(1 ธ.ค. 67) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ขู่จะขึ้นภาษีศุลกากร 100% กับกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) 9 ประเทศ หากดำเนินการที่ถือเป็นการบ่อนทำลายค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
คำขู่ครั้งล่าสุดนี้มุ่งเป้าโดยตรงไปยัง 9 ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์ที่นำโดย จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ อิหร่าน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และเอธิโอเปีย ซึ่งปัจจุบันมีหลายประเทศกำลังสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพิ่ม เช่น ประเทศไทย มาเลเซีย และตุรกี
ทรัมป์กล่าวว่า ‘ไม่มีทาง’ ที่กลุ่ม BRICS จะเข้ามาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐในการค้าโลก และประเทศใดก็ตามที่พยายามทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ ‘ควรโบกมือลาจากสหรัฐอเมริกา’
ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศบริกส์ที่ประเทศรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้กล่าวหาสหรัฐว่า ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ’ และเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น ‘ความผิดพลาดครั้งใหญ่’
แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะเป็นสกุลเงินที่ใช้กันมากที่สุดในการทำธุรกิจทั่วโลก และผ่านพ้นความท้าทายต่างๆ ในอดีตมาได้ แต่ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ต่างระบุว่าพวกเขาเบื่อหน่ายกับการที่สหรัฐมีอิทธิพลเหนือระบบการเงินโลก
จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เงินดอลลาร์สหรัฐมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 58% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก และสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ เช่น ‘น้ำมัน’ ยังคงซื้อขายกันโดยใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐกำลังถูกท้าทายเนื่องจากส่วนแบ่งจีดีพีของกลุ่ม BRICS ที่เพิ่มขึ้น และความตั้งใจของกลุ่มบริกส์ที่จะซื้อขายกันในสกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization)
รัสเซียได้ผลักดันให้มีการจัดทำระบบการชำระเงินใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกมาแทนที่เครือข่ายการสื่อสารสำหรับประมวลผลการชำระเงินระหว่างประเทศ หรือ ‘สวิฟท์’ (SWIFT) ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งจะช่วยให้รัสเซียสามารถหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกและค้าขายกับพันธมิตรได้
อย่างไรก็ดี จากงานวิจัยของสภาแอตแลนติกบ่งชี้ว่า บทบาทของดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลกจะไม่ถูกคุกคามในอนาคตอันใกล้นี้ โดยผลวิจัยระบุว่า ดอลลาร์นั้น ‘มีความมั่นคงในระยะใกล้และระยะกลาง’ และยังคงครอบงำสกุลเงินอื่นๆ ต่อไป
การขู่ขึ้นภาษีล่าสุดของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากที่เขาขู่ว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าทุกชนิดที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้าจากจีน เพื่อบังคับให้ทั้งสองประเทศดำเนินการมากขึ้นเพื่อหยุดยั้งการไหลเข้าของผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐ
จากนั้น ทรัมป์ได้โทรศัพท์คุยกับประธานาธิบดีเม็กซิโก ‘คลอเดีย เชนบาม’ ซึ่งกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่าเ ธอเชื่อมั่นว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามภาษีกับสหรัฐได้ ทางด้านนายกรัฐมนตรี ‘จัสติน ทรูโด’ ของแคนาดาเดินทางกลับในวันเสาร์หลังจากพบกับทรัมป์ โดยที่ไม่ได้รับคำยืนยันว่าประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะถอยห่างจากการขู่ขึ้นภาษีกับแคนาดา