Sunday, 16 March 2025
WORLD

'นักข่าวเกาหลี' แซะไทย หลังมีกระแส #แบนเกาหลี ลั่น!! บอกคนไทยไม่มีเงิน แล้วเข้ามาทำอะไร?

(3 ก.ย. 67) เมื่อไม่นานมานี้ กระแส #แบนเกาหลี เริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังมีประเด็น ตม.เกาหลี ไล่นักท่องเที่ยวไทยกลับประเทศด้วยเหตุผลที่ตอบคำถามที่ทางเจ้าหน้าที่ถามนักท่องเที่ยวว่า “หน้าโรงแรมมีต้นไม้กี่ต้น และห้องพักมีสีอะไร” จุดชนวนให้ชาวเน็ตไทยเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่น

กระทั่งต่อมา มีคนพบว่า นักข่าวสาวรายหนึ่งของเกาหลีใต้ ได้ทำคอนเทนต์แซะชาวไทยถึงกระแสแบนเกาหลี

ในคลิปวิดีโอมีการล้อเลียนกระแสแบนเกาหลีของคนไทย และพูดประมาณว่า “ตอน ตม. ถามคนไทยว่ามาทำอะไร บอกมาเที่ยว แต่พอถามว่ามีเงินเท่าไหร่ ทำไมถึงไม่มีเงินล่ะ?” เป็นการสื่อว่าคนไทยมีนัยบางอย่างแอบแฝงในการเข้าประเทศเกาหลี

คลิปวิดีโอนี้มียอดชมมากกว่าแสนครั้ง และมีคนเข้าไปถล่มคอมเมนต์มากมาย โดยเฉพาะคนไทยที่ได้เห็นถึงกับทนไม่ไหว มองว่าหญิงรายนี้มีอาชีพในงานข่าว ควรทำหน้าที่อย่างเป็นกลางในการนำเสนอความจริง ตีแผ่ว่าเกิดอะไรขึ้นมากกว่า

จากนั้นก็กลายเป็นสงครามระหว่างชาวเน็ตเกาหลีและชาวเน็ตไทย ชาวเน็ตเกาหลีหลายคนกลับเห็นด้วยกับคลิปวิดีโอนี้ และเข้ามาดูถูกคนไทย ส่วนฝั่งไทยก็ไม่ยอมตอกกลับแบบเจ็บๆ

อย่างไรก็ตามการที่คนไทยจำนวนมากที่ไปแบบถูกกฎหมายกลับโดนปฏิเสธด้วยสาเหตุที่ไร้สาระ ย่อมจำเป็นต้องหาคำตอบ และต้องได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลเกาหลี

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#2 เรือดำน้ำโจมตีสุดล้ำ ศักยภาพไม่ด้อยกว่าค่ายตะวันตก

ตามที่บริษัท ROSOBORONEXPORT รัฐวิสาหกิจ ผู้นำเข้า-ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย ได้เชิญผู้เขียนในฐานะสื่อมวลชนจากสำนักข่าว THE STATES TIMES ไปเยี่ยมชมงานนิทรรศการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ARMY-2024 (12-14 สิงหาคม พ.ศ. 2567) รวม 3 วัน จึงขอนำเรื่องราวและประสบการณ์ในงานดังกล่าวทั้ง 3 วัน มาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่าน THE STATES TIMES ได้ทราบเป็นตอน ๆ พอสังเขป 

ต่อจาก EP#1 ก็ยังเป็นวันแรก (12 สิงหาคม) หลังจากรับฟังการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตีของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยบริษัท ROSOBORONEXPORT แล้ว ทีมงานก็พาเดินไปยังอาคารของบริษัท United Shipbuilding Corporation (USC) สำนักงานใหญ่ของ USC จะตั้งอยู่ในนคร St. Petersburg แต่ก็มีสำนักงานใน Patriot Park ด้วย 

USC ก่อตั้งขึ้นตามรัฐกฤษฎีกาของประธานาธิบดี Putin แห่งสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งลงนามเมื่อเดือนมีนาคม 2007 จดทะเบียนในเดือนพฤศจิกายน 2007 เป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นหลัก เป็นบริษัทต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งต่อเรือรวม 80% ของเรือที่ต่อในประเทศ USC รวมบริษัทในสาขาต่าง ๆ ที่ประกอบกิจการต่อเรือ ซ่อมแซม และบำรุงรักษา สำหรับภาคตะวันตก ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกไกลของประเทศ โดยมีบริษัทย่อยในเครือ 3 แห่ง ได้แก่...

- อู่ต่อเรือ Admiralty (ศูนย์ต่อเรือตะวันตกใน St. Petersburgและ Kaliningrad) 
- ศูนย์ต่อและบำรุงรักษาเรือภาคเหนือใน Severodvinsk 
- และศูนย์ต่อและบำรุงรักษาเรือภาคตะวันออกไกลใน Vladivostok 

ทั้งนี้ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ 'Kommersant' มูลค่ารวมของคำสั่งซื้อมีอยู่ที่ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ USC มีพนักงานประมาณ 95,000 คน

สำหรับ USC รวมบริษัทลูก 3 แห่ง ประกอบไปด้วย อู่ต่อเรือในประเทศ สำนักงานออกแบบ และอู่ซ่อมเรือมากกว่า 60 แห่ง โดยบริษัทของ USC ดำเนินการในท่าเรือ และศูนย์กลางการขนส่งหลักทั้งหมดของประเทศ USC เป็นบริษัทที่รับต่อเรือทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เรือรบ, เรือสินค้า, เรือบรรทุกน้ำมัน เรือโดยสาร ฯลฯ 

ส่วนในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ USC ต่อเรือบรรทุกเครื่องบิน, เรือรบประเภทต่าง ๆ จนกระทั่ง เรือดำน้ำ โดยผู้บริหารของ USC ได้นำเสนอเรือรบแบบต่าง ๆ ให้กับคณะสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญ แต่สิ่งซึ่งผู้เขียนให้ความสนใจมากที่สุดคือ 'เรือดำน้ำ' ที่ต่อโดย อู่ต่อเรือ Admiralty (ศูนย์ต่อเรือตะวันตกใน St. Petersburg) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ USC ได้แก่ 'เรือดำน้ำชั้น LADA' หรือ ชื่อส่งออกคือ 'เรือดำน้ำชั้น Amur'

'เรือดำน้ำชั้น LADA' ออกแบบและต่อขึ้นตามโครงการ 677 (Project 677) ของสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นเรือดำน้ำโจมตี 'ดีเซล-ไฟฟ้า' ชั้นก้าวหน้ารุ่นใหม่ ที่ออกแบบโดยสำนักงานออกแบบ Rubin เพื่อพัฒนาเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้า Gen 4 

ทั้งนี้ โครงการ 677 เป็นการออกแบบเรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้าของสหพันธรัฐรัสเซียที่พัฒนาขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยออกแบบมาเพื่อใช้ในการต่อต้านเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำ และการป้องกันฐานทัพเรือ ชายฝั่งทะเล ตลอดจนถึงเส้นทางเดินเรือ รวมถึงใช้ในการลาดตระเวน 

เรือดำน้ำรุ่นนี้ ถือเป็นการนำการออกแบบตัวถังเดียวมาใช้ครั้งแรกของกองทัพเรือรัสเซียสำหรับเรือดำน้ำโจมตีนับตั้งแต่ทศวรรษ 1940 โดยระวางขับน้ำลดลง 25% เมื่อเทียบกับเรือดำน้ำรุ่นก่อนหน้าอย่าง เรือดำน้ำชั้น KILO 

เรือดำน้ำชั้น Amur (เรือดำน้ำชั้น LADA เพื่อการส่งออก)

ไม่เพียงเท่านี้ ขีดความสามารถของเรือดำน้ำชั้น LADA ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีเสียงที่เบาลง ทำให้คุณสมบัติในการพรางตัวดีขึ้น ขณะที่ระบบอาวุธใหม่ ทั้งตอร์ปิโด, ขีปนาวุธโจมตี และตัวเลือกสำหรับระบบขับเคลื่อนอิสระจากอากาศ (AIP) ความเร็วสูงสุดขณะดำน้ำอยู่ที่ 21 นอต (39 กม./ชม. หรือ 24 ไมล์/ชม.) เพิ่มขึ้นจาก 19 นอต (35 กม./ชม. หรือ 22 ไมล์/ชม.) ในเรือดำน้ำชั้น KILO 

นอกจากนี้ เรือดำน้ำชั้น LADA ได้รับการออกแบบให้สามารถอยู่ในทะเลได้นานถึง 45 วัน โดยมีลูกเรือประจำ 35 นาย 

ทั้งนี้ เรือดำน้ำของสหพันธรัฐรัสเซียเป็นต้นแบบของเรือดำน้ำที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ผลิต มีพัฒนาการในการใช้งานมาอย่างยาวนาน โดยไม่ด้อยไปกว่าเรือดำน้ำของค่ายตะวันตกเลย 

อันที่จริงแล้วกองทัพเรือไทย ซึ่งรับผิดชอบดูแลอธิปไตย 2 ฝั่งทะเลคือ 'อ่าวไทย' และ 'อันดามัน' ซึ่งมีทั้งเรื่องของความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทั้งแหล่งน้ำมันและก๊าซ ประมง และเส้นทางเดินเรือ ฯลฯ ปีละนับล้านล้านบาทนั้น ทางกองทัพเรือไทยจึงควรที่จะต้องมีเรือดำน้ำประจำการ 3 ลำเป็นอย่างน้อย โดยประจำการฝั่งทะเลละ 1 ลำ และอีก 1 ลำเพื่อผลัดเปลี่ยนสำหรับการซ่อมบำรุง 

หลาย ๆ ท่านอาจไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจที่ละเลยได้ ด้วยประเทศเพื่อนบ้านของไทยเราทุกประเทศที่แม้จะเป็นพันธมิตรกันใน ASEAN ก็ตามที แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกประเทศต่างก็แข่งขันกันสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งไม่มีการยกเว้นแม้แต่ประเทศเล็ก ๆ อย่าง สิงคโปร์ 

ทว่า การจัดซื้อจัดอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็ไม่เหมือนสินค้าประเภทอื่น เพราะมีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ทันทีที่ต้องการ ต้องมีขั้นตอน กระบวนการ และระยะเวลาในการจัดซื้อ และหลังจากได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต้องการมาแล้ว ผู้ใช้ยังต้องทำการฝึกฝนหาความชำนาญ และทำความคุ้นเคย เพื่อให้สามารถใช้อาวุธยุทโธปกรณ์นั้น ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย

‘Volkswagen’ อาจต้องปิดโรงงานในเยอรมนีเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หลังสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง-คู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งมากขึ้น

ทีมผู้บริหาร Volkswagen ออกมายอมรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในวันนี้ กำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากมาก ที่อาจทำให้หนึ่งในค่ายรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเยอรมนีแห่งนี้ ต้องตัดสินใจปิดโรงงาน 2 แห่งในบ้านเกิดตัวเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในปี 1937

โดยบอร์ดผู้บริหาร ที่นำโดย โอลิเวอร์ บลูม CEO คนปัจจุบันของ Volkswagen ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ (2 กันยายน 67) ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัท ไม่สามารถตัดทางเลือกในการปิดโรงงานในเยอรมันออกไปได้ และได้พิจารณามาตรการอื่น ๆ เพื่อรองรับอนาคตไว้แล้ว นั่นรวมถึงความพยายามในการเจรจายุติข้อตกลงคุ้มครองการจ้างงานกับสหภาพแรงงาน ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1994

โอลิเวอร์ บลูม กล่าวว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตลาดมีความต้องการที่จริงจัง และ ยากลำบากมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ในขณะเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง และมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดยุโรปมากขึ้น ทำให้เยอรมัน ในฐานะฐานการผลิตรถยนต์กำลังเสียเปรียบในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน  

ผู้บริหาร Volkswagen ยอมรับด้วยว่า VW กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนให้กับแบรนด์รถยนต์ EV เจ้าถิ่นอย่าง BYD จนทำให้ยอดขายลดลงในช่วงครึ่งปีแรก 7% ส่งผลต่อกำไรที่ลดลง 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และนอกจากผลประกอบการในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen จะไม่ดีแล้ว ยังถูกแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนข้ามมาตีตลาดในยุโรปอีกด้วย 

ปัจจัยเหล่านี้ บีบให้ทีมบริหารของ Volkswagen จำเป็นต้องลดต้นทุน และได้เริ่มกระบวนการลดต้นทุนถึง 1 หมื่นล้านยูโรไปเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา และตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแนวทางหลักในการกอบกู้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัท ซึ่งแผนการลดต้นทุน จะรวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านโรงงาน ห่วงโซ่อุปทาน และค่าจ้างแรงงาน 

และแน่นอนว่า แผนการลดต้นทุนของ Volkswagen ถูกต่อต้านอย่างหนักจากตัวแทนสหภาพแรงงาน ซึ่งครองที่นั่งเกือบครึ่งหนึ่งในคณะกรรมการกำกับดูแลของบริษัท 

โดยกลุ่ม IG Metall หนึ่งในสหภาพที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเยอรมนี โจมตีการบริหารจัดการที่ผิดพลาดทีมผู้บริหาร Volkswagen จนอาจนำไปสู่แผนการปิดโรงงาน และเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ว่าเป็นการตัดสินใจที่ขาดความรับผิดชอบ ไร้วิสัยทัศน์ สั่นคลอนรากฐานของ Volkswagen ที่จะส่งผลกระทบต่อระดับการจ้างงาน และ เขตอุตสาหกรรมที่ตั้งโรงงานอย่างรุนแรง พร้อมยืนยันจะต่อสู้เพื่อปกป้องตำแหน่งงานของชาวสหภาพอย่างสุดกำลัง

Volkswagen ถือเป็นหนึ่งผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่มีพนักงานเกือบ 683,000 คนทั่วโลก เฉพาะในเยอรมนี ก็มีการจ้างงานถึง 295,000 ตำแหน่ง ซึ่งนอกเหนือจากแบรนด์ Volkswagen แล้ว ทางบริษัทยังผลิตรถยนต์แบรนด์อื่น ๆ อีก อาทิ Audi, Porsche, Seat, Škoda และอื่น ๆ 

แต่ด้วยสภาพการแข่งขันสูงในตลาดรถยนต์ และอุปสรรคหลายประการของการเปลี่ยนแปลงจากผู้ผลิตรถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิมที่มีกำไรมากกว่า ไปสู่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดแต่กำไรน้อยกว่ามาก แถมยังต้องต่อสู้แข่งขันเรื่องราคากับรถยนต์ EV จากจีน ทำให้ Volkswagen กำลังประสบปัญหาเรื่องยอดขายและผลประกอบการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

นั่นจึงเป็นที่มาของแผนลดต้นทุน และการประกาศจะปิดโรงงาน Audi ในเบลเยียม และล่าสุดอาจต้องถึงขั้นปิดโรงงานอย่างน้อย 1 แห่งในบ้านเกิดตนเองในเยอรมัน เป็นครั้งแรกในรอบ 87 ปี ของการก่อตั้งบริษัท 

ไม่เฉพาะแค่ Volkswagen เท่านั้น ค่ายรถยนต์ทั้งในสหรัฐอเมริกา และ ยุโรปต่างประสบปัญหาเดียวกัน จนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เช่น Ford ได้ประกาศยกเลิกแผนการพัฒนารถยนต์ SUV ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และเลื่อนการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าออกไป รวมทั้งค่ายรถยนต์ General Motors, Mercedes-Benz และ Bentley ต่างก็เลื่อนแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกไปเช่นกัน ในขณะที่ Tesla ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังเผชิญหน้ากับปัญหายอดขายตกต่ำทั้งในตลาดที่สหรัฐอเมริกา และต่างประเทศ

ถึงแม้ว่ารัฐบาลของสหภาพยุโรป, สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ต่างออกมาร่วมด้วยช่วยกันใช้มาตรการขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าจากจีน สกัดการไหลบ่าของสินค้าจีนเข้าประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ทว่ามาตรการทางภาษีของรัฐบาลจะได้ผลเร็วพอที่จะยับยั้งแผนการปิดโรงงานของ Volkswagen ได้ทันหรือเปล่าเท่านั้นเอง     

ชาวเน็ตแดนกิมจิ โบ้ย!! #แบนเกาหลีใต้ ทำยอดคนไทยเที่ยวลดลง เดือด!! ชาวไทยยังย้ำ "อย่าไปเกาหลี ให้ไปญี่ปุ่นกับจีนดีกว่า"

เมื่อวานนี้ (2 ก.ย. 67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

คำที่ชาวเน็ต เกาหลีใต้โกรธ จากสื่อระบุว่า "สาเหตุที่นักท่องเที่ยวไทยลดลงมากเพราะมีแคมเปญ แบนเกาหลีใต้"

ในสื่อออนไลน์ ประเทศไทย คำที่ทำให้ชาวเน็ตเกาหลีโกรธ นอกจากแบนเกาหลีแล้ว นักท่องเที่ยวไทยยังบอกว่า "อย่าไปเกาหลีใต้เลย ไม่น่าสนใจ ไป ญี่ปุ่น กับ จีนดีกว่า สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจกว่าเยอะ" 

แน่นอนว่า เรื่องนี้ได้จุดประเด็นถกเถียงในสื่อออนไลน์อีกครั้ง อาทิ...

โดยฟากที่เห็นด้วยกับเกาหลีใต้ มองว่า "ประเทศด้อยพัฒนาแบบไทยคนเกาหลีเขาดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ไปบ้านเขา คนไทยไม่ไปประเทศเขาไม่กระทบต่อเงินประเทศเขาด้วยซ้ำแค่ คนไทยไม่ไปสักคน เงินที่คนไทยไปเที่ยวเหมือนเศษเงินบ้านเขาแค่นั้นแหละ รายได้เกาหลีเขามาจากนู้น ผลิตและส่งออก  เรือเดินสมุทร รถยนต์ เครื่องจักร สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร ผลิตชิป รถยนต์ อะไรนู้นประเทศหลังเขาด้อยพัฒนาแบบไทยไม่มีความสำคัญสำหรับเขาอยู่แล้ว"

ขณะที่กลุ่มแอนตี้เกาหลีใต้ มองว่า "ประเทศต้นตอของการ #ชอบบูลลี่ เป็นอาหารหลักคนรุ่นใหม่เกาหลีใต้ไม่รู้เหรอว่า ก่อนจะขายบันเทิง กับ หมอศัลย์ฯ ได้อย่างวันนี้ ประเทศเคยทำของเล่นสังกะสีก๊อบปี้ เสื้อผ้าก๊อบปี้ ส่งออกพอๆ กับไต้หวัน #ก่อนโดนจีนแดงถล่มตลาดยับ!!"

"เกาหลี ไปเที่ยวมาครั้งเดียว ไม่น่าเที่ยวเลย ญี่ปุ่น ผมไปมาสิบกว่าครั้ง และจะไปเรื่อยๆ จีนได้ไป 1 ครั้ง ชอบมากๆ อยากไปอีก"

นอกจากนี้ ยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมากนับพันคอมเมนต์ในเพจดังกล่าวอีกด้วย

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#1 ความก้าวหน้าด้านอาวุธที่ถูกปิดกั้นจากสื่อตะวันตก

(3 ก.ย. 67) บริษัท ROSOBORONEXPORT รัฐวิสาหกิจ ผู้นำเข้า-ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย ได้เชิญผู้เขียนในฐานะสื่อมวลชนจากสำนักข่าว THE STATES TIMES ไปเยี่ยมชมงานนิทรรศการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ARMY-2024 (12-14 สิงหาคม พ.ศ. 2567) รวม 3 วัน จึงขอนำเรื่องราวและประสบการณ์มาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่าน THE STATES TIMES ได้ทราบพอสังเขปดังนี้...

มหาวิหารหลักของกองทัพรัสเซีย (Cathedral of the Resurrection of Chris) ณ Patriot Park

งานนิทรรศการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ARMY-2024 จัดขึ้นเป็นปีที่ 10 แล้ว โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ อนุสรณ์สถาน Patriot Park เมือง Kubinka ห่างจากกรุง Moscow ราว 60 กิโลเมตร Patriot Park มีพื้นที่ราว 5,414 เฮกตาร์ (54.14 ตารางกิโลเมตร) ภายในประกอบด้วย มหาวิหารหลักของกองทัพรัสเซีย (Cathedral of the Resurrection of Chris) พิพิธภัณฑ์การบินฐานทัพอากาศ Kubinka พิพิธภัณฑ์ยานเกราะ Kubinka และพิพิธภัณฑ์กองทัพรัสเซีย นอกจากนี้ยังมีอาคารที่ทำการของบริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียมากมายหลายบริษัท และสนามยิงปืน ซึ่งมีพื้นที่กว่า 160 เฮกตาร์ (1.6 ตารางกิโลเมตร)

รถติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานจอดรักษาการณ์อยู่ด้านหน้าอนุสรณ์สถาน Patriot Park

งาน ARMY-2024 เป็นงานปิด จึงไม่เปิดให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนร่วมงานเข้าชม โดยผู้ร่วมงานต้องลงทะเบียนล่วงหน้า และรับบัตรเข้างานซึ่งต้องใช้ในการสแกนเพื่อผ่านเข้างานทุกครั้ง ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยอันเข้มข้น มีรถติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานจอดรักษาการณ์อยู่ด้านหน้าอนุสรณ์สถาน Patriot Park พร้อมทั้งปืนต่อสู้อากาศยานอัตตาจรอีกหลายจุด บริเวณโดยรอบมีทหารติดอาวุธพร้อมอาวุธต่อต้านโดรนลาดตระเวนเป็นคู่อยู่ทั่วไป ก่อนเข้างานรถทุกคันและสิ่งของทุกชิ้นจะถูกตรวจสอบโดยไม่มีการสุ่ม ทางเข้างานนอกจากต้องแสดงบัตรเข้างานพร้อมหนังสือเดินทางก่อนผ่านประตูเครื่องตรวจจับวัตถุแล้ว ยังต้องเปิดสัมภาระทุกชิ้นให้ตรวจค้นอย่างละเอียดเหมือนกับก่อนขึ้นเครื่องบิน เพราะทราบกันดีว่า รัสเซียยังอยู่ในสถานการณ์การทำสงครามกับยูเครน

โดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตีของสหพันธรัฐรัสเซีย

โดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตีของกองทัพรัสเซียขณะทำลายเป้าหมายซึ่งเป็นปืนใหญ่อัตตาจรของยูเครน

วันแรก 12 สิงหาคม 2567 บริษัท ROSOBORONEXPORT ได้นำไปเยี่ยมชมอาคารของบริษัทฯ เอง เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับโดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตีของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งแน่นอนว่า บริษัท ROSOBORONEXPORT เป็นผู้ส่งออกแต่เพียงผู้เดียว วิวัฒนาการของการทำสงครามมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและบริบทของสงคราม สงครามในยุคปัจจุบัน โดรนเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก จากแรกเริ่มเดิมทีมีการใช้โดรนในภารกิจ ลาดตระเวน ตรวจการณ์ แต่ทุกวันนี้โดรนเข้ามามีส่วนในการปฏิบัติการรบโดยตรง มีการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่งที่ชาติสมาชิก NATO ได้ส่งมาช่วยเหลือยูเครนมายังกรุง Moscow ปรากฏว่า ยานรบที่เป็น รถถัง รถหุ้มเกราะ ที่อยู่ในสมรภูมิยูเครนได้รับความเสียหายจากโดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตีของกองทัพรัสเซียมากที่สุด รองลงมาเป็นกับระเบิดหรือทุ่นระเบิด และต่อมาเป็นจรวดต่อสู้รถถัง (ซึ่งจะได้นำเรื่องราวของ ‘อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ชาติสมาชิก NATO ส่งมาช่วยยูเครน’ มาบอกเล่าในตอนต่อ ๆ ไป) 

โดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตี ZALA Lancet Item 52-E ของสหพันธรัฐรัสเซีย

โดยบริษัท ROSOBORONEXPORT ได้นำเสนอโดรนพิฆาตหรือโดรนโจมตี ZALA Lancet Item 52-E ผลิตโดย ZALA Aero Group ซึ่งกองกำลังรัสเซียในยูเครนได้ใช้โดรนชนิดนี้อย่างได้ผล โดรน 52-E ที่ได้รับการอัปเกรดแล้วสามารถเพิ่มระยะเวลาการบินเป็นหนึ่งชั่วโมงพร้อมหัวรบน้ำหนัก 3 กิโลกรัม สามารถใช้ในการโจมตีกำลังทหารด้วยหัวรบระเบิดแรงสูงแบบแยกส่วนหรือหัวรบเทอร์โมบาริก หรือโจมตีรถหุ้มเกราะหรือรถถังด้วยหัวรบระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถัง (HEAT)

โดรน ZALA Lancet Item 52-E ขณะโจมตีที่ตั้งปืนใหญ่ของยูเครน

ในสงครามอ่าวเมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว สหรัฐอเมริกาได้ให้สำนักข่าวต่าง ๆ นำเสนอคลิปการโจมตีอิรักด้วยสารพัดอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ จนทำให้อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นเป็นที่ต้องการของกองทัพชาติต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน สื่อของชาติตะวันตกต่างอ้างมาตรการลงโทษ (Sanctions) ปฏิเสธการนำเสนอข่าวของรัสเซีย ทำให้ชาวโลกจึงไม่ค่อยทราบถึงความก้าวหน้าและอานุภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตโดยรัสเซีย ซึ่งหลังจากถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตรและถูกมาตรการลงโทษ (Sanctions) ทำให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหพันธรัฐรัสเซียต้องอาศัยการพึ่งพาตนเอง (Self-reliance) 100% (มีภาพการทำงานของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตโดยรัสเซียที่ถ่ายไว้โดยฝ่ายยูเครน และต่อมากองกำลังรัสเซียสามารถยึดรวบรวมเอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก)

'รมว.ตปท.เวเนฯ' ประณามสหรัฐฯ ปมยึดแอร์ฟอร์ซวันแห่งเวเนฯ เพิ่มรอยร้าวความสัมพันธ์ 'สหรัฐฯ-เวเนฯ' ให้ลึกยิ่งขี้น

(3 ก.ย.67) นายอีวาน กิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวเนซุเอลา กล่าวว่า เวเนซุเอลา ประณามการยึดเครื่องบินดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ สหรัฐฯ ใช้มาตรการกดดัน บังคับใช้ฝ่ายเดียวและผิดกฎหมายไปทั่วโลก

ข้อโต้แย้งของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ว่าการขายและการส่งออกเครื่องบินดังกล่าวถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากนักกับประธานาธิบดีมาดูโร ซึ่งกล่าวหาสหรัฐฯ เสมอว่าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ

การตรวจยึดเครื่องบินเกิดขึ้นในสาธารณรัฐโดมินิกันและส่งกลับมาที่สำนักงานของกระทรวงยุติธรรมในรัฐฟลอริดา ยังไม่ชัดเจนว่าเครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดที่สาธารณรัฐโดมินิกันได้อย่างไรและเมื่อใด ข้อมูลการติดตามระบุว่าเครื่องบินออกจากสนามบินลาอิซาเบลา ใกล้กับกรุงซานโตโดมิงโก เมื่อวันจันทร์ (2 ก.ย.67) และถึงสนามบินในรัฐฟลอริดา 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่นายมาดูโร ประกาศว่าชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ ฝ่ายค้าน อ้างว่า ชนะการเลือกตั้งเช่นกัน เนื่องจาก มีบันทึกการลงคะแนน ทำให้เกิดเหตุการณ์ประท้วงวุ่นวาย มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายและมีคนถูกจับกุมมากกว่า 2,400 คน

ความเคลื่อนไหวของเวเนซุเอลา หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยึดเครื่องบิน Falcon 900 EX  ของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา อ้างว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรและกฎหมายควบคุมการส่งออก ซื้อมาอย่างผิดกฎหมายด้วยราคา 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (9.8 ล้านปอนด์) และลักลอบนำออกนอกประเทศ

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลายิ่งตึงเครียดมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า เครื่องบินลำนี้เทียบเท่ากับเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วันของเวเนซุเอลา และเคยถ่ายภาพเครื่องบินลำนี้ในระหว่างการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการของนายมาดูโรด้วย

'ฝรั่งเศส' วุ่น!! 'ฝ่ายซ้าย' เตรียมยื่นถอดถอน 'มาครง' หลังถูกเมินเสนอชื่อคนฝ่ายตนเป็นนายกฯ ทั้งที่ชนะเลือกตั้ง

เมื่อวานนี้ (2 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ เผยว่า พรรค France Unbowed (LFI) แนวร่วมฝ่ายซ้ายซึ่งคว้าเก้าอี้มาได้มากที่สุดในศึกเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม กำลังรวบรวมรายชื่อเพื่อทำการถอดถอนประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส หลังจาก มาครง ปฏิเสธเสนอชื่อ ลูซี คาสเตต์ แคนดิเดตของพวกเขาเป็นนายกรัฐมนตรี

"ร่างญัตติสำหรับเริ่มกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ถูกส่งถึงสมาชิกรัฐสภาแล้วในวันนี้ สำหรับร่วมลงนาม" มาทิลเด ปาโนต์ แกนนำของ LFI ในรัฐสภา เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันเสาร์ (31 ส.ค.)

ทั้งนี้ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการถอดถอน ทางพรรค LFI ซึ่งมี 72 ที่นั่ง ในสมัชชาแห่งชาติ 577 ที่นั่ง จำเป็นต้องรวบรวมรายชื่ออย่างน้อย 10% ขอสมาชิกรัฐสภา ภายใต้ญัตติดังกล่าว ทั้งนี้มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ระบุไว้ว่าประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งได้ ในกรณีละเลยต่อการทำหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ของประธานาธิบดี

"มาครง ปฏิเสธทำตามเสียงโหวตของประชาชน ดังนั้นเราต้องปลดเขา" ปาโนต์กล่าว พร้อมแชร์ร่างญัตตินี้ ซึ่งเน้นย้ำว่า "สมัชชาแห่งชาติ (สภาล่าง) และวุฒิสภา สามารถและต้องปกป้องประชาธิปไตยต่อการโน้มเอียงเข้าหาเผด็จการของประธานาธิบดี"

อย่างไรก็ตาม บรรดาสมาชิกสภาโต้แย้งต่อแนวร่วมฝ่ายซ้าย ว่า การเจรจาต่อรองทางการเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี ในกรณีที่ มาครง พยายามหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ นับตั้งแต่ กาเบรียล อัตตาล ลาออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว

สำหรับ LFI คือส่วนหนึ่งของแนวร่วมพันธมิตรนิวป็อปปูลาร์ฟรอนต์ (NFP) ร่วมกับพรรคโซเชียลิสต์ พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคกรีนส์ ซึ่งโผล่ขึ้นมาในฐานะผู้ชนะในศึกเลือกตั้ง ที่มีขึ้นหลังจากมาครง ประกาศยุบสภาก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี

อย่างไรก็ตาม พันธมิตรนี้ไม่ถึงขั้นครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด บีบให้ มาครง ต้องเข้าสู่การเจรจาเพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อวันจันทร์ (29 ก.ค.) มาครง ปฏิเสธเสนอชื่อ คาสเตต์ ข้าราชการพลเรือนซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด แต่เป็นแคนดิเดตของแนวร่วม NFP เป็นนายกรัฐมนตรี อ้างว่ารัฐบาลหนึ่งที่นำโดยฝ่ายซ้าย จะคุกคามเสถียรภาพของสถาบันการเมือง

ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนฝรั่งเศส เน้นว่าสถานการณ์เช่นนี้คงเป็นเรื่องยากในการหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะไม่ถูกเขี่ยพ้นจากตำแหน่งในทันที ในการลงมติไม่ไว้วางใจ

ปัจจุบัน มาครง ยังคงเพิกเฉยแคนดิเดตของแนวร่วมนิว ป็อปปูลาร์ ฟรอนต์ และแหล่งข่าวใกล้ชิดกับเขา เผยว่าเขาเชื่อว่าสมดุลอำนาจควรขึ้นอยู่กับพรรคสายกลางหรือฝ่ายขวากลางมากกว่า

เช่นดียวกับพรรคอาร์เอ็น ซึ่งกวาดเก้าอี้มาเป็นอันดับ 3 ในศึกเลือกตั้ง เน้นย้ำว่าพวกเขาจะขัดขวางแคนดิเดตจากแนวร่วมฝ่ายซ้าย โดยอ้างว่า NFP เป็นตัวแทนของความอันตรายที่มีต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง สันติสุขของพลเมือง และแน่นอนว่าเป็นอันตรายต่อวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของประเทศ

‘คุณแม่ฮันโซฮี’ ถูกจับกุมข้อหาเปิดบ่อนพนัน 12 แห่ง ด้านต้นสังกัด แถลง เป็นเรื่องส่วนตัว-ไม่เกี่ยวกับงานแสดง

(3 ก.ย. 67) เว็บไซต์ allkpop สัญชาติอเมริกัน ได้นำเสนอข่าวแม่ของ ‘ฮัน โซฮี’ นักแสดงคนดังของเกาหลีใต้ ถูกจับกุมข้อหาเปิดบ่อนพนันผิดกฎหมาย ตามรายงานของ ‘ทีวี โชซอน’

โดยระบุว่า นางชิน (50 ปี) ถูกควบคุมตัวหลังถูกกล่าวหาว่าบริหารสถานประกอบการพนันผิดกฎหมาย 12 แห่ง ในเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2021 ในข่าวระบุต่อว่า นางชินถูกกล่าวหาว่าเป็น พร็อกซี หรือคนกลางควบคุมการดำเนินงาน โดยที่ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์การพนันที่เธอดำเนินการเพื่อเล่นเกม เช่น บาคารา หลังจากซื้อเครดิตเกม

เมื่อตรวจสอบประวัติย้อนหลังของนางชิน เคยถูกฟ้องร้องในข้อหาฉ้อโกงอีกด้วย ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ฮัน โซฮี เคยออกมายืนกรานว่าจะไม่ชดใช้หนี้ที่แม่ก่อไว้จากการหลอกเงินคนรู้จักมากถึง 85 ล้านวอน

ทั้งนี้ เมื่อมีนาคม 2565 เคยมียูทูบเบอร์รายหนึ่ง เผยว่า แม่ของฮันโซฮีถูกฟ้องร้องเนื่องจากโกงเงินคนอื่นไปมากกว่าสิบ ๆ ล้านวอน (ราว ๆ หลักหลายแสนบาทไทย) โดยแม่เป็นคนใช้บัญชีชื่อของฮันโซฮีในการดำเนินเรื่องทั้งหมด จึงทำให้ตัวของฮันโซฮีเองถูกฟ้องในข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ 

จากนั้นในเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน ฮันโซฮี ได้ชี้แจงผ่านสื่อว่า แม่ของเธอได้ทำเรื่องขอยืมเงินโดยใช้ชื่อของเธอในการทำธุรกรรม “ฉันไม่ได้ติดต่อกับแม่เลย ฉันเลยเพิ่งรู้เรื่องที่เธอมีหนี้ตอนฉันอายุ 20 ปี” แล้วเธอก็พยายามจ่ายหนี้แทนแม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่เธอจะเริ่มทำงานวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว

"ฉันทราบว่าแม่ใส่ชื่อของฉันในเอกสารทางการเงินที่เป็นหนี้ต่าง ๆ โดยไม่บอกให้ฉันรู้ว่าชื่อของฉันได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับหนี้ก้อนโตที่ฉันจ่ายไม่ไหว ตอนนั้นฉันเองก็ยังเด็กมาก และจากการตัดสินใจที่ยังไม่มีวุฒิภาวะที่ดีพอของฉันในตอนนั้น ฉันคิดเพียงว่าหนทางเดียวสำหรับปัญหานี้คือการที่ฉันต้องใช้หนี้ทั้งหมดให้แม่เอง แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่าฉันทำให้เรื่องนี้บานปลายและมีคนตกเป็นเหยื่อมากขึ้น ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ"

ทางด้าน 9 Ato Entertainment ต้นสังกัดของฮันโซฮี ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีข่าวของคุณแม่ของฮันโซฮี ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ว่า “เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแม่ของฮันโซฮีนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวที่คุณแม่เป็นคนก่อขึ้นเอง และ ฮันโซฮีเองไม่สามารถอธิบายได้ว่าเธอรู้สึกเสียใจมากเพียงใด เมื่อได้ทราบเรื่องผ่านบทความข่าวจากสื่อ…

“ทางเราขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักแสดงแม้แต่น้อย และขออภัยที่ต้องนำเสนอข่าวส่วนตัวที่ไม่น่าพึงพอใจ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับผลงานของนักแสดง”

สำหรับ ‘ฮัน โซฮี’ เกิดที่เมืองอุลซาน พ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่เธออายุ 5 ขวบ เธออยู่กับยาย และได้รับการเลี้ยงดูจากยายมาโดยตลอด เมื่อโตขึ้น ฮันโซฮี ตัดสินใจเดินทางเข้าโซล

เริ่มทำงานในร้านอาหาร งานพาร์ตไทม์ จนตัดสินใจออดิชันเริ่มรับงานโฆษณาเล็ก ๆ และได้โอกาสสำคัญในการเล่นซีรีส์ จนกลายเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงทุกวันนี้

เปิดตัว ‘หุ่นยนต์นวดระบบ AI’ ครั้งแรกของโลกในนครนิวยอร์ก มาพร้อมฟังชัน ‘สแกนกล้ามเนื้อ’ ช่วยให้นวดได้แม่นยำ-ตรงจุดยิ่งขึ้น

(2 ก.ย. 67) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์มาถึง ทุกอาชีพของมนุษย์มีสิทธิ์ที่จะถูก Disruption ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่อาชีพผู้ให้บริการนวดบำบัด เพื่อผ่อนคลาย หนึ่งในบริการที่นักท่องเที่ยวหลายคนชื่นชอบ และยังเป็นศาสตร์วิชาชีพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยด้วย 

แต่วันนี้ อาชีพนี้กำลังจะถูกท้าทายด้วย หุ่นยนต์ AI รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาโดยบริษัท Aescape ที่ก่อตั้งขึ้นโดย ‘อิริค ลิทแมน’ ในปี 2017 โดยได้หยิบเอานวัตกรรมหุ่นยนต์ AI มาประยุกต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คน 

ซึ่งหุ่นยนต์นวดนี้ ก็เกิดจากไอเดียของตัวเขาเอง ที่ต้องเดินทางขึ้นเครื่องบินบ่อย จนมีปัญหากับกระดูกหมอนรองคอ ที่ทำให้เขาต้องใช้บริการนวดบำบัดเป็นประจำแทบทุกวันตลอดระยะเวลาหลายเดือน ที่ไม่สะดวกกับตารางการทำงานของเขา

ความยุ่งยากในการนัดจองนวด ทำให้เขาคิดหาทางเลือกอื่น เพื่อจะได้นวดทุกวัน ในช่วงเวลาที่สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องไปสปา

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ไอเดียของเขาขายได้ และได้รับเงินทุนสนับสนุนถึง 80 ล้านดอลลาร์ และใช้เวลาถึง 7 ปีในการพัฒนาไอเดียของเขาให้กลายเป็นหุ่นยนต์นวดระบบ AI ที่สามารถปรับระดับได้ตัวแรกของโลก และเพิ่งจะเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา 

และตอนนี้ หุ่นยนต์นวดของ Aescape ก็มีให้บริการแล้ว ที่โรงแรม Lotte New York Palace, โรงยิม Equinox บางสาขา และ ที่ Press Modern Massage สาขา Union Square ในนครนิวยอร์ก โดย ลิทแมน มีแผนการขยายพันธมิตรผู้ให้บริการหุ่นยนต์นวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเร็ว ๆ นี้

ทีนี้ลองมาฟังความเห็นของผู้เช่าซื้อหุ่นยนต์นวด Aescape รายใหญ่ตอนนี้ ซึ่งก็คือ Lotte New York Palace โดย ทริสตินา ดามิโก ผู้อำนวยการแผนกสปาของโรงแรม และยังเป็นนักนวดบำบัดที่มีใบรับรองวิชาชีพ และเธอก็ชื่นชมหุ่นยนต์นวดตัวนี้ว่า เหมาะที่จะใช้ในโรงแรมหรูระดับ Lotte Palace ที่มีห้องพักมากถึง 900 ห้อง และเป็นที่นิยมจากทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว ที่แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน 

และตั้งแต่เปิดบริการหุ่นยนต์นวดในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ก็มียอดนัดจองนวดกับหุ่นยนต์เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งจากแขกของโรงแรม และ ชาวนิวยอร์กในย่านมิดทาวน์ แมนฮัตตัน ที่นิยมแวะมานวดในช่วงพักกลางวันเพื่อผ่อนคลาย ก่อนกลับไปทำงานในช่วงบ่าย 

อิริค ลิทแมน เจ้าของธุรกิจหุ่นยนต์นวด อ้างอิงตัวเลขการประเมินจาก Global Wellness Institute ว่า ธุรกิจตลาดสายสุขภาพทั่วโลกมีโอกาสโตได้ถึง 7.4 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2025 ซึ่งหุ่นยนต์นวดที่คุณสามารถจองได้ตลอดเวลาที่ต้องการ สามารถเข้ามาเติมเต็มในตลาดที่กำลังขยายตัวนี้ได้ 

ที่ลิทแมนมั่นใจเช่นนั้น เพราะปัญหาการขาดแคลนบุคลากร และนักนวดบำบัดจำนวนมากในปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจหุ่นยนต์นวดของเขา ถึงแม้ลักษณะ และสไตล์จะแตกต่างจากการนวดด้วยมือมนุษย์ 

แต่ด้วยความฉลาดของระบบ AI ที่มีเซนเซอร์ในการสแกนจุดบนกล้ามเนื้อของมนุษย์ได้ถึง 1.2 ล้านจุด สามารถเก็บข้อมูลเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละคนได้ และสามารถปรับน้ำหนักการนวดได้ จนถึงจุดที่ลูกค้าแต่ละคนพอใจ ซึ่งลูกค้าจะได้รับประสบการณ์นวดเหมือนเดิมทุกครั้งที่มาใช้บริการ จึงให้ความรู้สึกเหมือนทุกคนเป็นลูกค้าประจำ

และอีกหนึ่งจุดขายที่แก้ปัญหาให้กับลูกค้าที่ไม่สบายใจที่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนแปลกหน้า เมื่อเข้ารับบริการนวด เพราะการนวดด้วยหุ่นยนต์ ลูกค้าจำเป็นต้องสวมเสื้อ ที่ทำจากผ้าสแปนเด็กซ์ชนิดพิเศษที่เป็นลิขสิทธิ์ของแบรนด์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดการเสียดสีระหว่างหุ่นยนต์กับผิวหนังมนุษย์โดยเฉพาะ นอกจากจะปลอดภัยแล้ว ยังลดความรู้สึกลำบากใจของลูกค้าหลายคนเมื่อมาใช้บริการนวดด้วย 

เพียงแต่ข้อจำกัดของหุ่นยนต์นวดในตอนนี้ สามารถนวดได้เฉพาะบริเวณแผ่นหลังเท่านั้น ยังไม่ได้พัฒนาให้สร้างสามารถนวดบริเวณขา และ ฝ่าเท้าได้ แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ การนวดทรีตเมนต์แบบระยะสั้น ราคาไม่แพง และจองได้ง่าย ก็น่าจะเหมาะกับหุ่นยนต์นวดรุ่นใหม่เครื่องนี้ ที่สามารถจองผ่านแอปพลิเคชันของโรงแรม Lotte New York Palace โดยจะคิดค่าบริการอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สำหรับการนวด 30 นาที

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลกยุค AI ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ที่หุ่นยนต์ถูกยกระดับเพื่อทำงานแทนมนุษย์ ส่วนมนุษย์กลับต้องไปทำงานแทนหุ่นยนต์ ที่มีหน้าที่เพียงนำทางลูกค้ามาใช้บริการกับหุ่นยนต์นวดเท่านั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยที่เราไม่อาจต่อต้านได้ แต่มนุษย์เราสามารถปรับตัวเองเพื่ออยู่ร่วมกับเทคโนโลยีในอนาคตให้ได้นั่นเอง

'ช้างแฝด' เกิดใหม่ในเมียนมา เป็น 'เพศเมีย' และ 'เพศผู้' ถือเป็นครั้งที่ 12 ในประเทศ นับตั้งแต่มีบันทึกเมื่อปี 1960

(2 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า แม่ช้างวัย 21 ปีที่ปางช้างหวิ่นกะบ่อ ในภูมิภาคพะโคของเมียนมา ได้ให้กำเนิดลูกช้างฝาแฝดเพศผู้และเพศเมียเมื่อวันที่ 26 ส.ค. โดยการเกิดของลูกช้างฝาแฝดนั้นเป็นเรื่องที่พบได้ยาก และถือเป็นช้างแฝดที่ลืมตาดูโลกเป็นครั้งที่ 12 ในเมียนมานับตั้งแต่มีบันทึกเมื่อปี 1960

โดยเมื่อวันอาทิตย์ (1 ก.ย.67) เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ประจำปางช้างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า แม่ช้างเพิร์ล แซนดาร์ ออกลูกช้างตัวแรกเป็นเพศเมีย ตัวที่สองเป็นเพศผู้ และทั้งสองเกิดห่างกันราว 4 นาที

รายงานระบุว่าช่วง 2 วันแรกลูกช้างฝาแฝดไม่สามารถดื่มนมจากแม่ได้ จึงต้องให้นมจากขวดแทน ส่วนในวันที่ 3 ลูกช้างฝาแฝดจึงเริ่มดื่มนมจากเต้าของแม่ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นประโยชน์ต่อพวกมันมากกว่า

ปัจจุบันมีช้างทั้งหมด 9 เชือกในปางช้างหวิ่นกะบ่อ ซึ่งรวมถึงลูกช้างฝาแฝดดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ต่างตั้งใจที่จะดูแลช้างแฝดสองตัวนี้เป็นพิเศษเนื่องจากการเกิดช้างแฝดมักไม่เกิดขึ้นบ่อย

'อียิปต์' โชว์นวัตกรรมอิฐจากถุงพลาสติก ทนทานกว่าคอนกรีต 2 เท่า แถมช่วยรีไซเคิลถุงขยะพลาสติกได้ 5,000 ล้านใบ ภายในปี 2025

(2 ก.ย. 67) TNN Tech รายงานว่า สตาร์ตอัปในประเทศอียิปต์เผยนวัตกรรมการนำขยะถุงพลาสติกในประเทศมารีไซเคิลใหม่ ให้กลายเป็นก้อนอิฐ โดยอ้างว่าผลิตออกมาเป็น 'ก้อนอิฐสำหรับงานก่อสร้าง' ที่มีความแข็งแกร่งกว่าคอนกรีตทั่วไปมากถึง 2 เท่า

สตาร์ตอัปแห่งนี้มีชื่อว่า 'ไทล์กรีน' (TileGreen) ซึ่งได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการเปลี่ยนเศษขยะถุงพลาสติกเก่า ๆ ให้กลายเป็นก้อนอิฐ โดยจะผสมเข้ากับวัสดุพอลิเมอร์ ขยะถุงขยะพลาสติกที่เจอทั่วไป และวัสดุธรรมชาติอย่างกรวดและทราย เพื่อขึ้นรูปเป็นวัสดุก่ออิฐตามที่ต้องการ 

โดยกระบวนการผลิต จะเริ่มจากการนำถุงขยะพลาสติกไปย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ พร้อมหลอมรวมเข้ากับวัสดุดังกล่าว จากนั้นจะรีดออกมาเป็นแผ่น แล้วนำมาขึ้นรูปในแม่พิมพ์ ซึ่งใช้การบีบอัดด้วยแรงดันสูงและการให้ความร้อนเพื่อเพิ่มความแข็ง ผลลัพธ์ที่ได้ ก็จะมีลักษณะเป็นก้อนอิฐผิวหยาบ เหมาะสำหรับการใช้ปูพื้นภายนอกอาคาร เช่น พื้นฟุตพาท หรือพื้นลานกิจกรรม 

ทั้งนี้บริษัทเผยว่าสำหรับในประเทศอียิปต์ มีอัตราการผลิตขยะพลาสติกมากถึงราว 4,500,000 ตันต่อปี แต่มีอัตราการรีไซเคิลขยะพลาสติก อยู่ที่ระหว่างร้อยละ 10 ถึง 15 เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่ ของขยะพลาสติกที่ไม่ถูกนำมารีไซเคิล

บริษัทจึงต้องการที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเลือกใช้ขยะพลาสติก ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้อย่างปลอดภัย เช่น ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว หรือภาชนะบรรจุอาหารอื่น ๆ โดยขยะเหล่านี้ มักถูกทิ้งบนถนน หรือถูกเผา ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในที่ตัวการที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน 

ดังนั้นการที่บริษัทออกไอเดียนำถุงขยะพลาสติก มารีไซเคิลเป็นก้อนอิฐที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ จึงช่วยลดจำนวนขยะพลาสติกที่จะถูกเผาทำลายไปในแต่ละปีได้ และยังช่วยลดปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

สำหรับกำลังการผลิตปัจจุบัน ของโรงงานบริษัทที่ตั้งอยู่ในกรุงไคโร สามารถผลิตก้อนอิฐจากถุงขยะพลาสติกนี้ได้ประมาณ 5,000 ก้อนต่อเดือน ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้กว้างขึ้น เช่น การผลิตเป็นอิฐปูพื้น เสา ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ในเมือง และมีเป้าหมายที่จะรีไซเคิลถุงขยะพลาสติกให้ได้ 5,000 ล้านใบ ภายในปี 2025 นี้

'รัสเซีย' ลั่น!! 'รัสเซีย-ยูเครน' ไม่ได้เป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม เท่ากับศาลอาญาโลกไม่มีสิทธิสั่ง 'มองโกเลีย' รวบ 'ปูติน' ระหว่างการเยือน

(2 ก.ย. 67) นาย ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของวังเครมลิน กล่าวกับกลุ่มผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า มอสโกไม่กังวลเกี่ยวกับหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ให้จับกุมนาย วลาดิมีร์ ปูติน  ประธานาธิบดีของรัสเซีย พร้อมเน้นว่าทุกประเด็นปัญหาในความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเยือนของปูตินจะได้รับการจัดการแยกกันเป็นการล่วงหน้า 

จากการกล่าวหาว่า ประธานาธิบดีรัสเซียได้ทำการบังคับเนรเทศประชาชนอย่างผิดกฎหมายและบังคับขนย้ายประชากร (เด็ก) จากพื้นที่ยึดครองในยูเครน ไปยังสหพันธรัฐรัสเซีย 

นาย ฟาดิ เอล-อับดัลเลาะห์ โฆษกของศาลอาญาระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีในวันศุกร์ที่ผ่านมาเช่นกันว่า ทุกรัฐที่ลงนามในธรรมนูญกรุงโรม "มีพันธสัญญาที่ต้องให้ความร่วมมือ สอดคล้องกับบทบัญญัติภาค 9 ของธรรมนูญกรุงโรม" ทั้งนี้ ธรรมนูญกรุงโรม เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งศาลแห่งนี้ขึ้นมา และทางมองโกเลียได้ให้สัตยาบันรับรองในปี 2002

"ในกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือ บรรดาผู้พิพากษาของศาลอาญาระหว่างประเทศ อาจดำเนินการตรวจสอบผลกระทบในเรื่องดังกล่าว และแจ้งต่อสมัชชารัฐภาคีแห่งธรรมนูญกรุงโรมในเรื่องนี้ จากนั้นทางสมัชชาฯ จะเป็นคนตัดสินใจใช้มาตรการใดๆ ที่พวกเขาเล็งเห็นว่ามีความเหมาะสม" เอล-อับดัลเลาะห์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธรรมนูญกรุงโรมได้ให้ข้อยกเว้น ครั้งที่การจับกุมใดๆ นั้นเป็นการละเมิดพันธสัญญาในสนธิสัญญาหนึ่งที่ทำไว้กับประเทศอื่น หรือละเมิดเอกสิทธิ์คุ้มกันทางการทูตของบุคคลหรือสินทรัพย์ของประเทศที่ 3

อ้างอิงจากรัฐบาลในกรุงเคียฟ ทางยูเครนได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการ เรียกร้องให้ มองโกเลียทำการจับกุมนายวลาดิมีร์ ปูติน เช่นกัน ทว่าต่อมา ทางโฆษกของวังเครมลินยังคงปฏิเสธคำกล่าวอ้างในการจับกุมดังกล่าวว่าเป็นเรื่องไร้สาระ โดยเน้นว่าการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่สู้รบไม่ใช่อาชญากรรม ยิ่งไปกว่านั้นทั้งรัสเซียและยูเครน ก็ไม่ได้เป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม นั่้นหมายความว่าศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีขอบเขตอำนาจในเรื่องนี้

'หนุ่มสาวลาว' เมินเข้ามหาวิทยาลัย แห่เรียนภาษาจีนแทน หลัง 'นักท่องเที่ยว-การลงทุน' จากแดนมังกรพุ่งสูง

(2 ก.ย. 67) เยาวชนจำนวนมากมองว่าการเรียนภาษาจีนเป็นหนทางในการหาเงินในประเทศที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งเงินเฟ้อสูงและค่าเงินที่อ่อนค่าลง ที่ส่งผลให้ชาวลาวจำนวนมากไปหางานทำในไทย การเรียนภาษาจีนกำลังได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อปักกิ่งเร่งลงทุนในประเทศยากจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งนี้ ทั้งสร้างเขื่อน ถนน และโรงไฟฟ้า

เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทจีนได้ลงทุนในโครงการต่างๆ ในลาวรวม 17 โครงการ มูลค่า 986 ล้านดอลลาร์ ที่กำลังจะทำให้จีนกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในไม่ช้าแทนที่ไทย กระทรวงวางแผนและการลงทุนระบุเมื่อเดือน ก.พ.

หลายคนลงเรียนภาษาจีนกลางที่สถาบันขงจื๊อ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสหรัฐฯ และที่อื่นๆ เนื่องจากเชื่อมโยงกับปฏิบัติการอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทะเบียนระบุว่าสถาบันขงจื๊อของมหาวิทยาลัยสุภานุวงศ์ ในหลวงพระบาง มีคนสมัครเรียนจนเต็ม

“เราเห็นนักท่องเที่ยวจีนในพื้นที่มากขึ้น และคนท้องถิ่นที่นี่ก็เรียนภาษาจีนกันมากขึ้นด้วย” เจ้าหน้าที่ระบุ

“มีโรงเรียนเอกชนของลาวหลายแห่งที่สอนภาษาจีน เพราะตลาดจีนกำลังขยายตัว นักท่องเที่ยวและธุรกิจของจีนเข้ามาที่เมืองและประเทศมากขึ้น” ชาวลาวคนหนึ่งที่ส่งลูกสาวไปเรียนภาษาจีนในหลวงพระบาง กล่าว

ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวในนครหลวงเวียงจันทน์รายงานว่ามีนักเรียนเข้าสอบเอนทรานซ์เพียง 5,457 คนเท่านั้น แม้จะเปิดรับถึง 7,700 คนก็ตาม

ส่วนมหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต ทางตอนใต้ของประเทศ ระบุว่ามีนักเรียนเข้าสอบในปีนี้เพียง 329 คน แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยมีแผนรับนักศึกษาใหม่ 1,500 คน

และแม้แต่ในมหาวิทยาลัย ภาษาจีนก็กลายเป็นวิชาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รวมถึงมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวด้วย

“ภาษาจีนเป็นวิชาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสถานศึกษาต่างๆ กระทั่งผู้ใหญ่เองก็เรียนภาษาจีนด้วย มีการลงทุนจากจีนในประเทศของเรามากขึ้น ดังนั้นผู้คนจึงเรียนภาษาจีนกันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาหวังว่าภาษาจีนจะช่วยให้พวกเขาได้งานและรายได้ที่ดีขึ้น” อาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ระบุ

นอกจากนี้ การสมัครเข้าเรียนก็ลดลงเรื่อยๆ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

สำนักข่าววิทยุเอเชียเสรีรายงานในเดือน มิ.ย.ว่า นักเรียนในระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายระบุว่าพวกเขาออกจากโรงเรียนเพราะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ และการขาดโอกาสในการทำงาน

จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่านี้ลดลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มสูงทำให้ค่าอาหารและค่าเดินทางเพิ่มขึ้น ทำให้ครอบครัวต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากในการจ่ายค่าอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียน

จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นหลังจากลาวกำหนดให้ปี 2567 เป็นปีท่องเที่ยวลาว เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้จากสกุลเงินต่างประเทศ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และหลังจากปิดประเทศไป 3 ปี เนื่องจากการระบาดของโควิด

“นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมชาวลาวจำนวนมากสนใจเรียนภาษาจีน คนที่พูดภาษาจีนได้ไม่เพียงแต่สามารถทำงานเป็นมัคคุเทศก์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถทำงานในโรงแรมและในธุรกิจของจีนได้ด้วย” มัคคุเทศก์ในหลวงพระบาง กล่าว

“พูดอีกอย่างคือคนที่มีทักษะการพูดภาษาจีนมีโอกาสดีกว่าที่จะได้งานและค่าจ้างที่ดีกว่า” มัคคุเทศก์คนเดิม กล่าว

ครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในแขวงหลวงน้ำทา ทางตอนเหนือของลาว กล่าวกับสำนักข่าววิทยุเอเชียเสรีว่าสำหรับปีการศึกษาหน้า โรงเรียนของเขาจะเปิดหลักสูตรภาษาจีนเพิ่มและชั้นเรียนหลังเลิกเรียน

ผู้อำนวยการของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในแขวงหลวงพระบางกล่าวว่าโรงเรียนของเขาต้องการครูชาวจีนจำนวนมาก ไม่ใช่ครูชาวลาวที่สามารถสอนจีนได้

ไวรัล 'ยาดมหงส์ไทย' ใช้ดีจนคู่ต่อสู้ยังขอลอง ส่วนเจ้าของยาดม ดมซะจนชนะเลิศงานนี้

(2 ก.ย. 67) จากเพจ 'HiFight Thailand แชร์ข่าววงการเกมต่อสู้' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ยาดมหงส์ไทย ใช้ดีจนคู่ต่อสู้ยังขอไปดมด้วย

จากงานแข่ง Tekken 8 ที่ Emirates Showdown รอบรองชนะเลิศ เจ้าของยาดมคือ kkokkoma จากเกาหลีใต้ ที่ดมยาดมจนชนะเลิศงานนี้อีกด้วย

'เมียนมาถูกกฎหมาย' เหลืออด!! ซัดแรงงานเถื่อน 'เรียกร้องสิทธิ์-ด่าคนไทย' เมล็ดพันธุ์จาก 'NGO-คนได้สัญชาติ' หนุนหลัง ทำพม่าดีๆ ในไทยลำบาก

กลายเป็นประเด็นทางสังคมในไทยไปแล้ว เมื่อชาวเมียนมา ซึ่งเป็นคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือกลุ่ม White Collar เริ่มออกมาตอบโต้กลับกับกลุ่ม Blue Collar ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเถื่อนหรือเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ตั้งแต่เรื่องที่มีการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเสมือนประหนึ่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของเมียนมา หรือการที่มีคลิปออกมาด่าคนไทยที่เข้ามาคอมเมนต์ในคลิปที่กลุ่มพม่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองของไทย จนไม่รู้ว่าใครจะต้องกลัวใครกันแล้ว

ว่ากันว่ากลุ่มเหล่านี้มีเหล่า NGO และกลุ่มสมาคมช่วยเหลือแรงงานพม่าที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามา ซึ่งคนที่ทำงานตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนพม่าที่อยู่ไทยมาก่อนและได้สัญชาติไทยไปแล้ว พร้อมทั้งแนะนำชี้ทางให้เห็นว่าคนพวกนี้จะต้องทำอย่างไร ดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ตนเองพ้นผิด รวมถึงหลุดพ้นจากการเป็นจำเลยในสังคมไทย เป็นต้น

อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ว่าคนไทยเป็นคนง่าย ๆ มีคนบอกบท ให้ยกมือไหว้ ขอโทษออกสื่อ ก็จบ แต่ความจริงนั้นสะท้อนอีกแบบ เพราะการที่เราให้อภัยกันอย่างง่าย ๆ นั้น ทำให้คนอื่น ๆ ที่เห็นไม่กลัว และออกมาทำคลิปเลียนแบบกันเต็มโซเชียลเต็มไปหมด ดังที่เราเห็นได้จากคลิปหนุ่มบางบอนที่ถูกคนพม่าเอามาเลียนแบบเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้  

ในขณะที่ฝั่งชาวเมียนมา White Collar ต่างออกคลิปมาขอโทษขอโพยคนไทย พร้อมขอบคุณคนไทยที่ให้โอกาส ให้ที่อยู่ที่พักพิงให้เขาเหล่านั้น มีเงิน มีทอง สามารถจับจ่ายซื้อของ ทำบุญ ทำทาน ได้ตามที่เขาได้ตั้งใจ  

เอย่า คงบอกได้แค่ว่า คนไทยเข้าใจนะคะ เวลามีปลาเน่าสักตัว ก็มักจะส่งกลิ่นเหม็นกลบปลาดีไปหมด แต่การที่จะกำจัดปลาเน่านั้น หากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนไทยฝ่ายเดียวคงจะไม่ได้แล้ว  

ดังนั้นพวกชาวเมียนมาดี ๆ ที่อยากอยู่อย่างสงบสุขเหมือนในอดีต คงต้องร่วมมือกับคนไทยในการสร้างสังคมที่น่าอยู่

เอย่า จำได้ว่าคนไทยเรามีความทรงจำที่ดีกับชาวเมียนมาประดุจเพื่อนบ้านที่แสนดีฉันใด ความรู้สึกแบบนั้นคงไม่สามารถสร้างได้จากฝั่งคนไทยเพียงฝ่ายเดียวฉันนั้น

ชาวเมียนมาต้องให้ความร่วมมือในการสอดส่องดูแลจัดการให้คนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ หรือรวมตัวกันเป็นแก๊งอั้งยี่ได้ และคนพม่าที่ดีในสังคมไทยก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ไทยในการจัดการกับกลุ่มนอกกฎหมาย หรือผู้ที่ต้องการใช้ประเทศไทยมาเป็นที่ซ่องสุมหรือกบดานด้วยเช่นกัน

อ้อ!! ที่กล่าวเช่นนี้ ก็ใช่ว่าคนไทยจะไม่มีความสามารถหาทางหรือจัดการได้เองนะคะ...

เพียงแต่ว่า ถ้าวันใดประเทศไทยไม่ต้องการคนชาติคุณขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นพวกคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบบ้านนี้เมืองนี้อีกเลย 

เรายื่นโอกาสให้คุณ เพื่อให้คุณแสดงออกว่าคุณมีความรักในประเทศนี้ เคารพกฎหมาย กติกาของบ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ช่วยคนของคุณแบบผิด ๆ เหมือนที่ทุกวันนี้เราเห็น ๆ กันอยู่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top