Wednesday, 21 May 2025
WORLD

ฟรีวีซ่าดึงดูดต่างชาตินิยมเที่ยวโซนปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ สนามบินปักกิ่งทุบสถิติรับนทท.ทะลุ 1 ล้านคน

(9 ธ.ค. 67) ซินหัวรายงานว่า สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งในกรุงปักกิ่งทางตอนเหนือและนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน คร่าคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากเกาหลีใต้ สเปน โปแลนด์ ไทย ฮังการี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเยอรมนี  

สืบเนื่องจากขยายนโยบายฟรีวีซ่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการก้าวเดินสู่การเปิดกว้างยิ่งขึ้นของจีนและแสดงความเชื่อมั่นของจีนบนเวทีโลก โดยปัจจุบันมี 38 ประเทศ ที่สามารถเดินทางเข้าจีนแบบฟรีวีซ่า และนักเดินทางสามารถพำนักได้นานสูงสุด 30 วัน เมื่อนับถึงวันที่ 30 พ.ย. 2024

สื่อจีนระบุว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่จีนในไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของปี 2024 สูงถึง 8.18 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยส่วนหนึ่งเดินทางเข้าสู่จีนแบบฟรีวีซ่า 4.88 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.6 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับ ข้อมูลจากท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ต้าซิง ที่เผยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในปีนี้ทะลุ 1 ล้านคน สร้างสถิติใหม่ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายปีที่เข้า-ออกสนามบิน

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติข้างต้นได้รับการยืนยันเมื่อ6 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยถือเป็นสถิติครั้งใหม่หลังมีการปรับใช้ชุดนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติในการเข้าประเทศจีน อันรวมถึงการเพิ่มจำนวนประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าเข้าจีน ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนจีน

สนามบินปักกิ่ง ต้าซิง ยังขยายเครือข่ายเที่ยวบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีบริการเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางระหว่างประเทศและจุดหมายปลายทางระดับภูมิภาครวม 43 แห่ง ครอบคลุม 25 ประเทศและภูมิภาค ทั่วยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง

ช่วงฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลินี้สนามบินปักกิ่ง ต้าซิงมีแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ ไปยังหลายเมือง เช่น ซิดนีย์ เมลเบิร์น เวียงจันทน์ และคาซาบลังกา (โมร็อกโก) นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดเที่ยวบินสู่แอฟริกาและอเมริกาเหนือ ตลอดจนเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินที่บินไปตะวันออกกลางและรัสเซีย เพื่อเพิ่มทางเลือกเที่ยวบินระหว่างประเทศแก่ผู้โดยสาร

สนามบินแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในท่าด่านจำนวน 9 แห่ง ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ ให้ชาวต่างชาติสามารถแวะพักเครื่องระหว่างทาง (direct transit) ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง

โดนัลด์ ทรัมป์ ออกน้ำหอม 2 กลิ่น ต้อนรับคริสต์มาส ราคาต่อขวดเกือบหมื่นบาท

(9 ธ.ค. 67) หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม 2025 เขาได้ประกาศเปิดตัวน้ำหอม 2 กลิ่นได้แก่ "Fight Fight Fight" และ "Victory" ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social 

โดยทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์มของตนเองว่า "นี่คือน้ำหอมและโคโลญจน์ใหม่ในไลน์ของทรัมป์ ผมตั้งชื่อมันว่า Fight Fight Fight ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของเรา มันเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่เหมาะสำหรับสมาชิกในครอบครัว สุขสันต์วันคริสต์มาสและสุขสันต์วันปีใหม่

ขวดน้ำหอมทั้งสองมีคำว่า "Fight" ในตัวอักษรหนาและตัวใหญ่ เพื่อเน้นย้ำถึงธีมของความแข็งแกร่งและชัยชนะของทรัมป์ โดยสื่อยังรายงานอีกว่า กลิ่น Fight Fight Fight มีโน้ตที่เข้มข้นและกระจายออกมาแสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวจากอุปสรรคต่างๆ  สนนราคาขายอยู่ระหว่าง $199 ถึง $298 หรือประมาณ 7,000 ถึง 10,430 บาท 

โดยไม่กี่วันหลังจากเปิดตัว รายงานระบุว่ามีบรรดาแฟนคลับของทรัมป์แห่ซื้อน้ำหอมดังกล่าวผ่านแพลตฟอร์มอย่างถล่มทลาย บางรายทำคลิปรีวิวโดยบอกว่า นี่เป็นกลิ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เคยใช้มา ขณะที่บางรายบอกว่านี่คือกลิ่นของอิสรภาพและชัยชนะ

โดนัลด์ ทรัมป์ มักใช้แพลตฟอร์ม Truth Social ลงโฆษณาขายสินค้าภายใต้แบรนด์ดิ้งของตนเองอยู่เสมอ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยโฆษณานาฬิการุ่น Trump Watches” ซึ่งมีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์มาแล้ว

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหลังกลุ่มกบฏยึดเมืองหลวงซีเรียเเละโค้นรัฐบาลอัล - อัสซาด ได้สำเร็จ

(9 ธ.ค. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันเสาร์ ขณะเข้าร่วมพิธีเปิดมหาวิหารนอเทรอดามในกรุงปารีสว่า “นี่ไม่ใช่การสู้รบของสหรัฐ” พร้อมระบุว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ไม่สมควรได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อไป  

ปัจจุบัน สหรัฐมีกำลังทหารราว 900 นายประจำการในซีเรีย ส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับพันธมิตรชาวเคิร์ดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันการฟื้นตัวของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)  

การแสดงจุดยืนนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มกบฏในซีเรียเปิดปฏิบัติการโจมตีอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตอบโต้ก่อน เนื่องจากกองทัพอากาศซีเรียและรัสเซียเพิ่มการโจมตีพลเรือนในจังหวัดอิดลิบ ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้าน  

สงครามกลางเมืองในซีเรียดำเนินมานานกว่า 13 ปี โดยเริ่มจากการลุกฮืออย่างสันติของประชาชนเมื่อปี 2554 เพื่อต่อต้านการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ความขัดแย้งนี้ทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิตและต้องอพยพหนีภัยไปยังต่างประเทศ

ครองแชมป์ชื่อเด็กชายยอดนิยมในอังกฤษ แซงหน้าชื่อสไตล์ผู้ดี ‘อเมเลีย-โอลิเวอร์’

(9 ธ.ค. 67) สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2024 ว่า ‘มูฮัมหมัด’ (Muhammed) กลายเป็นชื่อที่พ่อแม่ชาวอังกฤษและเวลส์นิยมตั้งให้เด็กผู้ชายแรกเกิดมากที่สุดในปี 2023 โดยมีเด็กชายชื่อมูฮัมหมัดถึง 4,661 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มี 4,177 คน ส่งผลให้ชื่อดังกล่าวครองอันดับ 1 ของชื่อเด็กผู้ชายยอดนิยม แซงหน้า โนอาห์ (Noah) และ โอลิเวอร์ (Oliver) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ  

สำหรับเด็กผู้หญิง ชื่อ โอลิเวีย (Olivia) ยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ตามมาด้วย อเมเลีย (Amelia) และ ไอยลา (Isla) ที่อยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 เช่นเดิม  

เกร็ก ซีลีย์ (Greg Ceely) หัวหน้าศูนย์ติดตามสุขภาพประชากรของ ONS กล่าวว่าวัฒนธรรมป็อปมีอิทธิพลต่อการตั้งชื่อเด็กอย่างมาก โดยชื่อนักร้องชื่อดัง เช่น บิลลี (Billie), ลานา (Lana), ไมลีย์ (Miley), รีฮานนา (Rihanna) และเอลตัน (Elton) กลายเป็นชื่อที่พบได้บ่อยในหมู่เด็กเกิดใหม่  

ในทางกลับกัน ชื่อราชวงศ์อังกฤษ กลับได้รับความนิยมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยชื่อ จอร์จ (George)ตกไปอยู่อันดับที่ 4 มีเด็กเพียง 3,494 คนเท่านั้นที่ใช้ชื่อนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ตัวเลขลดลงต่ำกว่า 4,000 คน ขณะที่ วิลเลียม (William) และหลุยส์ (Louis) ตกไปอยู่อันดับที่ 29 และ 45 ตามลำดับ  

ชื่อจากภาษาอาหรับ เช่น อัยมาน (Ayman) และ ฮัสซัน (Hasan) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นถึง 47% และ 43% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของชุมชนชาวเอเชียใต้และชาวมุสลิมในสหราชอาณาจักร  

ปัจจุบัน ชาวเอเชียใต้จากประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ คิดเป็น 4.3% ของประชากรทั้งหมดในอังกฤษ โดยชาวอินเดียถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและเวลส์ มีจำนวนประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน หรือ 2.5% ของประชากรอังกฤษทั้งหมด

'อัสซาด' ผู้นำซีเรียพร้อมครอบครัวลี้ภัยในมอสโก หลังกลุ่มกบฏบุกยึดกรุงดามัสกัสสำเร็จ

(9 ธ.ค. 67) ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย พร้อมครอบครัว ได้ลี้ภัยไปยังรัสเซียภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กลุ่มกบฏสามารถยึดครองกรุงดามัสกัสได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการปิดฉากการปกครองระบอบอัสซาดที่ยาวนานกว่า 50 ปี  

สำนักข่าวทาสส์ อ้างแหล่งข่าวจากรัฐบาลรัสเซีย ระบุว่า อัสซาดและครอบครัวได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในรัสเซียด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม “ประธานาธิบดีอัสซาดและครอบครัวเดินทางถึงกรุงมอสโกแล้ว โดยรัสเซียได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่พวกเขา”  

เจ้าหน้าที่รัสเซียยังย้ำว่า ประเทศสนับสนุนการหาทางออกทางการเมืองต่อวิกฤตในซีเรียมาโดยตลอด พร้อมแสดงความหวังให้มีการกลับมาเจรจาภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ  

ในขณะเดียวกัน ชาวซีเรียต่างออกมาเฉลิมฉลองตามท้องถนนและจัตุรัสสำคัญในกรุงดามัสกัส พร้อมโบกธงปฏิวัติ ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงช่วงแรกของการลุกฮือในอาหรับสปริง ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะปะทุยาวนานถึง 14 ปี  

อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-โกลานี อดีตผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มกบฏหลัก กล่าวว่าการล่มสลายของอัสซาดถือเป็น “ชัยชนะของชาติอิสลาม” และเป็นโอกาสสำคัญในการกำหนดอนาคตของซีเรียใหม่  

จากเหตุการณ์นี้ ดมิทรี โพลีอันสกี รองผู้แทนถาวรรัสเซียประจำสหประชาชาติ เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือสถานการณ์ในซีเรีย ขณะที่รัสเซียได้เริ่มเจรจากับตัวแทนกลุ่มต่อต้านติดอาวุธในซีเรีย เพื่อรับประกันความปลอดภัยของฐานทัพและคณะผู้แทนทางการทูตรัสเซียในภูมิภาคนี้  

มอสโกแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมสนับสนุนการเจรจาทางการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวซีเรียและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต

ประธานาธิบดีซีเรีย ‘บาชาร์ อัล อัสซาด’ หนี!! ออกนอกประเทศแล้ว หลังสูญเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ ให้กับการบุกสายฟ้าแลบ ของกลุ่มกบฏ

(8 ธ.ค. 67) นายรามี อับเดล ราห์มัน ผู้อำนวยการกลุ่มสังเกตการณ์ ระบุว่า ...

ประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล อัสซาด ออกจากซีเรีย ผ่านทางสนามบินนานาชาติดามัสกัสก่อนที่กองกำลังรักษาความปลอดภัยกองทัพบกทิ้งสนามบิน” ซึ่งเอเอฟพีไม่สามารถยืนยันรายงานข่าวได้ในตอนนี้

นายกรัฐมนตรีโมฮัมเหม็ด อัล จาลาลี แถลงเผยแพร่ผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก ว่าพร้อม ‘ร่วมมือ’ กับผู้นำทุกคนที่ประชาชนเลือก และพร้อมสำหรับกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ หลังกบฏกล่าวว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด หนีออกนอกประเทศ ไปแล้ว 

ฝ่ายกบฏประกาศว่า ทรราชย์บาชาร์ อัล อัสซาด หนีไปแล้ว ขอให้ชาวซีเรียในต่างแดนกลับคืนสู่ ‘ซีเรียเสรี’

‘พายุดาร์ราห์’ พัดถล่ม!! ชายฝั่งเวลส์ ด้วยความเร็วลม มากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมง สร้างความเสียหายให้ ‘เวลส์ตอนใต้ – อังกฤษฝั่งตะวันตก – ไอร์แลนด์เหนือ’

(8 ธ.ค. 67) ที่อังกฤษ ‘พายุดาร์ราห์’ พัดถล่มชายฝั่งเวลส์ด้วยความเร็วลมมากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมง(144 กม./ชม.+) เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค. 67) ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ต้นไม้หักโค่น เที่ยวบินยกเลิกจำนวนมาก สำนักอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนสภาพอากาศสีแดง
พื้นที่ ได้รับผลกระทบ เวลส์ตอนใต้ อังกฤษฝั่งตะวันตก และไอร์แลนด์เหนือ บางพื้นที่น้ำท่วม 

รายงานล่าสุด มีชายผู้ประสบภัย เสียชีวิตแล้ว 2 ราย จากเหตุต้นไม้ล้มทับ

‘ผีแดง’ แพ้!! ‘ฟอเรสต์’ คาบ้าน 2-3 ปราชัย!! ในลีก 2 นัดติดต่อกันแล้ว

(8 ธ.ค. 67) ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม พลาดท่าพ่าย น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คาบ้าน 2-3 ปราชัยในลีก 2 เกมติดต่อกัน

เกมดังกล่าว น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ออกนำอย่างรวดเร็ว 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 2 จากจังหวะลูกเตะมุม และเป็น นิโคลา มิเลนโควิช โขกเข้าไป อย่างไรก็ดี แมนฯ ยู มาตีเสมอ 1-1 จากราสมุส ฮอยลุนด์ และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง ฟอเรสต์ ออกนำอย่างรวดเร็วอีกครั้ง 2-1 จากลูกยิงนอกกรอบสุดสวยของ มอร์แกน กิ๊บส์ ไวท์ น.47 ก่อนจะมาบวกสกอร์เพิ่มหนีห่าง 3-1 จากลูกโหม่งของ คริส วูด น.54

แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ได้ประตูตีตื้นมาเป็น 2-3 จากจังหวะที่ อาหมัด ดิยัลโล่ จ่ายย้อนกลับมาที่หัวกะโหลกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดเข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือเจ้าถิ่นพยายามโหมบุกอย่างหนักเพื่อทำประตูคืน แต่จบสกอร์ไม่เฉียบคมพอ สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คาบ้าน 2-3 ปราชัย 2 เกมติดต่อกัน รั้งอันดับ 13 ของตาราง มี 19 คะแนน จาก 15 นัด ส่วน ‘เจ้าป่า’ มี 25 แต้ม รั้งอันดับ 5

‘ปธน.เกาหลีใต้’ รอด!! ถอดถอน ปม ‘ประกาศกฎอัยการศึก’ หลังสมาชิกสภาพรรครัฐบาล คว่ำบาตร!! การลงมติ

(8 ธ.ค. 67) สมาชิกรัฐสภาของพรรครัฐบาล คว่ำบาตรการลงมติถอดถอน นาย ยุน ซอกยอล จากตำแหน่งประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ หลังจากตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

รายงานข่าว ระบุว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติของเกาหลีใต้ ล้มเหลวในการถอดถอนประธานาธิบดีของประเทศจากกรณีที่เขาพยายามประกาศกฎอัยการศึกในช่วงเวลาสั้น ๆ

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายเพื่อลงมติถอดถอนประธานาธิบดียุน ซุกยอล ล้มเหลว โดยขาดไปเพียงสามคะแนน จากเสียงทั้งหมดที่ต้องการ 200 คะแนนเพื่อขับเขาออกจากตำแหน่ง ในการลงมติครั้งนี้ สมาชิกของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคของฝ่ายรัฐบาลจำนวนมากไม่เข้าร่วมการลงมติ

กระทั่ง เวลาประมาณ 19.30 น. ของวันที่ 7 ธ.ค.67 (ตามเวลาประเทศไทย) นาย วู วอนชิก ประธานสภาฯ เกาหลีใต้ ประกาศยุติการลงมติถอดถอน ‘ยุน ซอกยอล’ พ้นตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นเวลากว่า 3 ชม. หลังการลงมติเริ่มต้นขึ้น

เลือกตั้งโรมาเนีย กับสงครามรัสเซีย – ยูเครน ‘คาลิน จอร์เจสคู’ ผู้ต่อต้านนาโต มาเป็นที่หนึ่ง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีโรมาเนียรอบแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมามนายคาลิน จอร์เจสคู (Calin Georgescu) ผู้สมัครอิสระที่ต่อต้านนาโตและชื่นชอบรัสเซีย ได้รับการเลือกตั้งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการลงคะแนนเสียงประธานาธิบดี ด้วยคะแนนเกือบ 23% ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจ ซึ่งขัดแย้งกับการสำรวจความคิดเห็นก่อนหน้านี้ ในขณะที่การเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2024 พรรคชาตินิยมไม่สามารถคว้าเสียงข้างมากแต่กลับกันสมาชิกฝ่ายขวาจัดกลับได้รับเลือกมากกว่าสามเท่าในสภานิติบัญญัติของโรมาเนีย

นายคาลิน จอร์เจสคูเป็นนักการเมืองผู้ชื่นชอบทฤษฎีสมคบคิดซึ่งยกย่องประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียและไออน อันโตเนสคู (Ion Antonescu) เผด็จการชาวโรมาเนียที่สนับสนุนนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยคาดว่านายคาลิน จอร์เจสคูจะต้องแข่งขันกับนางเอเลน่า ลาสโคนี (Elena Lasconi) ที่สนับสนุนสหภาพยุโรปในการเลือกตั้งรอบสองในวันที่ 8 ธันวาคม 2024 นี้ การที่นายนายคาลิน จอร์เจสคูผู้สมัครที่เป็นมิตรกับรัสเซียได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประชาชนชาวโรมาเนียนั้นเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับยูเครน 

แม้จะยังห่างไกลจากชัยชนะอย่างสมบูรณ์แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวในประเทศที่รัฐบาลสนับสนุนเพื่อนบ้านยูเครนอย่างแข็งขันเน้นย้ำถึงความเหนื่อยล้าที่เพิ่มมากขึ้นในยุโรป นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การสนับสนุนยูเครนของยุโรป โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาของโรมาเนียครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงผลงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มชาตินิยมที่เป็นมิตรกับรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาของโรมาเนียเน้น

ในช่วงแรกนายคาลิน จอร์เจสคูนักการเมืองหัวรุนแรงอนุรักษ์นิยมซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่มีโอกาสชนะน้อยมากสามารถพลิกกลับมาประสบความสำเร็จได้ด้วยการมีตัวตนบนโซเชียลมีเดียซึ่งช่วยให้เขาได้คะแนนเสียงจากผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล ในการนับคะแนนรอบแรกนายคาลิน จอร์เจสคูถูกกล่าวหาว่า TikTok มีอคติให้การสนับสนุนจอร์เชสคูและการโจมตีทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย ทำให้ต้องนับคะแนนใหม่และต้องได้รับการรับรองโดยศาลรัฐธรรมนูญ

ในการเลือกตั้งรัฐสภาพรรคพันธมิตรเพื่อสหภาพโรมาเนีย (AUR) ซึ่งนายจอร์จ ซีมิออน (George Simion) หัวหน้าพรรคถูกห้ามไม่ให้เข้ายูเครนได้คะแนนเสียงเป็นอันดับสอง 18% ตามหลังพรรคโซเชียลเดโมแครตซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ได้เพียงแค่ 22% พรรคการเมืองขวาจัดอีกสองพรรคได้แก่ พรรค SOS Romania ของส.ส. ไดอานา โซโซอาคา (Diana Șoșoacă) ที่นิยมรัสเซียและพรรคเยาวชน (Party of Young People -POT) ที่เกี่ยวข้องกับนายคาลิน จอร์เจสคูได้รับคะแนนเสียงประมาณ 7.4% และ 6.5% ตามลำดับ ในขณะที่พรรคการเมืองสายกลางที่นิยมตะวันตกได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นในการเลือกตั้งรัฐสภา การชนะของพรรคชาตินิยมและโอกาสของจอร์เจสคูในการชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้เพิ่มความรู้สึกนิยมรัสเซียในยุโรปให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

ผลการเลือกตั้งที่ประชาชนชาวโรมาเนียให้การสนับสนุนนายคาลิน จอร์เจสคูอย่างมากส่งผลให้สหรัฐฯ ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการออกมาขู่กรรโชก โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าวอชิงตันกำลังจับตาดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโรมาเนียอย่างใกล้ชิดและเตือนโรมาเนียไม่ให้ละทิ้งแนวทางที่สนับสนุนยุโรปถึงขนาดออกมาขู่ว่าจะระงับความร่วมมือด้านความมั่นคงและการลงทุนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทางสหรัฐฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานของสภาสูงสุดแห่งโรมาเนียด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งกล่าวหาว่ารัสเซียมีกิจกรรมทางไซเบอร์เกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งของประเทศ ในขณะที่นายคาลิน จอร์เจสคูกล่าวว่าเขายินดีที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศโรมาเนีย แต่เน้นย้ำว่าความพยายามใดๆ ที่จะแทรกแซงจากภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2024 เจ้าหน้าที่โรมาเนียได้เปิดเผยหลักฐานที่เป็นความลับเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าแคมเปญโซเชียลมีเดียที่ "มีการจัดอย่างเป็นระบบ" และได้รับการสนับสนุนจาก ‘หน่วยงานของรัฐ’ เพื่อสนับสนุนนายคาลิน จอร์เจสคูผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สนับสนุนรัสเซียในการลงคะแนนเสียง ในขณะที่หน่วยข่าวกรองต่างประเทศของโรมาเนีย (The Romanian foreign intelligence agency - SIE) ชี้ให้เห็นถึง ‘การโจมตีแบบผสมผสานของรัสเซียที่ก้าวร้าว รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ การรั่วไหลของข้อมูล และการก่อวินาศกรรม’ ที่กำหนดเป้าหมายคือโรมาเนีย รายงานฉบับหนึ่งซึ่งถูกเปิดเผยโดยประธานาธิบดี เคลาส์ อิโอฮานิส (Klaus Iohannis) ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ระบุว่านายคาลิน จอร์เจสคูได้รับการสนับสนุนจากแคมเปญที่ประสานงานโดยผู้ดำเนินการของรัฐบนแพลตฟอร์ม TikTok ของจีน แคมเปญดังกล่าวเริ่มต้นจากบัญชีประมาณ 25,000 บัญชีที่มีการใช้งานสูงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง แม้ว่าผู้สมัครจะอ้างว่าไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณการรณรงค์หาเสียงแต่หน่วยข่าวกรองระบุว่ามีบัญชี TikTok บัญชีหนึ่งที่จ่ายเงิน 381,000 ดอลลาร์ให้กับผู้ใช้ที่สนับสนุนนายคาลิน จอร์เจสคู นอกจากนี้หน่วยงานฯ ยังรายงานด้วยว่ามีการโจมตีทาง ไซเบอร์ 85,000 ครั้งเพื่อเข้าถึงและแทรกแซงข้อมูลการเลือกตั้งโดยใช้วิธีการขั้นสูงที่บ่งชี้ว่า "ผู้ดำเนินการได้รับการสนับสนุนจากรัฐ" กระทรวงมหาดไทยของโรมาเนียยังออกมาระบุว่าแคมเปญดังกล่าวใช้ผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียซึ่งมีผู้ติดตามรวมกันกว่า 8 ล้านคนเพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นของประชาชนในลักษณะเดียวกับแคมเปญข้อมูลของรัสเซียในยูเครนก่อนที่รัสเซียจะรุกราน

การที่สหรัฐออกมาข่มขู่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีโรมาเนียครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโรมาเนียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และสงครามรัสเซีย - ยูเครน โดยสามารถวิเคราะห์ความสำคัญของโรมาเนียต่อสงครามรัสเซียยูเครนและยุทธศาสตร์การต่อต้านรัสเซียของสหรัฐฯและพันธมิตรได้ดังนี้

ความสำคัญของการสนับสนุนของโรมาเนียต่อยูเครน
- โรมาเนียได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของยูเครน โดยให้การสนับสนุนด้านการทหาร เศรษฐกิจ และมนุษยธรรมที่สำคัญ โรมาเนียซึ่งมีพรมแดนติดกับยูเครนยาว 613 กิโลเมตร (380 ไมล์) ถูกคุกคามจากโดรนของรัสเซียที่ตกลงมาในดินแดนของตนระหว่างการโจมตียูเครนในเวลากลางคืน
- ประเทศนี้เป็นหนึ่งในพันธมิตรไม่กี่รายที่จัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออตให้กับยูเครน นอกเหนือไปจากรายการอุปกรณ์ลับส่วนใหญ่ที่รายงานว่ารวมถึงระบบจรวดหลายลำกล้อง APRA-40 หรือยานเกราะ TAB-71
- นักบินยูเครนกำลังเรียนรู้การบินเครื่องบินรบ F-16 ที่ศูนย์ฝึกอบรมของพันธมิตรในฐานทัพอากาศ Fetesti ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโรมาเนีย ขณะที่ฐานทัพอีกแห่งมีกำหนดจะเป็นสถานที่ฝึกอบรมสำหรับนาวิกโยธินยูเครน

- ในฐานะเพื่อนบ้านของยูเครน โรมาเนียจึงมีความสำคัญต่อการขนส่งสินค้าเกษตรของยูเครนที่มุ่งหน้าสู่ตลาดโลก ท่ามกลางความพยายามของรัสเซียในการปิดกั้นเส้นทางการค้าในทะเลดำ
- แม้ว่าความสำคัญของเส้นทางโรมาเนียจะลดลงเนื่องจากยูเครนเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ แต่ท่าเรือคอนสแตนตาของโรมาเนียยังคงคิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสี่ของการส่งออกเกษตรของยูเครนจนถึงปลายปี 2024
- ในฐานะส่วนหนึ่งของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศที่ถูกปิดล้อม โรมาเนียได้ให้การต้อนรับผู้ลี้ภัยมากกว่า 170,000 คนและสนับสนุนความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดระหว่างประเทศ
- บูคาเรสต์ยังเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลเคียฟและการเข้าร่วมนาโตและสหภาพยุโรปบนเวทีระหว่างประเทศอีกด้วย ความร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านได้แข็งแกร่งขึ้นด้วยสนธิสัญญาความมั่นคงระยะเวลา 10 ปีที่ลงนามเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2024

ความสำคัญของโรมาเนียต่อยุทธศาสตร์การต่อต้านรัสเซียของสหรัฐฯและพันธมิตร
- โรมาเนียซึ่งเคยเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาวอร์ซอ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของปีกตะวันออกของ NATO และยืนหยัดอยู่แนวหน้าในการพยายามคุกคามรัสเซียของกลุ่มประเทศสมาชิก
- ชายฝั่งทะเลดำของโรมาเนียทำให้โรมาเนียเป็นเส้นทางที่สะดวกสำหรับการขนส่งอาวุธไปยังเคียฟ
- โครงสร้างพื้นฐานทางทหารของ NATO ในโรมาเนียทำหน้าที่เป็นฐานในการยิงโดรน เช่น MQ-9 Reaper เพื่อสอดส่องกิจกรรมของรัสเซียจากน่านฟ้าเป็นกลางเหนือทะเลดำ และอาจช่วยประสานงานการโจมตีของยูเครนต่อดินแดนของรัสเซียได้
- สถานะของโรมาเนียในฐานะประเทศในทะเลดำช่วยให้ NATO สามารถพิสูจน์การมีฐานทัพเรือในส่วนนั้นของโลกได้
- ชายแดนระหว่างโรมาเนียกับมอลโดวาทำให้ NATO สามารถคุกคามทรานส์นีสเตรีย ซึ่งเป็นดินแดนแยกตัวของมอลโดวาที่อยู่ระหว่างมอลโดวาและยูเครน โดยมีกองกำลังรักษาสันติภาพของรัสเซียประจำการอยู่
- ฐานทัพอากาศ Mihail Kogalniceanu ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับคอนสแตนตากำลังขยายตัวและคาดว่าจะกลายเป็นฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดของ NATO ในยุโรป การขยายตัวนี้ส่งผลให้โรมาเนียกลายเป็น 'เรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีวันจม' ที่อยู่หน้าประตูบ้านของรัสเซีย
- ฐานทัพทหาร Deveselu ใกล้กับคาราคัลเป็นที่ตั้งของระบบป้องกันขีปนาวุธพิสัยไกล Aegis Ashore ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เครื่องยิง Mk 41 เพื่อยิงขีปนาวุธ (เช่น ขีปนาวุธร่อน Tomahawk) ใส่รัสเซีย

หากนายคาลิน จอร์เจสคู ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สอง ‘เขาจะมีความชอบธรรมในสายตาประชาชนในฐานะประธานาธิบดี’ ซึ่งระบบการเมืองของโรมาเนียเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีสามารถหยุดยั้งแนวทางที่สนับสนุนยูเครนของประเทศได้ โดยประมุขแห่งรัฐของโรมาเนียเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพ เป็นประธานสภากลาโหม และเป็นตัวแทนของประเทศในระดับนานาชาติ รวมถึงในสภายุโรปและการประชุมสุดยอดนาโตด้วย ซึ่งหากนายคาลิน จอร์เจสคูได้รับเลือกโอกาสที่โรมาเนียจะหยุดให้การสนับสนุนยูเครนก็จะเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯและพันธมิตรยอมไม่ได้เห็นได้จากการที่เขาหาเสียงด้วยการออกมาพูดต่อต้านความช่วยเหลือทางทหารสำหรับเคียฟและโจมตีฐานทัพนาโตในประเทศว่าเป็น ‘แหล่งน่าละอาย’ ของชาติ 

ซึ่งบทสรุปอนาคตของโรมาเนียชาวโรมาเนียต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าโรมาเนียจะพอกับการให้การสนับสนุนสงครามในยูเครนต่อไปหรือไม่ ซึ่งเราต้องติดตามผลการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีของโรมาเนียที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2024 นี้อย่างใกล้ชิด

‘เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ’ รมต.ต่างประเทศรัสเซีย เผยกับ ‘นักข่าวอเมริกัน’ เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด 4 ประการในการยุติ!! สงครามยูเครน

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2024 มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ระหว่างนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกับนายทัคเกอร์ คาร์ลสันนักข่าวชาวอเมริกัน ที่เคยสัมภาษณ์ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมาโดยได้พูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเกี่ยวกับสาเหตุของการเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนและความสัมพันธ์กับตะวันตก ครั้งนี้นักข่าวชาวอเมริกันรายนี้เดินทางกลับมายังมอสโกเพื่อพูดคุยกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย การสัมภาษณ์ของนายทัคเกอร์ คาร์ลสันครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่การทูตเกี่ยวกับการหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นนับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งและในขณะที่รัสเซียยังคงเดินหน้าในสนามรบทางตะวันออกของยูเครน การสัมภาษณ์ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ภายใน 3 ชั่วโมง มีผู้เข้าชมเกือบ 2.3 ล้านครั้ง โดยรัฐมนตรีเซอร์เกย์ ลาฟรอฟได้ตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งในยูเครน และเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสำหรับประเทศรัสเซียในการยุติปัญหานี้ โดยสามารถสรุปประเด็นการสัมภาษณ์ดังกล่าวที่สำคัญได้ 4 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐอเมริกา
- รัสเซียต้องการมีความสัมพันธ์ตามปกติกับทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ยิ่งใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแสดงความเคารพต่อชาวอเมริกันและความสำเร็จของพวกเขาหลายครั้ง เราไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมรัสเซียและสหรัฐอเมริกาจึงไม่สามารถร่วมมือกันได้
- สำหรับมอสโกสิ่งสำคัญคือการหลีกเลี่ยงสงครามกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสงครามอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ได้
- โดนัลด์ ทรัมป์เป็นมิตร แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโปรรัสเซีย
- สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครนถูกเรียกว่าสงครามลูกผสม ยูเครนจะไม่สามารถทำสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ด้วยอาวุธสมัยใหม่ที่มีพิสัยไกลได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีบทบาทอย่างแข็งขันในการจัดหาอาวุธให้กับทางเคียฟ 
โดยเขากล่าวว่า “ผมจะไม่พูดว่าในวันนี้รัสเซียและสหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกัน เราไม่ได้ทำสงครามอย่างเป็นทางการ และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราอยากจะมีความสัมพันธ์ตามปกติกับทุกประเทศ”

ประเด็นที่สอง ความเสี่ยงจากสงครามนิวเคลียร์
- ทางการรัสเซียมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สงครามนิวเคลียร์จะลุกลาม
- หลักคำสอนทางทหารของเรากล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์
- แนวคิดของชาติตะวันตกที่มองว่ารัสเซียไม่มี ‘เส้นแดง’ นั้นถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรง หลายครั้งที่ตะวันตกประกาศเส้นแดงเองและเปลี่ยนเส้นแดงนั้นไปมา โดยเขากล่าวว่า “นี่เป็นเกมที่อันตรายมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทางตะวันตกมีการเรียกร้องภายในเพนตากอนและ NATO ให้ชิงโจมตีก่อนโดยมองว่าการโจมตีเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด รวมถึงการโจมตีด้วยนิวเคลียร์อย่างจำกัด ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดหายนะที่เราไม่ต้องการ

ประเด็นที่สาม การทดสอบขีปนาวุธ ‘Oreshnik’
- รัสเซียไม่ต้องการให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่เนื่องจากขีปนาวุธ ATACMS และอาวุธระยะไกลอื่น ๆ ถูกใช้กับแผ่นดินรัสเซีย ทางการรัสเซียหวังว่าการทดสอบขีปนาวุธ 'โอเรชนิก' จะเป็นการส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ เพื่อให้ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง
- รัสเซียจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตน สหรัฐอเมริกาและผู้ที่จัดหาอาวุธพิสัยไกลให้กับเคียฟต้องเข้าใจว่าเราจะพร้อมที่จะใช้วิธีการใด ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาติตะวันตกประสบความสำเร็จในการสร้าง ‘ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์’ ให้กับเรา 

ประเด็นสุดท้าย ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน
- เราไม่ได้เริ่มสงคราม ในทางตรงกันข้าม เราได้เปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อยุติสงครามที่ระบอบการปกครองของเคียฟได้ปลดปล่อยต่อประชาชนใน Donbass ซึ่งสิทธิมนุษยชนของประชากรรัสเซียและที่พูดภาษารัสเซียในยูเครนถูกละเมิดอย่างร้ายแรงรัสเซียเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อยุติสงครามที่ระบอบเคียฟกำลังดำเนินการกับประชาชนของตนเองในพื้นที่ดอนบาส 
- ชาวตะวันตกกำลังต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจของตนในโลก แต่เรากำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ด้านความปลอดภัยที่ถูกต้องตามกฎหมายและต่อสู้เพื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านี้
- เราไม่มีเจตนาที่จะทำลายชาวยูเครน พวกเขาเป็นพี่น้องกันกับชาวรัสเซีย
- รัสเซียเรียกร้องหลายครั้งในปี 2014 และ 2017 ให้ในระดับข้อตกลงอนุญาตให้บางส่วนของ Donbass และ Novorossiya พูดและเรียนเป็นภาษารัสเซียได้ ประการแรกมีข้อตกลงมินสค์ซึ่งกำหนดไว้เพื่อบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครนยกเว้นไครเมียแต่ข้อตกลงเหล่านี้ถูกทำลายตั้งแต่เริ่มแรก และเราถูกบังคับให้เปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหาร จากนั้นข้อตกลงอิสตันบูลในปี 2022 พูดถึงการที่ยูเครนไม่เข้าสู่ NATO เพื่อแลกกับการรับประกันความปลอดภัย แต่ถูกล้มหลังจากการมาถึงของนายบอริส จอห์นสันนายกรัฐมนตรีอังกฤษ 
- อย่าคิดว่ารัสเซียและสหรัฐฯ กำลังตัดสินใจประเด็นของยูเครนแทนทุกคนเพราะนี่ไม่ใช่สไตล์ของมอสโก
- เมืองหลวงบางแห่งเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งในยูเครน มีการพูดคุยกันว่าสหรัฐฯ ต้องการปล่อยให้เรื่องนี้ตกเป็นหน้าที่ของยุโรป
- รัสเซียพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ แต่ต้องการการเจรจาอย่างสันติ โดยตั้งใจที่จะดำเนินการเจรจาตามหลักการที่ตกลงกันในอิสตันบูล และต้องคำนึงถึงพื้นฐานความเป็นจริงที่ว่าขณะนี้มีสาธารณรัฐใหม่สี่แห่งในรัสเซีย แต่ข้อตกลงเหล่านี้ถูกตะวันตกปฏิเสธ

โดยรัฐมนตรีเซอร์เกย์ ลาฟรอฟกล่าวว่า ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีสั่งห้ามการเจรจากับรัสเซีย และทางรัสเซียก็พร้อมสำหรับการเจรจา หากคำนึงถึงความสมดุลทางผลประโยชน์ 

ซึ่งทั้ง 4 ประเด็น ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถึงท่าทีและการส่งสัญญาณของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียต่อทางสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกผ่านทางนายทัคเกอร์ คาร์ลสันซึ่งผู้กำหนดนโยบายจากชาติตะวันตกจำเป็นจะต้องศึกษาและถอดความหมายจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ต่อไป

‘เมียนมา’ พร้อมช่วยเหลือ ‘ไทย’ เจรจากับ ‘ว้า’ ชี้!! ต้องแสดงความจริงใจ ไม่ใช่เล่นปาหี่

มาวันนี้เอย่ามีข่าวล่าสุดที่หลุดมาจากแหล่งข่าวไทใหญ่ว่าล่าสุดมีการเจรจาทางลับที่เชียงใหม่กับทางกองทัพเมียนมาล่ม โดยฝั่งเมียนมากล่าวว่า

1. การแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมามีการคุยมานานแล้ว แต่ประเด็นคือไทยกับเมียนมาถือแผนที่คนละฉบับกับเมียนมาทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนและตลอดมามีความพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยกันแต่ความไม่สงบในประเทศทั้งฝั่งไทยและเมียนมาเองที่เราสงบเขามีปัญหา พอเขาสงบทางเราเกิดความวุ่นวาย นั่นทำให้ยังสามารถปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จได้

2. ฝั่งเมียนมาพร้อมช่วยเหลือไทยฝ่ายไทยในการเจรจากับว้า แต่แหล่งข่าวระดับสูงของเมียนมาบอกว่าถ้าให้เมียนมาขยับ 9 จุดที่มีการล้ำเขตแดนบริเวณฐานทหารว้ามา ไทยก็มีจุดที่ล้ำกว่า 20 จุด ที่มีการรุกล้ำเขตแดนฝั่งเมียนมาด้วยเช่นกัน

3. ฝั่งเมียนมาบอกว่าการแก้ปัญหาชายแดนต้องแสดงความจริงใจ จริงจังไม่เล่นปาหี่  ต้องมีการคุยในระดับคณะกรรมการชายแดนและการทูตควบคู่กันไป ไม่ใช่จบกันแค่พูดคุยทางลับเท่านั้น

4. ฝั่งไทยต้องส่งเสริมสนับสนุนความเป็นมิตรกับฝั่งเมียนมา ในด้านการช่วยจัดการรักษาเสถียรภาพให้เมียนมาด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตาไม่รับรู้ให้ปล่อยให้กลุ่มต่างๆใช้ไทยเป็นแหล่งฟอกเงินและส่งทรัพยากรและยุทโธปกรณ์ให้แก่ฝ่ายต่อต้านกองทัพเมียนมา

ฝั่งไทยเองก็ใช่ย่อยล่าสุดมีข่าวหลุดออกมาจากแหล่งข่าวจากกลุ่ม NGO สามนิ้วว่ากองทัพไทยมีการติดต่อผ่านนักวิชาการที่มีสายสัมพันธ์ดีกับกลุ่ม NGO ที่ต่อต้านกองทัพเมียนมาเพื่อจะหาทางเข้าไปคุยกับว้า เอย่าจึงแค่อยากตั้งคำถามว่าตลอดเวลากลุ่มสามนิ้วด้อยค่าทหาร ด้อยค่าสถาบันมาตลอด แต่ทำไมถึงเรียกใช้คนเหล่านี้เป็นคนกลาง หรือกองทัพไทยยังถูกกลุ่มนี้ด้อยค่าไม่พออีกหรือ

สุดท้ายเอย่ามาวิเคราะห์ว่าจุดเริ่มต้นในการกระพือข่าวครั้งนี้ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์และกระสุนนัดแรกมาจากใคร จากแหล่งข่าวทั้งกูรูกองทัพฝั่งไทยเอง ฝั่งว้าเองรวมกระทั่งแหล่งข่าวระดับสูงจากฝั่งเมียนมาก็มองตรงกันว่า ศึกนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ไทยและเมียนมาแต่เป็นกองกำลัง RCSS ของเจ้ายอดศึกนั่นเอง

ที่ผ่านมาว้าเปิดศึกกับ RCSS หลายครั้งจะด้วยเหตุผลที่เป็นชนักติดหลังว้ามาตลอดที่ RCSS อ้างว่าทำศึกกับว้าเพราะกำจัดยาเสพติดหรืออะไรก็ตาม อย่าลืมว่ามันมีอะไรอยู่เบื้องหลังที่เราไม่รู้เสมอ และหากพิจารณาแล้ว สงครามระหว่างไทยกับว้าครั้งนี้ คนที่ไม่ได้เกี่ยวแต่มีการปล่อยข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องคือฝั่งกองทัพไทใหญ่นั่นเอง ดังนั้นไทยเองต้องควรจับตาเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไม่กะพริบตา กระสุนนัดแรกแน่นอนว่าไม่ได้มาจากฝั่งไทยแน่ และว้าก็คงไม่หาญกล้าที่จะเป็นคนเปิดก่อนแน่นอน ดังนั้นศึกนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดสงครามจากมือที่ 3 ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะผลักดันให้ไทยเข้าสู่สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มว้าที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับจีน และพยายามจะออกสื่อเสนอตัวเป็นผู้ช่วยกองทัพไทยในการรบครั้งนี้ด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วศักยภาพของกลุ่ม RCSS ไม่สามารถเทียบว้าได้ เพียงแต่อยู่ในชัยภูมิที่ดีและหากศึกดอยหัวม้าไทยชนะ RCSS ก็หวังว่าจะได้ฐานที่ดอยหัวม้านี้กลับมาใช้ประโยชน์กับกลุ่มของตนอีกครั้ง เหมือนสมัยครั้งที่ฐานนี้เป็นของขุนส่าซึ่งตอนนั้นขุนส่าอยู่กับเจ้ายอดศึกนั่นเอง

คนไทยเองก็ควรที่จะเพลาๆ ความคลั่งชาติลงบ้าง เรารักชาติได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับใครจนคู่กรณีตัวจริงเอาเราไปชนกับคู่ปรับของเขาแทน สุดท้ายเอย่าหวังว่ากองทัพไทยก็น่าจะมีวิธีในการติดต่อกองทัพว้าโดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพากลุ่มที่ด้อยค่ากองทัพนะคะ

ว่าไปแล้วว้าก็ไม่ใช่ผู้ผลิตยาเสพติดกลุ่มเดียวอย่างที่เราคิดเสมอไป ล่าสุดกลุ่ม PDF ได้ตั้งโรงงานในบ่อนตรงข้ามบ้านช่องแคบ อ. พบพระ จ. ตาก อาศัยพื้นที่อิทธิพลของ พันเอก ไซ จอ ละ หรือ โกไซ ผลิตยาและขนเป็นกองทัพมดเข้ามาในไทยเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าเงินสนับสนุนจากตะวันตกลดลง และรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางไม่พอเพราะด่านจากที่เคยเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำกลับมีด่านลอยเพิ่มขึ้นมา 10 เท่าในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่มีสงครามที่เมียวดี นั่นทำให้รายได้ที่จัดเก็บในแต่ละด่านลดลงอย่างชัดเจน งานนี้ทหารไทยก็เหนื่อยหน่อยนะคะ แต่เอย่าและคนไทยอีกจำนวนมากเป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปักกิ่งคว่ำบาตร 13 บริษัทยุทโธปกรณ์สหรัฐ สั่งห้ามส่งออกวัตถุดิบผลิตชิปและอาวุธให้มะกัน

(6 ธ.ค.67) กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ประกาศการคว่ำบาตรบริษัททหารของสหรัฐฯ จำนวน 13 แห่ง เพื่อเป็นการตอบโต้การขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนและทำลายอธิปไตยของตนอย่างรุนแรง โดยการคว่ำบาตรนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนคัดค้านอย่างหนักต่อการที่สหรัฐฯ อนุมัติการขายชิ้นส่วนอะไหล่และการสนับสนุนเครื่องบิน F-16 และเรดาร์ให้กับไต้หวัน มูลค่ากว่า 385 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

บริษัทที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่ Teledyne Brown Engineering, Brinc Drones, Shield AI การคว่ำบาตรบริษัทดังกล่าวยังส่งผลให้บริษัทอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบในฐานะไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบในการผลิตได้ อาทิ Rapid Flight, Red Six Solutions, Synexxus, Firestorm Labs, Kratos Unmanned Aerial Systems, HavocAI, Neros Technologies, Cyberlux Corporation, Domo Tactical Communications และ Group W

นอกจากนี้ จีนยังได้อายัดทรัพย์สินของผู้บริหารระดับสูงจาก 5 บริษัท รวมทั้ง Raytheon, BAE Systems และ United Technologies ที่ดำเนินธุรกิจในจีน และห้ามไม่ให้บุคคลเหล่านี้เข้าประเทศจีน พร้อมทั้งห้ามองค์กรและบุคคลในจีนทำธุรกิจกับพวกเขาด้วย

แผ่นดินไหว 7.0 ใกล้แคลิฟอร์เนีย ไร้เตือนสึนามิ แต่ยังประเมินความเสียหายไม่ได้

เมื่อเวลา 10.44 น.ของวันที่ (5 ธ.ค. 67) ตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย ตรงกับเวลา 01.44 น ของวันที่ 6 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นในไทย เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.0 นอกชายฝั่งตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีการประกาศเตือนภัยสึนามิชั่วคราว ก่อนจะยกเลิกในเวลาต่อมา  

รายงานจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเวลา 10.44 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ หรือ 01.44 น. ตามเวลาในไทย จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองเฟิร์นเดลไปทางตะวันตกราว 63 กิโลเมตร และลึกลงไปใต้พื้นดินประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ประชากรเบาบาง  

ศูนย์เตือนภัยสึนามิแห่งชาติออกคำเตือนครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ตั้งแต่เมืองดูนส์ ซิตี รัฐออริกอน ไปจนถึงนครซานฟรานซิสโกและซานโฮเซ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ระยะทางรวมกว่า 643 กิโลเมตร คำเตือนดังกล่าวถูกยกเลิกหลังผ่านไป 90 นาที  

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ประชาชนราว 19,000 คนไม่มีไฟฟ้าใช้ชั่วคราว แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม แรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบต่ออาคารหลายแห่ง รวมถึงห้องปลูกกัญชาที่ได้รับอนุญาตของบริษัท Humboldt Flower Company ซึ่งมีภาพความเสียหายปรากฏตามรายงานข่าว  

ในเขตซาคราเมนโต มีคลิปวิดีโอจากโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นสระว่ายน้ำในบ้านหลังหนึ่งที่น้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรงจนกระเซ็นออกมานอกสระ เบื้องต้นหน่วยงานรัฐบาลในท้องถิ่นยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้

แม้จะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังคงตอกย้ำความเสี่ยงของภัยธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ

UNESCO ขึ้นทะเบียน มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

(6 ธ.ค.67) ซินหัวรายงานว่า องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เทศกาลตรุษจีน' เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นการยกย่องถึงความสำคัญของพิธีกรรมและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับวิถีชีวิตของชาวจีน

รายงานระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สมัยที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 ธันวาคม ณ ประเทศปารากวัย ได้มีมติรับรองเทศกาลตรุษจีนเข้าสู่รายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยยูเนสโกเน้นย้ำถึงความหลากหลายของกิจกรรมทางสังคมในเทศกาลนี้ อาทิ การกราบไหว้ขอพร การรวมตัวของสมาชิกในครอบครัว และงานเฉลิมฉลองในชุมชน  

ยูเนสโกระบุว่า ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อทั้งในรูปแบบไม่เป็นทางการผ่านครอบครัว และในรูปแบบทางการผ่านระบบการศึกษา นอกจากนี้ ทักษะงานฝีมือและศิลปะที่เกี่ยวข้องยังถูกส่งต่อผ่านการฝึกฝน ส่งเสริมคุณค่าของความสมานฉันท์ในครอบครัว สังคม และสันติภาพ  

คณะกรรมการฯ ชี้ว่า เทศกาลตรุษจีนเป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหาร การศึกษา และการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม  

เหราเฉวียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนเป็นวันสำคัญที่สะท้อนถึงความหวังในชีวิตที่ดีขึ้นของชาวจีน เชื่อมโยงกับคุณค่าของความกลมกลืนในครอบครัวและสังคม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ  

การขึ้นทะเบียนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยส่งเสริมคุณค่าของสันติภาพและความสามัคคีในระดับสากล แต่ยังเป็นการตอกย้ำบทบาทสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืนของมนุษยชาติ  

ปัจจุบัน จีนมีรายการมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโกแล้วจำนวน 44 รายการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top