Tuesday, 29 April 2025
WORLD

จีนเปิดตัวทีมนักบินอวกาศ 'เสินโจว-19' เตรียมปล่อยยานสู่ห้วงอวกาศพรุ่งนี้

(29 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน ประกาศว่าทีมนักบินอวกาศของจีน ได้แก่ ไช่ซวี่เจ๋อ ซ่งลิ่งตง และหวังเฮ่าเจ๋อ จะเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 (Shenzhou-19) โดยจะทำหน้าที่ผู้บัญชาการ

หลินซีเฉียง โฆษกองค์การฯ กล่าวว่ายานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 มีกำหนดปล่อยสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตอน 04.27 น. ของวันพุธ (30 ต.ค.) ตามเวลาปักกิ่ง

สำหรับ "ไช่ซวี่เจ๋อ" เคยร่วมปฏิบัติภารกิจเสินโจว-14 ในปี 2022 ส่วน "ซ่งลิ่งตง" และ "หวังเฮ่าเจ๋อ" ซึ่งทั้งสองเป็นนักบินอวกาศของจีน ชุดที่ 3 และเกิดในทศวรรษ 1990 จะเดินทางสู่อวกาศเป็นครั้งแรก

ซ่งเป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศก่อนได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศ และหวังเคยเป็นวิศวกรอาวุโสประจำสถาบันเทคโนโลยีขับเคลื่อนการบินและอวกาศ สังกัดบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบินและอวกาศแห่งประเทศจีน (CASC)

ปัจจุบันหวังเป็นวิศวกรหญิงด้านการบินในอวกาศเพียงคนเดียวของจีน และจะเป็นผู้หญิงจีนคนที่ 3 ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม

ยูเครน ช็อก!! นักบินเสียชีวิต หลัง F-16 ลำแรกถูกสอยร่วง อ้างไม่เกี่ยวโดนรัสเซียยิง แต่เครื่องยนต์พังจากเศษอาวุธ

เมื่อ F-16 ของยูเครน...ถูกรัสเซียยิงตก

นับแต่การสู้รบในปฏิบัติการพิเศษทางทหารของสหพันธรัฐรัสเซียกับสาธารณรัฐยูเครนเกิดขึ้นมานานกว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสงครามระหว่างกองทัพของสหพันธรัฐรัสเซียและกองทัพของสาธารณรัฐยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรรวมถึงชาติสมาชิกองค์การ NATO จึงทำให้กองทัพของสาธารณรัฐยูเครนสามารถคงสภาพการรบอยู่ได้จนทุกวันนี้

อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรสมาชิกองค์การ NATO นั้นมากมายมหาศาลตั้งแต่อาวุธเบาเช่นปืนเล็กยาว ปืนกล ขีปนาวุธนานาชนิด ปืนใหญ่ รถถัง รถหุ้มเกราะ สารพัดชนิดกระทั่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 (จนอาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังสำรองของประเทศเหล่านั้นแทบจะหมดเกลี้ยง) ตามข้อมูลในสื่อนานาชาติ ยูเครนจะได้รับ F-16 รวม 111 ลำ (แต่สื่อบางแหล่งระบุว่า 79 ลำ) โดยมาจากเบลเยียม 30 ลำ เดนมาร์ก    19 ลำ เนเธอร์แลนด์ 24 ลำ นอร์เวย์ 6 ลำ และกรีซ 32 ลำ โดยเครื่องบินเหล่านี้บางส่วนจะถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงตามความจำเป็นก่อนจะส่งต่อไปให้กับยูเครน โดยสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการฝึกนักบิน F-16 ของยูเครนในสหรัฐฯ และมีการฝึกนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง F-16 ของยูเครนในเดนมาร์กและโรมาเนีย เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ทั้งหมดที่ เดนมาร์ก กรีซ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และเบลเยียม มอบกับให้ยูเครนจะเป็นรุ่น F-16AM (ที่นั่งเดี่ยว) / F-16BM (ที่นั่งคู่) Block 15 Mid-Life Update (MLU) รุ่นเหล่านี้คล้ายคลึงกับ F-16C/D Block 30/50/52 

ณ เดือนสิงหาคม 2024 ยูเครนได้รับเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 จำนวน 10 ลำ และนักบินยูเครน 6 คนได้ผ่านการฝึกอบรมการบิน F-16 แล้ว ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2024 ยูเครนจะมีเครื่องบิน F-16 จำนวน 20 ลำ เครื่องบินที่เหลือจะถูกทยอยส่งมอบให้กับยูเครนเป็นชุด ๆ ตลอดปี 2025 นอกจากนั้นแล้ว 6 มิถุนายน 2024 ตามรายงานของ Le Figaro ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้ประกาศการโอนเครื่องบินรบ Mirage 2000-5F จำนวนหนึ่งให้กับยูเครนอีกด้วย

นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish)

ต้นเดือนสิงหาคม 2024 เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ลำแรกเดินทางมาถึงยูเครน ทำให้ชาวยูเครนรู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาความรู้สึกดังกล่าวในหมู่ชาวยูเครนกลายเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่เมื่อต้องสูญเสีย F-16 ไปหนึ่งลำพร้อมกับชีวิตของนักบิน เมื่อ นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish) นักบิน F-16 คนแรกของยูเครนถูกยิงตกในบริเวณจัตุรัสกลางเมืองเชเปตีฟกา แคว้นคเมลนิตสกีของยูเครน ขณะปฏิบัติการต่อต้านการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกองทัพรัสเซียต่อยูเครน

Volodymyr Zelenskyy ประธานาธิบดียูเครน กับ Mette Frederiksen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
 บนเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ที่จะมอบให้ยูเครน

โดยยูเครนอ้างว่า ก่อนถูกยิงตก ผู้ฝูง Moonfish สามารถสกัดขีปนาวุธได้ 3 ลูก และโดรนอีก 1 ลำ ก่อนที่จะถูกยิงตก โดยนักบินผู้นี้เคยเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบปะกับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สำหรับภารกิจขอรับการสนับสนุนให้พวกเขาส่ง F-16 ไปช่วยยูเครน ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวถูกปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับรัฐบาลยูเครน เพราะการที่ F-16 ตกในเวลาไม่นานหลังจากได้รับเครื่องบินลำดังกล่าว หมายความว่า ปัญหาดังกล่าว "มีความละเอียดอ่อนมากเป็นสองเท่า หรืออาจจะมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งไม่มีใครออกมาแถลงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการเลย"

เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ของยูเครน

ทั้งนี้ฟากฝั่งยูเครนพยายามให้ข่าวว่า ผู้ฝูง Moonfish ถูกยิงตก อันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดของหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศแบบ Patriot หรือ F-16 บินผ่านกลุ่มเศษซากที่เกิดจากการสกัดกั้นและทำลายขีปนาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ แต่เศษซากของขีปนาวุธที่ถูกทำลายเหล่านี้อาจทำให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเครื่องบินได้รับความเสียหาย จนทำให้ F-16 ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ทำให้นักบินเสียชีวิตก่อนที่จะดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ โดยวันดังกล่าว กองกำลังของรัสเซียยิงขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากไปทั่วประเทศยูเครน ซึ่งกองทัพอากาศยูเครนบอกว่า ส่วนใหญ่ถูกสกัดเอาไว้ได้ โดย ในแถลงการณ์ระบุว่า กองกำลังรัสเซียยิงขีปนาวุธ 5 ลูกและโดรน Shahed 74 ลำไปที่เป้าหมายในยูเครน ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสามารถหยุดขีปนาวุธ 2 ลูกและโดรน 60 ลำได้ และคาดว่าโดรนอีก 14 ลำตกลงมาก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง Buk-M3 ของรัสเซีย

แต่กองทัพรัสเซียระบุว่า F-16 ถูกยิงตกด้วยระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง (Viking) Buk-M3 ของรัสเซีย ด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบนี้ในปัจจุบันเป็นวิธีการปฏิบัติมาตรฐานในการป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพรัสเซีย มีระยะการตรวจจับเป้าหมายสูงถึง 120 กม. ในภาค 90° สถานีตรวจจับเป้าหมาย (STS) “มองเห็น” ที่ 200 กม. เมื่อใช้สถานีเรดาร์สแตนด์บายภาคพื้นดิน 1L119 ส่วนระบบป้องกันทางอากาศระยะกลาง จะมีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายที่อยู่หลังแนวข้าศึกได้ลึกถึง 360 กม. ทำให้สามารถทำลายการโจมตีทางอากาศและการลาดตระเวนของกองทัพอากาศยูเครนในภาพรวมทั้งหมด ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารตั้งแต่วันแรกของการรบ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 (พัฒนาโดยสถาบันวิจัยวิศวกรรมเครื่องมือ V.V. Tikhomirov) ดำเนินการโดยโรงงานเครื่องจักรกล Ulyanovsk ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท Almaz-Antey วิสาหกิจของรัฐบาลรัสเซีย โดย Buk-M3 สามารถทำลายเครื่องบิน 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ และขีปนาวุธปฏิบัติการทางยุทธวิธีแบบ Tochka -U, UAV แบบ Bayraktar TB2 และขีปนาวุธ HIMARS MLRS อีกเป็นจำนวนมาก"

‘โฟล์คสวาเกน’ เตรียมปิด 3 โรงงานในบ้านเกิดเยอรมนี หลังไม่เคยปิดโรงงานกว่า 30 ปี รับแรงกระแทก EV จีน

(29 ต.ค. 67) Volkswagen ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของเยอรมนีมีแผนจะปิดโรงงานอย่างน้อย 3 แห่งในเยอรมนี สภาแรงงานของบริษัทกล่าวเมื่อวันจันทร์

แผนการปิดโรงงานที่รายงานนี้เป็นมาตรการที่ Volkswagen กล่าวเมื่อไม่นานนี้ว่าไม่สามารถตัดทิ้งได้ท่ามกลางยอดขายที่ลดลง

สำนักข่าว Reuters อ้างคำพูดของ Daniela Cavallo หัวหน้าสภาแรงงานของ Volkswagen ที่บอกกับพนักงานหลายร้อยคนในเมือง Wolfsburg ว่า "ฝ่ายบริหารจริงจังกับเรื่องนี้มาก นี่ไม่ใช่การขู่เข็ญในการเจรจาต่อรองร่วมกัน"

"นี่คือแผนการของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีที่จะเริ่มการขายกิจการในประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิด" Cavallo กล่าวเสริมโดยไม่ได้ระบุว่าโรงงานใดจะได้รับผลกระทบ หรือพนักงานของบริษัทเกือบ 300,000 คนในเยอรมนีอาจถูกเลิกจ้างกี่คน

"โรงงาน Volkswagen ในเยอรมนีทั้งหมดได้รับผลกระทบจากแผนเหล่านี้ ไม่มีแห่งใดปลอดภัย" Cavallo กล่าวขณะที่เธอพูดคุยกับพนักงานของ VW ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมือง Wolfsburg Cavallo กล่าวว่าฝ่ายบริหารของ VW ยังเรียกร้องให้ลดเงินเดือนร้อยละ 10 และไม่มีการขึ้นเงินเดือนอื่นๆ ในอีกสองปีข้างหน้า Cavallo และผู้นำแรงงานคนอื่นๆ ใน VW ให้คำมั่นว่าจะต่อต้านการลดเงินเดือนอย่างแข็งกร้าว โดยผู้นำแรงงานของ VW กล่าวว่าบริษัทอยู่ใน "จุดตัดสินใจ" ในประวัติศาสตร์

ในการตอบสนองต่อคำขอความคิดเห็นจาก VW บริษัทกล่าวว่า "ไม่ได้มีส่วนร่วมในการคาดเดาเกี่ยวกับการเจรจาเป็นความลับ" กับสหภาพแรงงาน IG Metall ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัท

"Volkswagen อยู่ในจุดตัดสินใจในประวัติศาสตร์องค์กร สถานการณ์ร้ายแรง และความรับผิดชอบของพันธมิตรในการเจรจาก็มหาศาล" บริษัทกล่าวเสริม

"หากไม่มีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของเรา เราจะไม่สามารถลงทุนในอนาคตที่จำเป็นได้" แถลงการณ์ดังกล่าวอ้างคำพูดของ Gunnar Kilian เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล “เหตุผลประการหนึ่งในการปรับโครงสร้างใหม่ที่จำเป็นคือข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดรถยนต์ในยุโรปหดตัวลงสองล้านคันตั้งแต่ปี 2020 ตลาดกำลังซบเซาและจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ในอนาคตอันใกล้นี้ Volkswagen มีส่วนแบ่งประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ในตลาดนี้ นั่นหมายความว่าบริษัทขาดรถยนต์ประมาณ 500,000 คัน” VW กล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมล
สหภาพแรงงานแสดงความไม่พอใจ

สหภาพแรงงาน IG Metall ออกมาประณามข่าวนี้

“นี่เป็นการแทงลึกเข้าไปในหัวใจของพนักงาน VW ที่ทำงานหนัก” สำนักข่าว DPA ของเยอรมนีอ้างคำพูดของ Thorsten Gröger ผู้จัดการเขต IG Metall กล่าว

“เราคาดหวังว่า Volkswagen และคณะกรรมการบริหารจะสรุปแนวคิดที่เป็นไปได้สำหรับอนาคตที่โต๊ะเจรจา แทนที่จะเพ้อฝันถึงการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจนถึงขณะนี้ฝ่ายนายจ้างเสนอเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า”

Thomas Schäfer ซีอีโอของ VW กล่าวในแถลงการณ์ว่าต้นทุนของโรงงานในเยอรมนีสูงขึ้นเป็นพิเศษ “เราไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้เหมือนอย่างเดิม” นายเชเฟอร์กล่าว “เราไม่มีผลิตภาพเพียงพอที่โรงงานของเราในเยอรมนี และต้นทุนของโรงงานของเราในปัจจุบันสูงกว่าที่เราได้วางแผนไว้ 25% ถึง 50% ซึ่งหมายความว่าโรงงานแต่ละแห่งในเยอรมนีมีราคาแพงกว่าคู่แข่งถึงสองเท่า”

ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีน
VW รายงานว่ากำไรสุทธิลดลง 14% ในช่วงครึ่งแรกของปี และถูกบังคับให้ยกเลิกข้อตกลงด้านความมั่นคงในการทำงานกับสหภาพแรงงานในเยอรมนีซึ่งทำกันมาหลายสิบปี

>>>รัฐบาลเยอรมนีมีปฏิกิริยาอย่างไร

วูล์ฟกัง บึชเนอร์ โฆษกรัฐบาลเยอรมนีกล่าวว่าเบอร์ลินทราบถึงความท้าทายของ VW และได้ติดต่อสื่อสารกับบริษัทและตัวแทนคนงานอย่างใกล้ชิด

“อย่างไรก็ตาม จุดยืนของนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ชัดเจน นั่นคือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของฝ่ายบริหารที่อาจเกิดขึ้นในอดีตไม่ควรส่งผลเสียต่อพนักงาน เป้าหมายในปัจจุบันคือการรักษาและรักษาตำแหน่งงาน” โฆษกกล่าวในการบรรยายสรุปตามปกติ 

ยังไม่ชัดเจนในทันทีว่า Büchner กำลังหมายถึงเรื่องอื้อฉาวที่เรียกว่า dieselgate ที่กลายเป็นคดีอาญาหรือไม่ ซึ่ง Martin Winterkorn อดีต CEO ของ VW ถูกกล่าวหาว่าให้การเท็จ ปั่นราคาตลาด และฉ้อโกงทางการค้า

VW ดำเนินการโรงงานทั้งหมด 10 แห่งในเยอรมนี โดย 6 แห่งตั้งอยู่ใน Lower Saxony 3 แห่งอยู่ในรัฐ Saxony ทางตะวันออก และ 1 แห่งอยู่ในรัฐ Hesse ทางตะวันตก Volkswagen ไม่เคยปิดโรงงานในเยอรมนี และไม่เคยปิดโรงงานที่ใดในโลกเลยมานานกว่าสามทศวรรษ

ประธานาธิบดีป้ายแดงแห่งอินโดนีเซียไฟสุดแรง ขีดเส้น 4 ปี อาคารสำคัญเมืองหลวงใหม่ต้องเสร็จ

(28 ต.ค. 67) ผู้นำคนใหม่ของอินโดนีเซีย ปราโบโว สุเบียนโต ต้องการสร้างอาคารรัฐบาลและรัฐสภาที่สำคัญในเมืองหลวงแห่งใหม่มูลค่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐของประเทศให้เสร็จภายใน 4 ปีข้างหน้า ตามคำกล่าวของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี

โครงการดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของอดีตประธานาธิบดีโจโก วิโดโด โดยมุ่งหวังที่จะย้ายศูนย์กลางอำนาจของอินโดนีเซียที่อยู่ห่างจากจาการ์ตาที่กำลังจมดิ่งและแออัดไปประมาณ 1,200 กม. ไปยังนูซันตารา ซึ่งตั้งอยู่ในดงดิบของเกาะบอร์เนียว

“เขา (ปราโบโว) หวังด้วยซ้ำว่าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซียในปี 2029 จะเกิดขึ้นที่นูซันตารา” ราชา จูลี อันโตนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป่าไม้ กล่าวในบัญชี Instagram ของเขาเมื่อวันเสาร์ (26 ต.ค.) 

คำพูดเกี่ยวกับเจตนาของปราโบโวเกิดขึ้นท่ามกลางความสงสัยว่าเขาจะดำเนินโครงการนี้ด้วยความเร็วเท่ากับวิโดโดหรือไม่ ซึ่งสนับสนุนเขาโดยปริยายในการเลือกตั้ง และงบประมาณของรัฐจะขยายไปสนับสนุนนูซันตาราควบคู่ไปกับโครงการอาหารฟรีหลายพันล้านดอลลาร์ของเขา ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในการหาเสียงเลือกตั้งของเขาได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ราชา จูลี กล่าวเพิ่มเติมว่าไม่ควรมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับความมุ่งมั่นของปราโบโวที่จะดำเนินโครงการมรดกของอดีตประธานาธิบดีต่อไป เนื่องจากเขาได้รับประกันแล้วว่าเขาจะทำให้โครงการนี้เสร็จสมบูรณ์

“สำหรับเขา (ปราโบโว) นูซันตาราเป็นเมืองหลวงของการเมือง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในอีกสี่ปีข้างหน้า นอกเหนือไปจากอาคารของรัฐบาล เราต้องสร้างอาคารสำหรับหน่วยงานนิติบัญญัติและตุลาการให้เสร็จ” รัฐมนตรีกล่าวเสริม

อาคารสำคัญของรัฐบาล เช่น ทำเนียบประธานาธิบดีและที่พักของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่การก่อสร้างถนนเก็บค่าผ่านทางและสนามบินอยู่ระหว่างดำเนินการ

ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างในปี 2565 โครงการนี้ประสบปัญหาในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ความคืบหน้าของโครงการเร็วขึ้น รัฐบาลตกลงกันว่างบประมาณทั้งหมดเพียงหนึ่งในห้าจะมาจากรัฐบาล

รัฐบาลได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Delonix Group ของจีนลงทุน 500,000 ล้านรูเปียห์ (31.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสร้างโรงแรมและสำนักงาน

‘ความปลอดภัยหรือการเมือง’ เมื่อรัฐในอินเดีย เล็ง ออกกฎหมายลงโทษ ‘การทำอาหารสกปรก’

(28 ต.ค. 67) ในเดือนนี้ สองรัฐภายใต้การปกครองของพรรคภารติยะชนตา (BJP) ของอินเดีย ประกาศแผนที่จะปรับและจำคุกอย่างหนักสำหรับการปนเปื้อนอาหารด้วยน้ำลาย ปัสสาวะ และสิ่งสกปรก

รัฐอุตตราขันต์ทางตอนเหนือจะปรับผู้กระทำผิดสูงสุด 100,000 รูปี (1,190 ดอลลาร์; 920 ปอนด์) ในขณะที่รัฐอุตตรประเทศซึ่งเป็นรัฐใกล้เคียงเตรียมที่จะออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหานี้

คำสั่งของรัฐบาลตามมาหลังจากการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ไม่ผ่านการตรวจสอบบนโซเชียลมีเดียซึ่งแสดงให้เห็นพ่อค้าแม่ค้าถ่มน้ำลายลงบนอาหารที่แผงขายของและร้านอาหารในท้องถิ่น และมีคลิปวิดีโอหนึ่งที่แสดงให้เห็นแม่บ้านกำลังผสมปัสสาวะลงในอาหารที่เธอกำลังปรุง

แม้ว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวจะจุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ผู้ใช้ โดยหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารในรัฐเหล่านี้ แต่คลิปวิดีโอบางส่วนยังกลายเป็นประเด็นในการกล่าวโทษชาวมุสลิม ซึ่งต่อมาเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีหลายคนในโซเชียลมีเดียกล่าวหาว่าผู้หญิงที่ใส่ปัสสาวะลงในอาหารเป็นชาวมุสลิม แต่ต่อมาตำรวจระบุว่าเธอเป็นชาวฮินดู

เจ้าหน้าที่กล่าวว่ากฎหมายที่เข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็นและมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขอนามัยเกี่ยวกับอาหาร แต่ผู้นำฝ่ายค้านและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของกฎหมายเหล่านี้และกล่าวหาว่ากฎหมายเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อใส่ร้ายชุมชนใดชุมชนหนึ่ง

หนังสือพิมพ์ Indian Express วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เสนอโดยรัฐอุตตรประเทศโดยกล่าวว่ากฎหมายเหล่านี้ "ทำหน้าที่เป็นนกหวีดเรียกความสนใจของชุมชน [นิกาย] ที่ใช้ประโยชน์จากแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์และมลพิษของคนส่วนใหญ่ และมุ่งเป้าไปที่กลุ่มชนกลุ่มน้อยที่ขาดความมั่นคงอยู่แล้ว"

อาหารและนิสัยการกินเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนในอินเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับศาสนาและระบบวรรณะตามลำดับชั้นของประเทศ บรรทัดฐานและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารบางครั้งนำไปสู่การปะทะกันระหว่างชุมชน ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ดังนั้น แนวคิดเรื่อง 'ความปลอดภัยของอาหาร' จึงได้เข้ามาเกี่ยวพันกับศาสนาด้วย ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อระบุแรงจูงใจจากเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าปนเปื้อน

ความปลอดภัยของอาหารยังเป็นข้อกังวลสำคัญในอินเดีย โดยสำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหาร (FSSAI) ประมาณการว่าอาหารที่ไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการติดเชื้อประมาณ 600 ล้านรายและเสียชีวิต 400,000 รายต่อปี

ผู้เชี่ยวชาญระบุสาเหตุต่างๆ ของความปลอดภัยด้านอาหารที่ย่ำแย่ในอินเดีย รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยด้านอาหารที่ไม่เพียงพอและการขาดการตระหนักรู้ ห้องครัวที่คับแคบ อุปกรณ์ที่สกปรก น้ำที่ปนเปื้อน และการขนส่งและจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้ความปลอดภัยของอาหารลดลงไปอีก

ดังนั้น เมื่อมีการเผยแพร่วิดีโอของพ่อค้าแม่ค้าที่ถุยน้ำลายลงในอาหาร ผู้คนก็ตกใจและโกรธแค้น ไม่นานหลังจากนั้น รัฐอุตตราขันต์ก็ประกาศปรับผู้กระทำผิดจำนวนมาก และกำหนดให้ตำรวจต้องตรวจสอบพนักงานโรงแรมและติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องครัว

ในรัฐอุตตรประเทศ หัวหน้ารัฐมนตรี Yogi Adityanath กล่าวว่าเพื่อหยุดเหตุการณ์ดังกล่าว ตำรวจควรตรวจสอบพนักงานทุกคน รัฐยังวางแผนที่จะบังคับให้ศูนย์อาหารแสดงชื่อเจ้าของ ให้พ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟสวมหน้ากากและถุงมือ และติดตั้งกล้องวงจรปิดในโรงแรมและร้านอาหาร ตามรายงาน Adityanath กำลังวางแผนที่จะออกกฎหมายสองฉบับที่ลงโทษการถ่มน้ำลายลงในอาหาร โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี

ในเดือนกรกฎาคม ศาลฎีกาของอินเดียได้ระงับคำสั่งที่ออกโดยรัฐบาลอุตตราขันต์และอุตตรประเทศที่ขอให้ผู้ที่เปิดแผงขายอาหารตามเส้นทาง Kanwar yatra ซึ่งเป็นการแสวงบุญของชาวฮินดูประจำปี แสดงชื่อและรายละเอียดประจำตัวอื่นๆ ของเจ้าของอย่างชัดเจน ผู้ร้องเรียนบอกกับศาลสูงสุดว่าคำสั่งดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิมอย่างไม่เป็นธรรมและจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจของพวกเขา

เมื่อวันพุธ ตำรวจในเมืองบารากังกิของรัฐได้จับกุมเจ้าของร้านอาหาร Mohammad Irshad ในข้อกล่าวหาถ่มน้ำลายลงบนโรตี (แผ่นแป้งแบน) ขณะเตรียมอาหาร นาย Irshad ถูกตั้งข้อหาก่อกวนความสงบและความสามัคคีทางศาสนา หนังสือพิมพ์ Hindustan Times รายงาน

เมื่อต้นเดือนนี้ ตำรวจในเมืองมัสซูรี รัฐอุตตราขันต์ ได้จับกุมชายสองคน คือ Naushad Ali และ Hasan Ali ในข้อกล่าวหาถ่มน้ำลายลงในหม้อขณะชงชา และกล่าวหาว่าพวกเขาก่อให้เกิดความโกรธแค้นในสังคมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หนังสือพิมพ์ The Hindu รายงาน

วิดีโอที่ชายทั้งสองถ่มน้ำลาย ซึ่งเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียไม่กี่วันก่อนที่พวกเขาจะถูกจับกุม ได้รับการนำไปโยงกับศาสนา หลังจากบัญชีของชาตินิยมฮินดูจำนวนมากเริ่มเรียกพวกเขาว่าเหตุการณ์ 'thook-jihad' หรือ 'spit-jihad'

คำนี้เป็นการโยงกับคำว่า 'love-jihad' ซึ่งกลุ่มฮินดูหัวรุนแรงเป็นผู้คิดขึ้น โดยใช้คำนี้เพื่อกล่าวหาว่าผู้ชายมุสลิมเปลี่ยนศาสนาให้ผู้หญิงฮินดูด้วยการสมรส โดยขยายความ 'thook-jihad' กล่าวหาว่ามุสลิมพยายามทำให้ชาวฮินดูเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยการถุยน้ำลายลงในอาหาร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชุมชนมุสลิมตกเป็นเป้าหมายของการกล่าวหาเรื่องการถุยน้ำลาย ในช่วงการระบาดของโควิด-19 วิดีโอปลอมชุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นชาวมุสลิมถุยน้ำลาย จาม หรือเลียสิ่งของเพื่อแพร่เชื้อไวรัสให้ผู้คนกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย วิดีโอดังกล่าวทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนามากขึ้น โดยบัญชีของฮินดูหัวรุนแรงโพสต์ข้อความต่อต้านมุสลิม

ผู้นำฝ่ายค้านในสองรัฐที่ปกครองโดยพรรค BJP ได้วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายใหม่ว่า คำสั่งดังกล่าวระบุว่าอาจใช้กำหนดเป้าหมายไปที่ชาวมุสลิม และรัฐบาลใช้คำสั่งดังกล่าวเป็นฉากบังตาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาสำคัญอื่นๆ เช่น การว่างงานและเงินเฟ้อที่พุ่งสูง

แต่นายมานิช ซายานา เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยด้านอาหารในรัฐอุตตราขันต์ กล่าวว่าคำสั่งของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภค เขากล่าวกับบีบีซีว่า เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยด้านอาหารและตำรวจได้เริ่มดำเนินการตรวจค้นร้านอาหารแบบกะทันหัน และ "พวกเขาเรียกร้องให้ผู้คนสวมหน้ากากและถุงมือ และติดตั้งกล้องวงจรปิด" ทุกที่ที่พวกเขาไปตรวจค้น

V Venkatesan ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องมีการบัญญัติและกฎหมายใหม่ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารเพื่อให้มีการถกเถียงกันอย่างเหมาะสมในที่ประชุม

"ในความเห็นของฉัน กฎหมายที่มีอยู่ [ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร พ.ศ. 2549] นั้นเพียงพอที่จะดูแลความผิดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาหาร ดังนั้น เราต้องถามว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายและคำสั่งใหม่ๆ เหล่านี้" เขากล่าว

“รัฐบาลดูเหมือนจะคิดว่ากฎหมายที่กำหนดบทลงโทษที่รุนแรงจะช่วยยับยั้งไม่ให้ผู้คนก่ออาชญากรรม แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมต่างหากที่จะยับยั้งไม่ให้ผู้คนก่ออาชญากรรมได้ ดังนั้น กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างเหมาะสมในรัฐเหล่านี้หรือ”

ซีอีโอ JPMorgan แนะคนรุ่นใหม่ เลิกเล่น Facebook - TikTok ซะ!! เพราะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์สุดๆ ควรอ่านหนังสือแทน โดยเฉพาะแนวประวัติศาสตร์

(27 ต.ค. 67) Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan กล่าวว่า คนหนุ่มสาวควรใช้เวลาน้อยลงกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น ในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมคุณภาพตลาดการเงินประจำปีของ Georgetown Psaros Center for Financial Markets and Policy เมื่อมีคนถามว่าเขามีคำแนะนำอะไรให้กับนักศึกษาที่นั่นบ้าง

 “สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ ปิด TikTok หรือ Facebook ซะ เพราะมันเป็นการเสียเวลาที่โง่เขลาอย่างยิ่ง” Dimon กล่าว

Dimon ยังแนะนำอีกว่าการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย อ่านแบบรวดเดียว น่าจะเป็นการใช้เวลาที่ดีกว่ามาก

“คำแนะนำของผมสำหรับนักเรียนคือ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ หากคุณเป็นเดโมแครต ให้อ่านความเห็นของรีพับลิกัน ซึ่งเป็นความเห็นที่ดี หากคุณเป็นรีพับลิกัน ให้อ่านความเห็นของเดโมแครต” Dimonกล่าว

“จงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น Nelson Mandela, Abe Lincoln, Sam Walton คุณเรียนรู้ได้จากการอ่านและพูดคุยกับผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น” เขากล่าวเสริม

Dimon เรียกได้ว่าแตกต่างจากผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่ เขาค่อนข้างที่จะ ‘โลว์โปรไฟล์’ บนโซเชียลมีเดีย โดยนอกจาก LinkedIn แล้ว Dimon ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X หรือ TikTok แม้ว่าเขาจะยอมรับในปี 2021 ว่ามีบัญชี Instagram ภายใต้ชื่อผู้ใช้ปลอมก็ตาม

Dimon ยังวิพากษ์วิจารณ์โซเชียลมีเดียในปีนี้ในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น โดยระบุว่าแพลตฟอร์มต่างๆ จำเป็นต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้น

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบเชิงลบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนการเลือกตั้ง ไปจนถึงผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตของเด็กๆ ที่ได้รับการบันทึกว่าเพิ่มมากขึ้น” Dimon ระบุ 

“นี่คือปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวมของเรา” เขากล่าวเสริม

“และถึงเวลาแล้วที่บริษัทโซเชียลมีเดียจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว”

แปลและเรียบเรียงจาก Jamie Dimon Says TikTok and Facebook Are a 'Total Stupid Waste of Time' and People Should Read Books Instead

‘เอเวอรี่ แจ็คสัน’ ขึ้นปกนิตยสารดังระดับโลก ‘แนชันแนล จีโอกราฟิก’ ล่าสุดประกาศ!! ตนเองไม่ใช่ทรานส์ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นมากกว่าหนึ่งเพศ

(27 ต.ค. 67) ‘Sompop Pordi’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘เอเวอรี่ แจ็คสัน’ เด็กที่ตกเป็นเหยื่อ ของลัทธิ Woke โดยได้ระบุว่า …

Woke อำมหิต

เด็ก 9 ขวบที่อยู่บนปกนิตยสาร แนชันแนล จีโอกราฟิก ฉบับเดือนมกราคม 2017 หรือ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ชื่อ เอเวอรี่ แจ็คสัน
ก่อนถ่ายภาพขึ้นปกหนังสือ เอฟเวอรี่เป็นเด็กผู้ชาย ที่ชอบสีชมพู ชอบเล่นตุ๊กตา ชอบแอบเอาเครื่องสำอางค์ของแม่มาเล่น 

แม่ของเอเวอรี่ ชื่อ เดบี้ เป็นนักรณรงค์สนับสนุน LGQLEDTV เลยพาเอเวอรี่ไปหาหมอที่ทำงานร่วมกันและเป็นผู้ชำนาญเรื่อง การยืนยันเพศสภาพ หรือ gender affirming care 
และหมอที่ว่าก็บอกเอเวอรี่และแม่ว่า อันที่จริงแล้ว เอเวอรี่ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง

ดังนั้น ก่อนถ่ายภาพขึ้นปกนิตยสาร เอเวอรี่จึงได้เข้ากระบวนการเปลี่ยนเพศด้วยการรับ ฮอร์โมนและสารเคมีเพื่อยับยั้งการพัฒนาของร่างกายตามธรรมชาติ หรือ puberty blocker โดยความยินยอมและดีใจของแม่

หลังจากได้ขึ้นปกนิตยสาร เอเวอรี่และแม่ก็โด่งดังมีชื่อเสียงในฐานะตัวแทนของคนข้ามเพศหรือ trans ได้รับเชิญให้ไปพูดในโรงเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กคนอื่นๆที่สงสัยในเพศของตน และตามชุมชนคนข้ามเพศเพื่อร่วมกันเรียกร้องสิทธิของคนข้ามเพศให้เท่าเทียมกับคนทั่วไป
เอเวอรี่กลายเป็น โปสเตอร์ไชลด์ (นางแบบเด็กผู้โด่งดัง) ของ LGQLEDTV ส่วนเดบี้ได้รับการยกย่อง ชื่อเสียงและเงินทองจากกลุ่มคนข้ามเพศอย่างมาก

ปีนี้ 2024 เอเวอรี่ ไม่ได้รู้สึกอยากเป็นผู้หญิงอีกต่อไป ไม่ได้ชอบสีชมพู ไม่ชอบเล่นตุ๊กตา ไม่ชอบใช้เครื่องสำอาง
แล้วเอเวอรี่ก็ประกาศว่าตนเองไม่ใช่ทรานส์ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็น นอน-ไบนารี่ หรือ เป็นมากกว่าหนึ่งเพศ 

เอเวอรี่เลิกใช้สรรพนาม she/her แล้วเปลี่ยนไปใช้ they/them แทน 

แต่ไม่ว่าเอเวอรี่จะอยากเป็นอะไร ต้องการเป็นอะไรก็ตาม เอเวอรี่ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นผู้ชายจริงๆตามธรรมชาติ เพราะ puberty blocker ทำลายพัฒนาการของร่างกาย จนเป็นหมัน กุ๊กกู๋ไม่พัฒนาตามวัย ไม่มีสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีสเปิร์ม หรือจะผู้หญิงอย่างที่เคยอยากเป็นก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเนรมิตให้ได้

เอเวอรี่จะเป็นได้แค่คนที่สับสนทางเพศ จนกว่าจะตายไป 

เอเวอรี่เป็นแค่ หนึ่งในเด็กที่ไร้เดียงสาหลายพันรายที่เป็นเหยื่อของลัทธิอำมหิต ลัทธิ Woke เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จนยินยอมให้ตนเองถูกทำหมัน ถูกตอน เพื่อไม่ให้สามารถเติบโตมีชีวิตปกติ มีลูกมีหลานสืบต่อไป เพราะ Woke เกลียดมนุษย์ Woke เชื่อว่าประชากรมนุษย์ที่มากเกินไปจะทำลายโลก
เมื่อเด็กเหล่านี้ เติบโตขึ้น พวกเขาเปลี่ยนกลับไปตามธรรมชาติของตน แต่สายเกินไปแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เสียหายแตกหักอย่างถาวรแล้ว
นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

เป็นเรื่องจริงที่อำมหิต และน่าเศร้ามาก

‘อินวิเดีย’ แซงหน้า ‘แอปเปิ้ล’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก หลังราคาหุ้นอินวิเดีย!! ได้แรงหนุนจาก ดีมานด์ชิปเอไอ

(27 ต.ค. 67) อินวิเดีย (Nvidia) แซงหน้าแอปเปิ้ล (Apple) ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกในวันศุกร์ (25 ต.ค.) หลังจากราคาหุ้นอินวิเดียทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยได้แรงหนุนจากความต้องการอย่างต่อเนื่องในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่

ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า มูลค่าตลาดของอินวิเดียแตะที่ 3.53 ล้านล้านดอลลาร์ชั่วคราว ขณะที่มูลค่าตลาดของแอปเปิ้ลอยู่ที่ 3.52 ล้านล้านดอลลาร์

ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา อินวิเดียเคยขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของโลกในระยะสั้น ๆ เช่นกัน แต่ไม่นานก็ถูกไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอปเปิ้ลแซงหน้าไปได้ ซึ่งมูลค่าตลาดของทั้ง 3 บริษัทนี้ใกล้เคียงกันมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยมูลค่าตลาดของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์

‘อิหร่าน’ ประกาศความสำเร็จ ในการสกัดกั้น ‘ขีปนาวุธ’ เผย!! สามารถต้านทานการโจมตี ของ ‘อิสราเอล’ ได้สำเร็จ

(26 ต.ค. 67) กองบัญชาการกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติของอิหร่านได้ประกาศความสำเร็จของระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบบูรณาการของประเทศในการสกัดกั้นการโจมตีฐานทัพในจังหวัดเตหะราน คูเซสถาน และอีลัม ในช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2024 

การโจมตีดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายในวงจํากัดในบางพื้นที่ และขอบเขตความเสียหายจากเหตุโจมตีทั้งหมดอยู่ระหว่างการตรวจสอบ คําแถลงระบุเสริม แต่ก็ยอมรับว่า ‘ได้รับความเสียหายในวงจำกัด’ ในบางพื้นที่ โดยยืนยันว่า กองบัญชาการกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติสามารถต้านทานการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ได้สำเร็จ 

แถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลเปิดเผยเมื่อเช้าวันเสาร์ว่า ได้โจมตีฐานทัพของอิหร่าน แม้จะมีการบันทึกภาพการสกัดกั้นขีปนาวุธที่ไม่ทราบชนิดบนท้องฟ้าของอิหร่านไว้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงความเสียหายหรือการสูญเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญต่อเป้าหมายภาคพื้นดินของอิหร่านแต่อย่างใด

ส่วนอิสราเอลได้แถลงการณ์ผ่านวิดีโอซึ่งเผยแพร่เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ โดย Daniel Hagari โฆษกกองทัพอิสราเอล ระบุว่า รัฐบาล ‘กำลังดำเนินการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่านอย่างแม่นยำ’ เขาปฏิเสธที่จะระบุเป้าหมายหรืออาวุธที่ใช้ แต่กล่าวว่า "อิสราเอลมีความสามารถในการป้องกันและโจมตีอย่างเต็มที่"

สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านมีกำลังรบหลัก 2 ส่วนได้แก่ (1) กองทัพแห่งชาติ มี 4 เหล่าทัพได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ มีกำลังพลรวม 420,000 นาย และ (2) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม มีกำลังพล 125,000 นาย กองกำลังป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติถือเป็นเหล่าทัพหนึ่งของกองทัพแห่งชาติ มีกำลังพล 15,000 นาย มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจในการป้องกันภัยทางอากาศขแงประเทศโดยเฉพาะ 

‘สหรัฐฯ’ ชี้ ‘อิสราเอล’ โจมตี ‘อิหร่าน’ เป็นการป้องกันตนเอง หลังถูกรัฐบาลเตหะราน โจมตีด้วยขีปนาวุธ เมื่อหลายวันก่อน

(26 ต.ค. 67) นายฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวแถลงเมื่อกลางดึกวันศุกร์ (25 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐคนหนึ่งกล่าวว่า สหรัฐ ‘ได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง’ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่า อิสราเอลแจ้งล่วงหน้ากี่วันหรือบอกข้อมูลใดให้ทราบบ้าง

ต่อมาทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ได้รับข้อมูลสรุปเรื่องการโจมตีแล้ว ทีมความมั่นคงแห่งชาติจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้ทราบเรื่อย ๆ

‘เสียวหมี่’ ผลิต ‘ชิป 3 นาโนเมตร’ ตัวแรกของจีนได้สำเร็จ พร้อมเดินหน้า!! ผลิตแบบแมสโปรดักชั่นได้ ภายในปี 2025

(26 ต.ค. 67) เสียวหมี่ อิงค์ (Xiaomi Inc) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายยักษ์รายหนึ่งของจีนซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปักกิ่ง กำลังกลายเป็นข่าวเกรียวกราวว่า ได้ ‘taped out’ โปรเซสเซอร์ประเภท ซิสเตม-ออน-ชิป (system-on-chip หรือ SoC) ขนาด 3 นาโนเมตรของตนสำเร็จแล้ว และมีกำหนดจะผลิตกันแบบขนานใหญ่ หรือที่เรียกว่า แมส โปรดักชั่น (mass production) ในครึ่งแรกของปีหน้า

ในวงการอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ tapeout ซึ่งเป็นคำที่เหลือตกค้างมาจากยุคที่ข้อมูลยังต้องบันทึกกันด้วยเทปแม่เหล็กเป็นม้วนๆ หมายถึงช่วงเวลาในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เฝ้ารอคอยกัน เมื่อข้อมูลดีไซน์ในขั้นสุดท้ายถูกบรรจุลงในแผ่นชิปและถูกจัดส่งไปเข้ากระบวนการผลิตออกมาของโรงงาน (fabrication)

ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความสำเร็จของชิปขนาด 3 นาโนเมตรของค่ายเสียวหมี่คราวนี้ ได้รับการเปิดเผย  ในวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย ถัง เจี้ยนกั๋ว (Tang Jianguo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสำนักเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ เทศบาลมหานครปักกิ่ง (Beijing Municipal Bureau of Economy and Information Technology) ทางสื่อ ปักกิ่ง ทีวีดาวเทียม (Beijing Satellite TV)

พวกสื่อจีนบอกว่า ถ้าข่าวนี้ได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าถูกต้องแล้ว ความสำเร็จในการดีไซน์ชิปของ เสียวหมี่ ครั้งนี้ ก็จะกลายเป็นหลักหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์หลักหมายหนึ่งสำหรับประเทศจีนทีเดียว เนื่องจากมันจะกลายเป็นชิปขนาด 3 นาโมเมตรชิ้นแรกซึ่งดีไซน์ขึ้นมาได้สำเร็จโดยฝีมือกิจการแห่งหนึ่งของจีน

เวลานี้ยังไม่มีข้อมูลข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับชิปเซตขนาด 3 นาโนเมตรตัวนี้ ไม่ว่าในเรื่อง คลัสเตอร์หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit หรือ CPU cluster), หน่วยประมวลผลกราฟิก (graphic processing unit หรือ GPU) หรือว่าโครงสร้างเชิงสถาปัตยกรรมของมัน

คอลัมนิสต์ทางเทคโนโลยีรายหนึ่งที่กำลังใช้นามปากกาว่า ‘ลุงเปี่ยว’ (Uncle Biao) กล่าว ในข้อเขียนชิ้นหนึ่งซึ่งนำออกเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (21 ต.ค.) ว่า มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่ ชิป 3 นาโนเมตรตัวใหม่ตัวนี้ ได้รับการพัฒนาร่วมกันโดย เสียวหมี่ และ บริษัทมีเดียเทค (MediaTek) ของไต้หวัน และจะได้รับการผลิตในระดับโรงงาน โดยบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co หรือ TSMC)

เว็บไซต์ Wccftech.com ที่เป็นเว็บพวกอุปกรณ์เสริมด้านไอทีซึ่งตั้งฐานอยู่ในสหรัฐฯ บอก  ว่า มีความเป็นไปได้ที่ เสียวหมี่ อาจจะโดนสหรัฐฯแซงก์ชั่นคว่ำบาตร สืบเนื่องจากความสำเร็จในการผ่าทางตันจนดีไซน์ชิประดับ 3 นาโนเมตรออกมาได้เช่นนี้

ข้อเขียนชิ้นนี้กล่าวว่า หาก เสียวหมี่ ทำสำเร็จในการไปจนถึงขั้นตอน Tapeout ชิปเซ็ต 3 นาโนเมตรของตนแล้ว มันย่อมหมายความว่าพวกกิจการอื่นๆ ของจีน ซึ่งรวมทั้ง หัวเว่ย เทคโนโลยี ที่เวลานี้ถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำแซงก์ชั่นอยู่แล้ว ก็สามารถใช้โปรเซสเซอร์ตัวนี้ในอุปกรณ์ของพวกเขาได้เช่นกัน

Wccftech.com เคยรายงานเอาไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมว่า เสียวหมี่ อาจจะเปิดตัวโปรเซสเตอร์ ซิสเตม-ออน-ชิป ของตนได้ภายในครึ่งแรกของปี 2025 โดยชิปตัวนี้จะถูกนำไปผลิตเป็นจำนวนมากๆ ผ่านกระบวนการ N4P ของ TSMC ซึ่งสามารถปรับปรุงยกระดับทั้งเรื่องการทำงานของชิป, การเพิ่มประสิทธิผลในการใช้พลังงานไฟฟ้า, ตลอดจนความหนาแน่นของการจัดเรียงตัวทรานซิสเตอร์บนชิป

มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2022 เป็นต้นมา สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (Bureau of Industry and Security หรือ BIS) ซึ่งสังกัดอยู่กับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งแบนไม่ให้บรรดากิจการทั้งหลายของจีนสามารถเข้าถึงพวกซอฟต์แวร์ดีไซน์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วย (electronic computer-aided design หรือECAD) ของอเมริกา ซึ่งทางฝ่ายทหารและอุตสาหกรรมด้านกลาโหมและด้านการบินและอวกาศของสหรัฐฯ มีการนำไปใช้กันอยู่ในแอปพลิเคชันต่างๆ หลายหลาก เพื่อการดีไซน์แผงวงจรรวมชนิดที่มีความสลับซับซ้อน

พวกนักวิเคราะห์ชาวจีนเคยพูดเอาไว้  ในเวลานั้นว่า มาตรการใหม่ของสหรัฐฯเพื่อควบคุมซอฟต์แวร์ดีไซน์ทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างอัตโนมัติ (electronic design automation หรือ EDA) เช่นนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อจีนอย่างฉับพลันทันที เนื่องจากจีนยังไม่ได้มีการดีไซน์ชิประดับ 3 นาโนเมตร

ต่อมา เกรกอรี แอลเลน (Gregory Allen) ผู้อำนวยการของศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ วัธวานี (Wadhwani AI Center) ที่สังกัดอยู่กับ ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS) องค์การคลังสมองชื่อดังซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ได้ระบุ  เอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2022 ว่า การที่อเมริกามีฐานะครอบงำเหนือตลาดซอฟต์แวร์ EDA คือ การทำให้สหรัฐฯสามารถควบคุมเหนือ 1 ใน 4 จุดสำคัญยิ่งยวดที่กำลังถูกใช้เพื่อบีบเค้นรัดคออุตสาหกรรมดีไซน์ชิปของจีน

ทั้งนี้ จุดสำคัญยิ่งยวดจุดอื่นๆ ยังได้แก่ การที่สหรัฐฯแบนการส่งออกชิปเอไอระดับไฮเอนด์, แบนการส่งเครื่องจักรอุปกรณ์ทำชิป, และแบนการส่งส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปยังจีน

เมนเทอร์ กราฟฟิกส์ (Mentor Graphics), เคเดนซ์ ดีไซน์ ซิสเตมส์ (Cadence Design Systems), และ ซีนอฟซิส (Synopsys) คือ 3 บริษัทชั้นนำในตลาด EDA เซมิคอนดักเตอร์เวลานี้ ทั้ง 3 แห่งต่างตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ และมีลูกจ้างพนักงานจำนวนมากในสหรัฐฯ ถึงแม้ เมนเทอร์ มีฐานะเป็นบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของเครือซีเมนส์ (Siemens) ของเยอรมนี

การเดินทางเป็นเวลา 10 ปี

ไม่มีความชัดเจนว่า เสียวหมี่ สามารถเข้าไปซอฟต์แวร์ EDA อเมริกันได้อย่างไร แต่พวกคอมเมนเตเตอร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เทคโนโลยีการดีไซน์ชิปของบริษัทนี้ หลักๆ แล้วมาจาก มีเดียเทค นั่นเอง

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014 ไพน์คอร์ (Pinecore) กิจการผลิตชิปที่มิได้มีโรงงานทำชิปเป็นของตัวเอง (fabless chipmaker) ซึ่งมีรายงนว่า เสียวหมี่ เข้าไปถือหุ้นอยู่ 51% และ ลีดคอร์ เทคโนโลยี (Leadcore Technology) ถือหุ้น 49% ออกมาแถลง [6] ว่าบริษัทตัดสินใจแล้วที่จะเข้าซื้อหาครอบครองแพกเกจการทำชิป (chip-making package) ซึ่งเรียกกันว่า SDR1860 จากทาง ลีดคอร์ ในราคา 103 ล้านหยวน (ประมาณ 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ลีดคอร์นั้น เป็นกิจการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นโดย ต้าถัง เทเลคอม เทคโนโลยี (Datang Telecom Technology) ของจีน กับ มีเดียเทค

ในปี 2017 เสียวหมี่ เปิดตัวชิปสมาร์ตโฟนตัวแรกของบริษัทที่เรียกกันว่า S1 ซึ่งเป็น ซิสเตม-ออน-ชิป แบบ 8 แกน (octa-core SoC) ชิปตัวนี้ผลิตขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยี 28nm high-performance compact plus (28HPC+) ของ TSMC ซึ่งมีคุณสมบัติที่ถือเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องการทำงานได้อย่างดีมากและกินพลังงานไฟฟ้าต่ำ อย่างไรก็ดี เวลาต่อมากลับค้นพบกันว่า ชิป S1 มีปัญหาร้ายแรงในเรื่องการทำให้เกิดความร้อนออกมามากเกินไป

ในปี 2020 เสียวหมี่ พยายามเปิดตัวชิปเซตอีกตัวหนึ่งที่เรียกกันว่า S2 แต่แล้วชิปตัวนี้ก็ล้มเหลวไม่สามารถบรรลุกระบวนการ tape-out อย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และไม่สามารถนำมาใช้งานได้

เหลย จิว์น (Lei Jun) ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของเสียวหมี่ ครั้งหนึ่งเคยพูดว่า การดีไซน์ชิป เป็นเกมที่มีความเสี่ยงสูงมากว่าหลังจากทุ่มเทเงินลงทุนก้อนมหึมาเข้าไปแล้วมันก็อาจจบลงโดยไม่ให้ดอกผลอะไรเลย

คอลัมนิสต์ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่มณฑลอิ๋ว์นหนาน (ยูนนาน) รายหนึ่ง กล่าว  ในข้อเขียนที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมปีนี้ว่า มันเป็นเรื่องสำคัญระดับเป็นตายสำหรับ เสียวหมี่ ที่จะต้องพัฒนาชิปของตัวเองขึ้นมา ในเมื่อโปรเซสเซอร์ สแนปดรากอน (Snapdragon) ของบริษัทควอลคอมม์ (Qualcomm) แห่งสหรัฐฯ กำลังมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าการเปิดตัวชิป SoC รุ่นใหม่ออกมาให้ได้ในปีหน้า คือความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวของ เสียวหมี่ ในความพยายามที่จะบรรลุถึงการพึ่งตนเองให้ได้

สำหรับ มีเดียเทค ในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทรักษาฐานะของตนเอง  ที่เป็นผู้ผลิตโปรเซสเซอร์สมาร์ตโฟนระดับท็อปเอาไว้ได้ ด้วยส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกที่ 39% โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทจัดส่งชิปออกไปได้ 114 ล้านยูนิต สูงขึ้น 17% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ตามข้อมูลของ คานาลิส (Canalys) บริษัทวิเคราะห์ตลาดเทคโนโลยีระดับโลก

เสียวหมี่, ซัมซุง, และ ออปโป คือลูกค้าที่เป็นผู้สร้างรายรับสูงที่สุดให้แก่ มีเดียเทค ใน 3 อันดับแรก โดยเป็นผู้ที่ มีเดียเทค จัดส่งโปรเซสเซอร์สมาร์ตโฟนไปให้ในปริมาณ 23%, 20%, และ 17% ตามลำดับ

เพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ควอลคอมม์นั้นจัดส่งโปรเซสเซอร์สมาร์ตโฟนในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มมากขึ้น 11% จนมีปริมาณอยู่ที่ 75 ล้านหน่วย โดยที่ 46% ของการขนส่งคือการส่งไปยัง ซัมซุง และ เสียวหมี่

‘อิสราเอล’ เปิดฉากถล่ม!! เป้าหมายทางทหารใน ‘อิหร่าน’ เอาคืน!! ที่อิหร่านโจมตี อิสราเอล ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล

(26 ต.ค. 67) กองทัพอิสราเอลเผย ได้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่านในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านที่โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกลราว 200 ลูก

กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) แถลง เพื่อตอบโต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือนของรัฐบาลอิหร่านต่อรัฐอิสราเอล ตอนนี้กองกำลังป้องกันอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่าน

อิสราเอลบอกว่า ตนมีสิทธิและหน้าที่ในการตอบโต้การโจมตีจากรัฐบาลเตหะรานและพรรคพวก ซึ่งรวมถึงการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิหร่าน

‘ความสามารถในการป้องกันและการรุกของเรา ระดมกำลังอย่างเต็มที่’ ไอดีเอฟ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ขนาดของการโจมตีครั้งนี้ยังไม่มีความแน่ชัดในทันที

สื่อโทรทัศน์รัฐบาลอิหร่าน รายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดรุนแรงหลายครั้งรอบ ๆ เมืองหลวงเตหะราน ขณะที่อีกสื่อรายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดใกล้กับเมืองคาราจ

ส่วนสำนักข่าว Tasnim เผยว่า ยังไม่พบรายงานเกี่ยวกับการได้ยินเสียงระเบิด หรือเครื่องบินบนน่านฟ้าเตหะราน

สื่อโทรทัศน์ของรัฐอ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอิหร่าน บอกว่า ต้นตอของเสียงระเบิดอาจมาจากการเปิดใช้งานระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่าน

ขณะที่สื่อรัฐบาลซีเรีย รายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดในกรุงดามัสกัสและภูมิภาคตอนกลาง

ทั้งนี้ สหรัฐได้รับแจ้งจากอิสราเอลแล้ว ก่อนที่อิสราเอลจะปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายในเตหะราน แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐยืนยันว่า สหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการดังกล่าว

ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า “เราเข้าใจว่าอิสราเอลกำลังปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่าน เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง และตอบโต้ที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธเมื่อวันที่ 1 ต.ค.”

ซัด ‘สื่อตะวันตก’ ขยันปั้นน้ำเป็นตัวด้อยค่าชาวจีน ใส่ร้ายเป็นคนจรจัด ลืมมองสหรัฐฯที่คนนอนข้างถนนเกลื่อนเมือง

(25 ต.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความสะท้อนความจริงของ 2 ประเทศ ระหว่าง จีน และสหรัฐ อเมริกา สะท้อนการบิดเบือนข้อมูลของสื่อฝั่งตะวันตก โดยระบุว่า

สิ่งที่เป็นจริงในสหรัฐอเมริกาและเป็นเท็จในประเทศจีน

สื่อตะวันตกเช่นบีบีซี รายงานข่าวว่า “จีนมีคนจรจัดจำนวนมากนอนอยู่บนถนน” แต่นี่เป็นข่าวปลอม ที่จริงแล้ว เป็นช่วงฤดูร้อน ภาพที่เห็นนั้น เป็นนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังรอร่วมพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา พากันพักผ่อนตามบริเวณโดยรอบจัตุรัสเทียนอันเหมินของกรุงปักกิ่ง 

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างเมือง ที่ไม่อยากพลาดเวลาเชิญธงขึ้นเสา ซึ่งจะทำตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโพสต์ข้อความว่า “ฉันมาถึงประมาณตี 1 แต่เกือบไม่มีที่ว่างแล้ว”

ขณะเดียวกัน ในสหรัฐ อเมริกา ซึ่งมีบรรดาคนจรจัดที่กินนอนบนถนนในเวลากลางวันเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้ยังมีผู้ติดยาที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เดินช้าๆ อยู่บนถนน เหมือนกับ 'ซอมบี้' อีกจำนวนมาก นี่คือชีวิตประจำวันที่แท้จริงบนถนนเคนซิงตัน (Kensington) ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏภาพออกมาตั้งแต่ปี 2021

“คนจรจัดในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนมาก” เป็นเรื่องจริง

“คนจรจัดในจีนมีจำนวนมากเป็นเรื่องไม่จริง หรือเรื่องโกหกทั้งเพ”

‘TSMC’ ผู้ผลิตชิปรายยักษ์ตัดสัมพันธ์ลูกค้า ฝ่าฝืนกฎ หลังพบแอบส่งชิปให้ ‘Huawei’

(25 ต.ค. 67) บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. หรือ TSMC ค้นพบในเดือนนี้ว่าชิปที่ผลิตให้กับลูกค้ารายหนึ่งนั้นไปลงเอยที่ Huawei Technologies ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มุ่งหมายจะตัดเส้นทางการผลิตเทคโนโลยีไปยังบริษัทสัญชาติจีน

TSMC ได้ระงับการจัดส่งให้กับลูกค้ารายดังกล่าวในช่วงกลางเดือนตุลาคม หลังจากที่บริษัทได้ตระหนักว่าเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตขึ้นสำหรับบริษัทดังกล่าวได้เข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Huawei บุคคลผู้มีความรู้โดยตรงในเรื่องนี้กล่าว หลังจากนั้น ผู้ผลิตชิปรายดังกล่าวได้แจ้งให้รัฐบาลสหรัฐฯ และไต้หวันทราบแล้ว และกำลังสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น โดยบุคคลผู้นี้ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน

ยังไม่ชัดเจนว่าลูกค้าของ TSMC ดำเนินการในนามของ Huawei หรือไม่ หรือบริษัทตั้งอยู่ที่ใด แต่เหตุการณ์นี้ทำให้รายงานที่เผยแพร่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รวมทั้งจาก The Information เปิดเผยว่าวอชิงตันได้ติดต่อ TSMC เมื่อไม่นานนี้ว่าบริษัทได้ผลิตชิปให้กับบริษัทจีนที่อยู่ในบัญชีดำหรือไม่

การค้นพบของ TSMC ทำให้เกิดคำถามว่า Huawei ซึ่งถือเป็นความหวังสูงสุดของจีนในการก้าวขึ้นสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ได้ชิปขั้นสูงมาได้อย่างไร บริษัทวิจัย TechInsights ค้นพบเมื่อไม่นานนี้ว่าเซิร์ฟเวอร์ปัญญาประดิษฐ์ล่าสุดของ Huawei มีโปรเซสเซอร์ที่ผลิตโดย TSMC ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการผลิตที่สำคัญที่สุดของ Nvidia

Huawei อยู่ในรายชื่อคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2020 และถูกห้ามทำธุรกิจกับ TSMC และบริษัทผู้ผลิตชิปรายอื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา Huawei ได้พึ่งพา Semiconductor Manufacturing International Corp. ซึ่งเป็นพันธมิตรในพื้นที่ในการผลิตชิป ซึ่งรวมถึงชิปขนาด 7 นาโนเมตรที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วในสมาร์ทโฟนของ Huawei

แต่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ได้ตั้งคำถามถึงความสามารถของ SMIC ในการผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตรในปริมาณมาก การที่ Huawei ใช้เอาต์พุตของ TSMC สำหรับชิป AI รุ่นล่าสุดอาจเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำเรื่องราวดังกล่าว บริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติไต้หวันได้กล่าวว่าได้หยุดส่งสินค้าทั้งหมดให้กับ Huawei หลังจากวันที่ 15 กันยายน 2020 ซึ่งบริษัทได้ย้ำอีกครั้งเมื่อถูกถามเกี่ยวกับรายงานของ TechInsights

ตัวแทนของ TSMC ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุด โฆษกของ Huawei ยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ เมื่อได้รับการติดต่อ โฆษกของกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าสำนักงานอุตสาหกรรมและความปลอดภัยของหน่วยงาน "รับทราบถึงการรายงานที่กล่าวหาว่าอาจละเมิดการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ"

"TSMC เป็นบริษัทที่เคารพกฎหมาย และเรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงการควบคุมการส่งออกที่เกี่ยวข้อง" บริษัทกล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมลเมื่อวันอังคาร "เราได้สื่อสารกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ อย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องในรายงาน เราไม่ทราบว่า TSMC ตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวนใดๆ ในขณะนี้"

ในแถลงการณ์แยกกัน Huawei กล่าวเมื่อวันอังคารว่า "ไม่ได้ผลิตชิปใด ๆ ผ่าน TSMC หลังจากนำการแก้ไขที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ จัดทำขึ้นใน FDPR ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่ Huawei ในปี 2020 มาใช้" FDPR อ้างถึงกฎสินค้าโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อจำกัดการค้าของสหรัฐฯ

John Moolenaar สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรจีน กล่าวเมื่อวันพุธว่า รายงานเกี่ยวกับชิปที่ TSMC ผลิตในอุปกรณ์ของ Huawei "แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างร้ายแรงของนโยบายควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ" เขาเรียกร้องให้ "ทั้ง BIS และ TSMC ตอบกลับทันทีเกี่ยวกับขอบเขตและปริมาณของภัยพิบัติครั้งนี้"

ไต้หวันเคารพมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ และจะแจ้งเรื่องนี้ให้ TSMC ทราบโดยสมบูรณ์ J.W. Kuo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจกล่าวกับนักข่าวเมื่อวันพุธ

เจ้าหน้าที่ BIS ได้พบกับผู้บริหารของ TSMC เมื่อกลางเดือนตุลาคมเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตชิป รวมถึงการที่ผู้จัดจำหน่ายบุคคลที่สามอาจให้เทคโนโลยีที่จำกัดการเข้าถึงจีนได้หรือไม่ ตามคำบอกเล่าของบุคคลอีกคนที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ ซึ่งอธิบายว่าการประชุมครั้งนั้นเป็นการร่วมมือกัน ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาพูดถึงการค้นพบของลูกค้าหรือไม่

ตัวเร่งความเร็ว AI ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในการพัฒนาโมเดล AI ได้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

Nvidia ซึ่งตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้ TSMC ในการผลิตเวอร์ชันที่เป็นผู้นำตลาด ซึ่งผลักดันยอดขายและมูลค่าของบริษัทในช่วงสองปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป Nvidia ที่ทันสมัยไปยังจีน และ Huawei กำลังเสนอตัวเร่งความเร็วเป็นทางเลือกในประเทศ

910 ของ Huawei ซึ่งเป็นรุ่นก่อน 910B เริ่มผลิตในปี 2019 ก่อนที่ 910B จะออกสู่ตลาด รัฐบาลสหรัฐฯ ขยายมาตรการคว่ำบาตรบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน โดยในช่วงเวลาดังกล่าว Huawei ได้จัดเก็บชิ้นส่วนของ TSMC ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัทสามารถใช้ชิป TSMC ขนาด 5 นาโนเมตร ซึ่งล้ำหน้าชิปขนาด 7 นาโนเมตรถึงเจเนอเรชันในแล็ปท็อปที่วางจำหน่ายเมื่อปลายปีที่แล้ว

‘โตเกียว เมโทร’ ทำ IPO สูงที่สุดในรอบ 6 ปี ระดมทุนกอบกู้ภัยพิบัติจากสึนามิของ ‘ญี่ปุ่น’

(25 ต.ค. 67) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Tokyo Metro ได้เริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงจากผู้ให้บริการสาธารณะไปสู่ตั๋วร้อนสำหรับนักลงทุน โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 45% ในวันแรกที่เปิดตัวบนส่วน Prime ของตลาดหลักทรัพย์หลักของญี่ปุ่น

ผู้ให้บริการระบบรถไฟใต้ดินที่มีอายุเก่าแก่ถึง 104 ปีของกรุงโตเกียวแห่งนี้ ตั้งเป้าที่จะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตนในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเมืองที่มีประชากร 14 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางสำคัญของการท่องเที่ยวขาเข้า ศูนย์กลางการเงินระดับโลก และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เฟื่องฟู

หุ้นปิดการซื้อขายวันแรกที่ 1,739 เยน สูงขึ้น 45% จากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 1,200 เยน หลังจากเปิดที่ 1,630 เยนบนส่วน Prime ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
ราคาเสนอขายทำให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 697,200 ล้านเยน (4,600 ล้านดอลลาร์) แต่การพุ่งขึ้นในวันพุธทำให้มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.01 ล้านล้านเยน ในช่วงหนึ่งวัน ราคาหุ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,768 เยน

ราคาหุ้นครั้งแรก 'สูงกว่าที่คาดไว้' นายชินโง อิเดะ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านหุ้นของสถาบันวิจัยเอ็นแอลไอกล่าวหลังจากเปิดการซื้อขาย "ราคาหุ้นอ่อนตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ความต้องการหุ้นเมโทรเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรที่มั่นคง"

ราคาหุ้นโตเกียวเมโทรอาจร่วงลงมาเหลือประมาณ 1,500 เยนในที่สุด เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 2% นายอิเดะกล่าว อัตราผลตอบแทนที่ราคาเสนอขายครั้งแรกจะอยู่ที่ 3.3%

การซื้อขายในช่วงเช้า "เริ่มต้นได้ดี เนื่องจากเราเห็นความต้องการซื้อในระดับหนึ่ง" นายโทโมอิจิโร คูโบตะ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจากบริษัท Matsui Securities กล่าว บริษัท Tokyo Metro เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุดในกลุ่ม Prime ในวันนี้ โดยมี "นักลงทุนรายย่อยหลากหลายกลุ่ม" ที่ลงทุนทั้งในระยะยาวและระยะสั้นเข้าร่วมด้วย เขากล่าว

IPO ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ โดยการเปิดบัญชีกับบริษัท Matsui Securities เพิ่มขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคม ในขณะที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มากขึ้นระมัดระวังในการใช้เงินของตนในขณะที่รอผลการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่น แต่ความสนใจจากนักลงทุนรายใหม่ "เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกไม่กี่ประการ" สำหรับตลาดหุ้น คูโบตะกล่าว

ไม่มีการระดมทุนใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกมีขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถขายหุ้นที่ถืออยู่ 53% ในบริษัทผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินได้ครึ่งหนึ่ง และชำระหนี้คืนสำหรับการก่อสร้างบางส่วนของประเทศหลังจากภัยพิบัติสึนามิในปี 2011

รัฐบาลกรุงโตเกียวเป็นเจ้าของหุ้น 47% ที่เหลือ การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกได้ลดหุ้นที่รัฐบาลกลางและกรุงโตเกียวถืออยู่เหลือ 50% และหุ้นที่เหลืออีก 50% จะถูกขายออกไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกนี้ "สร้างรากฐานสำหรับการปฏิรูปองค์กรต่อไป" นายอาคิโยชิ ยามามูระ ประธานบริษัทโตเกียวเมโทรกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังตลาดปิด "การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกนี้จะช่วยเพิ่มความเป็นอิสระและความโปร่งใสในการบริหารจัดการบริษัท และเร่งความเร็วในการตัดสินใจ"

เมื่อถูกถามว่าราคาเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกต่ำเกินไปหรือไม่ ยามามูระปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่การจดทะเบียนของ SoftBank Corp. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมภายในประเทศของ SoftBank Group ในปี 2018 และเป็นโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ของ Japan Post ในปี 2015

เดิมทีมีกำหนดเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในช่วงฤดูร้อน ตามรายงานของ Nikkei ในเดือนพฤษภาคม แต่ดูเหมือนว่าจะถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากตลาดเกิดความปั่นป่วนหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ในเดือนสิงหาคม Nikkei รายงานว่า IPO จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยวันที่จดทะเบียนในวันที่ 23 ตุลาคมได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 21 กันยายน

แต่ความผันผวนของตลาดกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ Shigeru Ishiba ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ตลาดได้รับผลกระทบจากความกลัวว่าพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของ Ishiba จะประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ตุลาคม

Tokyo Metro ยังคงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนในฐานะผู้ประกอบการโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง

"Tokyo Metro มีฐานรายได้ที่มั่นคงซึ่งสามารถต้านทานภาวะเศรษฐกิจได้" Yusuke Maeyama นักวิเคราะห์จาก NLI Research Institute กล่าว "ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่มีเสถียรภาพจะน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ"

ในปีงบประมาณ 2020 บริษัทประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากภาวะฉุกเฉินที่เกิดจาก COVID และการปิดทำการทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม นับจากนั้นมา การที่พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศในญี่ปุ่นได้ดำเนินไปพร้อมๆ กับที่การท่องเที่ยวขาเข้าเติบโตจนเกินระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารโดยรวมอยู่ที่ 95% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19

โตเกียวเมโทรกำลังขยายขอบเขตการดำเนินงานไปสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกโดยใช้ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเป็นเจ้าของตามเส้นทางรถไฟใต้ดิน บริษัทมีอัตรากำไรสูงสำหรับผู้ประกอบการรถไฟ

สำหรับปีสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 บริษัทคาดการณ์อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 21.6% โดยมีกำไรสุทธิ 52,300 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน และรายได้ 407,500 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 4.7%

“อารมณ์ของตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในขณะนี้ เนื่องจากความผันผวนของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ” Maeyama กล่าว“

“แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องการรับเงินปันผลเป็นประจำ Tokyo Metro ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ”

Tokyo Metro ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 แต่บริษัท Tokyo Underground Railway Company ซึ่งเป็นบริษัทก่อนหน้าก่อตั้งขึ้นในปี 1920 ปัจจุบัน บริษัทผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินแห่งนี้มีเส้นทางทั้งหมด 9 สาย รวมระยะทาง 195 กิโลเมตร ขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยวันละประมาณ 6.5 ล้านคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top