Wednesday, 19 March 2025
WORLD

'สื่อญี่ปุ่น' ยก!! 'ปู่วัยเก๋า' ใฝ่เรียนรู้ สร้างเงินระดับร้อยล้านจากการลงทุน สะท้อนภาพพฤติกรรมคนญี่ปุ่นที่ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนเองอยู่เสมอ

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าวอาซาฮี รายงานเรื่องราวของยอดคุณปู่นักลงทุน ‘ชิเงรุ ฟูจิโมโตะ’ อายุ 88 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของจังหวัดเฮียวโงะ โดยคุณปู่ชิเงรุ ยึดถืออาชีพพ่อค้า และไม่เคยหยุดพักในการทำงาน แม้ชีวิตหลังเกษียณ ก็ยังเป็น ‘วันทำงาน’ ของปู่ จะเริ่มต้นในเวลา 02.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังนอนหลับอยู่

คุณปู่จะเริ่มต้นการลงทุนในแต่ละวัน ด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายร่างกาย ก่อนที่จะชงกาแฟและเปิดจอคอมพิวเตอร์ 3 จอ เพื่อดูข้อมูลการซื้อขายในตลาด ทั้งตลาดหุ้นยุโรป อเมริกา 

นอกจากนี้ คุณปู่ ชิเงรุ ยังได้อ่านหนังสือพิมพ์และเอกสารเกี่ยวกับผลประกอบการ หรืองบการเงิน ของบริษัทที่ตนเองสนใจการลงทุนอีกด้วย โดยคุณปู่ชิเงรุ ใช้ข้อมูลนี้เพื่อคาดการณ์ทิศทางโดยรวมของตลาดญี่ปุ่นและจำกัดขอบเขตว่าเขาจะซื้อขายหุ้นที่คาดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน

“วันนี้ตลาดจะเป็นตลาดหมี” คุณปู่ชิเงรุกล่าวหลังจากที่ดูข้อมูลภาพรวมตลาดทั้งหมด

เมื่อตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเปิดทำการในเวลา 9.00 น. ได้มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นติดต่อกัน เพื่อแจ้งว่าได้ปิดการซื้อขายหุ้นที่บริษัท Fujimoto ได้ส่งคำสั่งขายไว้เพื่อคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น

จอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์แสดงให้เห็นว่า แต่ละข้อตกลงมีกำไรเป็นตัวเลขหกหลักเป็นเงินเยน (สี่หลักเป็นเงินดอลลาร์)

“ฉันยุ่งที่สุดระหว่าง 9.00 ถึง 10.00 น.” คุณปู่ฟูจิโมโตะบ่นขณะที่เขาใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวพิมพ์แป้นพิมพ์เพื่อสั่งงาน ซึ่งมีหลายครั้งที่คุณปู่ชิเงรุพิมพ์ผิด และบนหน้าจอปรากฏตัวอักษรคำว่า ‘Error’

“คงจะแย่มากหากผมสับสนระหว่างคำสั่งซื้อกับการขาย” เขากล่าวขณะเพ่งมองจอคอมพิวเตอร์และแป้นพิมพ์ “อันที่จริง ผมทำอย่างนั้นบ้างเป็นครั้งคราว”

>> ‘วอเรน บัฟเฟตต์’ ไอดอลการลงทุนของปู่ชิเงรุ

แม้ว่าในแต่ละวัน คุณปู่ฟูจิโมโตะจะมีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นมากมาย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะจดบันทึกรายการธุรกรรมของเขาไว้ในสมุดบันทึกที่ถืออยู่

“เห็นไหมว่าหลายอย่างน้อยก็ทำให้มีปริมาณมากได้” เขากล่าว

จำนวนทรัพย์สินที่เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณปู่ ซึ่งได้สะสมไว้สูงถึง 2 พันล้านเยน (12.6 ล้านดอลลาร์) หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 425,124,000 บาท ในปีนี้เป็นครั้งแรกที่แตะ 2 พันล้านเยน และยังคงสร้างสถิติใหม่เพิ่มขึ้นต่อไป

ฟูจิโมโตะกล่าวว่า “ผมหวังว่าจะเพิ่มตัวเลขอีกหลักหนึ่งเข้าไปได้ เป้าหมายของผมคือ (นักลงทุนชื่อดังของสหรัฐฯ) วอร์เรน บัฟเฟตต์” คุณปู่ชิเงรุ กล่าวถึงไอดอลในดวงใจของการลงทุน

นอกจากนี้คุณปู่ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าเขาจะมีเป้าหมายเป็นตัวเลข แต่เขาไม่มีความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราด้วยรายได้ที่เขาได้รับ

เมื่อฟังดูแล้วสินทรัพย์ที่มีตรงกันข้ามกับการใช้ชีวิตของคุณปู่ฟูจิโมโตะอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากคุณปู่ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ หรือกระทั่งรถยนต์ โดยเสื้อผ้าที่ใส่ยังคงเป็นเสื้อผ้าเดิม ๆ เก่าสีซีดตามสภาพ มีรอยยับบนเสื้อบ้างเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเสื้อผ้ายี่ห้อหรูหราราคาแพง หรือเป็นสินค้าแบรนด์เนมแต่อย่างใด

ล่าสุดที่คุณปู่ใช้เงินคือการซื้อหมวกใบโปรดซึ่งมีมูลค่าหลายพันเยนเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว และคุณปู่ก็ยังคงสวมหมวกใบนั้นต่อไป โดยภรรยาของเขาเป็นคนซ่อมมันตรงส่วนที่ชำรุด 

>>ความชรา และ สุขภาพที่เสื่อมโทรมลง

คุณปู่ ชิเงรุ ฟูจิโมโตะ มักจะออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยการเดินเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแรง แต่ก็ยังมีสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ คือความชรา โดยคุณปู่มักมีอาการปวดหลังส่วนก้นกบ ซึ่งกำเริบขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้คุณปู่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน แม้เพียงระยะทางสั้น เพื่อไปห้องน้ำ

แต่ความเสื่อมของสังขารที่เกิดขึ้นกับคุณปู่ยังไม่จบลงที่เพียงแค่อาการปวดหลัง เพราะมีภาวะสมองขาดเลือดเป็นครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบการใช้ชีวิตของคุณปู่มากกว่า ทำให้ไม่สามารถจดบันทึกรายการธุรกรรมในสมุดบันทึกได้รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

และยิ่งแย่กว่านั้น คือปัญหาการมองเห็นเมื่อประสาทตาเสื่อม ทำให้คุณปู่ต้องใช้แว่นขยายในการดูจอคอมพิวเตอร์ เมื่อตาของคุณปู่เมื่อยล้าเกินกว่าจะมองเห็นตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามคุณปู่ ฟูจิโมโตะ ยอมรับว่าการเสื่อมถอยทางร่างกายของเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามวัย แต่ถึงกระนั้น คุณปู่ก็ยังคงมองโลกในแง่บวก

“ผมคงทำธุรกรรมได้มากขึ้น หากเรียนรู้วิธีเขียนชวเลขเพื่อจะได้จดบันทึกได้เร็วขึ้น และสไตล์การซื้อขายของผมยังคงพัฒนาต่อไป แม้ว่าผมจะอ่อนแอลงก็ตาม ผมให้คะแนนตัวเองเพียง 75 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100) ” คุณปู่ชิเงรุ กล่าวอย่างอารมณ์ดี

>>การลงทุน เส้นบาง ๆ คั่นกลาง ระหว่างการเสี่ยงโชค กับ แรงบันดาลใจ

คุณปู่ฟูจิโมโตะใช้ชีวิตโดยยึดหลักปรัชญาว่า “คุณควรเสี่ยง แม้จะเสี่ยงต่อความล้มเหลวก็ตาม เมื่อบางสิ่งบางอย่างทำให้คุณคิดว่า ‘นี่แหละใช่แล้ว’ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม”

คุณปู่ฟูจิโมโตะ เล่าให้ฟังว่าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 19 ปีหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย โดยคุณปู่เรียนรู้การลงทุนจากลูกค้าของร้านขายสัตว์เลี้ยง ที่เขาเริ่มทำงาน โดยแนะนำและให้คำปรึกษาในการเริ่มลงทุน

ต่อมาเมื่อมีเงินเพิ่มมากขึ้น คุณปู่ได้ลงทุนเปิดกิจการร้านเล่นไพ่นกกระจอก หลังจากที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ” และต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการและความบันเทิง โดยได้ลงทุนเปิดร้านเหล้า เมื่อร้านเหล้าเจริญรุ่งเรือง โดยขยายสาขาร้านเหล้าได้ถึงสามแห่ง และสามารถทำกำไรได้ดี คุณปู่จึงขายธุรกิจให้ผู้รับช่วงต่อในราคา 65 ล้านเยน

คุณปู่ชิเงรุ ใช้เงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมด หลังจากขายกิจการออกไป โดยมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวในปี 2529 โดยสร้างผลตอบแทนการลงทุนอย่างมากในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเฟื่องฟูในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ทำให้สินทรัพย์ของคุณปู่ชิเงรุเพิ่มมากขึ้นถึง 1 พันล้านเยน

แม้ว่าต่อมา จะเกิดวิกฤติ ‘ฟองสบู่’ ทางเศรษฐกิจแตก ทำให้ทรัพย์สินของคุณปู่ชิเงรุ ลดลงเหลือ 200 ล้านเยน แต่การจำกัดความเสี่ยงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ทำให้ไม่ล้มละลายจากการลงทุน

ชีวิตของคุณปู่ชิเงรุ ยังคงเจอวิบากกรรมอื่น ๆ เข้ามาซ้ำเติมอีก โดยได้รับผลกระทบเพิ่มเติม จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชินเมื่อปี พ.ศ. 2538 ซึ่งทำให้ทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของคุณปู่พังเสียหาย โดยคุณปู่หนีจากแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนไหล่ และเดินเท้าเปล่าบนถนนที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว ซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทำให้คุณปู่เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง และห่างเหินจากการลงทุนเพราะการใช้ชีวิตในตอนนั้น เหมือนผู้อพยพไร้ที่พึ่งที่ต้องซุกตัวอยู่ในอาคารเรียนประถมศึกษา

>>เรียนรู้การลงทุนแบบออนไลน์ในวัยเกษียณ

จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อคุณปู่ฟูจิโมโตะ ได้รู้จักกับโลกของการซื้อขายหุ้นออนไลน์ในปี 2002

ก่อนหน้านี้ คุณปู่ใช้วิธีส่งคำสั่งซื้อและขายได้เฉพาะทางโทรศัพท์บ้านหรือการซื้อขายผ่านเคาน์เตอร์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา บริษัทได้แจ้งกับคุณปู่ว่า บริษัทนายหน้าซื้อขายหุ้นแห่งหนึ่งซึ่งคุณปู่ชิเงรุคุ้นเคยมานาน กำลังเริ่มให้บริการซื้อขายออนไลน์

ซึ่งคุณปู่ฟูจิโมโตะ ในขณะนั้นอายุ 66 ปี และไม่เคยจับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ก็พร้อมที่จะเรียนรู้ และไม่หวั่นไหวกับรูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนไป

“วิธีนี้จะสะดวกมาก และค่าคอมมิชชันก็ต่ำมาก ซึ่งผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองวิธีนี้ดู” คุณปู่กล่าว

หลังจากที่รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไป คุณปู่ฟูจิโมโตะ ไม่รีรอที่จะไปร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และค่อย ๆ เรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งนำเขาไปสู่การลงทุนในยุคปัจจุบันนี้

“การระมัดระวังและคิดกับตัวเองว่า ‘โอ้ ดูดีจังเลย’ เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะอะไรน่ะเหรอ ศูนย์คูณศูนย์ก็เท่ากับศูนย์ โลกของคุณช่างเล็กเหลือเกิน มีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่คุณไม่รู้ อายุไม่สำคัญเมื่อคุณเริ่มลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ” คุณปู่ชิเงรุ กล่าวอย่างกระตือรือร้น

แน่นอนว่าวิธีการของคุณปู่ในตอนนั้น ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดและล้มเหลวในที่สุดหลังสูญเสียเงินลงทุนครั้งใหญ่ในการซื้อขายหุ้น

คุณปู่ฟูจิโมโตะเล่าว่า โดยยกสำนวนภาษาญี่ปุ่นที่ว่า “ผมสะดุดไม่ใช่แค่เจ็ดครั้ง แต่ประมาณ 50 ครั้ง” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “สะดุดเจ็ดครั้ง แต่สามารถฟื้นตัวได้แปดครั้ง.....แต่ผมมักจะสาปแช่งตัวเองอยู่เสมอ โดยเชื่อว่าผมไม่ควรตำหนิผู้อื่น การครุ่นคิดมากเกินไปนั้นไม่ดี เพราะการทำเช่นนี้จะทำเหมือนการตอกย้ำความผิดพลาด และทำให้เสียโอกาสที่จะลงทุนครั้งต่อไป”

มาถึงจุดนี้ คุณปู่ฟูจิโมโตะ ยืนยันว่า "การซื้อขายหุ้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่หวังจะหาเงินง่าย ๆ"

“เมื่อคุณซื้อหุ้นแล้ว หุ้นเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเพื่อนของคุณ ดังนั้นคุณต้องคอยดูแลหุ้นเหล่านั้นเหมือนดูแลเพื่อนคุณตลอดเวลา คุณต้องค้นหาหุ้นเหล่านั้นทุกวัน ศึกษาหุ้นเหล่านั้น และเป็นพี่น้องกับหุ้นเหล่านั้น” คุณปู่กล่าว

แต่ก็ใช่ว่าความจริงจะสามารถทำได้ เพราะคำพูดมันง่าย แต่ทำจริงมันยาก

ความมุ่งมั่นของคุณปู่ มีมากกว่าอาการเจ็บป่วยและความชราจะเข้ามาบั่นทอนได้ แม้ว่าต้องทนเจ็บปวดจากกระดูกสันหลังส่วนล่าง แต่คุณปู่ฟูจิโมโตะ ยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน เพื่ออ่านและศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เมื่อใดก็ตามที่มีข่าวสำคัญ เขาจะคาดการณ์ปฏิกิริยาของนักลงทุนรายอื่นต่อปัจจัยดังกล่าว และพยายามคาดเดาปฏิกิริยาเหล่านั้น

จากประสบการณ์และความคิดของเขาถูกสะสมขึ้นทุกวัน แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่คุณปู่ชิเงรุคาดการณ์จะถูกต้องเสมอไป ความผิดพลาดยังเกิดขึ้นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่คุณปู่ฟูจิโมโตะยังคงยิ้มรับสิ่งที่เกิดขึ้น และกล่าวว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากและเสน่ห์ของการซื้อขายรายวัน"

นักข่าวของ อาซาฮี ชิมบุน ที่ยังคงรู้สึกประทับใจกับความกระตือรือร้นของคุณปู่ ฟูจิโมโตะ ตลอดการให้สัมภาษณ์เพื่อเผยแพร่บทความนี้ ซึ่งนักข่าวได้ถามคำถาม 2-3 คำถามในตอนท้ายของการสัมภาษณ์

ข้อความบางส่วนจากการแลกเปลี่ยนได้แก่

นักข่าว : เงินหมายถึงอะไรสำหรับคุณ?

ฟูจิโมโตะ : เงินไม่ใช่สิ่งน่ารำคาญ แต่ผมไม่ได้ต้องการมันมากนัก อย่างไรก็ตาม เงินทำให้คุณต้องใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง กว่าจะเลือกลงทุนได้ ผมไม่เชื่อคำพูดของนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ‘หุ้นของรุ่นนี้จะขึ้น’ ทางทีวีและในหนังสือพิมพ์ เพราะพวกเขาเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนที่พูดแบบนั้น โดยไม่ได้ใช้เงินของตัวเอง ผมต้องรวบรวมความกล้า แม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อผมควักเงินของตัวเองออกมาใช้ เมื่อผมแพ้เกม ผมจะพูดกับตัวเองว่า “ช่างหัวมันเถอะ” และตั้งใจเรียนอย่างหนักด้วยความสำนึกผิด มันสนุกมากเมื่อเศรษฐกิจและราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปตามที่คาดไว้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงหยุดทำแบบนี้ไม่ได้

นักข่าว:คุณกำลังคิดเรื่องการเกษียณหรือไม่?

ฟูจิโมโตะ : ผมจะเกษียณจากการลงทุนก็ต่อเมื่อผมตาย ตอนนี้ผมให้คะแนนชีวิตตัวเองอยู่ที่ 75 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100) ผมพยายามสงบสติอารมณ์และฝึกฝนทักษะการซื้อขายทุกวัน ผมจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาจิตวิญญาณ เทคนิค และสมรรถภาพทางกายให้สมบูรณ์แบบต่อไป และชีวิตของผมอาจดีขึ้นถึง 90 หรือ 100 คะแนน ซึ่งนั่นคงเป็นเวลาที่ผมกำลังจะจากโลกนี้ไป (หัวเราะ)

"โอ้ ดวงวิญญาณที่ทุกข์ระทม จงมองดูฉัน ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นสิ่งใดๆ การเดินทางไกลนับพันไมล์เริ่มต้นด้วยไมล์เดียว คุณควรใช้ชีวิตโดยไม่ต้องครุ่นคิด!"

ทั้งนี้ คุณปู่ชิเงรุ ฟูจิโมโตะ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1936 เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องสี่คนของครอบครัวเกษตรกรในจังหวัดเฮียวโงะ โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 19 ปี โดยเน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวโน้มราคาหุ้นในอดีตเพื่อคาดการณ์ความเคลื่อนไหวในอนาคต จนมีความเชี่ยวชาญในการอ่านภาพบริษัทและทิศทางการลงทุน ขณะที่งานอดิเรกของคุณปู่คือการปีนเขา และมีงานอดิเรกคือการได้พูดคุย และเล่นกับนกแก้วตัวโปรดที่คุณปู่เลี้ยงไว้

นอกจากนี้ คุณปู่ฟูจิโมโตะ ยังได้ตีพิมพ์หนังสือภาษาญี่ปุ่นเรื่อง ‘คำสอนของชิเงรุซัง เทรดเดอร์วัย 87 ปี’ จากบริษัท Diamond Inc. ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 2566

'ผลสำรวจ' ชี้!! 'มะกัน' ยังเชื่อมั่นใน ‘ทรัมป์’ แม้ ‘กมลา’ ดีเบตได้ดีกว่า แต่ผิดหวัง!! ทั้งคู่ยังพูดถึง 'แผน-นโยบาย' พัฒนาประเทศได้ไม่ชัดนัก

(12 ก.ย. 67) หลังการดีเบตยกแรกของ ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ผู้สื่อข่าวพีพีทีวีในสหรัฐฯ ได้สำรวจความเห็นประชาชนในวอชิงตันดีซีและรัฐแมรีแลนด์ พบชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในตัว ‘ทรัมป์’ มากกว่า

จากการลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนหลังการดีเบตครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 67 ชาวอเมริกันมองว่า พวกเขาต้องการแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากกว่าการโต้เถียงเรื่องอื่น ๆ

ด้านผลโพลล่าสุดชี้ การดีเบตในครั้งนี้ ‘กมลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างอดีตประธานาธิบดี ‘โดนัล ทรัมป์’ แต่หากเจาะลึกความเชื่อมั่นแล้ว ชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของทรัมป์มากกว่า

การพบกันครั้งแรกในศึกดีเบตระหว่างแฮร์ริสจากพรรค ‘เดโมแครต’ และทรัมป์จากพรรค ‘รีพับลิกัน’ ทั้งสองได้แสดงวิสัยทัศน์ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องภาษี สิทธิการทำแท้งในผู้หญิง และบทบาทของสหรัฐฯ ในด้านการต่างประเทศ จุดยืนในการช่วยเหลือสงครามในตะวันออกกลางหรือสงครามยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการจัดการแนวชายแดน และแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทรัมป์เลือกที่จะโจมตีแฮร์ริส ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในตอนนี้และรับผิดชอบโดยตรงแต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ด้านนางกมลาก็หันไปโจมตี โดนัล ทรัมป์กลับ ว่าเป็นผู้ที่มีคดีความติดตัวและโกหก

จากการลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนในกรุงวอชิงตันดีซีและรัฐแมรีแลนด์ พบว่า ชาวอเมริกันต้องการเห็นแผนการบริหารงานที่ชัดเจน มากกว่าการโจมตีกัน 

ไมค์ ซี จากรัฐแมรีแลนด์ กล่าวว่า การดีเบตครั้งนี้ มองโดยรวมแล้วไม่สามารถโน้มน้าวให้เปลี่ยนการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. 67 นี้ได้ เพราะต่างคนต่างเลี่ยงตอบคำถามและไม่มีแผน หรือแนวทางที่ชัดเจน

ไมค์ ซี ชาวอเมริกัน บอกว่า “ผมคาดหวังให้ทั้งคู่พูดถึงแผนการ และนโยบายให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะพวกเขาไม่ได้ตอบคำถามมากนัก หรือให้ข้อมูลตามจริงในสิ่งที่พวกเขาวางไว้”

ก่อนจะเสริมว่า “ผมไม่คิดว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้สามารถเปลี่ยนผลการลงคะแนนเลือกตั้งของใครได้”

ด้านลูเซียร์ วัย 29 ปี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาเที่ยวที่กรุงวอชิงตัน ดีซี มองว่า การดีเบตครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมีแต่การโจมตีกันเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนตัวเธอมองว่า การดีเบตมุ่งแต่ถกเถียงเรื่องการต่างประเทศ โดยไม่ได้มีแผนในการดำเนินงาน หรือแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ

ลูเซียร์บอกว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาโฟกัสปัญหาต่างประเทศ และอภิปรายแผนแบบนามธรรม ฉันอยากรู้แผนการพัฒนาด้านประกันสุขภาพ หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับรุ่นลูก ฉันยังไม่เห็นแผนการพัฒนาประเทศในการดีเบต”

สอดคล้องกับผลการสำรวจจาก ‘CNN Polls’ ในผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เข้ารับการลงทะเบียนชมการถ่ายทอดสดศึกดีเบต ระหว่าง ทรัมป์และแฮริส ได้มองว่า หากเลือกถึงผลงานการอภิปรายบนเวทีดีเบต กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี จากเดโมแครต ทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ ถึง 63% โดยหลังจากนั้น ทีมหาเสียงของแฮร์ริสได้เรียกร้องให้มีการจัดดีเบตผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ทรัมป์ปฏิเสธและอ้างว่า การดีเบตครั้งนี้เป็นชัยชนะของเขา 

ศึกดีเบตที่มีหัวข้อที่โจมตีทั้งสองฝ่าย โดยทรัมป์เลือกเลี่ยงตอบคำถามในหลายประเด็น ขณะที่แฮร์ริสเลือกที่จะตอบคำถามอย่างมั่นใจมากกว่า หากแตกประเด็นลงไปดูการสำรวจความเชื่อมั่นด้านการแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ แล้วนั้น ด้านปัญหาการป้องกันชายแดนและแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย  ทรัมป์ยังเอาชนะแฮร์ริสได้กว่า 56%

รวมถึงประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่า ทางด้านแฮร์ริส ได้รับความเชื่อมั่นในด้านการปกป้องประชาธิปไตย และการดูแลสิทธิสตรีให้เข้าถึงการทำแท้งถูกกฎหมาย

'อดีตนักบินนาซ่า' ตอบคำถาม ทำไมไก่ CP ถึงได้ไปอวกาศ ย้ำ!! ไก่ที่ส่งให้นักบินหรือคนไทย ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน

(12 ก.ย.67) อดีตนักบินอวกาศนาซ่า ไมค์ มาสสิมิโน (Mike Massimino) ออกมาตอบคำถามคนไทยเรื่องอาหารอวกาศ และ 'ไก่ CP' ของไทยว่ามีมาตรฐานเดียวกับที่นักบินอวกาศได้กินบนสถานีอวกาศหรือไม่ 

โดย ไมค์ ให้คำตอบกับเรื่องนี้ว่า การส่งอาหารไปให้นักบินอวกาศทานคือเรื่องที่ยากมาก เพราะต้องผ่านมาตรฐานอาหารอวกาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานที่สูงที่สุดในโลก ดังนั้นไก่ไทยของ CP จะต้องผ่านการทดสอบทุกขั้นตอน และได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับของนักบินอวกาศทานได้

"มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะส่งอาหารขึ้นสู่อวกาศ มันต้องผ่านกระบวนการทดสอบเพื่อหาการปนเปื้อน ซึ่งหากมีเชื้ออะไรก็ตามอยู่ มันก็จะไม่สามารถเก็บได้นาน มันจึงต้องถูกเตรียมและปรุง จากนั้นก็ทำการปิดผนึกอย่างดี เพื่อให้ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ และปลอดภัยสำหรับนักบินอวกาศ และนั่นไม่ใช่กระบวนการที่ทำได้ง่าย ๆ เลย มันต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบมากมาย" ไมค์ กล่าวและว่า...

"เพราะพวกเราไม่ต้องการให้มีนักบินอวกาศป่วยจากอาหารที่ถูกส่งขึ้นไป มันไม่ได้แค่ทำให้พวกเขาป่วย แต่มันยังกระทบต่อภารกิจด้วย ซึ่งนั่นอาจสร้างความอันตรายต่อภารกิจที่พวกเราต้องทำ...

"ดังนั้น ผมจึงมีความมั่นใจมากว่า 'ไก่ CP' นั้นมีมาตรฐานขั้นสูงสุด พวกมันถูกตรวจสอบผ่านกระบวนการทุกขั้นตอนอย่างละเอียด จนมั่นใจได้ว่าปลอดภัยพอที่จะส่งขึ้นไปบนสถานีอวกาศ"

ไมค์สรุปช่วงท้ายด้วยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นนักบินอวกาศหรือเป็นคนไทย ก็มั่นใจได้เลยว่าไก่ซีพีที่ส่งให้นักบินอวกาศทาน จะทานที่ไทยหรือบนอวกาศก็มาตรฐานความปลอดภัยเดียวกัน

'เวียดนาม' ยังวิกฤต!! อาจมีน้ำท่วมรอบเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนผลกระทบ ‘ไต้ฝุ่นยางิ’ ทำยอดเสียชีวิตใกล้แตะ 200 รายแล้ว

(12 ก.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า สถานการณ์น้ำท่วมในกรุงฮานอยของเวียดนามยังคงวิกฤต โดยประชาชนในเมืองหลวงต้องเผชิญระดับน้ำสูงถึงเอวในวันพุธ ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำแดงพุ่งสูงสุดในรอบ 20 ปี และอาจทะลักท่วมเมืองมากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น 'ยางิ' ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีพุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 179 ราย และสูญหาย 145 คนทั่วประเทศ นอกจากนี้ฝนที่ตกหนักยังทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มทำลายล้างในพื้นที่ทางตอนเหนือของลาว, ไทย และเมียนมาอีกด้วย คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก

มีรายงานดินถล่มในหมู่บ้าน ‘ลางนู’ บนภูเขาอันห่างไกลในจังหวัดหล่าวกาย ทำให้พื้นที่หมู่บ้านทั้งหมดราบเป็นหน้ากลองด้วยโคลนและหิน

สื่อเวียดนามยังรายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตในหมู่บ้านอย่างน้อย 34 ราย และยังมีผู้สูญหายอีก 46 คน โดยหน่วยกู้ภัยมีแค่จอบและพลั่วในการขุดดินเพื่อค้นหา

นักพยากรณ์อากาศ กล่าวว่าระดับน้ำในฮานอยถึงจุดสูงสุดแล้ว และระดับน้ำในแม่น้ำแดงจะลดลง พร้อมเตือนว่าจะมีน้ำท่วมรุนแรงเป็นวงกว้างในพื้นที่รอบเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ตำรวจ, ทหาร และอาสาสมัครช่วยเหลือประชาชนหลายร้อยคนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่เอ่อล้นในกรุงฮานอย เพื่ออพยพออกจากบ้านในช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตำรวจฮานอยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังเดินเท้าและใช้เรือไปตรวจสอบบ้านทุกหลังริมแม่น้ำ

"ประชาชนทุกคนต้องอพยพทันที เจ้าหน้าที่จะนำพวกเขาไปยังอาคารสาธารณะที่กลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวหรือพวกเขาสามารถอาศัยอยู่กับญาติในพื้นที่อื่นๆได้ ขณะนี้ฮานอยไม่ปลอดภัยเพราะฝนตกหนักมากและระดับน้ำก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว" ตำรวจกล่าว

ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮานอยกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้อนุมัติงบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ให้แก่เวียดนาม

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประชาชน 59,000 คนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือน เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยบางส่วนของจังหวัดท้ายเหงียนและเอียนบ๊ายจมอยู่ใต้น้ำเกือบหมด โดยประชาชนที่อพยพไม่ทันได้หนีขึ้นไปหลบอยู่บนหลังคาเพื่อขอความช่วยเหลือ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าไปช่วยผู้สูงอายุและเด็กในชุมชนที่อยู่อาศัย ขณะที่ญาติของผู้ที่ติดอยู่ในน้ำท่วมได้โพสต์คำร้องขอความช่วยเหลือและสิ่งของจำเป็นอย่างสิ้นหวัง

ในประเทศลาวซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ทางการได้อพยพประชาชน 300 คนจากหมู่บ้าน 17 แห่งในจังหวัดหลวงน้ำทาทางตอนเหนือ

โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติแสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของชุมชนในภาคเหนือของลาว ขณะที่วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติรายงานว่าบ้านเรือน, ถนน, ตลาด, โรงเรียน และพื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยมียอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมอย่างน้อย 1 ราย

ในประเทศไทย มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 รายในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทางภาคเหนือ โดยกองทัพได้ส่งกำลังพลไปช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมประมาณ 9,000 ครอบครัว

ในประเทศเมียนมา มีฝนตกติดต่อกันหลายวันในบริเวณกรุงเนปยีดอ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำพุ่งสูงถึงระดับอันตราย ตามรายงานของรัฐบาลทหาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิต แต่ยังไม่มีการยืนยันว่ากี่ราย

ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบกับฝนมรสุมทุกปี แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่มีต้นเหตุจากมนุษย์ ทำให้เกิดรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น กลายเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงกว่าปกติ

‘ออสเตรเลีย’ จ่อออกกฎหมายจำกัดเด็กอายุ 14-16 ใช้งานโซเชียลฯ กระตุ้น!! 'ห่างไกลจากมือถือ-ให้ออกไปเล่นในสนามมากขึ้น'

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี ‘แอนโทนี อัลบาเนซี’ ของออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดอายุขั้นต่ำของเยาวชนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดียระหว่าง 14-16 ปี และจะเตรียมทดลองใช้ระบบตรวจสอบอายุในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้เกณฑ์ใหม่นี้

ผู้ปกครองหลายคนวิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กในการใช้โซเชียลมีเดีย และต้องการให้เด็กๆ ห่างไกลจากโทรศัพท์มือถือ และออกไปเล่นในสนาม ที่ผ่านมาจีน ฝรั่งเศส และอีกหลายรัฐในสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายที่มุ่งจำกัดอายุของเยาวชนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดีย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ ตั้งแต่ เรื่องการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ จนถึงเรื่องมาตรฐานความงามที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง

มาตรการนี้ได้รับเสียงวิจารณ์โต้แย้งว่าเป็นการลิดรอนสิทธิการแสดงออกของเยาวชนและสร้างความเสี่ยงเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว รวมถึงอาจเป็นการกีดกันเยาวชนจากการมีส่วนร่วมที่ดีและมีความหมายในโลกดิจิทัล และผลักให้พวกเขาหันไปสู่พื้นที่ออนไลน์ที่มีคุณภาพต่ำ

'บ.มะกัน' ชู 'อิฐดินเหนียว' พลังงานสีเขียวทางเลือกใหม่ เจาะภาคอุตสาหกรรม ชี้!! แค่ก้อนเดียว ก็เก็บพลังงานได้มากเท่าชุดแบตฯ Tesla Model X

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า ‘บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี’ (Rondo Energy) ในเมือง ‘อาลาเมดา’ (Alameda) รัฐ ‘แคลิฟอร์เนีย’ ได้มีการเสนอแนวคิด ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ เป็นทางเลือกใหม่ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและของโลก

‘จอห์น โอดอนเนล’ ซีอีโอ บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี อธิบายว่า “ภาคการผลิตใช้พลังงานของโลกมากที่สุด ความร้อนที่ใช้ในการผลิตสินค้า คิดเป็นหนึ่งในสี่ ของ (พลังงาน) ที่ได้จากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในโลก”

อีกทั้งยังมีความคิดเห็นว่า พลังงานหมุนเวียนจากลมและแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่ผลิตได้ไม่คงที่ จึงมีแนวคิดที่จะนำวัสดุที่ผู้คนต่างละเลยอย่าง ‘อิฐดินเหนียว’ มาทำหน้าที่เป็นแบตเตอรีกักเก็บความร้อน คล้ายกับโรงงานมีแผงลวดทำความร้อนแบบเครื่องปิ้งขนมปังฝังเอาไว้

โอดอนเนล เล่าย้อนว่า ดินเหนียวเหล่านี้เป็นวัสดุที่โลกใช้มานานกว่า 200 ปีแล้วถือว่า นำเอาวัสดุที่เคยเป็นที่นิยมจากยุค 80 มาใช้ผลิตในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับยุคปัจจุบันในศตวรรษที่ 21

สำหรับหลักการของ ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ นั้น ภายในจะมีลวดเหล็กในการสร้างและเหนี่ยวนำความร้อน ส่วนก้อนอิฐถูกออกแบบมาให้มีรูปทรงที่ซับซ้อนเพื่อกระจายความร้อนอย่างสม่ำเสมอและกักเก็บพลังงานไว้นานหลายวัน

พร้อมกันนั้น โอดอนเนลยังอธิบายเสริมว่า “อิฐ (ดินเหนียว) เพียงก้อนเดียว จะเก็บพลังงานได้มากเท่ากับชุดแบตเตอรีของ เทสลา โมเดล เอ็กซ์ (Tesla Model X)” ซึ่งในการสร้างคลังกักเก็บพลังงานหนึ่งจุด จะใช้อิฐดินเหนียวซ้อนกันประมาณ 3,000 ชิ้น

คลังกักเก็บความร้อนจากก้อนอิฐสามารถทำให้อากาศมีอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสซึ่งภาคธุรกิจสามารถนำความร้อนดังกล่าวไปใช้ได้ในการผลิตอาหาร เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้

ทั้งนี้ ผลงานแบตเตอรีดินเหนียวของบริษัท Rondo Energy ถูกนำไปใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2023 ที่โรงงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

โอดอนเนลกล่าวทิ้งท้ายว่า การทดแทนระบบเผาไหม้ด้วยการใช้พลังงานจากลมและแสงแดดจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถึงครึ่งหนึ่ง

ในเวลานี้ โรงงานฐานการผลิตขนาดใหญ่สำหรับแบตเตอรี่ก้อนอิฐตั้งอยู่ในประเทศไทย ขณะที่ บริษัทแห่งนี้มีแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ และกำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับบริษัท EDP ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ เพื่อจะทำหน้าที่จัดหาพลังงานความร้อนที่ไร้ก๊าซคาร์บอนให้กับภาคอุตสาหกรรมต่อไปด้วย

ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดพลังงานจากอิฐดินเหนียวธรรมดา ๆ นั้นอาจกำลังก้าวขึ้นมาเป็นความหวังของอนาคตของพลังงานสะอาดโลกครั้งใหม่ได้แล้ว

‘OpenAI’ วางแผนเปิดตัวแชตบอต ‘Strawberry’ โดดเด่น ‘คิดเป็นเหตุเป็นผล’ แตกต่างจาก AI ตัวอื่น

(11 ก.ย. 67) ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) เว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีรายงานว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) วางแผนที่จะเปิดตัว ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เน้นการใช้เหตุผล ภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

รายงานดังกล่าวระบุว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) จะแตกต่างจาก AI การสนทนาอื่น ๆ ตรงที่สามารถ ‘คิดก่อนตอบ’ แทนที่จะตอบคำถามในทันที โดยจะเน้นการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล สำหรับคำถามด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์

และจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ ระบุได้ว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ยังรองรับเฉพาะข้อความตัวหนังสือ และให้คำตอบเป็นตัวหนังสือเท่านั้น จึงยังไม่ใช่โมเดล AI แบบสื่อผสมผสาน (Multimodal)

อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดว่าผู้ใช้งานจะได้ใช้ ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ในรูปแบบใด และต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ ส่วนทางด้าน OpenAI ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานข่าวนี้

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#3 เยือน KTRV บริษัทออกแบบ-ผลิตระบบขีปนาวุธสุดล้ำของรัสเซีย

หลังจากเยี่ยมชมและรับประทานอาหารกลางวันที่บริษัท United Shipbuilding Corporation (USC) แล้ว ทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินย่อยอาหารไปยังอาคารของบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบและผลิตระบบขีปนาวุธของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยออกแบบและผลิตขีปนาวุธทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น อากาศสู่อากาศ อากาศสู่พื้น พื้นสู่อากาศ พื้นสู่พื้น Smart Bombs และตอร์ปิโด เพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการบนอากาศยาน เรือรบผิวน้ำ เรือดำน้ำ และกองกำลังภาคพื้นดิน

KTRV ก่อตั้งขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานเดิมของบริษัท Zvezda-Strela โดยรัฐกฤษฎีกาหมายเลข 84 ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2002 ด้วย Zvezda-Strela เป็นผู้ออกแบบและผลิตระบบขีปนาวุธทางการทหารรายใหญ่ ประกอบด้วยสำนักงานออกแบบการทดลอง Zvezda (OKB) สำนักงานออกแบบการผลิตแบบต่อเนื่อง (SKB) โรงงานหลัก Strela ในระหว่างกระบวนการปรับโครงสร้างใหม่ บริษัทได้รับโอนหุ้นจากองค์กรที่รวมอยู่ใน Defense Industry Complex การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคม 2003

โดยมีการพัฒนาและการผลิตผลิตภัณฑ์พลเรือนและการใช้งานคู่ที่มีเทคโนโลยีสูงสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่นำไปสู่การก่อตั้งบริษัทคือ การรักษาและพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยและการผลิตขีปนาวุธ การจัดหาและเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ การระดมทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับขีปนาวุธนำวิถีที่มีประสิทธิภาพสูง และการผลิตระบบอาวุธบนอากาศ บนพื้นดิน และบนทะเล รวมถึงการเสริมสร้างตำแหน่งทางทหารของรัสเซียในตลาดอาวุธโลก รัฐกฤษฎีกาฉบับที่ 591 และฉบับที่ 930 ได้ทำให้บริษัทขยายตัวมากขึ้น และปัจจุบันได้มีการรวบรวมเอาบริษัทต่าง ๆ มากมายหลายบริษัทนี้เข้ามาอยู่ด้วย

Tactical Missiles Corporation (KTRV) เข้าร่วมงาน International Military-Technical Forum 'ARMY-2024' ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 สิงหาคม โดยมี Boris Obnosov เป็นหัวหน้าคณะ KTRV จัดแสดงอาวุธทางอากาศที่มีความแม่นยำสูงที่ศูนย์สาธิต KTRV นำเสนอขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ (RVV-BD, RVV-SD, RVV-MD และ RVV-MD2) ขีปนาวุธอากาศสู่พื้นอเนกประสงค์ (Kh-MD-E, Grom-E1, Kh-38MLE, Kh-38MTE, Kh-69, X-29TE และ X-59MK รุ่นปรับปรุง) 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์ Kh-31PD และ X-58UShKE ขีปนาวุธต่อต้านเรือ Kh-31AD Kh-35UE และ X-59MK ขีปนาวุธต่อต้านเรือดำน้ำทางอากาศ APR-3ME รวมถึงระเบิดอากาศอัจฉริยะขนาด 250, 500 และ 1,500 กิโลกรัม และอาวุธร่อน Grom-E2 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีระบบขีปนาวุธเพื่อป้องกันโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง ได้แก่ Bastion ที่มีขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือ Yakhont, Bal-E และ Rubezh-ME ที่มีขีปนาวุธ Kh-35UE ระบบต่อต้านเรือดำน้ำขนาดเล็ก Paket-E/NK พร้อมระบบต่อต้านตอร์ปิโด ตอร์ปิโดไฟฟ้า ET-1E และ TE-2 ตอร์ปิโดขนาดเล็กสากล UMT ตอร์ปิโดเทอร์มอลขนาดกะทัดรัด MTT และตอร์ปิโดนำวิถีความลึกอเนกประสงค์ UGST นอกจากนี้ ผู้เยี่ยมชมศูนย์สาธิตยังได้จัดแสดงระบบอาวุธ Shkval-E ที่มีจรวดใต้น้ำความเร็วสูงอีกด้วย

ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MDM-2

ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ KTRV ที่ใช้เพื่อป้องกันอาณาเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นน้ำของท่าเรือและฐานทัพเรือ ได้แก่ ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MDM-1, MDM-2 และ MDM-3 ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MShM อุปกรณ์ตรวจจับเสียงขับเคลื่อนด้วยตัวเอง MG-74ME ยานยนต์ใต้น้ำขับเคลื่อนด้วยตัวเองของระบบบูรณาการ Alexandrite-ISPUM-E ที่ใช้ค้นหาและทำลายทุ่นระเบิด

ระบบควบคุมการยิงบนเรือ Uran-E และระบบอาวุธขีปนาวุธต่อต้านเรือรบแบบ KH-35e/ue

ทั้งนี้ บริษัทในเครือของ KTRV ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบและผลิตอุปกรณ์เรดาร์หลากหลายประเภท ได้แก่ ระบบควบคุมการยิงบนเรือของระบบอาวุธขีปนาวุธ «Uran-E» และระบบเรดาร์กำหนดเป้าหมายบนเรือที่ได้รับการอัปเกรด 3C-25E ระบบเรดาร์ MRK-50UE สำหรับเรือดำน้ำเพื่อเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมผิวน้ำและอากาศที่มีความน่าจะเป็นต่ำมากในการสกัดกั้นด้วยเรดาร์ และสำหรับการกำหนดเป้าหมายขีปนาวุธและตอร์ปิโด รวมไปถึงยานพาหนะขนส่งนักดำน้ำรายบุคคล 'Coral' สถานีโซนาร์ Mayak-s สำหรับตรวจจับวัตถุใต้น้ำขนาดเล็ก คอมเพล็กซ์ป้องกัน 'Corvet' สำหรับหน่วยป้องกันภัยทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญเป็นพิเศษ

ตอร์ปิโดแบบต่าง ๆ ที่ออกแบบและผลิตโดย KTRV

นอกเหนือจากอาวุธต่าง ๆ แล้ว KTRV ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับใช้งานสองแบบและสำหรับพลเรือนสำหรับการบิน เรือ การขนส่งทางรถไฟและถนน ยา โรงกลั่น โรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมโลหะและเคมี ในศาลา 'B' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงผลิตภัณฑ์พลเรือน KTRV แยกกัน ได้แก่ สถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูง EZS-150 สำหรับรถบัสไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนหลากหลายประเภท แพลตฟอร์มไฟฟ้าอเนกประสงค์ HARD-E สำหรับที่อยู่อาศัยและบริการชุมชน เครื่องจำลองพลร่ม รวมถึงแบบจำลองอุปกรณ์แรงขับกลับสำหรับเครื่องยนต์เครื่องบิน PD-8 และ PD-14 นวัตกรรมใหม่คือ เรือเดินทะเลที่มีลำตัวแบบผสม

ผู้เขียนกับขีปนาวุธโจมตีแบบ X-69 ซึ่งออกแบบมาเพื่อปล่อยจากเครื่องบินแบบ Su-57

Tactical Missiles Corporation (KTRV) จึงเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างแบบบูรณาการซึ่งรวมเอาบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของรัสเซียกว่าห้าสิบแห่งเข้าด้วยกัน พื้นที่กิจกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ การพัฒนา การผลิต การปรับปรุงอาวุธการบินที่มีความแม่นยำสูงในประเภทต่าง ๆ ระบบอาวุธทางทะเลแบบรวม จรวดและอวกาศ ตลอดจนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การบำรุงรักษา การซ่อมแซม และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ทางทหาร การฝึกอบรมบุคลากรตามสัญญาการบริการที่ครอบคลุมให้กับลูกค้า และภายใต้มาตรการ Sanction จากชาติตะวันตก บริษัทฯ ได้ยึดแนวคิด 'การพึ่งพาตนเอง' นำไปสู่การปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้บริษัทฯ ยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง

‘โซเชียลจีน’ ถกสนั่น!! อากาศร้อน ‘ควรติดแอร์ในห้องเรียน’ หรือไม่? บางคนเห็นด้วย แต่บางคนบอกเป็นการฝึกความอดทนให้กับเด็กๆ

(11 ก.ย. 67) ความขยันหมั่นเพียร, มัธยัสถ์, อดทน เป็นค่านิยมที่ชาวจีนมักปลูกฝังให้แก่บุตรหลานตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เพื่อจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า แต่ทว่า วันนี้ ค่านิยมเหล่านี้กำลังถูกท้าทาย ด้วยสาเหตุจาก… ‘ภาวะโลกร้อน’

เมื่อไม่นานมานี้ โลกโซเชียลจีนมีการถกเถียงในประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียน เนื่องจากจีนกำลังเผชิญปัญหาจากคลื่นความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ บางเมืองมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส 

ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากรู้สึกเป็นห่วงบุตรหลาน ที่ต้องทนเรียนในห้องเรียนในช่วงภาวะอากาศร้อนรุนแรงเช่นนี้ และเรียกร้องให้ทางโรงเรียนติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนหนังสือได้สบายขึ้น 

แต่ข้อเรียกร้องของผู้ปกครองกลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี จากหน่วยงานด้านการศึกษาประจำนครฉางชา ของมณฑลหูหนาน ที่ตั้งอยู่ในภาคกลางตอนใต้ของจีน เขตที่เจอมรสุมคลื่นความร้อนรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนในขณะนี้ โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ออกมายืนยันว่า จะไม่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศใด ๆ ในโรงเรียนไหนทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ปลูกฝังคุณธรรม ‘ด้านความอุตสาหะ’ และ ‘ความอดทน’ ให้แก่เด็กนักเรียน

คำตอบของเจ้าหน้าที่นครฉางชา ได้จุดกระแสการถกเถียงเรื่อง ‘ควร-ไม่ควร’ ติดแอร์ในห้องเรียนขึ้นอย่างร้อนแรงเป็นไฟลามทุ่ง ที่มาพร้อมกับคำถามว่า แล้วใครสมควรที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องปรับอากาศนี้

ผู้ปกครองคนหนึ่ง แสดงความเห็นใน Weibo ว่า "ให้ฝึกความขยันและอดทนเหรอ? ไหนลองให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการลองมานั่งในห้องทำงานอุณหภูมิ 40 องศาดูบ้างซิ แล้วพูดใหม่อีกทีว่านี่เป็นวิธีในการฝึกความอดทนให้เด็กจริงหรือเปล่า" 

อีกความเห็นหนึ่งกล่าวว่า "ปัญหาภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และจะยิ่งรุนแรงขึ้น แล้วคุณจะให้เด็ก ๆทำยังไง"

หลิน ยูจิน คุณพ่อของเด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองกวางโจว แสดงความเห็นผ่านสื่อท้องถิ่น สนับสนุนการติดแอร์ในห้องเรียนว่า ถ้าไม่มีแอร์ คงยากที่จะทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียนได้เต็มที่ 

แต่ทั้งนี้ ก็มีผู้ปกครองอีกฝั่งที่เห็นต่าง ในประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียน โดยคำนึงถึงหลักสุขอนามัย หากติดแอร์แล้วจะทำให้ห้องเรียนที่เคยมีอากาศถ่ายเทกลายเป็นห้องปิด ที่นอกจากกจะบ่มเพาะเชื้อโรคแล้ว ยังเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ อาทิ ไข้หวัด หรือ Covid-19 ในห้องเรียนได้ง่าย

ผู้ปกครองบางคน เสนอไอเดียในการปรับเปลี่ยนภาคการเรียนให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป  หรือบางห้องเรียนก็นำถังน้ำแข็งมาตั้งไว้ในห้องช่วยเพิ่มความเย็นในห้องเรียนได้ 

ในปัจจุบัน ห้องเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนจีนไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่อาศัยความเย็นจากพัดลมเพดาน แต่ด้วยภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ที่ทำให้ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิในหน้าร้อนของจีนสูงขึ้น และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเจอกับมรสุมคลื่นความร้อนเช่นในปีนี้ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาจีนคาดการณ์ว่า อุณหภูมิสูงสุดของจีนมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 2.8 องศาในอีก 30 ปีข้างหน้า 

แต่ถึงกระนั้น หลายโรงเรียนยังลังเลกับข้อเรียกร้องของผู้ปกครองที่ต้องการให้ติดแอร์ในห้องเรียน เพราะติดเรื่องค่าใช้จ่าย และ ค่าไฟ ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ที่เกินงบประมาณของโรงเรียน

และเคยมีประเด็นมาแล้ว เมื่อโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองเซียงถัน ของมณฑลหูหนาน ขอให้ผู้ปกครองช่วยกันบริจาคเงินเพื่อซื้อเครื่องปรับอากาศให้โรงเรียน แต่สุดท้ายคณะกรรมการด้านการศึกษาพิจารณาว่าไม่สมควร และสั่งให้โรงเรียนคืนเงินบริจาคให้ผู้ปกครอง ทั้ง ๆ ที่ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่สนับสนุน และเต็มใจบริจาคเงินช่วยโรงเรียน เพราะเห็นว่าควรคำนึงถึงความสะดวกสบายของนักเรียนเป็นอันดับแรก

ด้วยเหตุนี้ ประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียนของจีน จึงตีไม่แตก แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ปกครอง ที่ยินดีที่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนหนังสืออย่างสบาย แต่ก็ติดที่นโยบายภาครัฐ ที่มองว่าสุดท้ายรัฐบาลก็ต้องแบกค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าไฟ และ ค่าซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นอยู่ดี หรือหากมองในแง่มุมความเท่าเทียมของโรงเรียนรัฐ ที่ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเดียวกันในทุกโรงเรียน ที่ทำให้นโยบายห้องเรียนติดแอร์ไม่ผ่าน

ดังนั้น สิ่งที่นักเรียนหวังพึ่งได้ ก็คือ ความขยันหมั่นเพียร, มัธยัสถ์, อดทน ของตนเอง ที่ต้องทนเรียนในห้องเรียนในช่วงอากาศร้อน ที่รุนแรงกว่าสมัยก่อนให้ได้ จนกว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นเพื่อไปเปลี่ยนแปลงอนาคตในวันข้างหน้าด้วยตัวของพวกเขาเอง

เริ่มแล้ว!! ดีเบต ‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ เลือกตั้งชิงผู้นำสหรัฐฯ มีแต่ 'ซัด-สวน-แขวะ' ปม 'การเมือง-เศรษฐกิจ-ความมั่นคง'

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศึกดีเบตรอบแรกระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ เริ่มเปิดฉากขึ้นในเวลา 21.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ET) ที่เมือง ‘ฟิลาเดเฟีย’ รัฐ ‘เพนซิลเวเนีย’ โดยมีสถานีโทรทัศน์ ‘ABC News’ เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางคำถามว่า ทรัมป์และแฮร์ริส ซึ่งไม่เคยพบเจอกันตัวเป็นๆ มาก่อนจะทักทายกันอย่างไร? ซึ่งปรากฏว่าแฮร์ริสจบข้อสงสัยด้วยการเป็นฝ่ายเดินไปหาทรัมป์ที่โพเดียมของเขา และยื่นมือทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ ซึ่งถือเป็นการจับมือในศึกดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

รอยเตอร์ชี้ว่าท่าทีของแฮร์ริสเป็นการส่งสัญญาณ ‘ลดการ์ด’ ให้กับชายซึ่งใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดูหมิ่นเหยียดหยามเธอทั้งในแง่ของเพศและเชื้อชาติ

แฮร์ริส ซึ่งเป็นอดีตอัยการวัย 59 ปี พุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนต่างๆ ของทรัมป์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ทรัมป์ในวัย 78 ปีออกอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด และพยายามตอบโต้ด้วยการอ้างข้อมูลบิดเบือนต่างๆ โดยในช่วงหนึ่งของการอภิปราย แฮร์ริสได้กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ โดยเยาะเย้ยว่าคนส่วนใหญ่ ‘มักจะกลับก่อน’ เพราะว่า ‘ทนความเบื่อไม่ไหว’

ทรัมป์ก็ตอกกลับทันควันว่า “ในการปราศรัยของผม เรามีการปราศรัยขนาดใหญ่ที่สุด และเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ” พร้อมทั้งกล่าวหาว่า แฮร์ริส ‘จัดรถบัส’ ไปขนคนเข้ามาฟังการปราศรัยของตัวเอง

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังอ้างทฤษฎีสมคบคิดไร้หลักฐานที่ระบุว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ‘กินสัตว์เลี้ยง’ ของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลนี้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ และถูกนำมาโหมกระพือโดย ‘เจ. ดี. แวนซ์’ ซึ่งเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์เอง

“ที่สปริงฟิลด์ คนพวกนั้นกินสุนัข พวกที่อพยพย้ายเข้ามา พวกเขากินแมว” ทรัมป์ กล่าว “พวกนั้นกินสัตว์เลี้ยงของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง”

เจ้าหน้าที่เมืองสปริงฟิลด์เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าข้อครหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง และผู้ดำเนินรายการของ ABC ก็รีบโต้แย้งทันทีหลังจากที่ทรัมป์พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะที่แฮร์ริสแสดงออกด้วยการหัวเราะและเย้ยหยันอีกฝ่ายว่า “พูดจาสุดโต่ง”

แฮร์ริสซึ่งเป็นอดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพยายามขุดคุ้ยพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์ขึ้นมาโจมตี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพยายามล้มผลเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมงแรกของการดีเบตดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์นี้จะได้ผลไม่น้อย และบีบให้ ทรัมป์ต้องพยายามหาทางแก้ต่างให้กับตัวเอง

ทรัมป์กล่าวว่าตนเอง ‘ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง’ กับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 นอกเหนือไปจาก “พวกเขาขอให้ผมขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์” และยังคงอ้างเหมือนเดิมว่าตนเองคือผู้ที่ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

แฮร์ริสยกพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์มาเป็นเหตุผลว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่

“โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกชาวอเมริกัน 81 ล้านคนไล่ลงจากเก้าอี้ ขอให้ทุกท่านเข้าใจชัดเจนตามนี้ด้วย และเห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาในการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่เราไม่สามารถยอมให้สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีที่พยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม อย่างที่เขาเคยพยายามทำมาในอดีตได้” แฮร์ริส กล่าว

รองประธานาธิบดีหญิงผู้นี้ยังจิกกัดทรัมป์ด้วยการบอกว่าผู้นำทั่วโลกต่าง ‘หัวเราะเยาะ’ เขา และมองว่าเขา ‘สร้างความอับอาย’ ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสำนวนภาษาเดียวกันกับที่ทรัมป์มักจะพูดเย้ยหยัน ‘โจ ไบเดน’ ระหว่างที่เดินสายหาเสียง

ด้านทรัมป์ก็หันมาเล่นงานแฮร์ริสด้วยการอ้างว่าเธอ ‘ไม่เคยได้รับคะแนนโหวต’ ในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และยังอ้างว่าเธอก้าวขึ้นมาแทนที่ไบเดน ตามแผน ‘รัฐประหาร’ (coup) ของคนในพรรค

“เขาเกลียดเธอ” ทรัมป์อ้างว่าไบเดนรู้สึกเช่นนั้น “เขาทนเธอไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม การโต้เถียงเช่นนี้ดูเหมือนจะยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของแฮร์ริสที่ว่า ทรัมป์ขาดความสามารถในการ ‘ควบคุมอารมณ์’ ซึ่งประธานาธิบดีควรจะมี

ผู้สมัครทั้งสองยังแลกหมัดกันในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมสูงกว่าแฮร์ริส ในด้านนี้

แฮร์ริสได้แจกแจงนโยบายต่างๆ ที่เธอได้นำเสนอตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น การให้ประโยชน์ทางภาษีแก่ครอบครัวและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็โจมตีแผนของทรัมป์ ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับการรีดภาษีการขาย (sales tax) เอากับชนชั้นกลาง

“โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เราต้องเผชิญปัญหาการว่างงานรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)” แฮร์ริสกล่าว โดยอ้างถึงตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งสูงสุด 14.8% ในเดือน เม.ย. ปี 2020 และลงมาอยู่ที่ 6.4% ในขณะที่ทรัมป์พ้นตำแหน่ง

ด้านทรัมป์ก็วิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริสเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในรัฐบาลไบเดน โดยระบุว่า “เงินเฟ้อถือเป็นหายนะสำหรับประชาชน สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง และคนทุกๆ กลุ่ม” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนไปสู่ประเด็นเรื่องผู้อพยพ โดยอ้างแบบไร้หลักฐานยืนยันว่ามีผู้อพยพ ‘จากโรงพยาบาลบ้า’ (insane asylums) หลบหนีข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

ผู้สมัครทั้ง 2 รายยังแสดงมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับประเด็นการทำแท้ง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางของแฮร์ริสมากกว่า

ทรัมป์อ้างไปถึงคำพิพากษาของศาลสูงสุดในปี 2022 ที่ยกเลิกสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง และให้แต่ละรัฐมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นนี้เอง โดยเขาอ้างว่า “ผมเองมีส่วนในการผลักดันเรื่องนี้ และใช้ความกล้าหาญในการทำสิ่งนี้”

ด้านแฮร์ริสแสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่าการที่สิทธิทำแท้งกลายเป็นเรื่องของแต่ละรัฐถือเป็นผลลัพธ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

“นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการงั้นหรือ? คนจำนวนมากถูกปฏิเสธรับเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลัวว่าจะติดคุกเนี่ยนะ?” แฮร์ริสตั้งคำถาม

เมื่อถูกถามว่าจะใช้สิทธิ ‘วีโต’ หรือไม่หากสภาคองเกรสผ่านกฎหมายแบนการทำแท้ง? ทรัมป์ยืนยันว่า “สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น” แต่ก็ปฏิเสธที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

ทรัมป์และแฮร์ริสยังกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าพยายามใช้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็น ‘อาวุธ’ โจมตีฝ่ายตรงข้าม โดย ทรัมป์นั้นอ้างว่าการที่ตนถูกยื่นฟ้องฐานสมคบคิดล้มผลเลือกตั้งเมื่อปี 2020 และจัดการเอกสารชั้นความลับอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์สวาทด้วยนั้น ทั้งหมดเป็น ‘แผนสมคบคิด’ ที่ แฮร์ริสและไบเดนร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ซึ่งก็เป็นการกล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานตามเคย

ด้านแฮร์ริสฟาดกลับด้วยการชี้ว่า ทรัมป์ข่มขู่จะใช้กฎหมายเอาผิดกับบรรดาศัตรูทางการเมือง หากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

“โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาคือคนที่เคยออกมาพูดอย่างเปิดเผยว่าจะฉีก --- นี่ดิฉันเอ่ยตามที่เขาพูดนะ --- จะฉีกรัฐธรรมนูญ” เธอกล่าว

ทรัมป์ยังคงอ้างซ้ำๆ เหมือนเดิมว่าการที่ตนแพ้ศึกเลือกตั้งในปี 2020 ก็เพราะ ‘ถูกโกง’ พร้อมทั้งกล่าวหาแฮร์ริสว่าเป็นพวก ‘มาร์กซิสต์’ และอ้างด้วยว่าผู้อพยพเป็นต้นเหตุทำให้สถิติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น

ในประเด็นสงครามอิสราเอล-กาซา แฮร์ริสประกาศว่า “สงครามจำเป็นต้องยุติลงทันที และมันจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อตกลงหยุดยิง และเราจำเป็นต้องช่วยตัวประกันทั้งหมดออกมา” ขณะที่ทรัมป์ระบุว่าแฮร์ริส “เกลียดชังอิสราเอล ถ้าเธอได้เป็นประธานาธิบดี ผมเชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะไม่มีชาติอิสราเอลเหลืออยู่แน่นอน”

แฮร์ริสเถียงกลับทันควันว่า “นี่ไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย ตลอดชีวิตและการทำงานของดิฉันสนับสนุนอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลเรื่อยมา”

‘Huawei’ เปิดตัว Mate XT สมาร์ตโฟน 'จอพับ 3 ทบ' รุ่นแรกของโลก ชู!! เทคโนโลยี ‘กลไกบานพับคู่’ พร้อมคุณสมบัติ ‘หน้าจอโค้ง’

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวานนี้ (10 ก.ย.67) ‘หัวเหวย’ (Huawei) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน เปิดตัวสมาร์ตโฟนแบบจอพับสามทบรุ่นแรกของโลก รุ่น Mate XT ในนคร ‘เซินเจิ้น’ มณฑล ‘กว่างตง’ (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งมาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น กลไกบานพับคู่ และคุณสมบัติหน้าจอโค้ง

‘อวี๋เฉิงตง’ กรรมการบริหารของหัวเหวย กล่าวว่าเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาสมาร์ตโฟนจอพับ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

ไอดีซี (IDC) บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก เผยว่าตลาดโทรศัพท์มือถือจอพับของจีนมียอดการจัดส่งเติบโตร้อยละ 114.5 เมื่อปี 2023 ด้วยจำนวนกว่า 7 ล้านเครื่อง

'หนุ่มสาวเกาหลีใต้' ลังเล!! การ 'แต่งงาน' มากขึ้น หลังเศรษฐกิจไม่แน่นอน-ราคาบ้านสูง-ว่างงานพุ่ง

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า สำนักงานสถิติของเกาหลีใต้ที่ได้รายงานว่า คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้ลังเลจะแต่งงานกันมากขึ้นในปี 2022 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รายงานระบุว่า คนหนุ่มสาวช่วงวัย 25-39 ปี ที่มีคู่สมรสคิดเป็นร้อยละ 33.7 ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มอายุดังกล่าว มีจำนวนลดลงในปี 2022 โดยลดลง 2.4 จุดจากปีก่อนหน้า และต่ำกว่าปี 2020 ที่มีอยู่ร้อยละ 38.5 

ทั้งนี้ คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้เริ่มลังเลจะแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาบ้านที่อยู่อาศัยที่สูง ปัญหาการว่างงานที่หนักขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูง 

นอกจากนี้ ในปี 2022 ร้อยละ 74.7 ของคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวมีลูกอยู่ที่ร้อยละ 74.7 ลดลงจากปี 2021 ที่มีอยู่ร้อยละ 75.6 และร้อยละ 76.6 ในปี 2020

ส้วนตัวเลขสัดส่วนของผู้มีอายุ 25-39 ปี ที่ไม่มีคู่สมรสและอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในปี 2022 อยู่ที่ร้อยละ 50.6

ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลโดนไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ‘หวัง’ ครูใหญ่ประจำโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในนครฉงชิ่ง ยื่นฟ้องศาลหลังจากที่เธอถูกไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่ 10 ก.ย.2023 ซึ่งถือเป็นวันครูของจีน โดยตามธรรมเนียมเด็ก ๆ มักจะมีการส่งของขวัญ หรือการ์ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อฉลองวันครู เช่นเดียวกับหวังที่ได้รับช็อกโกแลต มูลค่าประมาณ 6.16 หยวน (ประมาณ 30.8 บาท) จากนักเรียน

รายงานระบุว่า ต่อมา หวังได้นำช็อกโกแลตดังกล่าวไปแบ่งให้เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนกลับไล่เธอออก โดยให้เหตุผลว่า เธอรับของขวัญจากนักเรียน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎของกระทรวงศึกษาธิการที่ระบุไว้ว่า “ห้ามครูร้องขอ หรือรับของขวัญ หรือเงินจากนักเรียน หรือผู้ปกครองไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม”

ด้านหวังที่รู้สึกไม่เป็นธรรมและไม่เห็นด้วย จึงยื่นฟ้องต่อศาลประชาชนเขตจิ่วหลงโพ โดยในการพิจารณาครั้งแรก ทางโรงเรียนชี้แจงว่า การรับของขวัญไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด ก็ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งยังสร้างความเสื่อมเสียให้ทางโรงเรียน

ต่อมาในช่วงเดือน มี.ค. ศาลได้มีคำสั่งตัดสินว่า การที่โรงเรียนอนุบาลไล่หวังออกนั้นผิดกฎหมาย และสั่งให้จ่ายค่าชดเชย เนื่องจากช็อกโกแลตที่หวังรับมานั้นเป็นเพียงสิ่งที่แสดงถึงความรักและความเคารพของนักเรียนที่มีต่อครู ดังนั้น การรับช็อกโกแลตจึงไม่ควรถือว่าเป็นการรับของขวัญ

ภายหลังโรงเรียนอนุบาลได้มีการยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจะมีคำสั่งตัดสินโดยยืนยันตามคำตัดสินเดิม

เรื่องราวการถูกไล่ออกของหวังกลายเป็นกระแสบนโซเชียล โดยมีผู้เข้าชมบนติ๊กต็อกเวอร์ชันจีนกว่า 7.2 ล้านครั้ง พร้อมคอมเมนต์ เช่น “น่าขันสิ้นดี! เธอถูกไล่ออกเพราะรับของขวัญมูลค่าเพียง 6 หยวน?” / “ในฐานะครู ฉันรู้สึกผิดหวัง บทลงโทษนั้นร้ายแรงมาก”

‘นิวซีแลนด์’ หมดขลัง ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ เผชิญหน้า ‘วิกฤติสมองไหล’ ‘หนุ่ม-สาว’ ย้ายประเทศหลักแสนต่อปี เหตุ!! ‘งานน้อย-เงินเฟ้อ-ค่าครองชีพสูง’

‘นิวซีแลนด์’ เคยถูกขนานนามว่า ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ ประเทศในฝันที่หลายคนอยากใช้ชีวิตอยู่ ด้วยภาพลักษณ์ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีความเจริญ กินดี อยู่ดี มีเสรีภาพ 

แต่ทว่าวันนี้ ‘นิวซีแลนด์’ กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อคนหนุ่ม-สาว วัยทำงาน ไม่อยากอยู่นิวซีแลนด์อีกแล้ว และตัดสินใจย้ายออกไปตั้งรกรากในประเทศอื่นอย่างต่อเนื่อง 

จากตัวเลขล่าสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีคนนิวซีแลนด์ย้ายประเทศมากถึง 131,200 คน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นพลเมืองชาวนิวซีแลนด์แท้ ๆ เกือบ 70% เลยทีเดียว แถมมากกว่า 50% ของผู้ย้ายถิ่นเป็นคนวัยหนุ่ม-สาว อายุระหว่าง 20-39 ปี โดยเฉพาะช่วงวัย 25-29 ปี ที่เป็นกลุ่ม First Jobber หรือเด็กจบใหม่ที่เริ่มหางานทำ เป็นกลุ่มที่ย้ายประเทศมากที่สุด 

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ปัจจัยที่ทำให้มีพลเมืองชาวนิวซีแลนด์ทิ้งถิ่นฐานของตนไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยยาวมาตั้งแต่ช่วงการระบาด Covid-19 ที่ส่งผลถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และค่าครองชีพสูงขึ้นมาก ซึ่งสวนทางกับโอกาสการทำงาน และ ปริมาณการจ้างงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานวัยหนุ่ม-สาวที่มีทักษะ และการศึกษาสูง แต่ประสบปัญหาการว่างงาน หรือ มองไม่เห็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในประเทศของตน

วิลสัน ออง วัย 32 ปี ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในธุรกิจแฟชั่นค้าปลีกที่กำลังวางแผนย้ายออกเพื่อไปหางานใหม่ในต่างแดนกล่าวว่า เพื่อน ๆ รอบตัว ล้วนย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว และตัวเขาก็กำลังจะตามเพื่อนไปเร็ว ๆ นี้เช่นกัน เพราะสำหรับคนหนุ่ม-สาว นิวซีแลนด์แล้ว คุณภาพของงานที่ทำสำคัญที่สุด และพวกเขารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานที่นิวซีแลนด์มีจำกัดกว่าหลายประเทศชั้นนำอื่น ๆ 

สอดคล้องกับความเห็นของ นิค ทัฟเฟลย์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของธนาคาร ASB ที่เห็นว่าคนรุ่นใหม่นิวซีแลนด์ ปรารถนาที่จะออกไปหาประสบการณ์ใช้ชีวิตต่างแดนมากขึ้น ซึ่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยราบรื่นนักหลังวิกฤติโรคระบาดเป็นตัวเร่งที่ทำให้คนรุ่น Gen Y และ Gen Z ของนิวซีแลนด์ตัดสินใจย้ายประเทศกันมากขึ้น

ซึ่งในประเทศที่มีประชากรเบาบางเพียง 5 ล้านคนเศษนั้น การที่คนหนุ่ม-สาว พร้อมใจกันย้ายประเทศทะลุหลักแสนคนต่อปี อาจเรียกได้ว่าเป็น Exodus หรือ การอพยพหนีภัยครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ 

ชามูบีล ยาคุบ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน New Zealand Institute of Economic Research ได้นิยามสถานการณ์สมองไหลของนิวซีแลนด์ว่า เป็น Economic refugees หรือผู้ลี้ภัยเชิงเศรษฐกิจ และตราบใดที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ไม่สามารถแก้ปัญหาตลาดแรงงานในประเทศ และความสมดุลระหว่างรายได้ และ ค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ การลี้ภัยเชิงเศรษฐกิจของคนหนุ่ม-สาวนิวซีแลนด์ก็จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่จบสิ้น

อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่แรงงานจะไหลเทไปสู่ตลาดแรงงานที่ค่าตอบแทนสูงกว่า ที่ก็เป็นปัญหาในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย 

แต่สำหรับนิวซีแลนด์นั้น อาจจะมีปัญหาที่หนักหนากว่าประเทศอื่น เพราะนอกจากประชากรจะน้อยแล้ว ยังมีประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ ที่มีเป้าหมายที่จะดึงดูดแรงงานหนุ่มสาวทักษะสูงจากนิวซีแลนด์โดยตรง ด้วยการออกวีซ่าพิเศษให้แก่ชาวนิวซีแลนด์อย่างเต็มที่ และสามารถโอนสัญชาติได้ทันทีหากพำนักในออสเตรเลียตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป 

รัฐบาลออสเตรเลียถึงกับซื้อโฆษณาเต็มหน้าสื่อของนิวซีแลนด์ เชิญชวนให้แรงงานชาวกีวีย้ายไปอยู่ออสเตรเลียอย่างเปิดเผย ด้วยสโลแกนว่า "warmer days and higher pays" - "อากาศดีกว่า และ ค่าแรงสูงกว่า" 

แต่รัฐบาลนิวซีแลนด์ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจนิวซีแลนด์กำลังถดถอย ส่งผลต่อโครงการก่อสร้างชะลอตัวลงอย่างมาก นั่นทำให้นิวซีแลนด์กำลังสูญเสียวิศวกร หัวหน้าช่างก่อสร้าง และแรงงานฝีมือของตนให้แก่ออสเตรเลีย ที่จ่ายค่าแรงสูงกว่า การอยู่ทำงานในเมืองศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดอย่างโอ๊กแลนด์ถึง 60%

แต่ยังโชคดีที่นิวซีแลนด์สามารถชดเชยการสูญเสียพลเมืองของตนได้ด้วยการรับผู้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศอื่นเข้ามาได้ จากตัวเลขล่าสุดในรอบ 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายนของปีนี้ (2567) มีชาวต่างชาติย้ายมาอยู่นิวซีแลนด์ราว 128,500 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย, ฟิลิปปินส์, จีน และ หมู่เกาะฟิจิ 

ทำให้ตัวชี้วัดการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของประชากรในปัจจุบันของนิวซีแลนด์ กลายเป็นอัตราการย้ายถิ่นฐานเข้า-ออก ของประเทศในแต่ละปี แทนที่จะเป็นตัวเลขจากอัตราการเกิด-ตายของประชากรไปเสียแล้ว แต่ทั้งนี้ เราไม่สามารถประเมินจำนวนประชากรด้วยมิติเชิงปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว 

เพราะหากพิจารณาในเชิงคุณภาพแล้ว สิ่งที่เป็นคำถามมากที่สุดคือ ผู้ย้ายถิ่นต่างชาติที่เข้ามาสามารถชดเชยกับกลุ่มประชากรที่นิวซีแลนด์สูญเสียไปให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้หรือไม่ และทำอย่างไร ที่จะหาแรงจูงใจให้พลเมืองหนุ่มสาวชาวนิวซีแลนด์ ทักษะสูงให้อยู่ในประเทศได้ เพราะนิยาม ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ ของนิวซีแลนด์ ไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องปากท้อง และความทะเยอทะยานเพื่ออนาคตของหนุ่มสาวยุคใหม่ได้เสมอไป 

อุ้งมือจีน!! จับตาผู้ส่งออกจีนถือดอลลาร์ในมือกว่า 500,000 ล้าน ลุ้น!! หากแปลงเป็นหยวน 'เงินหยวน' จ่อแซงหน้าดอลลาร์ทันที

(10 ก.ย. 67) 'IMCT News Thai Perspective on Global News' เผยสถานการณ์เงินตราโลกในปี 2024 จับตาไปที่เงินดอลลาร์ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่ผู้ส่งออกจีนครอบครองอยู่ หากแปลงเป็นหยวนทั้งหมดจะส่งให้เงินจีนแข็งค่าขึ้นทันตา จนอาจแซงหน้าดอลลาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในการทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ เนื่องจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเริ่มไม่นิยมใช้ดอลลาร์แล้ว แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกจีนยังลังเลที่จะเก็บหยวนไว้ เพราะอาจผันผวนและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงยังไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อดอลลาร์ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ เงินจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจตัวใหม่ทันที 

ผู้ส่งออกของจีนมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในครอบครองรวมกันสูงถึงราว 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16.5 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2024 ซึ่งเป็นผลจากการค้าขายระหว่างประเทศ หากพวกเขาพร้อมใจกันเปลี่ยนเงินดอลลาร์ที่ถือครองเหล่านี้มาเป็นเงินหยวนจีนแทน ค่าเงินหยวนก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทันทีจากแรงซื้อเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้จีนก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่จะมาท้าทายสถานะของดอลลาร์สหรัฐได้

ท่ามกลางการอ่อนแรงลงของค่าเงินสหรัฐฯ สะท้อนผ่านดัชนี DXY ที่ร่วงลงมาอยู่ที่ราว 100 จุด และเสี่ยงที่จะยังหดตัวต่อไปเรื่อย ๆ ประกอบกับความพยายามของกลุ่ม BRICS ที่ต้องการดันบทบาทของเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ถ้าหยวนเป็นที่นิยมในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ดอลลาร์ก็มีสิทธิ์แพ้ภัยในทันที เพราะปริมาณดอลลาร์ฯ มหาศาลจะไหลย้อนกลับสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการใช้ลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก

แม้ในเวลานี้ผู้ส่งออกจีนอาจจะยังชะลอการเปลี่ยนเงินดอลลาร์ เพราะยังได้ประโยชน์จากการถือครองสกุลเงินหลักของโลก และกังวลกับความผันผวนของเงินหยวนที่ยังผูกโยงกับเศรษฐกิจในประเทศ แต่สักวันหนึ่ง หากทุกคนลงความเห็นที่จะเทขายดอลลาร์พร้อมกัน เพื่อถือครองเงินหยวนแทน นั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะทำให้สกุลเงินจีนแข็งแกร่งจนก้าวขึ้นแท่นเงินตราหลักของโลกได้อย่างรวดเร็ว #imctnews รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top