Tuesday, 1 July 2025
WORLD

ศึกษาพบชาวอเมริกันเลือก ‘ทำหมัน’ เพิ่มขึ้น ขณะเข้าสู่ ‘ยุคทรัมป์’ สมัยสอง

เมื่อวันพุธ (15 ม.ค. 68) เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานแนวโน้มประชาชนในสหรัฐฯ จะเลือกทำหมันเพิ่มขึ้นเพราะหวั่นเกรงการถูกจำกัดการเข้าถึงการบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ระหว่างการบริหารประเทศสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เตรียมเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

การวิจัยพบการผ่าตัดทำหมันชายและการผ่าตัดทำหมันหญิงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่เดือนก่อนและหลังจากศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตัดสินคดีด็อบส์ เวอร์เซิส องค์กรสุขภาพสตรีแจ็กสัน (Dobbs vs. Jackson Women’s Health Organization) ซึ่งมีคำวินิจฉัยในปี 2022 ที่ยุติสิทธิทำแท้งตามรัฐธรรมนูญที่มีมาเกือบครึ่งศตวรรษ

การศึกษาจากวารสารเฮลธ์ แอฟแฟร์ส (Health Affairs) พบว่าช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2022 มีการทำหมันชายเพิ่มขึ้นร้อยละ 95 และการทำหมันหญิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 19-26 ปี โดยคณะนักวิจัยใช้เวชระเบียนมาวิเคราะห์และพบว่ารัฐที่มีแนวโน้มห้ามทำแท้งหลังจากคำตัดสินคดีด็อบส์ฯ มีการทำหัตถการคุมกำเนิดถาวรเพิ่มขึ้นมากกว่า

การวิจัยจากวารสารเจเอเอ็มเอ เฮลธ์ ฟอรัม (JAMA Health Forum) ที่เผยแพร่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2024 ชี้ว่าการทำหัตถการคุมกำเนิดถาวรในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 18-30 ปี เพิ่มขึ้นหลังจากคำตัดสินคดีด็อบส์ฯ เช่นเดียวกัน

รัสเซียเผยทหารเชลยยูเครน ติดพนันออนไลน์ แถมดื่มสุราอย่างหนัก ผลพวงเพราะเครียดสงคราม

(16 ม.ค.68) เจ้าหน้าที่ความมั่นคงทางชายแดนรัสเซียเผยกับสำนักข่าวสปุตนิกว่า ช่วงคืนวันคริสต์มาสออร์โธดอกซ์ บริเวณชายแดนกับเขตเบลโกโรดในทิศทางของเมืองคาร์คิฟ (Kharkov) มีกลุ่มทหารฝ่ายยูเครนเข้ายอมจำนนกับทางฝ่ายรัสเซีย ซึ่งต่อมาได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่รัสเซียถึงสภาพความเป็นอยู่ในช่วงสงคราม 

โดยระบุว่า ด้วยความตึงเครียดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ทำให้ทหารยูเครนจำนวนมากติดเล่นพนันออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย ถึงขนาดที่แม้แต่ผู้บังคับบัญชาหน่วยยังมีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าว

ยูโรสลาฟ เชเวลยุค หนึ่งในทหารยูเครนที่ยอมจำนนมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่รัสเซียเผยว่า ทหารยูเครนบางรายถึงกับขโมยเงินของทหารด้วยกันเองเพื่อไปซื้อสุราและเล่นพนันออนไลน์เพื่อแก้เครียด โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ถูกระบุว่าติดพนันออนไลน์คือ อดีตผู้บัญชาการหน่วยของเขา ร.ต. ซาบิยากา

"เขายืมเงินจากคนในหน่วยจำนวนมากและเล่นเกมคาสิโนผ่านโทรศัพท์มือถือของเขา หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์บางอย่าง โทรศัพท์ของเขาถูกแฮ็ก และทุกอย่างก็ผิดปกติ เขาถูกส่งไปประจำที่แห่งใหม่ และเขายังไม่ได้คืนเงินให้กับคนที่ยืมไป" เชเวลยุคกล่าว

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นช่วงสัปดาห์เดียวกัน เจ้าหน้าที่ชายแดนยูเครนสองคนจากกลุ่มเดียวกันได้กล่าวในวิดีโอที่ได้รับจาก RIA Novosti ว่า มีการใช้สารเสพติดและการดื่มสุราเพื่อหนีความเครียดจนถึงขั้นเสียชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในหมู่ทหารยูเครนเนื่องจากความเหนื่อยล้าทางร่างกายและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จากสมรภูมิอันยาวนาน

เทียบภาพถ่ายเป็นทางการของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' วาระแรก vs สมัยสอง ปธน.สหรัฐคนที่ 47

(16 ม.ค.68) โลกโซเชียลต่างฮือฮา เมื่อสำนักประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เปิดเผยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 ที่จะใช้ในโอกาสสถาปนารับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่งทรัมป์มีท่าทางขึงขังอย่างชัดเจน แตกต่างกับภาพถ่ายอย่างเป็นทางการช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรกช่วงปี 2017-2021 ซึ่งเป็นภาพที่ทรัมป์แสดงรอยยิ้มอย่างชัดเจน

จากข้อมูลของทำเนียบขาวระบุว่า ภาพถ่ายของทรัมป์ ในสมัยแรกเมื่อปี 2017 ถูกถ่ายโดย Shealah Craighead หัวหน้าช่างภาพประจำทำเนียบขาวช่วงปี 2017 – 2021 ขณะที่ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของทรัมป์ที่ใช้ในปี 2025 นี้นั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผยว่าช่างภาพคนใดเป็นผู้ถ่าย

อย่างไรก็ตาม หลังมีการเปิดเผยภาพถ่ายสมัยที่ 47 บรรดาชาวเน็ตอเมริกันหลายคนต่างแสดงความเห็นว่า การวางใบหน้าของทรัมป์คล้ายคลึงอย่างมากกับรูปถ่ายของทรัมป์เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 ที่เรือนจำฟุลตันเคาน์ตี้ในแอตแลนตาหลังจากที่เขายอมมอบตัวในคดีกรรโชกทรัพย์เพื่อการเลือกตั้ง

อิสราเอล-ฮามาส ตกลงหยุดยิงปล่อยตัวประกันแล้ว จ่อยุติสงครามที่ดำเนินมานาน 15 เดือน

(16 ม.ค.68) นายกรัฐมนตรีชีค โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลเราะห์มาน อัล ทานี ของกาตาร์ ได้ประกาศว่า อิสราเอลและกลุ่มฮามาสได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งมีกำหนดเริ่มต้นในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ พร้อมการปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมดกลับสู่ครอบครัว  

นายอัล ทานี ระบุว่า กาตาร์จะทำงานร่วมกับอียิปต์และสหรัฐอเมริกา เพื่อประกันว่าทุกฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามในฉนวนกาซา  

ด้าน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันความสำเร็จของการเจรจาที่อียิปต์และกาตาร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง โดยข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยยุติการสู้รบ เปิดเส้นทางสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์ และส่งตัวประกันกลับบ้าน  

ในระยะเริ่มต้นของการหยุดยิง ชาวปาเลสไตน์จะสามารถกลับไปยังบ้านเรือนของพวกเขาได้ และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาจะเพิ่มขึ้น  

ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการเจรจาเพิ่มเติมในเฟสที่ 2 ของการหยุดยิง ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญสู่การสิ้นสุดความขัดแย้งอย่างถาวร หากการพูดคุยนี้ยืดเยื้อเกิน 6 สัปดาห์ ระยะเวลาการหยุดยิงจะขยายออกไปอีก  

ในเฟสที่ 3 ฮามาสจะปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมด ขณะที่แผนการฟื้นฟูฉนวนกาซาจะเริ่มต้นขึ้น  

ตลอด 15 เดือนของความขัดแย้งที่ผ่านมา ผู้นำระดับสูงและนักรบจำนวนมากของฮามาสเสียชีวิต ส่งผลให้กลุ่มดังกล่าวอ่อนแอลงในเชิงปฏิบัติ ข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ  

ไบเดนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อตกลงนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้คนในอิสราเอลได้กลับมาพบกับบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ยังช่วยให้ฉนวนกาซาได้รับการฟื้นฟู โดยไม่มีกลุ่มฮามาสเข้ามาเกี่ยวข้อง  

การหยุดยิงระยะเวลา 6 สัปดาห์ จะเริ่มในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม โดยฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 33 คน ในขณะที่อิสราเอลจะถอนทหารออกจากพื้นที่พลเรือนในฉนวนกาซา พร้อมปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคน

อานิสงส์จ่อแบน TikTok ชาวอเมริกันแห่เรียนภาษาจีน หันใช้แอพฯ Xiaohongshu ดันยอดดาวน์โหลดอันดับหนึ่ง

(16 ม.ค. 68) เว็บไซต์ TechCrunch รายงานว่าแพลตฟอร์มเรียนภาษาชื่อดัง Duolingo พบอัตราการสมัครเรียนภาษาจีนกลางของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 216% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวที่ TikTok อาจถูกแบนในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานบางส่วนหันไปใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนอย่าง Xiaohongshu หรือที่รู้จักในชื่อ RedNote แทน ซึ่งส่วนใหญ่มีคอนเทนต์ภาษาจีนเป็นหลัก อาจกระตุ้นทำให้ชาวอเมริกันสนใจเรียนภาษาจีนกลางเพิ่มขึ้น

ตามรายงานของ Duolingo การเรียนภาษาจีนกลางในสหรัฐฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยยอดผู้เรียนเริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนมกราคม พร้อมกับจำนวนการดาวน์โหลดแอป Duolingo ที่เพิ่มขึ้นถึง 36% ในช่วงต้นเดือนเดียวกัน ซึ่งตรงกับช่วงที่สหรัฐฯ กำลังถกเถียงเรื่องการแบน TikTok นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ใช้จำนวนมากลงทะเบียนเข้าใช้งาน Xiaohongshu ส่งผลให้แพลตฟอร์มนี้ขึ้นเป็นอันดับ 1 บน App Store ในสหรัฐฯ

ในการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้งานใหม่ Duolingo พบว่าหลายคนระบุว่าได้รู้จักแพลตฟอร์มผ่าน TikTok ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้ TikTok จะเผชิญกับประเด็นทางกฎหมาย แต่ยังคงเป็นช่องทางสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้งานใหม่

นอกจากนี้ Xiaohongshu ยังรายงานว่ามีผู้ใช้งานรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 700,000 บัญชีในเวลาเพียง 2 วัน แสดงถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของโซเชียลมีเดียสไตล์จีนในสหรัฐฯ พร้อมสะท้อนว่าผู้ใช้งานชาวอเมริกันหลายคนไม่กังวลเกี่ยวกับประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากนัก

ลือสะพัด TikTok เตรียมปิดบริการในสหรัฐฯ จับตาทรัมป์ ต่ออายุให้อีกแบน 90 วัน หลังต้องปิดตัว 19 ม.ค.นี้

(16 ม.ค.68) รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวว่า TikTok วางแผนจะปิดการให้บริการแอปพลิเคชันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผู้ใช้ถึง 170 ล้านคนหลังจากคำสั่งห้ามของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่จะมีผลบังคับใช้ โดยจะไม่มีการผ่อนผันในนาทีสุดท้ายภายในวันที่ 19 มกราคมนี้

อย่างไรก็ตาม จากรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งใน 20 มกราคม หนึ่งวันหลังจากการบังคับใช้คำสั่งห้าม อาจพิจารณาออกคำสั่งบริหารเพื่อชะลอการบังคับใช้คำสั่งปิดแอปออกไปอีก 60 ถึง 90 วัน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะดำเนินการอย่างไร

กฎหมายที่ลงนามในเดือนเมษายนกำหนดให้ต้องห้ามดาวน์โหลด TikTok ใหม่จากแอปสโตร์ของ Apple หรือ Google หาก 'ไบต์แดนซ์' บริษัทแม่จากจีนไม่ยอมขายกิจการ แต่ผู้ที่ดาวน์โหลดแอปไปแล้วยังสามารถใช้งานได้ต่อไป ยกเว้นว่ากฎหมายจะห้ามไม่ให้บริษัทในสหรัฐฯ ให้บริการหรืออัปเดตแอปตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมนี้เป็นต้นไป

ทีมงานของรัฐบาลชุดใหม่ของทรัมป์ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่าจะไม่มีการแทรกแซงการห้ามในช่วงวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง เว้นแต่จะมีการขายกิจการ TikTok ที่น่าเชื่อถือ

ในกรณีที่ TikTok ถูกแบน ผู้ใช้ที่พยายามเปิดแอปจะเห็นข้อความแจ้งที่นำไปสู่เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแบน พร้อมทั้งเสนอทางเลือกในการดาวน์โหลดข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อบันทึกข้อมูลไว้ ก่อนที่แอปจะปิดตัวลง

หากคำสั่งห้ามยังคงมีผลในอนาคต TikTok อาจประสบปัญหาในการให้บริการในประเทศอื่นๆ เนื่องจากผู้ให้บริการหลายร้อยรายในสหรัฐฯ ช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถใช้งานได้ทั่วโลก

นอกจากนี้แอปฯ Xiaohongshu หรือที่รู้จักในชื่อ 'Red Note' ซึ่งเป็นแอปโซเชียลมีเดียจากจีน กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ หลังจากมีข่าวการประกาศการปิดตัวของ TikTok โดยแอปนี้มีฟังก์ชันที่คล้ายกับ Instagram และ Pinterest โดยได้รับความสนใจจากผู้ใช้ที่ย้ายจาก TikTok มาใช้แพลตฟอร์มนี้

ถึงแม้จะมีการวิจารณ์เรื่องการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล TikTok ก็ยังคงมีผู้ใช้จำนวนมากในสหรัฐฯ โดยบางคนไม่สนใจข้อกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลและยังคงใช้แอปอย่างต่อเนื่อง

จีนให้คำมั่นลุยปราบแก๊งมิจฉาชีพข้ามชาติ หลังพบเหยื่อชาวจีนถูกขังในเมียนมา

กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันพุธ (15 ม.ค.68) ระบุว่า จีนจะยกระดับความพยายามในการช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ซึ่งหลอกลวงพวกเขาไปยังประเทศต่าง ๆ รวมถึงเมียนมา ตามรายงานจากสำนักข่าว CCTV ซึ่งเปิดเผยว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศได้หลอกลวงชาวจีนด้วยข้อเสนอการทำงานที่มีรายได้สูง พร้อมที่พัก อาหาร และค่าโดยสารเครื่องบิน ก่อนที่ผู้ถูกหลอกจะถูกกักขังในศูนย์หลอกลวงทางโทรคมนาคมในเมืองต่าง ๆ เช่น เมียวดี ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนเมียนมากับไทย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แถลงการณ์นี้ออกมาในช่วงที่เกิดกรณีการหายตัวไปของนักแสดงจีนในจังหวัดตากของไทย ซึ่งตำรวจไทยคาดว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์

จีนกล่าวว่าจะเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในประเทศอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือพลเมืองที่ถูกกักขัง และจะดำเนินการอย่างจริงจังในการกวาดล้างศูนย์หลอกลวงด้านโทรคมนาคมและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ดำเนินการในต่างประเทศ

รายงานยังเผยถึงการร่วมมือกับทางการเมียนมาในปี 2566 เพื่อล้มล้างกลุ่มมาเฟียเชื้อสายจีน 'กลุ่มสี่ตระกูลโกก้าง' ที่มีการดำเนินการในบริเวณชายแดนเมียนมากับมณฑลยูนนานของจีน

นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว ไทยได้ให้ความช่วยเหลือในการส่งตัวชาวจีนกว่า 900 คน ที่ถูกกักขังในศูนย์หลอกลวงที่เมืองเมียวดีกลับประเทศ ขณะที่เมียนมาในปี 2566 ได้ส่งตัวผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับการหลอกลวงทางโทรคมนาคมมากกว่า 31,000 คนกลับจีน

ตามข้อมูลจากสื่อของรัฐบาลจีน ช่วงนั้นพบว่ามีศูนย์หลอกลวงทางโทรคมนาคมในเมียนมามากกว่า 1,000 แห่ง และมีผู้คนกว่า 100,000 คนที่ถูกหลอกลวงในแต่ละวัน

นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของจีนได้พบปะกับผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้มีการร่วมมือกันในด้านการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการพนันออนไลน์และการหลอกลวงทางโทรคมนาคม

องค์กรแพทย์แห่งทั่วโลกหนุนวัดรอบเอว แทนเกณฑ์ BMI ประเมินความเสี่ยงโรคอ้วน

(16 ม.ค.68) กลุ่มองค์กรการแพทย์ 76 แห่งทั่วโลกประกาศสนับสนุนแนวทางใหม่ในการวินิจฉัยโรคอ้วน โดยไม่จำกัดเพียงการใช้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูงเท่านั้น แต่เพิ่มการพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น รอบเอว เพื่อให้การประเมินแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น  

ทีมนักวิจัย 56 คนเสนอการแบ่งโรคอ้วนออกเป็น 2 ระยะ ตามการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Diabetes and Endocrinology เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ได้แก่  

1. โรคอ้วนทางคลินิก (Clinical Obesity) ซึ่งมักมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หายใจลำบาก การทำงานของหัวใจผิดปกติ หรือปัญหาที่กระทบชีวิตประจำวัน  
2. ระยะเสี่ยงโรคอ้วน (Pre-clinical Obesity) ที่แม้จะมีไขมันเกินแต่ยังไม่มีอาการแสดงชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็นโรคอ้วนทางคลินิกหรือโรคเรื้อรังอื่น เช่น เบาหวาน จึงจำเป็นต้องได้รับการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด  

ศ.นพ.ฟรานเชสโก รูบิโน จากคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานกล่าวว่า "โรคอ้วนมีหลากหลายระดับ และต้องการการดูแลที่เหมาะสมตามความเสี่ยงที่แตกต่างกัน"  

รายงานจากรอยเตอร์ระบุว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอ้วนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่คาดว่าจะช่วยยุติข้อถกเถียงในวงการแพทย์เกี่ยวกับสถานะของโรคอ้วน  

แนวทางดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับโลก อาทิ สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน สมาคมเบาหวานจีน และสหพันธ์โรคอ้วนโลก โดยคณะทำงานนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี 2562  

แม้การพัฒนายากลุ่ม GLP-1 โดยบริษัทอิไล ลิลลี่ และโนโว นอร์ดิสค์ จะส่งผลต่อการรักษาโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญ แต่ ศ.นพ.รูบิโนย้ำว่า เกณฑ์ใหม่ไม่ได้มุ่งเน้นที่การใช้ยาโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หากระบบสาธารณสุขทั่วโลกนำเกณฑ์นี้ไปใช้ จะช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจจ่ายยาตามความเสี่ยงของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

เกณฑ์วินิจฉัยใหม่ยังอาจส่งผลต่อบริษัทประกันสุขภาพ โดยอาจอนุมัติคุ้มครองค่ายารักษาโรคอ้วนทางคลินิกโดยไม่ต้องรอให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน  

“เราเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ทั้งในด้านการดูแลรักษาและการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโรคอ้วน” ศ.นพ.รูบิโนกล่าวทิ้งท้าย

พีท เฮกเซธ ว่าที่รมว.กลาโหมสหรัฐ ถูกจี้กลางสภา ปมขาดความรู้เรื่องอาเซียน

(16 ม.ค.68) วุฒิสภาสหรัฐได้จัดประชุมพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยหนึ่งในผู้เข้ารับการพิจารณาคือ พีท เฮกเซธ อดีตทหารผ่านศึกและผู้ประกาศข่าวจากช่อง Fox วัย 44 ปี ซึ่งถูกเสนอชื่อเป็นว่าที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ  

ในการประชุม แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตได้สอบถามถึงความรู้ด้านยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศของเฮกเซธ โดยถามว่าเขาสามารถระบุชื่อประเทศสมาชิกอาเซียนได้หรือไม่ พร้อมอธิบายถึงความสัมพันธ์และข้อตกลงของสหรัฐกับประเทศเหล่านั้น  

เฮกเซธตอบกลับอย่างไม่ตรงคำถาม โดยระบุว่าเขาไม่ทราบจำนวนประเทศในอาเซียน แต่กล่าวถึงพันธมิตรของสหรัฐในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมถึงข้อตกลง AUKUS ระหว่างออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ  

คำตอบดังกล่าวทำให้แทมมีสวนกลับทันทีว่า “ทั้งสามประเทศที่คุณกล่าวมาไม่ได้อยู่ในอาเซียน” และยังแนะนำให้เฮกเซธศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิภาคนี้  "ฉันแนะนำให้คุณทำการบ้านเพิ่มเติม"

รายงานระบุว่า คำถามของแทมมีเกิดขึ้นหลังจากเฮกเซธกล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จีนกำลังแผ่อิทธิพลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ที่มีข้อพิพาทกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไน อินโดนีเซียเองก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจีน  

ที่ผ่านมาสหรัฐมีพันธมิตรตามสนธิสัญญากับไทยและฟิลิปปินส์ และพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภูมิภาคเพื่อถ่วงดุลอำนาจจีน โดยทำเนียบขาวเน้นย้ำถึงการสร้างภูมิภาคที่ "เปิดกว้าง เจริญรุ่งเรือง ปลอดภัย และยืดหยุ่น"  

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนย้ำว่า อาเซียนเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยนอกจากจีนและสหรัฐ อาเซียนยังมีความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการประชุมอาเซียน+3 และอาเซียน+6 ที่มีผู้นำจากทั่วโลกเข้าร่วม  

นอกจากนี้ อาเซียนยังเป็นศูนย์กลางของข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ลงนามในปี 2563 และถือเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

สนามบินในเซินเจิ้น ทดลองบริการ 'จอดรถอัตโนมัติ' ชูจุดเด่น สั่งงานง่ายผ่านแอปฯ ช่วยนักเดินทางประหยัดเวลา

(14 ม.ค. 68) เซินเจิ้น เมืองศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีและการผลิตขั้นสูงในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน ได้เปิดให้บริการจอดรถอัตโนมัติที่สนามบิน โดยนักเดินทางสามารถเคลื่อนย้ายรถจากพื้นที่รับรองผู้โดยสารไปยังลานจอดโดยอัตโนมัติด้วยการกดสั่งผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

สำหรับการบริการจอดรถอัตโนมัติ ในระยะทดลอง ได้เริ่มต้นให้บริการที่ท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจิ้น เป่าอัน เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา และจัดการโดยกลุ่มผู้ประกอบการอย่างหัวเหวย (Huawei) และบริษัท เซินเจิ้น เออร์เบิน ทรานสปอร์ต แพลนนิง เซนเตอร์ จำกัด (SUTPC)

ผู้ขับขี่สามารถเลือกช่องจอดที่กำหนดไว้ ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางวิ่ง สภาพแวดล้อมโดยรอบ และตำแหน่งของรถยนต์แบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถเรียกรถยนต์ที่จอดอยู่มายังพื้นที่รับรองผู้โดยสารโดยอัตโนมัติ โดยยานยนต์ที่วิ่งอัตโนมัติสามารถหลีกทางให้ยานยนต์ที่วิ่งสวนมาและหลีกเลี่ยงคนเดินเท้า

อนึ่ง การทดลองนี้ใช้ได้เฉพาะยานยนต์ที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนขั้นสูงจากหัวเหวยเท่านั้น ด้านจิ้นอวี่จื้อ ซีอีโอหน่วยธุรกิจโซลูชันยานยนต์อัจฉริยะของหัวเหวย ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมเลือกท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจิ้น เป่าอัน เป็นพื้นที่ทดลองการบริการจอดรถอัตโนมัตินี้

จิ้น กล่าวว่า ระบบขับขี่และจอดรถอัตโนมัติสามารถประหยัดเวลาของนักเดินทางที่ต้องรีบขึ้นเครื่อง โดยปริมาณผู้คนและยานยนต์ที่ท่าอากาศยานแห่งนี้อยู่ในระดับสูง ทำให้ต้องมีข้อกำหนดเข้มงวดในการควบคุมยานยนต์อย่างแม่นยำเพิ่มขึ้น ซึ่งการทดลองที่นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยี

หลินเทา ประธานบริษัท เซินเจิ้น เออร์เบิน ทรานสปอร์ต แพลนนิง เซนเตอร์ จำกัด กล่าวว่าการทดลองที่ท่าอากาศยานนี้จะเป็นต้นแบบในการขยายการบริการสู่สถานที่อื่นๆ เช่น โรงพยาบาล จุดท่องเที่ยว และห้างสรรพสินค้า

เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia บุกจีน ไม่หวั่นถูกสอบ-คุมเข้มเรื่องชิป AI จากสหรัฐฯ

(14 ม.ค. 68) เจนเซน หวง ซีอีโอของบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวิเดีย (Nvidia) เตรียมเดินทางเยือนจีนในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางการสอบสวนธุรกิจของบริษัทในจีนและการประกาศข้อจำกัดใหม่จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการส่งออกชิป AI ไปยังต่างประเทศ ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก

แหล่งข่าวเผยว่า หวงมีกำหนดเดินทางถึงเมืองเซินเจิ้นราววันที่ 15 มกราคม ร่วมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับพนักงานในบริษัท และจะเดินทางต่อไปยังเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังกรุงไทเปในช่วงปลายสัปดาห์

การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินวิเดียกำลังเผชิญความท้าทายจากข้อจำกัดใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อการจำหน่ายชิป AI ระดับสูงให้แก่ต่างประเทศ บริษัทได้แสดงความไม่พอใจต่อมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่าอาจกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก

ในขณะเดียวกัน ทางการจีนได้เริ่มกระบวนการสอบสวนข้อกล่าวหาการละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด ซึ่งอาจเพิ่มความท้าทายให้กับการดำเนินธุรกิจของอินวิเดียในประเทศที่ก่อนหน้านี้ก็ต้องเผชิญมาตรการควบคุมจากสหรัฐฯ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่าการเยือนครั้งนี้จะมีการพบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนหรือไม่

คาดจีนต้องการแรงงานอัจฉริยะกว่า 31 ล้านคน ภายในปี 2035 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่

รายงานจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีนที่เผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ คาดการณ์ว่าความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะของจีนจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 31 ล้านคนภายในปี 2035 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว

วันจันทร์ (13 ม.ค. 68) ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี เผยว่ารายงานแนวโน้มการจ้างงานผู้มีความสามารถในพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพฉบับแรกของจีน มีวัตถุประสงค์สำรวจกลุ่มบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างเป็นระบบ และให้ข้อมูลอ้างอิงแก่บริษัทการผลิตสำหรับการคัดเลือกและบ่มเพาะบุคลากรที่มีทักษะ

รายงานระบุว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอย่างหัวหน้าทีม ช่างเทคนิค และผู้ตรวจสอบคุณภาพในบริษัทการผลิตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้าน กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านในภาคการผลิต โดยแรงงานกลุ่มนี้มีลักษณะสำคัญหลายประการ ซึ่งรวมถึงการทำงานหลักในสภาพแวดล้อมการผลิต ความสามารถการเรียนรู้ที่โดดเด่น ศักยภาพการเติบโตในสายอาชีพที่สูง และระดับรายได้และสถานะทางสังคมที่ดี

นอกจากนั้น แรงงานประเภทนี้ยังมีความสามารถหลักในด้านต่างๆ เช่น การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ การบูรณาการเทคโนโลยีที่หลากหลาย และทักษะการสื่อสาร

จ้าวจง หัวหน้าคณะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าผู้มีความสามารถกลุ่มดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและการยกระดับทางอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนส่งเสริมสำคัญต่อการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ

รายงานเผยว่าจีนมีความต้องการแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้านราว 25 ล้านคนในปี 2022 และคาดการณ์ว่าความต้องการตำแหน่งแรงงานประเภทนี้ พร้อมด้วยข้อกำหนดวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28 ในปี 2022 เป็นร้อยละ 57 ภายในปี 2035

กัมพูชาสุดภูมิใจโกยภาษีคาสิโนพุ่ง 85% ทะลุ 62 ล้านดอลลาร์ในปี 2567

(14 ม.ค. 68) เว็บไซต์ khmertimes รายงาว่า กัมพูชาสามารถเก็บรายได้ภาษีจากอุตสาหกรรมคาสิโนได้กว่า 62.78 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามการเปิดข้อมูลจากสำนักเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์แห่งกัมพูชา  

รายงานระบุว่า รายได้จากธุรกิจการพนัน รวมถึงคาสิโนและกิจกรรมการเสี่ยงโชคต่าง ๆ มีมูลค่าถึง 254.907 พันล้านเรียล (ราว 62.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยการเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการปรับปรุงกลไกกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นจากผู้ประกอบการ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  

นายเมียส ซกแสนซาน ปลัดกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน กล่าวว่า การเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการตรวจสอบธุรกิจการพนันเชิงพาณิชย์ที่เข้มงวดมากขึ้น การปรับปรุงมาตรการกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของผู้ประกอบการ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตในปีนี้รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนหลังวิกฤตโควิด-19 และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว  

ณ สิ้นปี 2567 กัมพูชามีการออกใบอนุญาตคาสิโนทั้งหมด 159 ใบ โดย 1 ใบถูกเพิกถอน อีก 1 ใบถูกระงับ และอีก 15 ใบหมดอายุ ทั้งนี้ คาสิโนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดพระสีหนุ ยกเว้น NagaWorld ซึ่งเป็นคาสิโนของมาเลเซียที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงกรุงพนมเปญ  

ภายใต้กฎหมายการจัดการการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชา อนุญาตให้เฉพาะชาวต่างชาติเล่นการพนันในคาสิโน ขณะที่ชาวกัมพูชาถูกห้ามเล่นการพนันทุกประเภท ยกเว้นการเสี่ยงโชค  

กระทรวงกิจการภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการปราบปรามโฆษณาการพนันออนไลน์และลอตเตอรีบนสื่อโซเชียลที่ละเมิดกฎหมายการพนันเชิงพาณิชย์

สำนักเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบในอุตสาหกรรมการพนัน รวมถึงการออกใบอนุญาต การจัดทำบัญชีและงบการเงิน การจัดการความปลอดภัย ตลอดจนผลกระทบทางลบจากการพนัน

การดำเนินการเหล่านี้มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมเสริมสร้างความรับผิดชอบของเจ้าของคาสิโน และลดผลกระทบทางลบในระยะยาวจากกิจกรรมการพนันในประเทศ

"ผมเชื่อว่าด้วยการบริหารงานของเรา สหรัฐฯ กำลังเป็นผู้นำในเวทีการแข่งขันระดับโลก หากเราลงทุนในตัวเอง ปกป้องแรงงานและเทคโนโลยีของเรา จีนจะไม่มีวันแซงหน้าเราได้"

โจ ไบเดน กล่าวสุนทรพจน์นโยบายต่างประเทศครั้งสุดท้าย ย้ำ จีนไม่มีวันแซงหน้าสหรัฐฯ ได้

เมื่อวันจันทร์ที่ (13 ม.ค. 68) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์ด้านนโยบายต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพ้นตำแหน่ง โดยระบุว่า จีนจะไม่มีวันก้าวขึ้นมาแซงหน้าสหรัฐฯ ในด้านเศรษฐกิจ พร้อมชี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และพลังงานสะอาด เป็นสองประเด็นสำคัญที่รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่สองควรให้ความสำคัญ  

“ในขณะนี้ ผมเชื่อว่าด้วยการบริหารงานของเรา สหรัฐฯ กำลังเป็นผู้นำในเวทีการแข่งขันระดับโลก” ไบเดนกล่าวที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยเขาเน้นย้ำว่า ตนกำลังส่งมอบประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นและมีคู่แข่งที่อ่อนแอลงให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี  

“เมื่อ 4 ปีก่อน ตอนที่ผมรับตำแหน่งต่อจากทรัมป์ สหรัฐฯ อยู่ในจุดที่เปราะบาง แต่ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่ง ผมได้เพิ่มศักยภาพของประเทศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการทูต การทหาร เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ” ไบเดนกล่าว  

เกี่ยวกับจีน ไบเดนกล่าวว่า ในช่วงที่เขาเข้ารับตำแหน่ง มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะก้าวแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ภายในปี 2573 หรือไม่นานหลังจากนั้น “แต่พวกเราที่อยู่ในห้องนี้ยืนยันว่านั่นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าสหรัฐฯ ลงทุนในตนเอง ปกป้องแรงงานและเทคโนโลยีของเรา” เขากล่าว พร้อมระบุว่า จากภาวะปัจจุบันของจีน ตามการคาดการณ์ล่าสุด พวกเขาไม่มีทางแซงหน้าสหรัฐฯ ได้  

ในสุนทรพจน์ครั้งนี้ ไบเดนยังเน้นย้ำว่า สหรัฐฯ ต้องเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนา AI และพลังงานสะอาด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของประเทศในเวทีโลก “ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญกับสองประเด็นนี้ ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของผม และจะเป็นสิ่งที่กำหนดอนาคตของเรา” ไบเดนกล่าวปิดท้าย

ยุนซอกยอล ได้ขึ้นเงินเดือน 3% แม้กำลังจะถูกถอดถอน อ้างปรับตามระเบียบ

ชาวเกาหลีใต้ไม่พอใจ หลังประธานาธิบดี 'ยุน ซอกยอล' ได้รับการขึ้นเงินเดือน แม้ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง

(14 ม.ค.68) รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดี ยุนซอกยอล ซึ่งถูกสั่งพักงานจากการประกาศกฎอัยการศึกโดยมิชอบ ยังคงได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี 3% เป็น 262.6 ล้านวอน (ประมาณ 6.2 ล้านบาท) ตามเกณฑ์เงินเดือนของเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากยุนยังดำรงตำแหน่งจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินขั้นสุดท้าย

ข่าวการขึ้นเงินเดือนของยุนสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในสังคมเกาหลีใต้ หลายคนแสดงความเห็นว่าการเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้ถูกพักงานถือว่าไม่เหมาะสม บางคนบนโซเชียลมีเดียตั้งข้อสังเกตว่า การเพิ่มเงินเดือนของยุน 3% สูงกว่าอัตราการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศที่เพิ่มเพียง 1.7% ชาวเน็ตรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นน้อยมาก แต่ยุนกลับได้เพิ่มถึง 3% นี่คือความยุติธรรมแบบไหน?”

ตั้งแต่ถูกถอดถอนในเดือนธันวาคม 2024 ยุนได้หลีกเลี่ยงการสอบสวนและการจับกุมในข้อกล่าวหาก่อกบฏและใช้อำนาจโดยมิชอบ เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อารักขาของยุนได้ขัดขวางการเข้าจับกุมภายในบ้านพักประธานาธิบดี ทำให้หมายจับหมดอายุลงในคืนวันที่ 7 มกราคม

อย่างไรก็ตาม ศาลท้องถิ่นได้อนุมัติการขยายหมายจับใหม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมแผนการจับกุมอีกครั้ง พร้อมขอความร่วมมือจากตำรวจ โดยระบุว่าการดำเนินการต้องหลีกเลี่ยงการสูญเสียหรือการนองเลือด

สำหรับการเปรียบเทียบ ผู้นำสหรัฐฯ มีเงินเดือนปีละ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 14 ล้านบาท) นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีเงินเดือนประมาณ 172,000 ปอนด์ (ประมาณ 7.25 ล้านบาท) ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยมีเงินเดือนประมาณ 120,000 บาท

การเพิ่มเงินเดือนของยุนท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเหมาะสม และยิ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top