Sunday, 12 May 2024
WORLD

‘บ.จีน’ ร่วมสร้าง ‘โครงการบ้านจัดสรร’ ในคูเวต ใช้เทคโนโลยีก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

(6 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คูเวตเริ่มต้นการก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรเมืองเซาธ์ ซาอัด อัล-อับดุลลาห์ ซิตี (South Saad Al-Abdullah City) ในเขตผู้ว่าราชการญาห์รา ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ไชน่า เก๋อโจวป้า กรุ๊ป จำกัด (CGGC)

บริษัทฯ สาขาคูเวต ระบุว่าโครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่ราว 64 ตารางกิโลเมตร เพื่อจัดสรรที่อยู่อาศัย จำนวน 21,800 หน่วย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยจะตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนอย่างน้อย 150,000 คน

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะรับผิดชอบงานขุดดินและถมดิน ก่อสร้างถนนระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร และสะพานหลายแห่ง รวมถึงท่อส่งต่าง ๆ ความยาว 975 กิโลเมตร สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ภายใต้สัญญา

หยวนเจิ้น ผู้จัดการบริษัทฯ สาขาคูเวต กล่าวว่าโครงการนี้มุ่งเน้นการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ระบบก่อสร้างอัจฉริยะ ระบบบำบัดน้ำเสียเชิงบูรณาการ แสงสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ และแหล่งกักเก็บน้ำฝน

‘จีน’ ช่วย ‘อียิปต์’ ส่งดาวเทียมสำรวจดวงใหม่ สู่วงโคจรสำเร็จ พัฒนาความร่วมมือเทคโนโลยีการบิน-อวกาศระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, จิ่วเฉวียน รายงานข่าว ‘จีน’ ช่วย ‘อียิปต์’ ส่งดาวเทียมสำรวจระยะไกลขึ้นสู่วงโคจร จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

รายงานระบุว่า ‘ดาวเทียมมิสร์แซท-2’ (MISRSAT-2) ถูกขนส่งด้วยจรวด ‘ลองมาร์ช-2ซี’ (Long March-2C) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา เวลา 12.10 น. ตามเวลาปักกิ่ง และจะถูกใช้เพื่อประโยชน์ด้านที่ดินและทรัพยากร การอนุรักษ์น้ำ การเกษตร และอื่นๆ ของอียิปต์

องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เผยว่า ดาวเทียมดวงนี้ เป็นโครงการสำคัญของความร่วมมือเชิงลึกระหว่างจีนและอียิปต์ ในด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศขั้นสูง และถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือด้านการบินและอวกาศระหว่างสองประเทศ

อนึ่ง การส่งดาวเทียมครั้งนี้นับเป็นภารกิจการบินที่ 499 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช โดยมีดาวเทียมสำรวจระยะไกล ‘สตาร์พูล 02-เอ’ (Starpool 02-A) และ ‘สตาร์พูล 02-บี’ (Starpool 02-B) ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงเวลาเดียวกัน

เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ ผู้เขย่าสถาบันการเงินเวียดนาม โกงมโหฬาร 4 แสนล้านบาท มหาศาลที่สุดในอาเซียน!!

‘เวียดนาม’ ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ยังฉุดรั้งเศรษฐกิจของเวียดนาม นั่นก็คือ ‘การคอร์รัปชันในระบบ’

และเมื่อไม่นานมานี้ ก็เกิดคดีอื้อฉาวเขย่าภาพลักษณ์เวียดนามอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดโปงคดีคอร์รัปชัน ยักยอกทรัพย์ในสถาบันการเงินของเวียดนาม ด้วยยอดเงินสูงถึง 1.24 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 4.4 แสนล้านบาท) ทุบสถิติทุกคดีคอร์รัปชันในเคยเกิดขึ้นในย่านอาเซียน ซึ่งมากกว่าคดีอื้อฉาวการยักยอกเงินจากกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ที่มีมูลค่าความเสียหายราว 4 พันล้านเหรียญ ชนิดไม่เห็นฝุ่น

ซึ่งวงเงินมหาศาลนี้ ถูกยักย้ายถ่ายเทโดยเศรษฐินีผู้ทรงอิทธิพลของเวียดนามเพียงคนเดียว และทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี โดยไม่มีใครตรวจสอบจนกระทั่งวันนี้

ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้ เกิดจากความฉลาดมากของเจ้าสัวหญิง หรือความฉลาดน้อยของเจ้าหน้าที่รัฐฯ แต่วันนี้ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้ออกคำสั่งจับกุม ‘Trương Mỹ Lan’ (เจือง หมี ลาน) อภิมหาเศรษฐินีเวียดนาม ประธานบริษัท Van Thinh Phat Group หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ในข้อหายักยอกเงินจากธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) กว่า 1.24 หมื่นล้านเหรียญ มาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี

‘Trương Mỹ Lan’ ถือเป็นนักธุรกิจสาวชาวเวียดนาม เชื้อสายจีน ปัจจุบัน อายุ 67 ปี เคยขึ้นทำเนียบเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเวียดนาม ครอบครัวของเธอประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งร้านอาหาร โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทจดทะเบียนในเครือกว่า 1,000 แห่ง และได้ทำสินเชื่อไว้กับ Saigon Commercial Bank ในวงเงินสูงถึง 4.3 หมื่นล้านเหรียญ 

แต่ทั้งนี้ Trương Mỹ Lan และ บริษัทของเธอเริ่มมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชัน และให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐฯ หลายครั้ง โดยเริ่มตัังแต่ปี 2014 มีข่าวว่าเธอได้จ่ายสินบนให้แก่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงความมั่งคงสาธารณะถึง 1 ล้านเหรียญ เพื่อขอสิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่ท่าเรือแห่งใหม่ในไซง่อน 

ต่อมาปี 2016 ชื่อของเธอ และ ‘Eric Chu Nap Kee’ สามีชาวฮ่องกงของเธอ มีชื่ออยู่ในเอกสาร ‘Panama Paper’ แฟ้มคดีเปิดโปงการฉ้อโกง และหลบเลี่ยงภาษีระดับโลก จากการจดทะเบียนบริษัทแต่ในนามชื่อ ‘EurAsia ID Concept Group’ ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน

และเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2022 Trương Mỹ Lan ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีฉ้อโกง พร้อมกับเหล่าผู้บริหารด้านการเงินของบริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group อีกจำนวนหนึ่ง จากกรณีการออกหุ้นกู้ของบริษัท Van Thinh Phat Group ตั้งแต่ช่วงปี 2008 - 2020 จำนวน 25 ฉบับให้แก่นิติบุคคล และประชาชนทั่วไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางการเวียดนามก็ได้ตั้งข้อหาอภิมหาเศรษฐินีแห่งเวียดนามอีกหลายกระทงในข้อหาฉ้อโกง และยักยอกเงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank 1.24 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเวียดนามถึง 6% และถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในย่านอาเซียน

มหากาพย์การยักยอกเงินจากธนาคารของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2011 เมื่อ Trương Mỹ Lan เริ่มซื้อหุ้นของธนาคารเวียดนาม 3 แห่งมาสะสมไว้ ได้แก่ Saigon Commercial JSC, Vietnam Tin Nghia และ De Nhat ผ่านนอมินีถึง 27 ราย และถือครองในนามของตนเองเพียง 4% ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า “บุคคลธรรมดาสามารถถือหุ้นของธนาคารได้ไม่เกิน 5%”

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอควบรวมกิจการ 3 ธนาคารเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) โดยรักษาระดับหุ้นในนามตัวเองเพียง 4% แต่หากรวมหุ้นในส่วนที่ถือผ่านนอมินีแล้ว เท่ากับว่า Trương Mỹ Lan ถือหุ้นของ SCB ไว้ถึง 91.5% 

หลังจากนั้น เธอเริ่มใช้อำนาจผ่านหุ้นที่เธอมีแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ที่ทำให้บริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group ของเธอได้วงเกินกู้จากธนาคารอย่างไม่จำกัด และไม่มีการตรวจสอบเอกสารใดๆ แม้กระทั่งการเบิกเงินจากเช็คที่ไม่มีที่มา หรืออนุมัติวงเงินกู้เกินกว่าราคาประเมินโครงการก่อสร้าง หรือออกเงินกู้ให้แก่บริษัทผี ที่จดทะเบียนแต่ในนาม ทั้งในและต่างประเทศหลายแห่ง

ว่ากันว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอต้องการเงินก้อนใหญ่ เธอจะเรียกผู้บริหารระดับสูงออกมาประชุมนอกสำนักงานใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หรือเพียงแค่ต่อสายตรงไปที่ผู้จัดการธนาคาร ก็สามารถกู้เงินฉุกเฉินได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐานใดๆ 

และพบว่า ช่วงปี 2012 - 2022 เธอได้กู้เงินจากธนาคารที่เธอเข้าไปถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนถึง 93% ของวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารปล่อยกู้ในช่วงเวลานั้น โดยเธอได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเวียดนาม เพื่อให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ กับรายงานบัญชีอันผิดปกติของธนาคาร SCB

แต่แล้วพฤติกรรมของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ก็ถูกขุดคุ้ยและเปิดโปง จากผลพวงของแคมเปญกวาดล้างคอร์รัปชันของรัฐบาลเวียดนาม มีการสั่งปลด ลงโทษข้าราชการระดับสูง และคนระดับรัฐมนตรีมากมายในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดี Trương Mỹ Lan ด้วยข้อหาคอร์รัปชันและฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนและความหละหลวมของระบบธนาคาร และการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยภาครัฐ จนเกิดความเสียหายหลักแสนล้านบาท แต่ที่เสียหายหนักกว่านั้น คือความศรัทธาต่อสถาบันการเงินทั้งระบบของเวียดนาม ที่อาจต้องชำระและล้างบางเป็นการด่วน

‘จีน’ บริจาค ‘ห้องเรียนอัจฉริยะ’ แห่งที่ 2 ให้ ‘บังกลาเทศ’ หวังส่งเสริมวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีแก่ ‘นร.-นศ.’ ในท้องถิ่น

(4 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตจีนในบังกลาเทศได้บริจาคห้องเรียนอัจฉริยะแก่บังกลาเทศเป็นแห่งที่ 2 ภายใต้โครงการการพัฒนาผู้มีความรู้ความสามารถมิตรภาพจีน-บังกลาเทศ โดยมีการจัดพิธีเปิดห้องเรียนดังกล่าวที่โรงเรียนมัธยมปลายและวิทยาลัยโซฟีร์ อุดดิน ในเมืองซิลเหต เมื่อวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) ที่ผ่านมา

เหยาเหวิน เอกอัครราชทูตจีนประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า ฝ่ายจีนหวังว่าห้องเรียนอัจฉริยะนี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น พร้อมเรียกร้องนักเรียนนักศึกษาตั้งใจเล่าเรียนเพื่อมีส่วนส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายสมาร์ต บังกลาเทศ (Smart Bangladesh) ตามที่รัฐบาลบังกลาเทศคาดหวัง

ดร. โรชิด อาเหม็ด ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ กล่าวขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตจีนสำหรับการบริจาคห้องเรียนอัจฉริยะนี้ รวมถึงการสนับสนุนฉันมิตรจากประชาชนชาวจีนแก่นักเรียนนักศึกษาของโรงเรียน

รายงานระบุว่า ห้องเรียนอัจฉริยะนี้มีระบบจัดการการเรียนรู้ขั้นสูงด้วยหัวเหว่ย ไอเดียฮับ (Huawei IdeaHub) ซึ่งจะช่วยให้ครูและนักเรียนมีแพลตฟอร์มการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและทางออนไลน์ขั้นสูง โดยหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ (Huawei South Asia) เป็นหุ้นส่วนทางเทคนิคในโครงการนี้

พานจวิ้นเฟิง ประธานหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ และซีอีโอหัวเหว่ยประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า หัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้จะเดินหน้าช่วยเหลือการสร้างความเป็นดิจิทัลแก่ภาคการศึกษาของบังกลาเทศต่อไป

อนึ่ง ก่อนหน้านี้สถานเอกอัครราชทูตจีน และหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ ได้บริจาคห้องเรียนอัจฉริยะแห่งแรกแก่โรงเรียนและวิทยาลัยเทคนิครัฐบาลจันทปุระของบังกลาเทศ เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้

นักเคลื่อนไหว 'แอกเนส โจว' หนีประกันไปเรียนต่อที่แคนาดา  ลั่น!! 'เครียด-ซึมเศร้า' อาจไม่กลับฮ่องกงอีก 'ตลอดชีวิต' 

(4 ธ.ค. 66) แอกเนส โจว (Agnes Chow) หนึ่งในแกนนำนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกง ประกาศว่าตัวเธอเองได้หนีการประกันตัว และเดินทางไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่แคนาดาแล้ว

โจว ถูกศาลฮ่องกงสั่งจำคุก 10 เดือนเมื่อปี 2020 ในความผิดฐานเข้าร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 2021 โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเข้ารายงานตัวกับตำรวจอย่างสม่ำเสมอ

สถานีโทรทัศน์ TVB ของฮ่องกงรายงานวันนี้ (4 ธ.ค.) ว่า ตำรวจฮ่องกงได้แถลง ‘ประณามอย่างรุนแรง’ ต่อการละเมิดเงื่อนไขประกันตัวของ โจว และเรียกร้องให้เธอ ‘อย่าเลือกเดินเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับในการเป็นผู้ลี้ภัยตลอดชีวิต’

ก่อนหน้านั้น โจว ได้โพสต์อินสตาแกรม 2 ครั้งในวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) เพื่อฉลองวันเกิดปีที่ 27 ของเธอ พร้อมเปิดเผยว่ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองโทรอนโตของแคนาดารับเธอเข้าศึกษาต่อแล้ว และเธอตัดสินใจเดินทางออกจากฮ่องกงไปยังแคนาดาเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

โจว เล่าว่าเพื่อที่จะได้หนังสือเดินทางคืน เธอต้องยอมถูกตำรวจ 5 นายคุมตัวไปยังจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเดือน ส.ค. โดยไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้

“ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา” เธอโพสต์ข้อความ

โจว ถูกนำตัวไปเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของจีนภายหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศเมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1970 ก่อนจะถูกพาไปที่สำนักงานใหญ่ของเทนเซนต์ (Tencent) และถูกขอให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย

“ถ้าฉันไม่ออกมาพูดอะไร ภาพถ่ายเหล่านั้นอาจจะถูกใช้เป็นหลักฐานแสดงความรักชาติ (patriotism) ของฉันไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันกลัวจริง ๆ” เธอกล่าว

โจว เล่าต่อว่า เมื่อเดินทางกลับถึงฮ่องกงเธอถูกบังคับให้ลงนามในจดหมายแสดงความ ‘สำนึกผิด’ ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ‘ขอบคุณ’ ตำรวจที่ช่วยจัดทริปให้เธอได้เดินทางไปเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘การพัฒนาอันแสนยอดเยี่ยมของประเทศบ้านเกิดเมืองนอน’

โจว มีกำหนดต้องเข้ารายงานตัวกับตำรวจอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ธ.ค. เนื่องจากเธอยังคงถูกสอบสวนฐานสมคบคิดต่างชาติบ่อนทำลายความมั่นคงจีน โดยเชื่อมโยงกับคดีของ จิมมี ไล (Jimmy Lai) มหาเศรษฐีและเจ้าพ่อวงการสื่อที่สนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยฮ่องกง

สาวนักเคลื่อนไหวรายนี้บอกว่า เธอได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเกี่ยวกับ ‘สถานการณ์ในฮ่องกง รวมถึงความปลอดภัยและสุขภาพจิตของตัวเอง’ ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อที่แคนาดา

“บางทีฉันอาจไม่กลับไปฮ่องกงอีกเลยตลอดชีวิต” โจว กล่าว

โจว ยอมรับว่า แรงกดดันจากการถูกดำเนินคดีทำให้เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (depression) และยังมีอาการของโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะทือนขวัญ หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder)

แอกเนส โจว เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวฮ่องกงซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุด และถึงขั้นได้รับฉายาว่า ‘มู่หลานตัวจริง’ โดยอ้างอิงกับตำนานวีรสตรีจีน ‘ฮวา มู่หลาน’ ที่ปลอมตัวเป็นชายออกไปจับอาวุธปกป้องครอบครัวและชาติบ้านเมือง

โจว เคยได้รับคัดเลือกจาก BBC ให้เป็นหนึ่งใน 100 ผู้หญิงทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2020

ทางการฮ่องกงยังคงเดินหน้าปราบปรามนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ในปี 2019 ซึ่งนำมาสู่การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี 2020

‘ภาษาอังกฤษ’ ไม่ได้มีไว้เพื่อ ‘วัดความฉลาด’

‘ภาษาอังกฤษ’ ไม่ได้มีไว้เพื่อ ‘วัดความฉลาด’

ภาษามีไว้สื่อสาร!!

ประโยคเด็ดกินใจคนไทย ที่พยายามฝึกภาษาอังกฤษ แต่กลับถูกบูลลี่ เหยียบย่ำ ดูแคลนว่าโง่ ซึ่ง Mohamad Safa นักสิทธิมนุษยชน UN เคยทวีตข้อความเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้เมื่อปี 2018 โดยระบุว่า…

“I hope one day people will understand that English is a language. Not a measure of
intelligence.” หรือแปลว่า…

“ผมหวังว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนจะเข้าใจว่าภาษาอังกฤษเป็นแค่ภาษา ไม่ใช่สิ่งที่วัดความฉลาดของคน”

เจ้าของลิขสิทธิ์ ‘มิสยูนิเวิร์ส นิการากัว’ ถูกตั้งข้อหาต่อต้านรัฐบาล แถมใช้ผู้ประกวดเป็นกับดัก-โจมตีการเมือง หลังสาวงามเพิ่งคว้ามงไป

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจนิการากัวตั้งข้อหากับเจ้าของลิขสิทธิ์จัดประกวด ‘มิสยูนิเวิร์ส’ นิการากัว ทั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการต่อต้านรัฐบาล ฟอกเงิน และเผยแพร่ข่าวปลอม หลังจาก ‘เชย์นิส ปาลาซิออส’ สาวงามจากนิการากัว ซึ่งเคยเข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศ คว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สคนแรกของประเทศ

ตามคำแถลงของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินิการากัว กล่าวหาคาเรน เซเลเบอร์ตติ ผู้ถือลิขสิทธิ์จัดประกวดมิสยูนิเวิร์ส นิคารากัว พร้อมด้วยสามีและบุตรชาย ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาว่ากระทำความผิดหลายกระทง

สำนักงานตำรวจแห่งชาตินิการากัว ระบุว่า องค์กรมิสยูนิเวิร์สท้องถิ่นของเซเลเบอร์ตติ ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนผู้เข้าประกวดให้กลายเป็นกับดักและการซุ่มโจมตีทางการเมือง โดยรับทุนสนับสนุนจากตัวแทนต่างชาติ

เซเลเบอร์ตติ ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. ขณะที่สามีและบุตรชายถูกควบคุมตัวอยู่ในนิการากัว ในข้อหาสมคบคิดที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปในปี 2018 โดยเจ้าหน้าที่ระบุพวกเขามีส่วนร่วมในการจัดการประท้วง เพื่อต่อต้านรัฐบาล

ขณะที่ปาลาซิออส ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ไม่เพียงแต่เป็นสาวงามคนแรกจากนิการากัวที่คว้าตำแหน่งนี้ ยังเป็นสาวงามคนแรกจากอเมริกากลางที่ได้รับมงกุฎอันทรงเกียรติดังกล่าว เธอไม่ได้เดินทางกลับไปยังนิการากัวตั้งแต่คว้าชัย โดยอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก

ชาวนิการากัวออกมาเฉลิมฉลองชัยชนะของปาลาซิออสบนท้องถนน แต่ขณะนี้ตำรวจกำลังกล่าวหาผู้จัดงานว่าพยายามจัดการประท้วงเพื่อต่อต้านรัฐบาล

'อิสราเอล' กร้าว!! จะไล่ล่า 'ฮามาส' ทั้งใน 'เลบานอน-ตุรกี-กาตาร์' แม้ต้องใช้เวลาหลายปี หลังดับชีวิต 'เด็ก-สตรี' ในกาซาไปแล้วกว่า 15,000 คน

(4 ธ.ค.66) อิสราเอลจะไล่ล่าฮามาสในเลบานอน ตุรกีและกาตาร์ แม้ต้องใช้เวลานานหลายปี จากคำประกาศกร้าวของสำนักงานความมั่นคงชินเบต (Shin Bet) ระบุในถ้อยแถลงในเทปบันทึกภาพที่ออกอากาศผ่านสำนักข่าวข่าน สื่อมวลชนแห่งรัฐอิสราเอลเมื่อวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.)

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ‘โรเนน บาร์’ หัวหน้า Shin Bet แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่และกับใคร ในขณะที่ตัวสำนักงานความมั่นคง ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

"คณะรัฐมนตรีกำหนดเป้าหมาย ในการพูดอย่างไม่เป็นทางการ ในการกำจัดฮามาส นี่คือมิวนิคของเรา เราจะทำสิ่งนี้ในทุกหัวระแหวงของกาซา ในเวสต์แบงก์ ในเลบานอน ในตุรกีและในกาตาร์ มันจะใช้เวลาหลายปี แต่เราจะทำมัน"

ในการกล่าวถึงมิวนิค ‘บาร์’ อ้างถึงปฏิบัติการตอบโต้ของอิสราเอล ต่อเหตุการณ์เมื่อปี 1972 ที่คณะนักกีฬาโอลิมปิกของอิสราเอล 11 คนเสียชีวิต จากกรณีที่พวกมือปืนจากกลุ่มปาเลสไตน์ กันยายนทมิฬ (Black September) เปิดฉากโจมตีมิวนิคเกมส์

อิสราเอล ตอบโต้ด้วยการเปิดยุทธการณ์ลอบสังหารแบบเล็งเป้าหมาย กับพวกมือปฏิบัติการและพวกผู้วางแผนของกลุ่มกันยายนทมิฬ เป็นเวลาหลายปีและในหลายประเทศ

ทั้งนี้ อิสราเอล ประกาศกำจัด ฮามาส หลังกลุ่มมือปืนของนักรบปาเลสไตน์ บุกจู่โจมข้ามชายแดนจากฉนวนกาซา เข้าไปสังหารผู้คนในอิสราเอลกว่า 1,200 รายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และจับตัวประกันราว 240 คน

นับตั้งแต่นั้น อิสราเอล ตอบโต้ด้วยการประกาศทำลายล้างฮามาส และเริ่มปฏิบัติการโจมตีทั้งทางอากาศ ทางทะเลและจู่โจมทางภาคพื้น สังหารผู้คนในฉนวนกาซามากกว่า 15,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

นอกเหนือจากกาซาแล้ว พวกผู้นำฮามาสมักไปอาศัยอยู่หรือเดินทางเยือนเลบานอน ตุรกีและกาตาร์ บ่อยครั้ง ในขณะที่ กาตาร์ ช่วยเป็นคนกลางในข้อตกลงหยุดยิง 1 สัปดาห์ ที่พังครืนลงไปเมื่อวันศุกร์(1ธ.ค.)

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาติต่างๆ หลายประเทศก็เสนอมอบความคุ้มครองบางอย่างแก่พวกฮามาส แม้ว่าฮามาสอยู่ในบัญชีดำก่อการร้าย ทั้งในออสเตรเลีย แคนาดา สหภาพยุโรป อิสราเอล ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

ในปี 1997 หน่วยข่าวกรอง Mossad อิสราเอล ลอบวางยาพิษ คาเลด เมชาล ผู้นำฮามาส ณ ขณะนั้นใน จอร์แดน แต่ท้ายที่สุดแล้ว อิสราเอล ยอมมอบยาถอนพิษช่วยชีวิต เมชาล แก่จอร์แดน

‘จีน’ มีโรงงานอัจฉริยะ-สถานีฐาน 5G กว่า 2.2 แสนแห่งแล้ว พร้อมผลักดันเครือข่ายขนาดใหญ่-ล้ำสมัยมากที่สุดในโลก

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, หางโจว รายงงานว่า สำนักเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน รายงานว่า ปัจจุบันเจ้อเจียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้ก่อสร้างสถานีฐาน 5G เป็นจำนวน 220,000 แห่งแล้ว

‘หลี่หมิน’ รองผู้อำนวยการสำนักฯ ซึ่งร่วมการประชุม 5G+ อินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ปี 2023 ในเมืองเส้าซิงของเจ้อเจียง กล่าวว่าปัจจุบันผู้อยู่อาศัยในเจ้อเจียงทุก 10,000 คน สามารถเข้าถึงสถานีฐาน 5G มากกว่า 33 แห่ง

นอกจากนั้น เจ้อเจียงได้สร้าง ‘โรงงานแห่งอนาคต’ และโรงงานอัจฉริยะระดับมณฑล จำนวน 653 แห่ง และสร้างแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมระดับมณฑล จำนวน 535 แห่ง

อนึ่ง จีนถือเป็นผู้นำโลกด้านการพัฒนา 5G ด้วยจำนวนสถานีฐานรวม 2.84 ล้านแห่ง เมื่อนับถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมของปีนี้ โดยจีนกำลังพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่และล้ำสมัยมากที่สุดในโลก

‘นร.วัย 14 ปี’ ในสหรัฐฯ สุดเจ๋ง!! คิดค้นสบู่รักษามะเร็งผิวหนัง คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เตรียมเดินหน้าพัฒนาต่อ

เมื่อไม่นานนี้ เด็กชาย Heman Bekele วัย 14 ปีจากโรงเรียน W.T. Woodson High School รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค้นสบู่ก้อนรักษามะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ทำให้เขาคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ของบริษัท 3M (3M Young Scientist Challenge) จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 10 คน

Heman ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์วัยเด็กในประเทศบ้านเกิดอย่างเอธิโอเปีย เขาจำได้ว่าเห็นคนทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ซึ่งแสงอัลตราไวโอเลต (UV) คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งผิวหนัง เขาจึงคิดค้นสบู่รักษามะเร็งผิวหนังขึ้นมาโดยผสมกรดซาลิไซลิก (Salicylic) กรดไกลโคลิก (Glycolic) และเทรติโนอิน (Tretinoin) ในอัตราส่วน 50:30:20 ซึ่งสารเหล่านี้เป็นกลุ่มสารประกอบที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว โดยจะกระตุ้นการทำงานของเซลล์เดนไดรต์ (Dendritic Cells) หรือเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อ เพื่อให้เซลล์เดนไดรต์ต่อสู้กับไวรัส HPV (Human Papillomavirus) หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง

Heman ทดสอบประสิทธิภาพของสบู่ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าการใช้งานสบู่ก้อนชนิดนี้ทุก 2-3 วันอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยรักษามะเร็งผิวหนังได้ และแม้จะยังไม่เคยทดลองกับผู้ป่วยจริง ๆ แต่เขาก็วางแผนที่จะพัฒนาสบู่นี้ เพื่อยื่นขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคำนวณราคาต้นทุนทั้งหมดแล้ว ราคาของสบู่รักษามะเร็งผิวหนังนี้ตกอยู่ที่ประมาณ 17.75 บาทต่อก้อนเท่านั้น

ผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น ด้วยนวัตกรรมอย่างสบู่รักษามะเร็งของ Heman เป็นไปได้ว่าในอนาคต ผู้ป่วยโรคมะเร็งอาจสามารถเข้าถึงการรักษาในราคาหลักสิบหรือหลักร้อยบาทก็เป็นได้

เปิดข้อหักล้างคำโกหกของ ‘สื่อหลักตะวันตก’ เกี่ยวกับ ‘ซินเจียง’  ผ่านภาพความขัดแย้งระหว่าง ‘ปาเลสไตน์-อิสราเอล’ ปมฉนวนกาซา

ความจริงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์มากกว่า 15,000 คน ซึ่งเสียชีวิตในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ผู้เสียชีวิตได้รับการบันทึกและรับรองเป็นรายบุคคล และจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว มีเด็กมากกว่า 6,000 คน โดยตัวเลขนี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสหประชาชาติ นี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พลเรือนอย่างเปิดเผยต่อ ‘ระเบียบระหว่างประเทศที่อิงกฎเกณฑ์’


ภาพซ้ายกาซาก่อนถูกอิสราเอลถล่ม จนมีสภาพตามภาพขวา
(ภาพเหล่านี้มาจากสำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซี)


กาซาถูกอิสราเอลถล่มจนมีสภาพเช่นดังภาพ


ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กาซาถูกอิสราเอลถล่มจนมีสภาพเช่นดังภาพ


ส่วนภาพนี่คือ ‘นครอุรุมชี’ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้


นี่คือ ‘เมืองคอร์ลา’ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้


ส่วนนี่คือ ‘เมืองอักซู’ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

โดยเมืองคอร์ลาและเมืองอักซู มีประชากรเพียง 500,000 คนเท่านั้น ปัจจุบัน ‘ชาวอุยกูร์’ มากกว่า 1 ล้านคน จากจำนวนมากกว่า 12 ล้านคน อาศัยอยู่นอกเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และสามารถพบได้ในทุกจังหวัดของจีนรวมทั้งฮ่องกงด้วย และถ้าไปถามพวกเขาเรื่อง ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในซินเจียง’ แล้วพวกเขาจะถามกลับมาว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อะไรกัน? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

Bill Chen, Moderate Singaporean

โลกใบนี้มี 2 ด้านเสมอ สื่อตะวันตกย่อมเสนอแต่มุมที่โลกตะวันตกอยากให้เห็น ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามภาพ และแทบจะไม่มีการเผยแพร่โดยสื่อตะวันตกเลย

‘จีน’ ก่อสร้างสถานีตรวจวัด ‘ก๊าซเรือนกระจก’ 117 แห่ง อาศัย ‘ดาวเทียม’ ที่มีความแม่นยำสูง ดักจับคาร์บอนฯ

(2 ธ.ค.66 ) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน รายงานว่าปัจจุบันนั้น มีการก่อสร้างสถานีตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกที่มีความแม่นยำสูงรวม 117 แห่งแล้ว

จางซิ่งอิ๋ง เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ เผยว่าจีนได้ส่งดาวเทียมที่สามารถเฝ้าติดตามคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก จำนวน 5 ดวง เพื่อเพิ่มความสามารถตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2016 รวมถึงจัดตั้งเครือข่ายสังเกตการณ์ชั้นบรรยากาศอันประกอบด้วยสถานีระดับโลก 1 แห่ง และสถานีระดับภูมิภาค 6 แห่ง

นอกจากนั้นสำนักงานฯ เผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกในงานแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (1 ธ.ค.) ซึ่งระบุว่า การเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโดยเฉลี่ยต่อปีในพื้นที่ดินของจีนในปี 2022 ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยต่อปีในช่วงปี 2013-2022 อย่างมีนัยสำคัญ

‘ฮ่องกง’ เปิดตัว ‘รถบัส 2 ชั้น’ ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจนคันแรก พร้อมสถานีเติมเชื้อเพลิง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เตรียมให้บริการปีหน้า

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฮ่องกง ‘ซิตีบัส’ (Citybus) ผู้ให้บริการรถโดยสารประจำทาง ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน รายงานการเริ่มต้นทดลองใช้งานรถบัส 2 ชั้นพลังไฮโดรเจนคันแรก และสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถบัสแห่งแรกของเมือง ซึ่งมีกำหนดให้บริการแก่สาธารณะในเดือนมกราคมปีหน้า

‘จอห์น ลี’ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าความคืบหน้านี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้งานยานยนต์พลังงานใหม่ในฮ่องกง โดยยานยนต์พลังไฮโดรเจนสามารถเดินทางในระยะไกลและเติมเชื้อเพลิงได้เร็ว ทำให้ไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพ สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนต่ำทั่วโลก

ซิตีบัส ระบุว่า การเติมเชื้อเพลิงของรถบัสพลังไฮโดรเจนคันแรกนี้ ใช้เวลาราว 10 นาที และรถบัสรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้ากว่านี้จะวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง โดยรถบัสพลังไฮโดรเจนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถบัสน้ำมันดีเซล เพราะปล่อยเพียงน้ำขณะใช้งาน ซึ่งซิตีบัสวางแผนทดแทนรถบัสน้ำมันดีเซลทั้งหมดด้วยรถบัสพลังไฮโดรเจน ภายในปี 2045

ทั้งนี้ รถบัสพลังไฮโดรเจนคันแรก เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่ง อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของฮ่องกง

การแถลงนโยบายในปีนี้ของจอห์น ลี ระบุว่า รัฐบาลฮ่องกงจะกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไฮโดรเจนในฮ่องกงในปีหน้า และเริ่มต้นงานเตรียมการแก้ไขกฎหมายอันจำเป็นต่อการผลิต จัดเก็บ ขนส่ง และใช้งานเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ภายใต้แนวคิดเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติในปี 2025

‘สิงคโปร์’ เหนียวแน่น!! เมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดในโลก 9 ปีติด เหตุ!! ‘ราคาสินค้าทุกกลุ่ม-ค่าเดินทางในประเทศ’ พุ่งสูงไม่แผ่ว

(1 ธ.ค. 66) การจัดอันดับของ Economist Intelligence Unit (EIU) เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ชี้ว่า วิกฤตค่าครองชีพทั่วโลก นั้นยังห่างไกลจากคำว่า ‘สิ้นสุด’ โดยในปีนี้ ‘สิงคโปร์’ ยังคงครองแชมป์เป็น เมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา จากการที่ราคาสินค้าพุ่งสูงในทุกประเภท อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางในสิงคโปร์ก็สูงที่สุดในโลก เนื่องจากการควบคุมของรัฐในการจำกัดปริมาณรถยนต์ในสิงคโปร์ และยังเป็นประเทศที่มีราคาเสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภค และแอลกอฮอล์ แพงที่สุดในโลกด้วย

ทางด้าน เมืองซูริค จาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ก้าวกระโดดขึ้นอันดับมาครองแชมป์ร่วมกับสิงคโปร์ในปีนี้ได้ เป็นผลมาจากค่าเงินฟรังก์สวิสที่แข็งค่าขึ้น และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ถีบตัวสูง

ส่วนอันดับ 3 นั้นตกเป็นของเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ครองอันดับร่วมกันกับ มหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา ขณะที่อันดับ 5 ตกเป็นของฮ่องกง

มาที่อันดับ 6 ได้แก่ เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา อันดับ 7 กรุงปารีส ฝรั่งเศส อันดับ 8 โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก อันดับ 9 เทลอาวีฟ อิสราเอล และอันดับ 10 ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทาง EIU ประเมินในฝั่งเอเชียจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นของราคาสินค้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก โดยจะเห็นว่า เมืองใหญ่ในจีนและญี่ปุ่นต่างก็ไม่ติดอันดับเมืองค่าครองชีพสูงในปีนี้

ในรายงานของ EIU ยังพบว่า หลายเมืองทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาราคาสินค้าที่แพงขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มสูง สินค้าและบริการมากกว่า 200 รายการ แพงขึ้น 7.4% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี ตามสกุลเงินท้องถิ่น แม้อัตราราคาสินค้าดังกล่าวต่ำกว่าปีก่อน 0.7% แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าระดับราคาสินค้าในช่วงปี ค.ศ. 2017-2021 (พ.ศ. 2560-2564) อยู่ดี

อัยการเท็กซัสฟ้องเอาผิด ‘ไฟเซอร์’ บิดเบือนข้อมูลวัคซีน หลังข้อมูลชี้!! มีประสิทธิภาพป้องกันโควิดแค่ 0.85%

เมื่อไม่นานนี้ อัยการสูงสุดของรัฐเท็กซัส ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ‘ไฟเซอร์’ บริษัทยายักษ์ใหญ่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทแห่งนี้ บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 และหาทางปกปิดการพูดคุยของสาธารณชน เกี่ยวกับความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์ของบริษัท

การยื่นฟ้องครั้งนี้ มีขึ้นตามหลังการสืบสวนนาน 6 เดือนของอัยการสูงสุด ‘เคน แฟ็กซ์ตัน’ (Ken Paxton) ในคำกล่าวหาที่มีต่อการวิจัยแบบ ‘Gain of Function’ (GOF) โดยไฟเซอร์ รวมถึงบรรดาผู้พัฒนาวัคซีนอื่นๆ ได้แก่ โมเดอร์นา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน

“ไฟเซอร์มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำและแนวทางปฏิบัติที่ผิดพลาด การหลอกลวงและชี้นำผิดๆ ด้วยการจัดทำคำกล่าวอ้างที่ไม่มีอะไรสนับสนุนในเรื่องเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยพฤติกรรมทางการค้าที่ทำให้เข้าใจผิดของรัฐเท็กซัส จากการเปิดเผยของแฟ็กซ์ตัน พร้อมอ้างว่า บริษัทแห่งนี้โกยเงินอย่างผิดกฎหมายไปหลายพันล้านดอลลาร์”

แฟ็กซ์ตัน ท้าทายอย่างเจาะจงต่อคำกล่าวอ้างของไฟเซอร์ที่ว่า วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ถึง 95% โดยชี้ว่า มันเป็น ‘กลลวงทางสถิติ’ ที่ใช้คำว่า ‘ค่อนข้างลดความเสี่ยง’ ซึ่ง ‘สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ’ (เอฟดีเอ) ยอมรับว่ามันอาจชี้นำผู้บริโภคผิดๆ ด้วยการนำเสนอว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข้อมูลการทดลองทางเทคนิค เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว มันลดความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโควิด-19 เพียงแค่ 0.85% เท่านั้น

ในคำร้องระบุว่า โรคระบาดใหญ่ ‘เลวร้ายลง’ หลังจากประชาชนชาวสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิด-19 โดยชี้ว่า “รายงานอย่างไม่เป็นทางการของรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า ในบางพื้นที่มีเปอร์เซ็นต์ของผู้ฉีดวัคซีนเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่าคนที่ไม่ฉีดวัคซีนหลายเท่า”

คำร้องอ้างด้วยว่า “ไฟเซอร์รู้ตัวดีว่าได้กล่าวอ้างเป็นเท็จและไม่มีข้อมูลสนับสนุน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนกับตัวกลายพันธุ์ทั้งหลายในนั้น โดยเฉพาะกับไวรัสตัวกลายพันธุ์ที่เรียกว่า ‘เดลตา’ แถมยังกล่าวหาพวกที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘อาชญากร’ และกล่าวหาคนเหล่านั้นว่าเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเสียอีก”

แฟ็กซ์ตัน เสนอลงโทษทางการเงินและคำตักเตือน เพื่อป้องกันไฟเซอร์จากการเดินหน้านำเสนอข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top