Saturday, 20 April 2024
WORLD

'หุ้นชิปเมกา' ว้าวุ่น!! มูลค่าหายวับ 2.7 ล้านล้านบาท  หลังแบนส่งออกชิปจีนเข้ม ด้าน 'Nvidia' ติดร่างแห

(18 ต.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'เดือดทะลักจุดแตก' โพสต์ข้อความถึงกรณีหุ้นชิปสหรัฐฯ วูบ หลังแบนส่งออกชิปให้กับจีน ว่า...

ดูจากดัชนี PHLX Semiconductor Sector ของตลาดวอลล์ สตรีท สหรัฐอเมริกานะครับ วัดอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ หรือว่า 'ชิป' น่ะเอง ปรากฏว่าหุ้นดิ่งจนมูลค่าหายวับ 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์

ทีแรกว่าจะไม่โพสต์แล้วนะครับ แบนแล้วแบนอีก แบนไม่รู้จบ ซึ่งก็แบนซ้ำๆ --- คนก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าอเมริกา 'แบน' ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปให้จีน

การแบนโน่นนิดนี่หน่อยเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้มีอันใดน่าประหลาดใจ ... แต่เห็นข่าวนี้มันกระเพื่อมตลาดหุ้นพอควร ก็ต้องโพสต์ครับ!!!

เรื่องใหญ่ยังไง? เดิมก็ 'แบน' อยู่แล้วนะครับ ชิปขั้นสูงสำหรับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อสกัดกั้นจีนมิให้ผงาดง้ำ

แต่ว่าตรงนี้ จะขยับเกณฑ์ความสูงลงมาหน่อย --- ว่าง่ายๆ ก็คือ ชิปขั้นไม่ต้องสูงมากก็ต้องโดนไปด้วย

วงกว้างขึ้นว่างั้น

แล้วก่อนนี้ บริษัท Nvidia ของอเมริกาเอง ที่โดน 'แบน' ชิปรุ่น A100 และ รุ่น H100 นั้น ก็ 'แก้ลำ' ด้วยการออกรุ่น A800 และรุ่น H800 ซึ่งรองๆ ลงมา ผ่านเกณฑ์ที่ส่งออกไปให้จีนได้ (แล้วก็ยังดีพอจะถูไถสำหรับทำ AI แม้จะลดหลั่นลงมา) ... ปรากฏว่าล่าสุด อเมริกาก็รวบรุ่นที่ว่านี้เข้าไปด้วย

เสร็จเลยครับ

สำหรับ หุ้น Nvidia Corp. ร่วงลงมากที่สุดระหว่างวันถึง 7.8% ขณะที่ ณ เวลา 10.26 ตามเวลาประเทศไทยหุ้นชิปดังกล่าวลดลง 4.68% หรือ 21.57 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 439.38 ดอลลาร์

‘Flash Coffee’ ร้านกาแฟสัญชาติอินโดฯ ปิดแล้วทุกสาขาในสิงคโปร์ ด้านใน ‘ไทย’ พบขาดทุนกว่า 100 ล้านบาท หลังติดลบต่อเนื่อง 

เมื่อไม่นานนี้ ‘แฟลช คอฟฟี่’ (Flash Coffee) ร้านกาแฟสตาร์ตอัปสัญชาติอินโดนีเซีย ประเดิมสาขาแรกในบ้านเกิดเมื่อปี 2020 และสามารถขยายไปอีกหลายประเทศทั่วเอเชียได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงไทยที่มีสาขากระจายทั่วทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ล่าสุดสำนักข่าว ‘เซาท์ ไชน่า มอนิ่ง โพสต์’ (South China Morning Post) รายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดของ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ในประเทศสิงคโปร์ว่า บริษัทปิดทำการร้านแฟรนไชส์ทุกสาขาในสิงคโปร์ทั้งหมดแล้ว โดยโฆษกของแบรนด์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของบริษัทจะไม่กระทบกับสาขาในประเทศอื่นๆ อาทิ สาขาในฮ่องกงที่ยังคงดำเนินกิจการตามปกติ พร้อมกันนี้ บริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนและขยายตลาดในภาคส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวระบุถึงสาเหตุการถอนทัพจากสิงคโปร์ของ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ว่า อาจมาจากสองประเด็นหลักๆ คือ ‘ภาระหนี้สินบริษัทที่เพิ่มขึ้น’ ส่งผลถึงการหยุดงานประท้วงของพนักงาน เนื่องจากการจ่ายเงินเดือนที่ล่าช้ากว่ากำหนด ทว่า โฆษกของแฟลช คอฟฟี่ได้ออกมายืนยันภายหลังว่า พนักงานในสิงคโปร์ไม่ได้มีการนัดหยุดงานประท้วงแต่อย่างใด บาริสต้าและพนักงานในส่วนอื่นๆ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว เนื่องจากร้านค้ามีการหยุดดำเนินการไปก่อนหน้า

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการปิดตัวลงในสิงคโปร์ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ได้ประกาศถอนตัวออกจากไต้หวันไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 รวมถึงสาขาในไทยที่มีการระบุบนเว็บไซต์ทางการว่า เปิดให้บริการกว่า 84 สาขานั้น ได้มีการทำการสำรวจข้อมูลแล้ว ล่าสุดบนแอปพลิเคชัน ‘แฟลช คอฟฟี่’ พบว่า ปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการทั้งหมด 42 สาขา ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง หลังจากเข้ามาทำตลาดในไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563

สำหรับข้อมูลผลประกอบการของ ‘บริษัท แฟลช คอฟฟี่ ทีเอช จำกัด’ พบว่า ยังคงมีตัวเลข ‘ติดลบ’ ต่อเนื่องกันทั้งสองปี ดังนี้

- ปี 2563 : รายได้รวม 3.2 ล้านบาท ขาดทุน 8.5 ล้านบาท
- ปี 2564 : รายได้รวม 60 ล้านบาท ขาดทุน 100 ล้านบาท

‘นายกฯ มาเลเซีย’ ประกาศหนุน ‘กลุ่มฮามาส-ชาวปาเลสไตน์’ ลั่น!! พร้อมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม บรรเทาทุกข์เหยื่อสงคราม

นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศตัวชัดเจน ให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาสและชาวปาเลสไตน์ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตก พร้อมเรียกร้องอิสราเอลยุติการโจมตีฉนวนกาซา และเปิดพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เผยแพร่ข้อความผ่านบัญชีอย่างเป็นทางการของตนในโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊กและ X หรือทวิตเตอร์เดิม เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (17 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ประกาศยืนยันการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ และเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการทิ้งระเบิดโจมตีฉนวนกาซาทันที และจัดตั้งเขตปลอดภัยจากการสู้รบที่เมืองราฟาห์ ซึ่งมีจุดผ่านแดน ‘ด่านราฟาห์’ จากกาซาไปอียิปต์ เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์
.
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) เขาโทรศัพท์ไปพูดคุยกับนายอิสมาอิล ฮานิเยะห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส เพื่อแสดงการสนับสนุนอย่างแน่วแน่ของมาเลเซียต่อชาวปาเลสไตน์

“เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายมากในฉนวนกาซา ผมจึงขอเรียกร้องให้ยุติการทิ้งระเบิดทันที พร้อมจัดตั้งระเบียงมนุษยธรรม (Humanitarian Corridor) (เขตปลอดภัยจากการสู้รบ ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการอพยพพลเรือน) นอกพื้นที่สู้รบ ที่เมืองราฟาห์” นายอันวาร์ กล่าว

นายกฯ อันวาร์ยังเรียกร้องให้อิสราเอลละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองผ่านการแย่งชิง (Politics of Dispossession) และดำเนินการตามสันติวิธีเพื่อยุติความขัดแย้งนี้

นอกจากนี้ นายอันวาร์ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะอาหาร และยารักษาโรค เพื่อบรรเทาความทุกข์ของเหยื่อจากการสู้รบนี้

ทางการมาเลเซียได้เปิดเผยว่า พวกเขาได้รับแรงกดดันจากชาติตะวันตกให้ออกมาประณามการบุกโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส ซึ่งนายกฯ อันวาร์ ก็ได้กล่าววานนี้ว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการกดดันจากชาติตะวันตก อีกทั้งมาเลเซียก็มีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสมาตั้งนานแล้ว และประเทศจะคงความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสต่อไป

ทั้งนี้ มาเลเซียถือเป็นหนึ่งในชาติที่มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มฮามาส และให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์มาเป็นเวลานาน อีกทั้งมาเลเซียก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล

ระเบิด 'โรงพยาบาลฉนวนกาซา' ดับครึ่งพัน ส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก 'ฮามาส' ชี้!! นี่คืออาชญากรรมสงคราม ฟากอิสราเอลปัดเอี่ยว

(18 ต.ค. 66) เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่โรงพยาบาลในฉนวนกาซาซึ่งเต็มไปด้วยผู้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงชาวปาเลสไตน์อื่น ๆ ที่หาพี่พักพิงเพื่อหลบหนีความรุนแรง เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขกาซา ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 500 ราย

เหตุระเบิดโรงพยาบาลที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นที่อัล-อะห์ลี ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากโรงพยาบาลอื่น ๆ ในฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยชาวปาเลสไตน์จำนวนมากซึ่งพากันลี้ภัยไปอยู่ในโรงพยาบาล โดยหวังว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากการทิ้งระเบิด หลังจากอิสราเอลได้สั่งให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหมดรวมถึงพื้นที่โดยรอบทางตอนเหนืออพยพลงไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา

ภาพวิดีโอที่ได้รับการยืนยันว่า มาจากโรงพยาบาลที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นเพลิงไหม้ลุกท่วมอาคาร ขณะที่บริเวณโรงพยาบาลเต็มไปด้วยศพผู้คนที่ฉีกขาดจากแรงระเบิด ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นเพียงเด็กเล็ก ซึ่งรอบศพของพวกเขาที่อยู่บนพื้นหญ้ามีผ้าห่ม เป้สะพายหลังของโรงเรียน และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ กระจัดกระจายอยู่

หลังเกิดเหตุระเบิดทั้งรถพยาบาลและรถยนต์ส่วนตัวได้เร่งนำผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 350 คนไปยังโรงพยาบาลอัล-ชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในฉนวนกาซาที่เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บจากการโจมตีจากที่อื่นๆ อยู่แล้ว โดยสภาพภายในโรงพยาบาลผู้บาดเจ็บต่างนอนจมกองเลือดบนพื้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ด้าน อิสราเอลและปาเลสไตน์ ต่างกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นฝ่ายยิงจรวดใส่โรงพยาบาลดังกล่าว โดยฮามาสอ้างว่าเป็นการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล และเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการสังหารหมู่ที่น่าสยดสยอง

ขณะที่ กองทัพอิสราเอล ก็กล่าวโทษว่าโรงพยาบาลถูกโจมตีจากจรวดที่ยิงพลาดเป้าของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตล์ ที่ได้ทำการยิงจรวดจำนวนมากใกล้กับโรงพยาบาลในขณะนั้น โดยอ้างข่าวกรองจากหลายแหล่งที่อิสราเอลมีในมือซึ่งบ่งชี้ว่า กลุ่มญิฮาดอิสลามเป็นผู้รับผิดชอบต่อการยิงจรวดที่ล้มเหลวครั้งนี้

ในเวลาต่อมาฝ่ายสื่อของรัฐบาลฮามาสได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีโรงพยาบาลในฉนวนกาซาถือเป็นอาชญากรรมสงคราม เพราะโรงพยาบาลเป็นที่พักพิงของผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคน รวมถึงผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากบ้านเรือนของตนเอง และขณะนี้มีเหยื่อหลายร้อยคนยังคงติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังของโรงพยาบาลดังกล่าว

ขณะที่โฆษกของกองทัพอิสราเอลไม่สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้น หรือไม่โดยบอกเพียงว่ากำลังตรวจสอบอยู่

นอกจากเหตุโจมตีโรงพยาบาลแล้ว องค์กรบรรเทาทุกข์และจัดหางานแห่งสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยสำหรับขาวปาเลสไตน์ของยูเอ็นยังระบุด้วยว่า รถถังของอิสราเอลได้ยิงจรวดโจมตีโรงเรียนของยูเอ็นในตอนกลางของฉนวนกาซา ซึ่งมีชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยอยู่ราว 4,000 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายและได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานของยูเอ็นในพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างน้อย 24 แห่งที่ถูกโจมตีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 14 ราย

‘นายกฯ เศรษฐา’ หวังเพิ่มความร่วมมือ BRI กับจีน ปั้น ‘โครงสร้างพื้นฐาน-พลังงานสีเขียว’ ดึงทุนใหญ่เข้าไทย

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผยบทสัมภาษณ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ระบุว่า แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ได้ส่งเสริมการร่วมสร้างการเชื่อมต่อระดับชาติ และไทยมุ่งหวังเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนในด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสีเขียว รวมถึงขยับขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ขณะสัมภาษณ์พิเศษก่อนเดินทางเยือนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 ในกรุงปักกิ่ง นายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา แผนริเริ่มฯ ได้พัฒนาการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ และไทยหวังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังล้าหลังของประเทศผ่านความร่วมมือตามแผนริเริ่มฯ

“ถ้าไม่มีวิธีการขนส่งที่ทันสมัย ย่อมไม่สามารถหมุนเวียนสินค้าได้ดี” นายเศรษฐากล่าว โดยหลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกฯ แล้ว เศรษฐาได้เดินทางเยือนจังหวัดหนองคายเพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และเผยว่าสถานะจุดเปลี่ยนผ่านของหนองคายบนทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย จะส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมาก

นายกฯ ให้สัมภาษณ์อีกว่า ไทยจะขยับขยายการเชื่อมต่อระหว่างทางรถไฟภายในประเทศกับทางรถไฟจีน-ลาว พร้อมกับเดินหน้าการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ยกระดับทางรถไฟที่มีอยู่เดิมและกระตุ้นการเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงปรับปรุงท่าอากาศยานและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการอำนวยความสะดวกอื่นๆ

“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังมีสิ่งที่สามารถทำได้และควรทำให้สำเร็จอยู่อีกมาก” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกันการร่วมสร้างแผนริเริ่มฯ มีบทบาทส่งเสริมการพัฒนาพลังงานสีเขียวอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ โดยนายเศรษฐาสำทับว่าไทยหวังยกระดับการพัฒนาพลังงานสีเขียว ดึงดูดการลงทุนระดับสูงเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวภายใต้แผนริเริ่มฯ

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนที่กำลังเติบโต นายเศรษฐากล่าวว่า มีบริษัทจีนเข้าลงทุนและก่อสร้างโรงงานในไทยไม่น้อย ทำให้ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน โดยไทยและจีนควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะสร้างงานในไทย รวมถึงยกระดับการผลิตและการส่งมอบยานยนต์

นอกจากนั้น นายเศรษฐา ยังแสดงความหวังว่าไทยและจีนจะเสริมสร้างความร่วมมือทางเทคโนโลยี โดยชี้ว่าการจัดตั้งโรงงานในไทย บริษัทจีนย่อมต้องนำทีมวิศวกรชั้นนำมาด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ความก้าวหน้าของจีน ขณะเดียวกันหวังว่าบุคลากรของไทยจะมีโอกาสเดินทางไปฝึกอบรมที่จีนด้วย

ส่วนการดำเนินนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลา 5 เดือน นายเศรษฐากล่าวว่า จีนเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดของไทย การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าจะเกื้อหนุนนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทย รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศ วางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับความร่วมมือเพิ่มเติม

เมื่อเอ่ยถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน นายเศรษฐา เผยว่า ไทย-จีน มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยและหนึ่งในแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งเขาจะนำคณะผู้แทนชุดใหญ่ที่ร่วมเยือนจีนครั้งนี้เข้าหารือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางการเกษตร การค้า การลงทุน และอื่นๆ

“ผมตั้งตารอการเดินทางเยือนครั้งนี้อย่างมาก” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

ส่องจุดยืนนานาชาติต่อสงคราม ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ ภายใต้เสียงแบ่งขั้ว ที่มองทั่วๆ แล้ว มีมากกว่าปัญหาแก่งแย่งดินแดน

(17 ต.ค. 66) มีคำกล่าวว่า ต่อให้เราไม่ยุ่งกับการเมือง เดี๋ยวการเมืองก็จะมายุ่งกับเราเอง เช่นเดียวกันกับสงคราม ที่ต่อให้เราไม่ได้เป็นคนก่อ และไม่ใช่คู่กรณี แต่สุดท้ายก็จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

ไม่ต่างจากสงครามระหว่างอิสราเอล และ กองกำลังฮามาส ณ ขณะนี้ ที่ทั่วโลกกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในหลายประเทศ แม้ไม่ได้อยู่เขตพื้นที่สงครามแต่อย่างใด

ซึ่งต้องยอมรับว่าการโจมตีของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมเป็นต้นมา ถือเป็นการโจมตีชุมชนชาวอิสราเอลที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังถือเป็นหนึ่งในเหตุก่อการร้ายช็อกโลกที่สุดครั้งหนึ่งเช่นกัน และทำให้ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ ผู้นำอิสราเอลประกาศภาวะสงครามในอิสราเอลเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และใช้ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ โจมตีฉนวนกาซาอย่างหนัก ทำลายอาคาร บ้านเรือนย่อยยับ และทำให้ชาวปาเลสไตน์นับล้านพลัดถิ่นกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย

ท่ามกลางวิกฤติสงครามในฉนวนกาซา โลกก็ได้แบ่งขั้วเป็น 2 ฝั่ง โดยชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และอีกกว่า 40 ประเทศออกมาประณามกลุ่มก่อการร้ายฮามาส และสนับสนุนฝ่ายอิสราเอล โดยมองว่าอิสราเอลมีความชอบธรรมตามกฎหมายในการป้องกันตนเอง

แต่ในขณะเดียวกัน โลกมุสลิมในตะวันออกกลาง นำโดย อิหร่าน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต ซีเรีย และอิรัก มองว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีต้นเหตุเกิดจากอิสราเอล ที่สร้างความขัดแย้ง และความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซา มานานนับ 10 ปี รวมถึงการก่อเหตุรุนแรงของทางการอิสราเอลในมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ ‘อัล-อัคซอร์’ และการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาที่ผ่านมา ได้สังหารชีวิตพลเรือนชาวปาเลสไตน์ไปเป็นจำนวนมาก และต้องไม่ลืมว่า การรุกไล่ที่ดิน และครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ของรัฐบาลอิสราเอลเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แต่ทั้งนี้ ก็มีหลายชาติมหาอำนาจที่พยายามชูนโยบายสายกลาง โดยมองว่า ไม่ใช่เวลาที่จะออกมาเลือกข้าง หรือประณามการกระทำของใครว่าเป็นฝ่ายผิดทั้งหมด ซึ่งกลุ่มพันธมิตรสายกลาง นำโดย จีน รัสเซีย ตุรกี กลุ่มประเทศสหภาพแอฟริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดความรุนแรงลง เพื่อสามารถถอยกลับไปสู่จุดที่สามารถเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพได้ และยังเชื่อว่า ‘การแก้ปัญหาแบบสองรัฐ’ (Two-state Solution) สามารถยุติความขัดแย้งได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้ก็ต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับพลเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม

แต่หากมองมาทางฟากฝั่งเอเชียแปซิฟิก ก็จะพบว่าประเทศที่เป็นพันธมิตรอันดีกับสหรัฐอเมริกา มักแสดงท่าทีออกมาประณามกลุ่มฮามาส หรือสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งไทยด้วย แต่ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ มักเลือกที่จะสนับสนุนปาเลสไตน์ หรือ เลือกนโยบายเป็นกลางที่ประณามความรุนแรงจากทุกฝ่าย อาทิ เกาหลีเหนือ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น

ในขณะที่ ประเทศในโซนอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แสดงท่าทีไปในทางสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน แต่โซนอเมริกาใต้กลับเสียงแตก มีทั้งสนับสนุนอิสราเอล และขอยืนเป็นกลาง หรือประณามความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย ส่วนกลุ่มทวีปแอฟริกาค่อนข้างชัดเจนว่า ส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงในกาซา และไม่ขอออกตัวประณามกลุ่มฮามาสแต่เพียงฝ่ายเดียวด้วยเช่นกัน

เมื่อทั่วโลกมีความเห็นที่แตกต่างกันชัดเจน 2 กลุ่ม ความรุนแรงในกาซา จะยกระดับไปสู่สงครามตัวแทน หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้หรือไม่?

‘เจเรมี โบเวน’ ผู้สื่อข่าวนานาชาติ ของสำนักข่าว BBC มีความเห็นว่า สงครามครั้งนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นหากมีการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก อาทิ อิหร่าน กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน รวมถึง กองทัพสหรัฐฯ เช่นกัน และจำนำความเสียหายใหญ่หลวงมาสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลของชาติในตะวันออกกลางรู้ดี และเชื่อว่าไม่น่าจะชาติใดกล้าแบกรับความเสี่ยงนี้  ดังนั้น การสู้รบในฉนวนกาซาน่าจะถูกจำกัดวงไม่ให้กระจายออกไปสู่พื้นที่อื่นๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มฮามาส ต้องการบรรลุเป้าหมายใดจากการใช้กำลังทหารโจมตีอิสราเอล แม้จะรู้ว่าเป็นการสงครามแบบอสมมาตร

เรื่องนี้ ‘โมฮัมเหม็ด อัล-เดอิฟ’ โฆษกกลุ่มฮามาส เคยออกมาประกาศว่า “ความอดทนสิ้นสุดแล้ว” ดังนั้น เหตุผลหลักของการขับเคลื่อนยุทธวิธีของกลุ่มฮามาส คือ ตอบโต้นโยบายกดขี่ของรัฐบาลอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ ที่สั่งสมเป็นปัญหามานานหลายสิบปี

แต่ทั้งนี้ ‘อับดุลาซิส เซเกอร์’ หัวหน้าศูนย์วิจัย Gulf Research Center แห่งซาอุดีอาระเบีย มองว่า สิ่งที่ถือว่าฮามาสบรรลุเป้าหมายจากสถานการณ์นี้ คือ สามารถเปิดเผยจุดอ่อนด้านความมั่นคงของอิสราเอล และทัศนคติของรัฐบาลอิสราเอลที่มีต่อปาเลสไตน์อย่างหมดเปลือก

อีกทั้งยังทำให้ทั่วโลกหันกลับมามองปัญหาในดินแดนปาเลสไตน์ และถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก แทนที่จะถูกมองเป็นประเด็นรองๆ หรือ ถูกลดทอนความสำคัญโดยสื่อตะวันตกอย่างที่แล้วมา ซึ่งนั่นทำให้ปัญหาด้านสันติภาพในดินแดนแห่งนี้ถูกซุกไว้ใต้พรมที่เขียนด้วยคำสวยหรูว่า “แผนสันติภาพ” มาโดยตลอด

และทำให้วันนี้ มีการขุดคุ้ย ตีแผ่ ไล่เรียง ประวัติศาสตร์เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างชาวอิสราเอล และชาวปาเลสไตน์ กันอย่างกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และมองสถานการณ์ครั้งนี้ด้วยใจที่เป็นธรรมมากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกข้าง หรือกล่าวประณามฝ่ายใด

‘เปปเปอร์ เอ็กซ์’ ทุบสถิติกินเนสส์บุ๊ก ขึ้นแท่นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ค่าความ ‘เผ็ด’ แซงหน้า ‘แคโรไลนา รีเปอร์’ เจ้าของสถิติเดิมถึง 2 เท่า!!

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ‘กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด’ (Guinness World Records) รับรองสถิติอย่างเป็นทางการของพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกอย่าง ‘เปปเปอร์ เอ็กซ์’ (Pepper X) ด้วยคะแนนระดับ 2.693 ล้านสกอวิลล์ ซึ่งเป็นหน่วยวัดระดับความเผ็ด แซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมอย่างพริกสายพันธุ์ ‘แคโรไลนา รีเปอร์’ ที่มีระดับความเผ็ดอยู่ที่ 1.64 ล้านสกอวิลล์

โดยเจ้าของพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก คือ นายเอ็ด คูร์รีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท พัคเกอร์บัตต์ เปปเปอร์ ในเซาท์ แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายเอ็ด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกและดัดแปลงสายพันธุ์พริกที่มีความเผ็ดในระดับโลก และยังเป็นผู้ดัดแปลงและพัฒนาพริกสายพันธุ์แคโรไลนา รีเปอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติเดิมด้วย

‘เปปเปอร์ เอ็กซ์’ เป็นพริกที่มีสีเหลือง เกิดจากการดัดแปลงสายพันธุ์ที่ใช้ต้นแบบของพริกสายพันธุ์แคโรไลนา รีเปอร์ พร้อมใช้เวลากว่า 5 ปี ในการพิสูจน์ว่าเปปเปอร์ เอ็กซ์ เป็นพริกชนิดใหม่ที่ไม่ซ้ำกับพริกใด ตัวพริกให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนในปากและใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงกว่าอาการเผ็ดจะลดลง ทำให้พริกทรินิแดด มอรูก้า สกอร์เปี้ยน เจ้าของสถิติพริกที่เผ็ดสุดในโลกก่อนหน้าพริกสายพันธุ์แคโรไลนา รีเปอร์ ที่มีความเผ็ดระดับ 2.009 ล้านสกอวิลล์ จึงหล่นลงมาอยู่อันดับ 3 ส่วนพริกเซเว่น พอต ดักลาห์ ที่มีความเผ็ดระดับ 1.853 ล้านสกอวิลล์ ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 4 ตามลำดับ

‘เยียนไถ’ รุกคืบปลูกสมุนไพรใต้แผงโซลาร์เซลล์ หนุนพลังงานสะอาด เดินเครื่องสถานีไฟฟ้าผสานเกษตรฯ สร้างมูลค่า ศก.กว่า 5 แสนหยวน

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ จางเจียจวง ศูนย์กลางการขนส่งในเขตฝูซาน เมืองเยียนไถ มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน เริ่มดำเนินงานโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (PV) ระยะที่ 1 โดยผสมผสานการผลิตไฟฟ้ากับการเกษตร

แผงเซลล์แสงอาทิตย์ของสถานีผลิตไฟฟ้าแห่งนี้จะรับแสงแดดได้เต็มที่ ซึ่งจะถูกแปลงเป็นพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมส่งเข้าไปที่บริษัทสเตต กริด เยียนไถ พาวเวอร์ ซัพพลาย คอมพานี (State Grid Yantai Power Supply Company) ก่อนจะจ่ายไปยังบ้านเรือนของประชาชน

โครงการดังกล่าวเป็นโครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ดำเนินการสอดประสานกับลักษณะเกษตรกรรมของท้องถิ่น มีจุดมุ่งหมายเพื่อการ ‘ผลิตไฟฟ้าบนแผงเซลล์ ปลูกพืชใต้แผงเซลล์’ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการบรรเทาความยากจนที่ผสมผสานการเกษตร และการผลิตไฟฟ้าผ่านการปลูกผักอินทรีย์ ผลไม้คุณภาพสูง หรือสมุนไพรจีน ในพื้นที่โครงการผลิตไฟฟ้า

สถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้มีกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ และผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยปีละราว 70.22 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง สร้างรายได้สุทธิทางเศรษฐกิจแก่หมู่บ้านกว่า 500,000 หยวน (ราว 2.52 ล้านล้านบาท) และสร้างประโยชน์แก่ผู้คนกว่า 700 คน ขณะเดียวกันลดการใช้ถ่านหินมาตรฐานได้ 21,417.67 ตันในแต่ละปี และลดก๊าซอันตรายและการปล่อยไอเสียได้

ขณะนี้ กำลังการผลิตติดตั้งของการผลิตพลังงานสะอาดในเยียนไถอยู่ที่ 11.74 ล้านกิโลวัตต์ เป็นอันดับหนึ่งในมณฑลซานตง โดยคิดเป็นร้อยละ 54.49 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั้งหมดในซานตง

BYD ฟันยอดขายเดือน 8 พาผงาดอันดับ 4 ของโลก  เหตุ 'กระแสรถไฟฟ้าบูม-ส่งรถใหม่' สู่ตลาดต่อเนื่อง

(17 ต.ค.66) เว็บไซต์ CarNewChina.com ได้เปิดเผยว่า จากการรวบรวมยอดขายรถยนต์ใน 37 ตลาดใหญ่ของโลกในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยนอกจากตลาดจะมียอดขายอยู่ที่ 5.55 ล้านคันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแยกตามแบรนด์แล้ว จะพบว่า BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีน สามารถทำยอดขายแซงหน้า Ford และ Hyundai ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกสำหรับยอดขายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการเปิดเผยยอดขายในเชิงตัวเลขออกมา แต่ระบุว่าเป็นการวัดจากส่วนแบ่งยอดขายที่เกิดขึ้นในเดือนนั้นๆ โดย BYD ทำตัวเลขของส่วนแบ่งทางตลาดอยู่ที่ 4.8% เหนือจากเจ้าของเดิมอย่าง Hyundai และ Ford อยู่ที่ 0.5 และ 0.6% ตามลำดับ และเบียดกับอันดับ 3 คือ Honda ด้วยตัวเลขที่ห่างกันเพียง 0.1% เท่านั้น

สำหรับเหตุผลที่ทำให้ BYD สามารถทำยอดขายในเดือนสิงหาคมได้นั้น เป็นผลมาจากความต้องการรถยนต์พลังไฟฟ้าในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ BYD เองเริ่มส่งผลผลิตใหม่ๆ ของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีที่แล้ว รวมถึงการขยายตลาดออกสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้ยอดขายในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมถึง 5% สวนทางตลาดรถยนต์ในจีนที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องยอดขายที่ไม่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลความต้องการที่ลดลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อ BYD

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนก็ยังเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง และทาง BYD พยายามที่รุกตลาดอยู่แล้วด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีความคุ้มค่าออกสู่ตลาด เมื่อความต้องการ 2 ส่วนมาสอดคล้องกันก็เลยทำให้เกิดตัวเลขยอดขายที่ดีขึ้น และยังต้องดูและติดตามถึงความคงที่ในเรื่องของการสร้างยอดขายของแบรนด์กันต่อไปว่า BYD จะยังรักษาตัวเลขของการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน

ขณะเดียวกัน หากมองในเรื่องของ The Most Valuable Car Company หรือบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงสุดนั้น BYD กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่ได้รับการประเมินและมีตัวเลขในส่วนนี้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดสามารถแซง Volkswagen ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 3 ของโลก ต่อจาก Tesla และ Toyota ที่อยู่ในอันดับ 1 และ 2 โดยเป็นบริษัทรถยนต์จีนเพียงรายเดียวในท็อปเท็นลิสต์

สำหรับ BYD ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 ในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่และเข้าสู่ตลาดรถยนต์ในปี 2003 ซึ่งตอนนั้นพวกเขามีรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นทางเลือกที่มีอยู่ในตลาด ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ซึ่งในปัจจุบันพวกเขาเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในจีน

ปัจจุบัน BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเพียงรายเดียวที่ติดอันดับ 10 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกตามมูลค่าตลาด ผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่รายอื่นๆ ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้แก่ Li Auto, Nio และ Xpeng แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้เพิ่มพวกเขาเข้าไปในรายการ 'การเพิกถอนก่อนจดทะเบียน' พร้อมด้วยอีกกว่า 80 รายจากบริษัทจีน สิ่งนี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ใช้มาตรการตอบโต้ เช่น Nio เปลี่ยนไปจดทะเบียนในสิงคโปร์แทน

'Qualcomm' จ่อปลดพนักงาน 1,258 ตำแหน่ง  เซ่น 'รายได้หด-หัวเว่ยหนีซบพันธมิตรในท้องถิ่น'

(17 ต.ค. 66) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ควอลคอมม์ (Qualcomm) บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ สัญชาติอเมริกา เตรียมจะปลดพนักงานประมาณ 1,258 คน ในสำนักงาน 2 แห่งในแคลิฟอร์เนีย ตามเอกสารที่ยื่นกับแผนกพัฒนาการจ้างงานของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้ บริษัทมีพนักงานประมาณ 51,000 คน ณ เดือนกันยายน 2565 ตามเอกสารการเงินประจำปีครั้งล่าสุด ดังนั้นจำนวนนี้ จึงถือเป็น 2.5% ของพนักงาน สาเหตุหลักของการลดตำแหน่งงานคือ รายได้ลดลงหลังจากธุรกิจชิปที่ซบเซาในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท

ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายนี้ แจ้งกับรัฐว่า จะเลิกจ้างพนักงานในซานดิเอโกประมาณ 1,064 คน และพนักงานในซานตาคลารา 194 คน จะมีผล 13 ธันวาคม ทั้ง 2 แห่ง

ควอลคอมม์ ระบุกับ ซีเอ็นบีซี ว่า บริษัทชี้ไปที่รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด โดยระบุว่า คาดว่าจะมีการลดจำนวนสถานที่ทำงานและค่าธรรมเนียมในการปรับโครงสร้าง

เมื่อเดือนที่แล้ว นักวิเคราะห์ หมิงชื่อ กัว เปิดเผยว่าควอลคอมม์ อาจสูญเสียลูกค้ารายใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับหัวเว่ย ผู้ผลิตชาวจีนซื้อ SoC มากกว่า 40 ล้านตัวในปี 2566 แต่กำลังเปลี่ยนไปสู่พันธมิตรในท้องถิ่นในปี 2567 และต่อ ๆ ไป

‘UNSC’ ตีตกข้อเสนอ ‘รัสเซีย’ ไม่ผ่านมติหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม หลังเรียกร้องให้ ‘อิสราเอล-ฮามาส’ ปล่อยตัวประกัน-อพยพ ปชช.

(17 ต.ค. 66) จากกรณีที่รัสเซียยื่นร่างข้อเสนอ เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 66 ซึ่งเรียกร้องให้ปล่อยตัวตัวประกัน การเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการอพยพพลเรือนที่ต้องการอย่างปลอดภัย ในพื้นที่ฉนวนกาซา ระหว่างการสู้รบของกองทัพอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส เข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) นั้น ล่าสุด มติดังกล่าวไม่ผ่านการรับรองจากที่ประชุม

รายงานข่าว Russia push for UN Security Council action on Israel, Gaza fails จากสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ในการประชุม UNSC เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา มติซึ่งต้องการคะแนนเสียงขั้นต่ำ 9 จากกลุ่มสมาชิก 15 ชาติ ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบเพียง 5 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง

‘ดาเนียล โนโบอา’ นักธุรกิจวัย 35 ชนะเลือกตั้ง ปธน.เอกวาดอร์ ท่ามกลางความหวัง ปชช. ช่วยขจัดความรุนแรง-อาชญากรรม

เมื่อวานนี้ (16 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเอกวาดอร์ รอบ 2 เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 66 ตามเวลาท้องถิ่น โดยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ที่นับแล้วร้อยละ 90 ชี้ให้เห็นว่า นายดาเนียล โนโบอา นักธุรกิจชื่อดังวัย 35 ปี ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งเป็นการคว้าชัยชนะเหนือ น.ส.ลุยซา กอนซาเลซ คู่แข่งจากพรรคขบวนการปฏิวัติพลเมือง พรรคประชานิยมฝ่ายซ้ายและตัวแทนของอดีตประธานาธิบดีราฟาเอล กอร์เรอา ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อเดือน ส.ค. 66 ที่
ผ่านมา

และส่งผลให้นายโนโบอา ขึ้นแท่นเตรียมเป็นผู้นำประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเอกวาดอร์ โดยประชาชนตั้งความหวังว่าผู้นำคนใหม่จะแก้วิกฤตอาชญากรรมและความรุนแรงในประเทศที่อัตราการฆาตกรรมเพิ่มขึ้นไปกว่า 4 เท่าในช่วง 61-65

สื่อนอก เผย ‘บอดี้การ์ดเทย์เลอร์ สวิฟต์’ ทิ้งเงินเดือน 18 ลบ./ปี เดินทางกลับบ้านเกิด เข้าร่วมกองทัพอิสราเอลสู้รบกลุ่มฮามาส

(17 ต.ค. 66) สื่ออิสราเอลรายงานว่า โซเชียลเตรียมเมลท์ดาวน์ได้เลย..เพราะหนึ่งในบอดี้การ์ดของนักร้องชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ในทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ที่โด่งดังและราคาบัตรเข้าชมสุดแพงเดินทางจากสหรัฐฯ กลับเข้าบ้านเกิดอิสราเอลร่วมกับกองกำลังทหาร IDF สู้กับฮามาส และทิ้งเงินเดือน 18 ล้านบาท/ปีไว้ข้างหลัง

สกายนิวส์ของอังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) ว่า นักร้องอเมริกันขวัญใจคนทั้งโลก เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ต้องสูญเสียบอดี้การ์ดคนสำคัญไปหนึ่งคนอย่างช่วยไม่ได้

บิสซิเนสอินไซเดอร์เคยรายงานเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ราคาเฉลี่ยของบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต Eras Tour ที่ถูกนำกลับมาขายต่ออยู่ที่ราว 3,801 ดอลลาร์ หรือราว 137,913 บาท

สื่ออิสราเอลรายงานว่า หนึ่งในบอดี้การ์ดของนักร้องชื่อดังในทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ที่มากรอบและบัตรค่าเข้าชมสุดแพงและหายากยอมตัดใจสละเงินเดือนสูงถึง 500,000 ดอลลาร์/ปี หรือ 18,127,000 บาท/ปี (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันที่ 16 ต.ค.66 สำหรับ 1 ดอลลาร์ต่อ 36.25 บาท) เดินทางออกจากสหรัฐฯ กลับไปอิสราเอลบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังทหาร IDF สู้รบกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส

บอดี้การ์ดที่ไม่เปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์กับสื่ออิสราเอล Hayom ว่า “ผมมีชีวิตที่ดีมากในสหรัฐฯ งานในฝัน เพื่อนที่ดีมาก และบ้านที่มีความสะดวกสบาย”

และเสริมต่อว่า “ผมไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ แต่ผมไม่สามารถอยู่เฉยในขณะที่ครอบครัวกำลังโดนสังหารหรือถูกเผาทั้งเป็นในบ้านของคนเหล่านั้น”

บอดี้การ์ดเทย์เลอร์ สวิฟต์ กล่าวอีกว่า “อย่าอยู่เฉยแต่ไม่ทำอะไร อย่างยืนผิดข้างของประวัติศาสตร์”

ทั้งนี้พระแรบไบยิว ชมูเอล ไรช์มาน (Shmuel Reichman) ได้โพสต์ภาพของบอดี้การ์ดและได้เปิดเผยว่า พ่อหนุ่มรายนี้ยอมตัดใจทิ้งเงินค่าตอบแทนก้อนโตถึง 500,000 ดอลลาร์/ปีทิ้งไป ยังไม่รวมถึงการได้พบกับนักร้องสาวชื่อดังอย่างใกล้ชิดแบบตัวเป็น ๆ

ไรช์มานกล่าวว่า บอดี้การ์ดปัจจุบันได้อยู่ในหน่วยของกองกำลัง IDF และกำลังฝึกฝนเพื่อจัดการกับปิศาจฮามาสที่ชั่วร้าย

ระทึก!! ‘อิหร่าน’ ขู่ชิงโจมตีอิสราเอลก่อน ใน ‘อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’ หลังรัฐยิวตั้งท่าบุกฉนวนกาซา โหมกระพือความขัดแย้งลุกลามหนัก

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะชิงโจมตีเล่นงานอิสราเอลก่อน ‘ในอีกไม่ชั่วโมงข้างหน้า’ ส่งสัญญาณแข็งกร้าวถึงอิสราเอล ในขณะที่รัฐยิวเตรียมพร้อม สำหรับเปิดปฏิบัติการจู่โจมทางภาคพื้นบุกเข้าไปยังฉนวนกาซา

เตหะรานส่งเสียงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าการรุกรานทางภาคพื้นฉนวนกาซา ที่ถูกปิดล้อมมาช้านาน จะต้องเจอกับการตอบโต้จากแนวหน้าอื่นๆ โหมกระพือความกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ ฮามาสอาจลุกลามขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ลากประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมวงด้วย

“ความเป็นไปได้ของปฏิบัติการชิงโจมตีก่อนของเครือข่าย ‘Axis of Resistance’ (กลุ่มซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างกลุ่มก๊กมุสลิมชีอะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในอิรัก กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน) คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” ‘ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ อ้างถึงการประชุมระหว่งเขากับ ‘ฮัสซัน นาสรัลเลาะห์’ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.)

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (16 ต.ค.) ‘ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ และ ‘อิบราฮิม ไรซี’ ประธานาธิบดีอิหร่าน ต่างบอกว่าเวลาสำหรับการหาทางออกทางการเมืองใกล้หมดลงแล้ว และเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสจะลุกลามสู่แนวหน้าอื่นๆ

‘อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ ประกาศกร้าวว่าพวกผู้นำ Axis of Resistance จะไม่ยอมให้อิสราเอลทำอะไรตามอำเภอใจในฉนวนกาซา “ถ้าเราไม่ปกป้องฉนวนกาซาในวันนี้ วันพรุ่งนี้เราคงจำเป็นต้องป้องกันสกัดระเบิดฟอสฟอรัสเหล่านี้ จากการพุ่งใส่โรงพยาบาลเด็กทั้งหลายในประเทศของเราเอง”

อิสราเอล ประกาศสงครามกับกลุ่มนักรบ ‘ฮามาส’ ในดินแดนปาเลสไตน์หนึ่งวัน หลังจากพวกนักรบส่งสมาชิกระลอกแล้วระลอกเล่าจากฉนวนกาซา บุกฝ่าแนวป้องกันอันหนาแน่นเข้าไปโจมตีภายในอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เข่นฆ่าพลเรือนไปกว่า 1,400 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

ทางอิสราเอล ตอบโต้กลับด้วยการทิ้งบอมบ์ถล่มฉนวนกาซาเป็นชุดๆ แบบไม่มีหยุด ทั้งจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ ทำย่านต่างๆ พังราบเป็นหน้ากลอง สังหารชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 2,750 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน

เบื้องต้น อิหร่านออกมาแสดงความยินดีปรีดาต่อปฏิบัติการจู่โจมของฮามาส แต่ยืนกรานว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

คำเตือนของอิหร่านในวันจันทร์ (16 ต.ค.) มีขึ้นในขณะที่อิสราเอลได้เตรียมการสำหรับเปิดฉากรุกรานทางภาคพื้นเข้าไปยังฉนวนกาซา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีพลเรือนปาเลสไตน์ติดอยู่ในฉนวนที่ถูกทิ้งบอมบ์อย่างหนักแห่งนี้เป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ

อนึ่งนับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามปี 1979 อิหร่านหยิบยกการสนับสนุนปาเลสไตน์เป็นหนึ่งในเสาหลักของอุดมการณ์ของพวกเขา

‘จีน’ เร่งพัฒนาระบบ ‘สิทธิบัตร’ รองรับอุสาหกรรมดิจิทัล หลังขึ้นแท่นผู้ส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.) สำนักบริหารทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติจีน รายงานว่าการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของจีนได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมดิจิทัล

เซินฉางอวี่ หัวหน้าสำนักบริหารฯ เผยว่าจำนวนการออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในกลุ่มธุรกิจหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปีในช่วงปี 2016-2022

ขณะเดียวกันจำนวนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ทั้งหมดในภาคธุรกิจเหล่านี้สูงแตะ 1.6 ล้านฉบับ เมื่อนับถึงสิ้นปี 2022 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 38 ของปริมาณสิทธิบัตรภายในประเทศ

จีนได้เพิ่มความพยายามสร้างระบบสิทธิบัตรที่ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล พร้อมกับยกระดับกฎเกณฑ์การตรวจสอบสิทธิบัตรเทคโนโลยีใหม่ เช่น อินเทอร์เน็ต คลังข้อมูลขนาดใหญ่ และปัญญาประดิษฐ์

ดาเรน ถัง ผู้อำนวยการองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก กล่าวว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นหนึ่งในเครื่องจักรขับเคลื่อนนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีอันทรงพลังที่สุดของโลก

“จีนได้เติบโตเป็นผู้ส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ (creative goods) จากประเทศกำลังพัฒนาในระดับชั้นนำ และทรัพย์สินทางปัญญามีส่วนสำคัญต่อการเติบโตนี้” ถังกล่าวเสริม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top