Monday, 17 March 2025
WORLD

สภาล่างสหรัฐฯ ปัดตกร่างงบประมาณของทรัมป์ จับตา government shutdown คืนนี้

(20 ธ.ค.67) สหรัฐกำลังเสี่ยงเผชิญภาวะ 'ชัตดาวน์ทางการคลัง' รอบใหม่ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก โหวตคว่ำร่างงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่สนับสนุนโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและที่ปรึกษาคนสนิท ส่งผลให้รัฐบาลกลางอาจขาดงบประมาณสำหรับดำเนินงานหากไม่สามารถตกลงกันได้ก่อนเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคมนี้ (ตามเวลาสหรัฐ)

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติด้วยคะแนน 235 ต่อ 174 เสียง โดยมีสมาชิกพรรครีพับลิกัน 38 คน โหวตค้านร่างงบฯ ฉบับทรัมป์ ที่เปิดช่องให้ยกเลิกเพดานหนี้และสามารถก่อหนี้เพิ่มอย่างมหาศาล ซึ่งกลายเป็นประเด็นขัดแย้งภายในพรรค ขณะที่ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าจะมีการประชุมใหม่เพื่อหาทางออกต่อไป

แม้ว่าพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะเคยบรรลุข้อตกลงร่วมกันในร่างงบประมาณรายจ่ายที่ครอบคลุมเงินช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและการเกษตรมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์และมัสก์กลับออกมาคัดค้านเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม โดยทรัมป์ขู่ว่าจะไม่สนับสนุนสมาชิกสภาที่ไม่ยอมทำตามข้อเสนอของเขา

หากร่างงบประมาณไม่ผ่านภายในกำหนด จะเกิดภาวะรัฐบาลชัตดาวน์ ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานรัฐบาลกลาง 438 แห่งทั่วสหรัฐ รวมถึงการจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง และบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องหยุดชะงัก

ที่จริงแล้ว พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างงบประมาณรายจ่ายที่จะนำมาโหวตในสัปดาห์นี้ได้ โดยพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงื่อนไขที่ต้องการคือ การอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 1.1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและการเกษตร อย่างไรก็ตาม ทรัมป์และมัสก์ได้ออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น

แม้ว่าทรัมป์จะยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ แต่เขามักใช้อิทธิพลทางการเมืองอย่างไม่เป็นทางการเพื่อกดดันฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในครั้งนี้ เขาขู่ว่าจะไม่สนับสนุนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต่อต้านเขาในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อกดดันให้มีการปรับแก้ร่างงบประมาณ และเปิดทางให้ระงับการจำกัดเพดานหนี้เป็นเวลา 2 ปี ทรัมป์ต้องการหลีกเลี่ยงการต่อรองทางการเมืองเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะทำให้รัฐบาลของเขาก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนจากพรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วย

ทรัมป์ต้องการให้สภาคองเกรสจัดการกับปัญหาเพดานหนี้ในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเขาคือการขยายเวลาลดหย่อนภาษี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีคาดการณ์ว่าจะทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 36 ล้านล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์ชี้ว่าการขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากภายในพรรครีพับลิกันและการพยายามรวบอำนาจของทรัมป์ ขณะที่แผนการขยายเวลาลดหย่อนภาษีที่เขาผลักดันอาจทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางพุ่งสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า จากปัจจุบันที่ 36 ล้านล้านดอลลาร์

รางวัล 'Oscar' พิจารณาอย่างไร หลัง 'หลานม่า' เข้าลุ้นภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม

(20 ธ.ค.67) ภาพยนตร์ไทยเรื่อง 'หลานม่า' จากค่าย GDH สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญด้วยการเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่รอบ 15 เรื่องสุดท้าย ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) ของรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 โดยสามารถฝ่าด่านภาพยนตร์จากทั่วโลกถึง 85 เรื่องได้สำเร็จ การประกาศรายชื่อภาพยนตร์ที่ผ่านเข้าสู่รอบ 5 เรื่องสุดท้ายจะมีขึ้นในวันที่ 17 มกราคม 2568 ส่วนพิธีมอบรางวัลออสการ์จะจัดขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม 2568

การตัดสินรางวัลออสการ์ดำเนินการโดยสมาชิกสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences - AMPAS) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากข้อมูลของสถาบันออสการ์ ในปี 2024 ปัจจุบันมีสมาชิกที่มีสิทธิ์โหวตรวมทั้งสิ้น 9,934 คน แต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้กำกับ นักเขียนบท ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด หรือผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์ในวงการภาพยนตร์ทั้งสิ้น

สำหรับขั้นตอนการลงคะแนน สมาชิก AMPAS ทุกคนสามารถลงคะแนนในหมวดนี้ได้ โดยใช้ระบบโหวตแบบเรียงลำดับความชอบ (Preferential Voting System) สมาชิกจะจัดอันดับภาพยนตร์ที่ตนชื่นชอบจากมากไปน้อย หากภาพยนตร์ใดได้รับคะแนนอันดับหนึ่งเกิน 50% จะถือเป็นผู้ชนะทันที แต่หากไม่มีภาพยนตร์ใดได้คะแนนเกินครึ่ง ระบบจะคัดภาพยนตร์ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งน้อยที่สุดออก และโอนคะแนนของผู้ที่โหวตภาพยนตร์นั้นไปยังตัวเลือกถัดไปในลำดับ กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าภาพยนตร์หนึ่งจะได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่

สำหรับรางวัลอื่น ๆ เช่น นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม หรือผู้กำกับยอดเยี่ยม การลงคะแนนจะใช้ระบบเสียงข้างมาก (Plurality Voting) สมาชิกของสาขาที่เกี่ยวข้องจะลงคะแนนให้กับผู้เข้าชิงที่ชื่นชอบมากที่สุด ผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ การคัดเลือกผู้เข้าชิง 5 อันดับแรกจะใช้ระบบการคัดรอบแรก ก่อนลงคะแนนรอบสุดท้ายเพื่อหาผู้ชนะ

การนับคะแนนรางวัลออสการ์ดำเนินการโดยบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก PricewaterhouseCoopers (PwC) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมและตรวจสอบผลคะแนนทั้งหมดอย่างเคร่งครัด ผลคะแนนจะถูกเก็บเป็นความลับจนกว่าจะมีการประกาศบนเวทีในคืนงานมอบรางวัล เพื่อรักษาความโปร่งใสและความยุติธรรมในกระบวนการทั้งหมด

ปูตินลั่นนาโต้สกัดมิสไซล์ Oreshnik ไม่ได้ ท้าชาติตะวันตกลองดวลกัน แล้วจะรู้ฤทธิ์

(19 ธ.ค.67) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้กล่าวในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวช่วงสิ้นปีต่อบรรดาผู้สื่อข่าวในกรุงมอสโก โดยหนึ่งในผู้สื่อข่าวได้ถามผู้นำรัสเซียว่า รู้สึกกังวลหรือไม่ที่บรรดาชาติตะวันตกสมาชิกนาโต้ นำขีปนาวุธหลากชนิดเข้ามาประจำการทางตอนเหนือของโปแลนด์และโรมาเนีย

เรื่องดังกล่าวผู้นำรัสเซียตอบว่า "สมมติว่าระบบ Oreshnik ของเราตั้งอยู่ห่างจากพิกัดขีปนาวุธของพวกเขา 2,000 กิโลเมตร (1,243 ไมล์)  แม้แต่ขีปนาวุธต่อต้านที่ตั้งอยู่ในโปแลนด์ก็จะไม่สามารถทำลายมันได้" ผู้นำรัสเซียกล่าวโดยนัยว่า ยังไม่มีระบบขีปนาวุธชนิดใดของตะวันตกที่สามารถยิงไกลและมีความเร็วมากพอจะสกัดขีปนาวุธ Oreshnik ของรัสเซียได้

ปูตินยังกล่าวอีกว่า "งั้นลองให้พวกเขา (นาโต้) ลองใช้เทคโนโลยีจากตะวันตกหรือสหรัฐ มาดวลกับ Oreshnik ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 ให้พวกเขา (นาโต้) ลองระบุเป้าหมายของเราดู แล้วรวมสรรพกำลังโจมตี ส่วนเราจะตอบกลับด้วย Oreshnik แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น" 

นอกจากนี้ในการแถลงข่าว ผู้นำรัสเซียยังได้ยกย่องอาวุธมิสไซล์ความเร็วเหนือเสียงนี้ว่า "Oreshnik นี้เป็นอาวุธใหม่ที่ทันสมัยมาก ระบบขีปนาวุธนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงการออกแบบขีปนาวุธทุกรูปแบบที่รัสเซียเคยใช้" เมื่อถามว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่า Oreshnik ปูตินตอบเชิงติดตลกว่า แม้เขาจะอนุมัติสร้าง แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันเหตุใดจึงชื่อนี้

ผู้นำอินโดฯ เล็งอภัยโทษคนทุจริต หากนำทรัพย์สินที่ขโมยไปกลับมาคืน

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต แห่งอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า เขาอาจพิจารณาให้อภัยผู้ที่กระทำการทุจริต หากพวกเขานำทรัพย์สินที่ขโมยไปกลับมาคืน

(19 ธ.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อนักศึกษาอินโดนีเซียที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อวันพุธที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ปธน.ปราโบโวกล่าวว่า เขาจะดำเนินการเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบในไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า

ปธน.ปราโบโวกล่าวว่า “หากผู้ที่ทุจริต หรือผู้ที่รู้ตัวว่าได้ฉกชิงทรัพย์สินจากประชาชน หากนำสิ่งที่ขโมยไปคืนมา เราอาจให้อภัยได้ กรุณานำมันกลับมาคืน”

อย่างไรก็ตาม ปธน.ปราโบโวยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว โดยกล่าวเพียงว่ารัฐบาลอาจหาวิธีการต่าง ๆ ให้ผู้กระทำผิดสามารถคืนทรัพย์สินที่ขโมยไปได้อย่างลับ ๆ

ปธน.ปราโบโว ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ให้คำมั่นว่าจะขจัดการทุจริตและนำเสนอแนวทางที่ 'สามารถปฏิบัติได้จริง' ในการป้องกันการทุจริต ซึ่งรวมถึงการขึ้นเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ดูแลงบประมาณจำนวนมาก

จนถึงขณะนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฎหมายของอินโดนีเซียยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวของปธน.ปราโบโว

บังกลาเทศแห่มาไทย หลังอินเดียคุมเข้มวีซ่า ใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว-รักษาพยาบาลมากสุด

(19 ธ.ค.67) ข้อมูลจากธนาคารกลางบังกลาเทศเผยว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในอินเดียลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่การใช้จ่ายในไทยและสิงคโปร์กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลอินเดียจำกัดการออกวีซ่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวและผู้ป่วยชาวบังกลาเทศที่เดินทางไปอินเดียลดลง

ในเดือนตุลาคมปีนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในอินเดียลดลงมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10.78% ของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งลดลงจาก 16.50% ในเดือนตุลาคม 2566

ในทางตรงกันข้าม การใช้บัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในไทยและสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ไทยได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ใหญ่เป็นอันดับสองสำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในต่างประเทศ โดยในเดือนกันยายนมีการใช้จ่ายมูลค่า 420 ล้านตากา (ราว 120 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้นเป็น 570 ล้านตากา (ราว 165 ล้านบาท) ในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ไทยแซงหน้าอินเดียขึ้นเป็นอันดับสอง

ขณะเดียวกัน สิงคโปร์ก็มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนตุลาคม ชาวบังกลาเทศใช้จ่าย 430 ล้านตากาในสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านตากาในเดือนกันยายน

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะ เดลี สตาร์ (The Daily Star) รายงานว่า หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการในบังกลาเทศเมื่อเดือนสิงหาคม อินเดียตัดสินใจระงับการออกวีซ่าท่องเที่ยวให้แก่ชาวบังกลาเทศ โดยอนุญาตเฉพาะกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์เท่านั้น ส่งผลให้การใช้บัตรเครดิตในอินเดียลดลงอย่างมาก

ไซเอ็ด โมฮัมหมัด คามัล ผู้จัดการประจำประเทศบังกลาเทศของบริษัทมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) กล่าวว่าจำนวนชาวบังกลาเทศที่เดินทางไปอินเดียลดลงเกือบ 90% โดยนักท่องเที่ยวที่เคยไปมุมไบหรือเมืองอื่น ๆ ในอินเดีย เลือกเดินทางมาประเทศไทย สิงคโปร์ และเนปาลแทน

ศาลฎีกาสหรัฐฯ เตรียมเปิดไต่สวน ติ๊กต๊อก สู้กม.แบนกิจการ ลุ้นชี้ชะตา10 ม.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.67) ศาลสูงสุดสหรัฐฯ เห็นพ้องจะทบทวนคำร้องจากติ๊กต็อก (TikTok) และไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่ของติ๊กต็อก เพื่อระงับกฎหมายที่กำหนดการจำหน่ายกิจการของแอปพลิเคชันแบ่งปันคลิปวิดีโอยอดนิยมนี้ภายในวันที่ 19 ม.ค. 2025 หรือเผชิญการลงโทษแบนด้วยเหตุผลความมั่นคงของชาติ

รายงานระบุว่าศาลสูงสุดสหรัฐฯ กำหนดรับฟังข้อโต้แย้งในวันที่ 10 ม.ค. 2025 เพื่อตัดสินว่ากฎหมายดังกล่าวจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกอันขัดกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ของสหรัฐฯ หรือไม่ โดยศาลสูงสุดสหรัฐฯ ออกกำหนดการนี้หลังจากติ๊กต็อกยื่นคำร้องเป็นเวลาสองวันแล้ว

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกกฎหมายที่ให้เวลากับไบต์แดนซ์เพียง 270 วันในการจำหน่ายกิจการของติ๊กต็อก โดยอ้างอิงประเด็นความมั่นคงของชาติที่ไม่มีมูลความจริง ซึ่งหากไบต์แดนซ์ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ผู้ให้บริการร้านค้าแอปพลิเคชันอย่างแอปเปิลและกูเกิลต้องถอดติ๊กต็อกออกจากแพลตฟอร์ม

ต่อมาเดือนพฤษภาคม ติ๊กต็อกยื่นฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อระงับคำสั่งแบนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง และเมื่อต้นเดือนธันวาคม ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยกฟ้องคำกล่าวอ้างของติ๊กต็อกที่ว่าคำสั่งแบนขัดต่อรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิตามการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ของผู้ใช้งานในสหรัฐฯ 170 ล้านราย

เมื่อวันจันทร์ (16 ธ.ค.) ติ๊กต็อกเรียกร้องศาลสูงสุดสหรัฐฯ ระงับกฎหมายนี้ ชี้ว่าจะเป็นการปิดหนึ่งในแพลตฟอร์มแสดงออกทางคำพูดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอเมริกาก่อนวันสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี และปิดปากชาวอเมริกันจำนวนมากที่ใช้แพลตฟอร์มนี้สื่อสารเกี่ยวกับการเมือง การค้า ศิลปะ และประเด็นอื่น ๆ ที่สาธารณชนสนใจ

สื่อนอกปูดรัฐบาลทหารเตรียมจัดเลือกตั้งปีหน้า ส่ง 'ตาน ฉ่วย' หารือคุยรัฐบาลไทยก่อนถกมาเลย์

(19 ธ.ค. 67) ช่วงระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคมนี้ กระทรวงการต่างประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคเกี่ยวกับเมียนมาจำนวน 2 การประชุมด้วยกัน โดยการประชุมแรกมีชาติเพื่อนบ้านของเมียนมาเข้าร่วมรวมถึงจีน บังกลาเทศและอินเดีย ส่วนอีกการประชุมเป็นการประชุมในกรอบอาเซียน

รอยเตอร์รายงานว่า ในการประชุมดังกล่าวรัฐบาลทหารเมียนมาได้ส่งนาย ตาน ฉ่วย มาเข้าร่วมประชุมที่กรุงเทพฯในวงการประชุมทั้งสองวัน โดยแหล่งข่าวทางการทูตเผยว่า เมียนมามีแผนจะจัดการเลือกตั้งในประเทศขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลทหารผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้

ความคืบหน้าดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ปี 2025 มาเลเซียเตรียมรับตำแหน่งประธานอาเซียนในปีหน้า ซึ่งอาเซียนยังล้มเหลวในการผลักดันให้เมียนมาปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อ เพื่อลดความขัดแย้งภายในประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่กองทัพทำรัฐประหารในปี 2021 ส่งผลให้เกิดการสู้รบอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ

แม้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและแรงกดดันจากหลายฝ่าย แต่รัฐบาลทหารเมียนมายังคงเดินหน้าจัดการเลือกตั้งในปี 2025 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างภาพทางการเมือง

จีนซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารเมียนมา ได้แสดงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการเลือกตั้งปี 2025 ขณะที่ผู้นำไทยเรียกร้องให้มีการมีส่วนร่วมที่กว้างขวางขึ้นกับเมียนมา

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทย เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือด้านความมั่นคงชายแดนและอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสมาชิกอาเซียนจะพบกันเพื่อพิจารณาฉันทามติ 5 ข้อ ซึ่งถือเป็นแผนสันติภาพสำหรับวิกฤตเมียนมา

นอกจากนี้ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีหน้า ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวด้านอาเซียน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในเมียนมา ซึ่งถือเป็นความพยายามที่เมียนมาหารือกับรัฐบาลไทยก่อนที่จะหารือกับรัฐบาลมาเลเซียซึ่งจะเป็นเจ้าภาพอาเซียน

ทั้งนี้ ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นว่าการประชุมครั้งนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดและขาดความโปร่งใส เนื่องจากกลุ่มกบฏในเมียนมาไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมวงหารือ ซึ่งอาจทำให้การเจรจาแก้ไขปัญหายุ่งยากมากขึ้น

เหตุแผ่นดินไหว 7.3 เขย่าวานูอาตู สถานทูตไทยในออสเตรเลียเร่งช่วยเหลือ

(19 ธ.ค.67) กระทรวงการต่างประเทศแถลงการณ์ว่า ตามที่ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวในวานูอาตูเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 17 ธ.ค. 2567 ตามเวลาท้องถิ่น ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.3 ห่างจากกรุงพอร์ตวิลา ประมาณ 30 กม. และมีแผ่นดินไหวต่อเนื่อง (aftershock) ที่จุดเดิมอีกครั้งระดับ 5.5 ส่งผลให้เกิดดินถล่ม รถยนต์ และอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างมาก และท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพอร์ตวิลาได้ปิดทำการชั่วคราวเนื่องจากเกิดความเสียหายบริเวณรันเวย์ นั้น

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้คนไทยเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 3 ราย

กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งรับผิดชอบดูแลวานูอาตู ได้ติดต่อผู้แทนชุมชนคนไทยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ และได้ประสานกรมการกงสุลเพื่อติดต่อประสานกับญาติผู้เสียชีวิตแล้ว สถานเอกอัครราชทูตฯ จะประสานทางการท้องถิ่น เพื่อดำเนินกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมถึงได้ติดต่อสอบถามอาการผู้บาดเจ็บทั้ง 3 คนแล้ว ทราบว่ามีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และดีขึ้นแล้วเป็นลำดับ

ชุมชนไทยในวานูวาตูมีประมาณ 40 คน แต่มีหลายคนที่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในประเทศไทยในช่วงปลายปีไปบ้างแล้ว ในชั้นนี้ยังไม่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหารและน้ำ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

‘สงครามไทย – ว้า’ ไม่เกิด หลังผ่านเส้นตายกองทัพไทย สวนทางสื่อโซเชียลขยันปั่นเฟคนิวส์หวังให้สงครามปะทุ

เป็นเวลามากกว่า 24 ชั่วโมงมาแล้วหลังเส้นตายของกองทัพไทยที่ประกาศให้ทางกองทัพว้าถอนกำลัง แต่จนถึงปัจจุบัน ณ ตอนนี้ไม่มีสัญญาณใด ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ความเป็นจริงสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโซเชียลที่ปลุกปั่นปล่อยเฟคนิวส์ออกมาว่าสงครามเกิดแล้ว

อย่างที่ทาง THE STATES TIMES และเอย่าได้นำเสนอข่าวไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือทุกอย่างจบแล้วบนโต๊ะเจรจาระหว่างผู้นำว้าและตัวแทนของกองทัพไทย  โดยการแก้ปัญหาดังกล่าวจะเข้าไปสู่การหารือในคณะกรรมการร่วมชายแดนต่อไป  ซึ่งนั่นไปขัดใจคนบางกลุ่มเข้า ซึ่งวันนี้เอย่าจะมาวิเคราะห์ให้ทราบกัน

กลุ่มแรกที่ดูเหมือนจะได้รับผลประโยชน์หากไทยเกิดสงครามกับว้าคือกองกำลังไทใหญ่ใต้หรือ RCSS/SSA ของเจ้ายอดศึกที่มีประเด็นความแค้นกับกองกำลังว้ามาก่อน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าถ้าไทยเปิดศึกกับว้า ไทใหญ่ย่อมต้องช่วยไทย เพราะการที่จะขอไทยคืนเพื่อใช้เป็นฐานเหมือนสมัยที่ขุนส่ายังอยู่

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านกองทัพเมียนมาที่จะใช้โอกาสนี้ในการขนส่งยุทธภัณฑ์ผ่านชายแดนไปให้กลุ่มต่อต้านและกองกำลังชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น

กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์ เพราะสงครามจะนำเม็ดเงินมหาศาลในการจัดซื้อยุทธภัณฑ์เข้าสู่ตน 

นี่เอย่าไม่นับพวกที่ต้องการให้สถานการณ์ในไทยไม่ดีและกลุ่มที่พยายามจะด้อยค่ากองทัพด้วยนะคะ เพราะเราไม่ให้ราคากับ 2 กลุ่มที่เหลือนี้

อีกประเด็นคือต้องขอบคุณทหารชั้นยศสูงทุกท่านที่ยอมอดทน อดกลั้นรับคำด่า คำด้อยค่า ยั่วยุในสื่อโซเชียล เพื่อที่จะไม่ให้มีการเสียเลือดเนื้อของคนในชาติ ดังคำที่นายพลเกษียณราชการท่านหนึ่งเคยกล่าวกับเอย่าว่า สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการรบคือการพาลูกน้องในสังกัดส่งกลับถึงครอบครัวโดยปลอดภัย ส่วนคนในโซเชียลก็เพลา ๆ กันบ้างนะคะ สงครามไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะกับใคร

Temu ครองยอดดาวน์โหลดสูงสุด บน App Store ในสหรัฐฯ

(18 ธ.ค.67) แอปเปิล (Apple) เปิดเผยผลการจัดอันดับแอปพลิเคชันและเกมที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ (App Store) ในสหรัฐฯ ซึ่งพบว่า 'เทมู' (Temu) แอปพลิเคชันชอปปิงของจีนครองอันดับหนึ่งอีกครั้งในฐานะแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ในปี 2024

รายงานระบุว่าเทมูขึ้นมาครองอันดับหนึ่งในปี 2023 แทนที่ติ๊กต็อก (TikTok) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ในปี 2022 โดยติ๊กต็อกครองอันดับสามในปี 2024 รองจากแอปพลิเคชันเธรดส์ (Threads) ในเครืออินสตาแกรมของเมตา (Meta) ที่ขึ้นมาอยู่อันดับสองหลังจากอยู่อันดับสามในปี 2023

ด้านแอปพลิเคชันแชตจีพีที (ChatGPT) เป็นแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดอันดับ 4 ในสหรัฐฯ ในปี 2024 แซงหน้าแอปพลิเคชันเสิร์ช (Search) สำหรับค้นหาข้อมูลของกูเกิล

หลายแอปพลิเคชันของเมตายังคงติดการจัดอันดับแอปพลิเคชันที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในปี 2024 แต่ครองอันดับต่ำลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอินสตาแกรมและวอตส์แอป (WhatsApp) ครองอันดับ 6 และอันดับ 7 ตามด้วยแคปคัต (CapCut) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance) ยูทูบ จีเมล กูเกิลแมปส์ ชีอิน และเฟซบุ๊กในอันดับ 13

ส่วนอันดับ 14-20 ได้แก่ เทเลแกรม (Telegram) สแนปแชต (Snapchat) แคชแอป (Cash App) สปอติฟาย (Spotify) แม็กซ์ (Max) แม็คโดนัลด์ และแอมะซอน

รัสเซียเชื่อมือบงการสังหารนายพลฝ่ายนิวเคลียร์ เป็นฝรั่งผิวขาวพูดอังกฤษ มั่นใจลากตัวลงโทษให้ได้

(18 ธ.ค.67) กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ ยืนยันว่าจะดำเนินการทุกวิถีทางนำตัวผู้เกี่ยวข้องในเหตุสังหารพลโท อิกอร์ คิริลอฟ หัวหน้าหน่วยป้องกันทางชีวภาพ, เคมี และรังสีของกองทัพรัสเซีย มาลงโทษให้ได้

คำแถลงจากมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียระบุว่า "เรามั่นใจว่าผู้ที่เป็นผู้จัดการและผู้ลงมือฆ่านายพลอิกอร์ คิริลอฟ จะต้องถูกจับกุมและนำตัวมาลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหนก็ตาม และเราขอประกาศไปยังผู้สนับสนุนระบอบเคียฟ, ผู้ที่เกลียดชังรัสเซียทุกรูปแบบว่า ในฐานะประเทศและประชาชน เราจะไม่ถูกข่มขู่ เรากำลังปกป้องความจริง"

ซาคาโรวา ยังกล่าวอีกว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุเป็นชนชาติแองโกล-แซกซอน (ฝรั่งผิวขาวพูดภาษาอังกฤษ) เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์หลักจากการโจมตีทางการก่อการร้ายในมอสโกครั้งนี้ โดยกล่าวว่า ระบอบเคียฟเพียงแค่ "เป็นเครื่องมือ" เท่านั้น โดยรัสเซียจะยกประเด็นการสังหารนี้ในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ด้วย

สำหรับพลโทคิริลอฟและผู้ช่วยของเขาถูกฆ่าตายจากการระเบิดในมอสโกเมื่อเช้าวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่จากบริการความมั่นคงของยูเครน (SBU) ยืนยันกับ The New York Times ว่ายูเครนเป็นผู้รับผิดชอบในการสังหารครั้งนี้

ขณะที่ทางหน่วยงานความมั่นคงแห่งรัฐรัสเซีย (FSB) ระบุเมื่อวันพุธว่าได้จับกุมชายผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอุซเบกิสถานวัย 29 ปี ในข้อหาวางระเบิดและจุดระเบิดจากระยะไกล โดยผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวให้การซัดทอดว่า ผู้ว่าจ้างชาวยูเครนที่ให้ลงมือจุดระเบิดสัญญาว่าจะให้เงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมให้สัญชาติเป็นพลเมืองสหภาพยุโรป

รมว.ต่างประเทศมาเลย์ยัน ทักษิณ เหมาะสมนั่งที่ปรึกษาประธานอาเซียน เชื่อทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์สองมหาอำนาจได้

นายโมฮัมหมัด ฮะซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวในการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเตรียมดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของมาเลเซียในปี 2025 โดยในตอนหนึ่งของการแถลง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม จะแต่งตั้งให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานอาเซียนในปีหน้า

โดยนายฮะซัน กล่าวถึงเหตุผลที่นายกฯมาเลย์เลือกนายทักษิณว่า “อดีตนายกฯทักษิณ เป็นผู้ทรงอิทธิพลในไทย ได้รับการยอมรับจากสหรัฐ และมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน นั่นทำให้เขาเหมาะสมในการทำหน้าที่สะพานเชื่อมอาเซียน ระหว่างสองมหาอำนาจ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"

อย่างไรก็ดี การแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยให้เป็น 'ที่ปรึกษาส่วนตัว' ของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในช่วงที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2025 นั่นได้สร้างข้อวิจารณ์มากมายจากทั้งฝ่ายค้านของมาเลเซีย ตลอดจนบรรดานักวิชาการของมาเลเซีย

โดยนายอาห์หมัด ฟัดห์ลี ชารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่าเป็นการกระทำที่ 'ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน' และตั้งคำถามว่า การแต่งตั้งครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออาเซียนหรือเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของนายอันวาร์ในระดับสากลกันแน่

เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ก็แสดงความสงสัยเกี่ยวกับการเลือกทักษิณ โดยกล่าวว่า “ผมไม่รู้ทำไมเขาถึงเลือกทักษิณ เรามีคนให้เลือกมากมาย และทักษิณมีปัญหาทางกฎหมายของตัวเอง แต่ก็เป็นสิทธิ์ของนายอันวาร์ในการเลือก”

ขณะที่นักวิชาการบางรายกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นข้อเสีย หากถูกมองว่าเป็นการขาดความมั่นใจในรัฐบาลของตัวเองในการบริหารจุดยืนของอาเซียนระหว่างสองขั้วมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ แต่นักวิชาการบางคนมองว่า การแต่งตั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้มีความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยแนะนำรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ที่อาเซียนจะเผชิญในอนาคต

‘ผู้ประกอบการไทย’ ไม่ต้องกังวลขาดแคลนแรงงาน แม้รัสเซียเซ็น MOU ให้เมียนมาส่งแรงงานถึง 5 ล้านคน

มีรายงานไม่นานมานี้ว่า ทางรัสเซียได้ตกลงเซ็นต์ MOU กับเมียนมาในการที่จะส่งแรงงานให้แก่รัสเซียจำนวน 5 ล้านคน

ประเด็นขาดแคลนแรงงานเป็นผลมาจากความยืดเยื้อของสงครามในยูเครนทำให้แรงงานจำนวนหนึ่งต้องออกไปเป็นทหาร 

ทางรัสเซียเผยว่าแรงงานดังกล่าวจะเข้ามารับผิดชอบในส่วนการกสิกรรมและปศุสัตว์ โดยแรงงานทั้งหมดทางรัสเซียจะสอนภาษารัสเซียให้เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร

ที่ผ่านมาทางการเมียนมามีการทำ MOU ส่งคนงานไปหลายประเทศทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่นหรือแม้กระทั่งลาว แต่หลายประเทศทางผู้สมัครจะต้องมีการออกค่าใช้จ่ายก่อนหรือต้องมีผลทดสอบทางภาษาจึงสามารถไปทำงานได้

จากประเด็นนี้หลายฝ่ายคิดว่าอาจจะกระทบต่อแรงงานในไทย แต่สำหรับเอย่ามองว่า หากรัฐบาลไทยที่พยายามออกหนทางฟอกขาวให้แรงงานที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายก็ไม่ต้องกลัวว่าประเทศเราจะขาดแคลนแรงงานแน่นอน อีกอย่างแรงงานที่สมัครใจไปทำงานรัสเซียเป้าหมายชีวิตเขาก็แตกต่างจากคนที่มาทำงานในไทย ดังนั้นผู้ประกอบการไทยไม่ต้องกังวลอะไร เพราะอย่างไรก็ตามจำนวนคนที่ลักลอบเข้าประเทศไทยก็ไม่ได้ลดลง แต่อย่างใด

สหรัฐฯส่งเรือรบ 'ยูเอสเอส ซาวันนาห์' เทียบท่าสีหนุวิลล์ ส่งสัญญาณฟื้นสัมพันธ์เขมร ก่อนทรัมป์ขึ้นตำแหน่งปธน.

เมื่อวันที่ (16 ธ.ค.67) ที่ผ่านมา เรือรบ ยูเอสเอส ซาวานนาห์ (USS Savannah) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้จอดเทียบท่าที่ท่าเรือเมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นเมืองรีสอร์ตริมทะเลอ่าวไทยและท่าสำคัญที่สุดของกัมพูชา การเข้าจอดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี และจะประจำการที่ท่าเรือแห่งนี้เป็นเวลา 5 วัน โดยเรือซาวานนาห์เป็นเรือรบประเภทชายฝั่ง และบรรทุกลูกเรือทั้งหมด 103 คน

แดเนียล เอ. สเลดส์ ผู้บัญชาการเรือ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เขารู้สึกยินดีที่กองทัพเรือสหรัฐฯ กลับมาเยือนกัมพูชาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานถึง 8 ปี

การเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่สหรัฐฯ พร้อมจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชา หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาในเรื่องการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกัมพูชาและจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การที่จีนได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงฐานทัพเรือในอ่าวไทย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรือซาวานนาห์จอดเทียบท่ามากนัก

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนกัมพูชาและได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา โดยนายฮุน มาเนตเองก็เป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยการทหารเวสต์พอยต์ของสหรัฐฯ ด้วย นับเป็นการส่งสัญญาณของกองทัพสหรัฐในช่วงก่อนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลสู่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

'หลี่ เจี้ยนผิง' อดีตข้าราชการทุจริต ยักยอกทรัพย์สินกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.67) ทางการจีนได้ดำเนินการประหารชีวิต 'หลี่ เจี้ยนผิง' อดีตเลขาธิการคณะทำงานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีฮูฮอต (Hohhot) ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางตอนเหนือของประเทศจีน หลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาทุจริต รับสินบน ยักยอกเงินของรัฐ และสมคบคิดกับกลุ่มอาชญากร

หลี่ถูกพบว่าทุจริตโดยการยักยอกทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจกว่า 1.43 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.74 พันล้านบาท) รับสินบนทั้งในรูปแบบของขวัญและเงินสดรวมกว่า 577 ล้านหยวน (ประมาณ 2.71 พันล้านบาท) และยักยอกเงินของรัฐอีกกว่า 1.05 พันล้านหยวน (ประมาณ 4.95 พันล้านบาท) รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริตกว่า 3 พันล้านหยวน

นอกจากนี้ หลี่ยังถูกตัดสินว่ามีส่วนสนับสนุนการกระทำผิดของกลุ่มอาชญากรที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา โดยศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและยึดทรัพย์สินทั้งหมดของเขา

แม้หลี่ได้ยื่นอุทธรณ์หลังถูกตัดสินประหารชีวิตเมื่อเดือนกันยายน 2022 แต่ศาลประชาชนสูงสุดจีนพิจารณาแล้วเห็นว่าอาชญากรรมที่หลี่กระทำมีความร้ายแรงสูงสุด ทั้งในแง่ของการทุจริตมูลค่ามหาศาล ผลกระทบเชิงลบต่อสังคม และอันตรายต่อรัฐและผลประโยชน์สาธารณะอย่างใหญ่หลวง จึงมีคำสั่งยืนยันโทษประหารชีวิต

การประหารชีวิตดำเนินการโดยศาลประชาชนในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน โดยหลี่ได้รับอนุญาตให้พบกับครอบครัวและญาติสนิทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการลงโทษ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top