่งไทยให้การสนับสนุนกลุ่มจีนเทาเหล่านี้ก็เพราะฝั่งไทยมีการส่งทั้งสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตลอดแม่น้ำข้ามไป มีทั้งตั้งเสาร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สัญญาณข้ามไปฝั่งตรงข้าม และการดึงไฟข้ามจากฝั่งไทยไปใช้ และเรื่องบัญชีม้าในประเทศไทยนะที่หลายคนเปิดไว้ให้กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้  ทั้งรู้ก็ดีและรู้เท่าไม่ถึงการก็ดีว่าแล้วเรามาขุดกันดีกว่า

เรื่องสายสัญญาณข้ามแม่น้ำ นี่เป็นวิธีการในอดีตที่กลุ่มมิจฉาชีพริมชายแดนทำกันโดยคนกลุ่มนี้จะจ้างคนในพื้นที่ให้มาลากสายจากตู้ชุมทางส่งสัญญาณสวมกับตัวส่งต่อสัญญาณที่ร้อยสายเข้าไปในท่อข้ามแม่น้ำเมยไป ถามว่าค่ายอินเทอร์เน็ตไม่มีการตรวจสอบเลยหรือว่าอยู่ดี ๆ บางจุดมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และไม่คิดจะลงพื้นที่มาตรวจสอบบ้างหรือ

ส่วนค่ายมือถือนั้นแรกเริ่มก็แค่มีการซื้อซิมไปใช้งานพอมีการใช้งานมากขึ้น แทนที่ทางค่ายมือถือจะมาตรวจสอบว่าใครใช้ แต่กลับให้คนมาตั้งเสาสัญญาณชิดริมชายแดนแทน แบบนี้ก็หวานเจี๊ยบแก๊งคอลฯเลยสิ ถามว่าก่อนค่ายมือถือจะมาวางเสาสัญญาณต้นเป็นล้านไม่คิดจะลงมาสำรวจก่อนเหรอว่าใครเป็นผู้ใช้

กลุ่มที่ 3 เรื่องไฟฟ้า ล่าสุดเอย่าได้รับรายงานมาว่ากลุ่มมิจเหล่านี้เอาไฟฟ้าจากทางไทยไปโดยผ่านจากท่าข้ามแดนที่ตั้งอยู่ริมเมย ถามจริง ๆ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีการมาตรวจสอบและเอาผิดกันบ้างหรือยัง

สุดท้ายคือกลุ่มบัญชีม้าในไทยที่เป็นแหล่งพักเงินของกลุ่มคอลฯ ถามว่าทางธนาคารพาณิชย์ไทยไม่คิดจะตรวจสอบบ้างเลยเหรอ 

สุดท้ายที่เอย่าได้ทราบมาจากแหล่งข่าวในกระทรวงมหาดไทยว่าในวันที่ไปจับทำลายเสาส่งสัญญาณ พบว่าตัวส่งสัญญาณส่วนใหญ่ที่เคยตั้งอยู่กลับถูกถอดไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ลงไม่กี่ชั่วโมง ถามว่าไทยเรามี ‘เกลือเป็นหนอน’ ใช่หรือไม่  และที่สำคัญคือหลังจากตัดสายสัญญาณไป มีสายลึกลับโทรข้ามฝั่งจากเมียวดีถึงข้าราชการในพื้นที่เสนอเงินถึง 20 ล้านบาทต่อต้นให้ต่อสายสัญญาณให้

ก็มันเป็นแบบนี้ไงละ มันถึงปราบกันไม่หมดเสียที ตราบใดที่ข้าราชการในพื้นที่ นายก อบต. เอย รวมถึงเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า หรือ บริษัทเอกชนที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตกับธนาคารพาณิชย์ไม่เดือดร้อน มันก็ปราบกันไม่จบเสียที

เอย่าบอกแล้วรัฐบาลทหารเมียนมาเขาเอาจริง และหลังจากที่ไทยเพิกเฉยกับคำขอร้องของฝั่งเมียนมา หลายต่อหลายครั้งก็หวังว่าเราคงจะไม่ต้องอายนะ หากวันใดวันหนึ่งทางรัฐบาลทหารเมียนมาจะเปิดหลักฐานที่เขามีถึงขั้นกล้าด่าฝั่งไทยออกสื่อแบบนี้ เชื่อว่าหลักฐานดังกล่าวน่าจะมัดตัวให้ฝั่งไทยเถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว

‘ดร.อักษรศรี’ โพสต์เรื่องราวของทีมงาน ‘DeepSeek’ เผย!! อายุเฉลี่ยแค่ 35 ปี ชี้!! นี่คือ ทีมงานผู้พัฒนา ‘เอไอจีน’ ที่กลายเป็น ‘Talk of the World’ ดังทั่วโลก

(1 ก.พ. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ถึงคนรุ่นใหม่ ในประเทศจีน โดยมีใจความว่า ...

#พลังคนรุ่นใหม่ Youth power leads to national strength #DeepSeek สาวหมวย/หนุ่มตี๋ในภาพนี้ (อายุเฉลี่ย 35 ปี) มีรายงานว่า คือ ทีมงานพัฒนา DeepSeek เอไอจีนที่กลายเป็น Talk of the World  

รายชื่อสมาชิกทีมพัฒนา DeepSeek AI จีน และมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนที่แต่ละคนเรียนจบมา (ไม่ได้จบนอก )

1. **梁文峰** เหลียง เวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง
*(Liang Wenfeng)* 
ปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 

2. **代达励** ไต้ ต๋าลี่ 
*(Dai Dali)* 
ปริญญาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

3. **朱琪豪** จู ฉีหาว
*(Chu Qihao)* 
ปริญญาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

4. **邵智宏** เส้า จื้อหง 
*(Shao Zhihong)* 
ปริญญาเอกปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยชิงหัว

5. **赵成钢** เจ้า เฉิงกัง 
*(Chao Chenggang)* 
สมาชิกทีม Supercomputing มหาวิทยาลัยชิงหัว

6. **高华佐** เกา หัวจั่ว 
*(Gao Huazuo)* 
ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

7. **曾旺丁** เจิง วั่งติง 
*(Zeng Wangding)* 
มหาวิทยาลัยไปรษณีย์และโทรคมนาคมปักกิ่ง

8. **辛华剑** ซิน หัวเจี้ยน 
*(Xin Huajian)* 
สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยจงซาน

ผู้นำเม็กซิโกตอกกลับทรัมป์ ร้อง Google เปลี่ยนชื่อสหรัฐอเมริกาเป็น 'อเมริกาเม็กซิกัน'

(31 ม.ค.68) นางคลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ร่อนจดหมายถึงบริษัท  Google เปิดเผยความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังบริษัทยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' พร้อมกับเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 'อเมริกาเม็กซิกัน'

นางเชนบาม ได้แสดงท่าทีคัดค้านอย่างหนักต่อการกระทำของ Google ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัมป์ โดยเธอเห็นว่าการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยและประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก เธอยังเรียกร้องให้ Google คืนชื่อเดิมของอ่าวเม็กซิโกและหยุดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชื่อทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศของเธอ

ความไม่พอใจของประธานาธิบดีเม็กซิโกเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา โดย Google ได้ปรับปรุงชื่อดังกล่าวใน Google Maps ทันทีตามคำสั่ง

ก่อนหน้านี้ Google ได้ออกแถลงการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงชื่อนี้เป็นไปตามนโยบายของเราในการอัปเดตข้อมูลตามเอกสารราชการของรัฐบาลสหรัฐฯ" โดยบริษัทอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงชื่อจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการแก้ไขในเอกสารทางการของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ Google ยังประกาศว่าจะ 'ดำเนินการทันที' ในการเปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลิในรัฐอะแลสกากลับไปเป็นภูเขาแมคคินลีย์ ตามคำสั่งของทรัมป์ ทันทีที่เอกสารทางการได้รับการอัปเดต แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมืองก็ตาม

ทรัมป์ได้อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งสองรายการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการ 'เชิดชูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา' อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลิ ซึ่งเป็นชื่อที่ชนพื้นเมืองอะแลสกาให้ความสำคัญ ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้าง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทรัมป์และ Google ได้รับการตอบรับอย่างไม่ดีจากทั้งเม็กซิโกและกลุ่มชนพื้นเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลบเลือนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น

อาร์ตทอยแบรนด์จีนครองใจนักสะสมไทย ยก 'ลาบูบู้-ดีมู่' ทูตพิเศษเชื่อม 50 ปีสัมพันธ์สองชาติ

(31 ม.ค.68) 'ป๊อปมาร์ท' (Pop Mart) ร้านจำหน่ายของเล่นของสะสมอาร์ตทอย (art toy) สัญชาติจีนชื่อดังระดับโลก มีสาขาใหญ่อยู่บนถนนคนเดินสายธุรกิจการค้าหนานจิงลู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน ที่ซึ่งได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากเข้ามาเลือกซื้อกล่องสุ่มของเล่นของสะสมติดไม้ติดมือกลับประเทศกันอย่างคึกคัก

ไอวี่ สาวไทยคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวประเทศจีนเป็นครั้งแรก บอกกับผู้สื่อข่าวประจำสำนักข่าวซินหัวว่ากล่องสุ่มลาบูบู้ (Labubu) ได้รับความนิยมอย่างมาก แทบทุกคนอยากซื้อกันหมด แต่ร้านป๊อปมาร์ททุกสาขาในไทยไม่ค่อยมีสินค้าแล้ว ทำให้ไอวี่ไม่พลาดจะเลือกซื้อกล่องสุ่มลาบูบู้จากร้านสาขาใหญ่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ความนิยมชมชอบลาบูบู้ในไทยเห็นได้ชัดจากกรณีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบตำแหน่ง 'Amazing Thailand Experience Explorer' แก่มาสคอตลาบูบู้จากจีน พร้อมจัดพิธีต้อนรับที่สนามบินเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2024 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานรัฐบาลไทยมอบตำแหน่งลักษณะนี้แก่ผลิตภัณฑ์ที่มีทรัพย์สินทางปัญญา (IP)

รายงานของนีลเส็น (Nielsen) บริษัทวิจัยตลาดโลก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ระบุว่าไทยเป็นประเทศที่มีการกล่าวถึงลาบูบู้และป๊อปมาร์ทมากที่สุดบนติ๊กต็อก (TikTok) มีการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องมากกว่า 3.65 แสนรายการ โดยลาบูบู้ยังสามารถครองใจสมาชิกราชวงศ์และดาราดังของไทยเข้าร่วมเป็นแฟนคลับด้วย

เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ซึ่งร่วมพิธีต้อนรับมาสคอตลาบูบู้ที่สนามบิน เผยว่าลาบูบู้มีอิทธิพลระดับโลกที่แข็งแกร่ง ไทยจึงเลือกมอบตำแหน่งสำคัญข้างต้น และหวังว่าลาบูบู้จะเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญต่อการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยกับจีน

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ตลาดของเล่นของสะสมของจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว มีแบรนด์เกิดใหม่ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ป๊อปมาร์ท 52ทอยส์ (52TOYS) และท็อป ทอย (TOP TOY) ในเครือมินโซ (MINISO) ก่อให้เกิดการซื้อขายกันอย่างคึกคักทั่วโลก โดย 'ไทย' กลายเป็นตลาดสำคัญของเหล่าผู้ผลิตของเล่นของสะสมจากจีน

ป๊อปมาร์ทได้เปิดร้านสาขาธีมลาบูบู้แห่งแรกของโลกที่ศูนย์การค้าเมกาบางนาในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งนับเป็นร้านสาขาแห่งที่ 6 ในไทยนับตั้งแต่ป๊อปมาร์ทเข้าสู่ตลาดไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 โดยยอดจำหน่ายในวันเปิดร้านสูงเกิน 10 ล้านหยวน (ราว 46 ล้านบาท) สร้างสถิติยอดจำหน่ายสูงสุดในวันเดียวของร้านสาขาในต่างประเทศ

นอกจากนั้นป๊อปมาร์ทยังร่วมงานกับศิลปินชาวไทยอย่าง 'มอลลี่' (Molly) สร้างสรรค์ของเล่นของสะสม 'ครายเบบี้' (CRYBABY) อันมีเอกลักษณ์ที่หยดน้ำตาคลอเบ้าบนใบหน้าเศร้า เพื่อช่วยให้นักสะสมได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกภายใต้แนวคิดว่าการร้องไห้ช่วยเยียวยาหัวใจอันบอบช้ำได้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากหลังจากเปิดตัวเพียงไม่นาน

นักท่องเที่ยวชาวไทยเหล่านี้ที่ได้เยือนร้านสาขาของป๊อปมาร์ทในจีนคือผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายฟรีวีซ่าซึ่งกันและกันระหว่างจีนกับไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2024 และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนสองประเทศอย่างยิ่ง

เสี่ยวหรง ผู้จัดการร้านป๊อปมาร์ทสาขาใหญ่ในนครเซี่ยงไฮ้ เผยว่าจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติ ทั้งจากไทย สหรัฐฯ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่มีนโยบายฟรีวีซ่า กอปรกับทำเลที่ดีของร้านสาขาแห่งนี้ทำให้กลายเป็นหนึ่งในจุดเช็กอินยอดนิยม โดยลูกค้ามักจะเยอะช่วงวันศุกร์เพราะเป็นวันเปิดตัวสินค้าใหม่

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยยังมอบตำแหน่ง 'มิตรสหายพิเศษ' ประจำวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทยในปี 2025 แก่ของเล่นของสะสม 'ดีมู่' (DIMOO) ของป๊อปมาร์ทเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระสำคัญด้วยแนวคิดช่วยเหลือเติบโตไปด้วยกันและสร้างความเชื่อมโยงในหมู่คนหนุ่มสาวชาวไทยและชาวจีน

การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนเป็นข้อได้เปรียบของความสัมพันธ์จีน-ไทยเสมอมา โดยของเล่นของสะสมเหล่านี้กลายเป็นอีกหนึ่งพลังใหม่ที่เข้ามาร่วมส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนในปัจจุบัน ทำให้คำกล่าว “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” มีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ทรัมป์เจาะสื่อใหม่!! ไฟเขียวทำเนียบขาวรับอินฟลูฯ ทำข่าว ยอดขอรับบัตรสื่อทะลุ 7,400 ในวันเดียว

(31 ม.ค.68) ทำเนียบขาวสร้างกระแสใหญ่หลังประกาศเปิดโอกาสให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ และพอดแคสเตอร์ เข้าร่วมการแถลงข่าวได้อย่างเป็นทางการ ล่าสุด มีคำขอรับบัตรประจำตัวสื่อมวลชนมากกว่า 7,400 รายการ ในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หลังประกาศนโยบายนี้เมื่อวันอังคารที่ 25 มกราคม  

แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาเสพข่าวผ่านพอดแคสต์ บล็อก และโซเชียลมีเดีย แทนสื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์  

ผลสำรวจล่าสุดจากศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ยืนยันว่า อินฟลูเอนเซอร์และสื่อออนไลน์กลายเป็นแหล่งข่าวหลักสำหรับคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเกือบ 40% ของกลุ่มนี้พึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ในการติดตามข่าวสารและการเมือง การเปิดพื้นที่ให้สื่อทางเลือกเหล่านี้จึงเป็นโอกาสให้พวกเขาตั้งคำถามกับรัฐบาลได้โดยตรง  

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา พรรคเดโมแครตได้เชิญคอนเทนต์ครีเอเตอร์กว่า 200 คนมาร่วมรายงานข่าวการเลือกตั้ง ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีก็ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์หลายสิบคนในการทำข่าวโอลิมปิกปารีส 2024 โดยมอบบัตรผู้สื่อข่าวให้เหมือนนักข่าวมืออาชีพ  

นอกจากนี้ กลยุทธ์การสื่อสารผ่านพอดแคสต์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังถูกมองว่าประสบความสำเร็จในการดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยรุ่นชายที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม โดยทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์กับพอดแคสเตอร์ชื่อดังอย่าง โจ โรแกน, โลแกน พอล และธีโอ วอน ซึ่งช่วยเพิ่มความนิยมในกลุ่มนี้อย่างมาก

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทำเนียบขาวไม่เพียงสะท้อนถึงการปรับตัวต่อเทรนด์สื่อสมัยใหม่ แต่ยังเป็นการท้าทายบทบาทของสื่อดั้งเดิมที่อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในยุคที่ทุกคนสามารถเป็น 'ผู้สื่อข่าว' ได้

'มาซาโตชิ อิโตะ' ต้นตระกูลเจ้าของยักษ์สะดวกซื้อ หลังมีข่าวผนึก CP สกัดค้าปลีกแคนาดาเทคโอเวอร์

(31 ม.ค.68) หนึ่งข่าวแวดวงธุรกิจช่วงนี้ที่ถูกกล่าวถึงกันมากคือ รายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นที่ว่า ตระกูลอิโตะ (Ito)ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท 7-ELEVEN ญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ (Seven & i Holdings)เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN มีสาขาทั่วโลก ติดต่อกลุ่มธุรกิจเครือ CP เจริญโภคภัณฑ์ ของเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ให้ช่วยเหลือเพื่อกันไม่ให้บริษัทร้านสะดวกซื้อแคนาดาชื่อดัง Alimentation Couche-Tard เข้าเทคโอเวอร์กิจการในราคา 47 พันล้านดอลลาร์ 

แม้ว่าปัจจุบันสมาชิกตระกูลอิโตะ จะไม่ได้ทำหน้าที่บริหารกลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ โดยตรงแล้วก็ตาม โดยให้นายริวอิจิ อิซากะ รับหน้าที่ประธานและซีอีโฮของกลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ แทน แต่ปัจจุบันตระกูลอิโตะยังคงมีบทบาทและถือหุ้นใน เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ อยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ในปี 2023 กลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ เพิ่งสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดขึ้นของแบรนด์ 7-ELEVEN ในญี่ปุ่น นั่นคือการเสียชีวิตของนาย มาซาโตชิ อิโตะ อดีตประธานและผู้ก่อตั้งกลุ่ม เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ ที่เสียชีวิตด้วยโรคชราในวัย 98 ปี เมื่อ 14 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา

นายมาซาโตชิ อิโตะ นับว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างแบรนด์ 7-ELEVEN ให้รู้จักไปทั่วญี่ปุ่นรวมถึงทั่วโลก ต้องเท้าความก่อนว่าเชนแฟรนไชนส์ร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN นั้นแรกเริ่มเดิมทีมีต้นกำเนิดในเมืองเออร์วิง รัฐเท็กซัส ของสหรัฐ โดย โจ ซี. ทอมป์สัน (Joe C. Thompson) กระทั่งต่อมาขายหุ้นบริษัทให้กับกลุ่ม‘อิโตะ-โยคาโดะ’ (Ito-Yokado) ของตระกูลอิโตะ 

ย้อนกลับมาที่ประวัติของมาซาโตชิ อิโตะ ย้อนไปในปี 2499 นายอิโตะรับช่วงต่อธุรกิจร้านเสื้อผ้าขนาดเล็กต่อจากลุงและพี่ชายต่างมารดา ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ‘อิโตะ-โยคาโดะ’ (Ito-Yokado) และเปลี่ยนธุรกิจไปเป็นเชนร้านสะดวกซื้อครบวงจร ที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ของชำไปจนถึงเสื้อผ้า และได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2515

ในเวลาเดียวกัน นายโทชิฟุมิ ซูซุกิ ผู้บริหารคนหนึ่งของ อิโตะ-โยคาโดะ ได้เป็นเจอร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ขณะเดินทางเยือนสหรัฐฯ พวกเขาเล็งเห็นโอกาส ในเวลาต่อมา อิโต-โยคาโดะ จึงได้ทำข้อตกลงกับบริษัทสหรัฐฯ ‘เซาท์แลนด์ คอร์เปอเรชัน’ (Southland Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทแม่เจ้าของ เซเว่น อีเลฟเว่น ในสหรัฐ นำแบรนด์เข้ามาทำตลาดแดนอาทิตย์อุทัย และเปิดร้านสาขาแรกในญี่ปุ่นในปี 2517

หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม 2533 บริษัทของนายอิโตะก็เข้าซื้อหุ้น 70% ของบริษัท เซาท์แลนด์ คอร์เปอเรชัน หลังเซาท์แลนด์ฯ ประสบปัญหาหนี้ท่วมจนต้องยื่นล้มละลาย ทำให้นายอิโตะได้สิทธิ์ในการบริหารกิจการทั้งหมดของเซาท์แลนด์ฯ ก่อนจะขยายสาขาของ เซเว่น อีเลฟเว่น ไปในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2535 นายอิโตะต้องลาออกจากตำแหน่งใน อิโตะ-โยคาโดะ เพื่อรักษาความสงบในการประชุมผู้ถือหุ้น หลังจากผู้บริหารของบริษัท 3 คนถูกกล่าวหาว่า จ่ายเงินผิดกฎหมายให้กลุ่มแก๊งยากูซ่า

จากนั้นในปี 2548 บริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ ก็ถูกก่อตั้งขึ้น และมีการปรับโครงสร้างการบริหาร ให้ อิโตะ-โยคาโดะ ไปเป็นบริษัทสาขาแทน แต่ทางบริษัทยังให้ความสำคัญกับนายอิโตะ โดยตัว ‘ไอ’ (i) ของชื่อ เซเว่น แอนด์ ไอ มีที่มาจากอักษรตัวแรกจากชื่อของนายอิโตะกับบริษัท อิโตะ-โยคาโดะ และนายอิโตะยังได้รับตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ด้วย

ปัจจุบัน เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อครบวงจรที่มีสาขามากกว่า 83,000 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดย 1 ใน 4 ของจำนวนนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น คู่แข่งหลักของเซเว่น อีเลฟเว่น ได้แก่ ลอว์สัน (Lawson) ที่มีเจ้าของเป็นชาวญี่ปุ่นเช่นกัน และแฟมิลี มาร์ท (Family Mart) ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ แต่ทั้ง 2 เจ้าก็ยังมีจำนวนสาขาทั่วโลกไม่เยอะ หรือทั่วถึง เทียบเท่ากับอาณาจักรของเซเว่น อีเลฟเว่น 

กล่าวกันว่ามุมมองธุรกิจที่เฉียบแหลมของอิโตะ ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่ปรึกษาด้านการจัดการของเขา ผู้ซึ่งเคยยกย่องอิโตะว่า "เป็นผู้ประกอบการและผู้สร้างธุรกิจที่โดดเด่นคนหนึ่งของโลก"

ปี 2531 อิโตะเคยให้สัมภาษณ์กับ The Journal of Japanese Trade and Industry ว่าเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในปี 2503 เขาเกิดความรู้สึกตกใจว่า "ทำไมทุกคนที่นี่ถึงดูร่ำรวย ในขณะญี่ปุ่นเวลานั้นเศรษฐกิจย่ำแย่ และอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2"

เขาจึงเริ่มศึกษาจำนวนผู้บริโภคที่แท้จริงในสหรัฐ จนพบว่ามีขนาดใหญ่ และลองหาเทคนิคการจัดจำหน่ายที่เป็นไปได้เพื่อตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มใหญ่นี้

“แม้ผู้คนอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่พวกเขายังคงมีความต้องการโดยพื้นฐานเหมือนกัน และระบบการจัดจำหน่ายของญี่ปุ่น จะเริ่มเหมือนของสหรัฐมากขึ้น เมื่อสังคมผู้บริโภคของญี่ปุ่นเติบโตขึ้น”

อิโตะ เป็นผู้ประกอบการที่สร้างธุรกิจในยุคหลังสงคราม เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ปั้นแบรนด์ระดับโลกที่จำหน่ายสินค้าทุกอย่าง ตั้งแต่โยเกิร์ตไปจนถึงอาหารสำเร็จรูปและยารักษาโรค  ตลอดช่วงปี 2513 -2523 มีผู้สนใจเสนอซื้อกิจการและขยายกิจการหลายครั้งหลายครา

ในบทสัมภาษณ์ของอิโตะเมื่อ 2531 เขาเคยกล่าวว่า “ผมมักถูกถามว่า ประสบความสำเร็จได้ เพราะทำงานหนักหรือเพราะโชคดี คำตอบของผม คือ ทั้งสองอย่าง”

สำหรับบริษัท Seven & i Holdings ปัจจุบันมีบริษัทโฮลดิ้งของตระกูลอิโตะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ  Ito Kogyo KK มีสัดส่วนถือหุ้นประมาณ 8.14%

ทรัมป์ฟาดหนัก! ขู่ BRICS เจอภาษี 100% แน่ หากกล้าแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ

(31 ม.ค.68) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำเตือนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ถึงกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษี 100% หากกลุ่มประเทศเหล่านี้พยายามแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นในการค้าระหว่างประเทศ

ทรัมป์ระบุว่า “แนวคิดที่ว่ากลุ่ม BRICS จะหันหลังให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เรายืนดูอยู่นั้นต้องจบลงแล้ว” พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่สร้างสกุลเงินใหม่ของ BRICS หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นเพื่อแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ 

“หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม พวกเขาจะต้องเผชิญกับภาษี 100% และควรเตรียมตัวโบกมืออำลาการค้ากับเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ” ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า “พวกเขาสามารถไปหาประเทศอื่นที่ยอมจำนนได้ แต่ไม่มีทางที่ BRICS จะเข้ามาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศหรือที่ใดก็ตาม”

คำเตือนของทรัมป์เกิดขึ้นในบริบทที่กลุ่ม BRICS ได้แสดงความสนใจในการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการหารือเกี่ยวกับการสร้างระบบการชำระเงินหรือสกุลเงินใหม่เพื่อลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลก อย่างไรก็ตาม การขู่ว่าจะขึ้นภาษี 100% ของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และกลุ่ม BRICS ในอนาคต

ทรัมป์โทษนโยบายหลากหลาย ทำจราจรทางอากาศพัง จ้างคนไร้ความสามารถทำงาน ต้นเหตุปมเครื่องบินชนเฮลิคอปเตอร์ดับ

(31 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวถึงเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ชนเข้ากับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอวก์ของกองทัพ ตกกลางแม่น้ำโปโตแมค ที่กรุงวอชิงตัน ขณะกำลังลงจอดที่สนามบินเรแกนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 67 ราย โดยไม่มีผู้รอดชีวิต

ซึ่งแม้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ทรัมป์กล่าวโทษว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากการขาดประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ที่ส่งเสริมการเปิดรับบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ให้เข้ามาทำงานแทนที่บุคคลที่มีความสามารถสูงสุด โดยทรัมป์กล่าวว่า 

"คนที่ทำงานควบคุมการจราจรทางอากาศต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาหรือเชื้อชาติ สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถ" ทรัมป์กล่าว พร้อมวิจารณ์ว่าการเปิดรับบุคคลจากกลุ่มที่หลากหลายเข้าทำงานแทนที่จะพิจารณาจากความสามารถ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง  

เมื่อนักข่าวถามว่าทำไมเขาจึงสรุปว่านโยบาย DEI เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ ทรัมป์ตอบว่า “เพราะผมมีคอมมอนเซนส์ แต่โชคร้ายที่คนอื่นไม่มี”

ทรัมป์ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา และโจ ไบเดน ให้ความสำคัญกับนโยบาย DEI มากเกินไป จนทำให้เกิดผลกระทบต่อมาตรฐานขององค์กร เช่น องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) ซึ่งในสมัยของโอบามา เคยเรียกร้องให้เพิ่มความหลากหลายทางเชื้อชาติภายในองค์กร แทนที่จะคัดเลือกพนักงานจากความสามารถโดยตรง

นอกจากนั้นทรัมป์ยังเผยว่า เขาเตรียมลงนามคำสั่งให้กระทรวงคมนาคมยกเลิกนโยบายความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ในภาคการบิน หลังเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารของอเมริกันแอร์ไลน์สชนกลางอากาศกับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กของกองทัพสหรัฐฯ ดังกล่าวด้วย

ด้านรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ และ ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต่างสนับสนุนแนวทางของทรัมป์ โดยแวนซ์ระบุว่านโยบาย DEI ทำให้มาตรฐานการจ้างงานในหอบังคับการบินตกต่ำลง ขณะที่ดัฟฟียืนยันว่าจะมีการปฏิรูปเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก  

ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า บนเที่ยวบินของอเมริกันแอร์ไลน์สมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 64 คน ส่วนเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กมีผู้โดยสาร 3 คน หนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารคือทีมสเก็ตลีลาจากเมืองบอสตัน ซึ่งมีนักกีฬาวัย 16 ปี 2 คน พร้อมมารดาและโค้ชชาวรัสเซียอยู่บนเครื่อง  

ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ โดยเบื้องต้นพบว่าเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์เดินทางมาตามเส้นทางปกติ ระบบสื่อสารไม่มีปัญหา แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจุดบกพร่องเกิดขึ้นที่ใด ขณะที่สำนักงานดับเพลิงและบริการการแพทย์ฉุกเฉินของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า โอกาสพบผู้รอดชีวิตเป็นไปได้น้อยมาก ปฏิบัติการกู้ภัยจึงเปลี่ยนเป็นการเก็บกู้ศพ

กต.แถลงยืนยัน 5 คนไทยพ้นฮามาส เร่งประสานช่วยอีก 1 คนที่เหลือ

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.68) กระทรวงการต่างประเทศแถลงยืนยันว่าคนไทย 5 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาได้รับการปล่อยตัวแล้ว และขณะนี้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเพื่อรับการดูแลทางการแพทย์ โดยรัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือตัวประกันไทยอีก 1 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่  

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้รายงานว่าตัวประกันไทยทั้ง 5 คนได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ และกำลังถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจสุขภาพ  

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไปให้ความช่วยเหลือ พร้อมติดต่อครอบครัวของตัวประกันในประเทศไทยทันที  

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเดินทางไปยังอิสราเอลคืนนี้ เพื่อประสานงานรับตัวแรงงานไทยกลับประเทศ กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความยินดีต่อครอบครัวของผู้ที่ได้รับการปล่อยตัว และขอบคุณประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ได้แก่ กาตาร์ อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี สหรัฐอเมริกา รวมถึงสภากาชาดสากล  

รัฐบาลไทยยังขอบคุณอิสราเอลที่ให้ความร่วมมือในการดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยทั้ง 5 คนในการเดินทางกลับประเทศ และหวังว่าตัวประกันไทยที่เหลืออยู่ รวมถึงตัวประกันทุกคนในฉนวนกาซา จะได้รับอิสรภาพโดยเร็วที่สุด  

นายนิกรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้ง มีแรงงานไทยเสียชีวิตจากสงครามในตะวันออกกลางแล้ว 46 ราย ขณะที่ตัวประกันไทยได้รับการปล่อยตัวแล้ว 28 ราย และยังเหลืออีก 1 รายที่อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอให้ได้รับอิสรภาพ  

สำหรับแรงงานไทย 5 คนที่ได้รับการปล่อยตัว ได้แก่  
1. นายเสถียร สุวรรณคำ  
2. นายพงษ์ศักดิ์ แทนนา  
3. นายวัชระ ศรีอ้วน  
4. นายสุรศักดิ์ ลำเนา  
5. นายบรรณวัชร แซ่ท้าว  

ส่วนอีก 1 ราย คือ นายณัฐพงษ์ ปินตา ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันสถานะ แต่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยประสานงานกับประเทศที่สามารถเจรจากับกลุ่มฮามาส เพื่อให้ตัวประกันไทยคนสุดท้ายได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top