Tuesday, 10 December 2024
WORLD

‘จีน’ ทดสอบ ‘เครื่องบินไฟฟ้าไร้คนขับ’ รองรับผู้โดยสารได้ 5 คน สำเร็จ พร้อมให้บริการรูปแบบแท็กซี่ หวังช่วยหนุน ‘การเดินทาง-เลี่ยงรถติด’

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.67) การให้บริการ ’Air Taxi‘ ใกล้ความจริงมากขึ้น เมื่อเครื่องบินไฟฟ้าไร้คนขับ (eVTOL) ประสบความสำเร็จในการบินข้ามแม่น้ำแยงซี ในเมืองหนานจิง โดยการบินทดสอบครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ระยะทาง 25 กิโลเมตร ถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องบิน eVTOL ที่มีหนักกว่า 1 ตัน บินข้ามแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของจีน

สำหรับเครื่องบิน eVTOL รุ่นนี้มีปีกกว้าง 15 เมตร ลําตัวยาว 11 เมตร และสูงประมาณ 3.5 เมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5 คน มีความจุสูงสุดเกือบ 500 กิโลกรัม พัฒนาโดยบริษัท AutoFlight บริษัทสตาร์ตอัปในเซี่ยงไฮ้ Xie Jia รองประธานอาวุโสของ AutoFlight กล่าวว่า เครื่องบินรุ่นนี้จะเป็นตัวเลือกในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ต้องการเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในเมือง ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 ของการเดินทางภาคพื้นดิน

ทั้งนี้ จีนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจการบินในความสูงระดับต่ำ โดยเมืองหนานจิงถือเป็นเมืองแนวหน้าของการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 2020 เมืองหนานจิงได้มีการเปิดเขตทดสอบอากาศยานไร้คนขับพลเรือน (UAV) มีเที่ยวบินทดสอบมากกว่า 24,000 เที่ยว 

ทางด้าน Shi Shan เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำ Pukou Hi-Tech Zone ในหนานจิงกล่าวว่า การขับเคลื่อนการบินในความสูงระดับต่ำมีความก้าวหน้าอย่างมาก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งด้านการท่องเที่ยว การเดินทางในเมือง การกู้ภัยฉุกเฉิน การขนส่ง และสถานการณ์อื่น ๆ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม CCID Consulting บริษัทด้านการวิจัยระบุว่า ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรม eVTOL ของจีนเติบโตขึ้นร้อยละ 77.3 มีมูลค่ากว่า 980 ล้านหยวน หรือประมาณ 4,900 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 อุตสาหกรรม eVTOL น่าจะมีมูลค่ากว่า 9,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 47,500 ล้านบาท

'Mission To The Moon' เผย!! แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มเลี่ยงเอี่ยว 'การเมือง' หวั่น!! พาแบรนด์ไปพัง พร้อมเลือกใช้ 'เหล่าอินฟลูฯ' ที่ไม่คลั่งการเมืองมากขึ้น

ไม่นานมานี้ Mission To The Moon ได้นำเสนอบทความที่สืบเนื่องจากแบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มปรับทิศทาง ไม่นิยมจ้างอินฟลูฯ ที่ตื่นรู้ทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า...

ปัจจุบันนี้อาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นสายงานที่มาแรงและสร้างกำไรให้กับตัวคนทำ รวมถึงบริษัท และแบรนด์ผู้จ้างได้อย่างมากมายมหาศาล

ด้วยพลังของโซเชียลมีเดียที่ผนวกกับพลังของความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพก็สามารถสร้างคอนเทนต์ พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและตัดต่อ รวมถึงค่อยๆ เก็บเกี่ยวความนิยมจนกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นความนิยมในตัวของอินฟลูเอนเซอร์เองก็ยังสามารถต่อยอดมูลค่าได้อีกมากมาย เช่น ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าคนที่มาสายอาชีพนี้จะประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้าทุกคน

เพราะความผันผวนรอบทิศทางทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในตลาดแรงงาน ยิ่งในอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ที่มีทั้งระดับเล็กไปจนถึงระดับใหญ่ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรงของแบรนด์ได้ และอินฟลูเอนเซอร์ที่อาจเพิ่มโอกาสใหม่ๆ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับแบรนด์

แต่ก็ใช่ว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และมียอดผู้ติดตามสูงๆ จะได้รับโอกาสจากทุกแบรนด์ เพราะผู้จ้างเองก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ ลักษณะของกลุ่มผู้ติดตาม รวมไปถึงประเด็นความอ่อนไหวอื่นๆ ที่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย และหนึ่งในประเด็นที่อาจเรียกได้ว่าอ่อนไหวจนถึงขั้นทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนกลายเป็น ‘โปรไฟล์ที่มีความเสี่ยงสูง’ ต่อแบรนด์ก็คือเรื่องการเมืองนั่นเอง

>> เพราะ ‘การเมือง’ คือเรื่องอ่อนไหวในโลก Marketing
การทำการตลาดให้กับสินค้าและแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) มีอิทธิพลกับสร้างการรับรู้และกำไรให้กับแบรนด์สูงมากจริงๆ และแบรนด์ต่างๆ เองก็พร้อมที่จะลงทุนเม็ดเงินมหาศาลเพื่อทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น Walmart, Kraft Heinz หรือ Coca-Cola

โดยจากการรายงานของ CNBC มีการคาดการณ์ว่า Creator Economy หรือเศรษฐกิจจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเหล่าครีเอเตอร์จะมีมูลค่าถึง 528 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจรูปแบบนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างคอนเทนต์กับแบรนด์ หรือบริษัทที่ลงโฆษณา

โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ความเห็นทางการเมืองมักประกอบสร้างขึ้นมาจากทฤษฎีสมคบคิด และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องของคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากมีการคว่ำบาตรอินฟลูเอนเซอร์เกิดขึ้น คนที่จะโดนผลกระทบหนักที่สุดก็คือแบรนด์ที่เป็นผู้จ้างนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นการที่คอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้างไปอยู่ใกล้กับคอนเทนต์อื่นๆ ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ก็จะทำให้ส่งผลต่ออัลกอริทึม ยอดการเข้าถึง และอาจส่งผลกระทบไปถึงทัศนคติที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้แบรนด์จึงต้องมีการศึกษาภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ในตลาดเป็นอย่างดี เพื่อพิจารณาถึงกำไร ผลประโยชน์ รวมไปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คริชนา สุบรามาเนียน (Krishna Subramanian) ผู้ก่อตั้ง Captiv8 บริษัทการตลาดกล่าวว่า แบรนด์ต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าพวกเขาจะจ้างอินฟลูเอนเซอร์สักคนเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้า

โดยเครื่องมือ AI ของ Captiv8 จะแบ่งเกรดของอินฟลูเอนเซอร์หรือเน็ตไอดอลในสหรัฐฯ ออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของแบรนด์ เช่น...

- เกรด A หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ปลอดภัย’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่นำเสนอคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางสังคม
- เกรด C ที่หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ต้องระวัง’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึงเรื่องการเมือง และประเด็นอ่อนไหวทางสังคมบ่อย ๆ
- รวบรวมและวิเคราะห์เนื้อหาที่เป็นประเด็น เช่น ประเด็นทางสังคมที่ละเอียดอ่อน ความตายและสงคราม คำพูดที่สร้างความเกลียดชังจากตัวครีเอเตอร์จากการรายงานข่าว

นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัท Viral Nation ผู้ให้บริการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียที่สร้างบริการ Advanced Brand Safety ในการช่วยวิเคราะห์คำสำคัญและตรวจจับคอนเทนต์ที่อาจเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในภายหลังได้

>> ตระหนักรู้ทางการเมืองอย่างไรไม่ให้กระทบกับ ‘ภาพลักษณ์’ ของเรา?
แม้ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ในโลกธุรกิจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความคิดเห็นที่ของคนที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกันอาจทำให้เกิดอคติขึ้น ส่วนแบรนด์เองก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้หลายแบรนด์ไม่สามารถลอยตัวเหนือดรามาที่เกิดขึ้นได้

แต่การจะทิ้งอุดมการณ์ไปเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนของแบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้าง ถ้าเช่นนั้นแล้วเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งหลายควรจะรับมือกับความต้องการของแบรนด์ และสถานการณ์การเมืองที่เพิกเฉยไม่ได้นี้อย่างไร?

>> แสดงออกอย่างมีมารยาท
ภาพลักษณ์และวิธีการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์สำคัญอย่างมากในยุคนี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้โซเชียลมีเดียทำมาหากินก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการโพสต์จะถูกเผยแพร่ และแชร์ต่ออยู่บนโลกออนไลน์ ดังนั้นความคิดและการแสดงออกของเราจะสร้างผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน แต่จะเป็นผลดีหรือผลร้ายนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารของเรา

>> เคารพในความเห็นที่ต่างกัน
อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เราได้พบเจอกับความคิดเห็นมากมาย ทั้งความเห็นที่คล้ายกับเราและความเห็นที่ต่างจากเรา ดังนั้นต้องเข้าใจว่าคนทุกคนสามารถมีมุมมอง ความคิดเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเคารพในเหตุผลของทุกฝ่าย และไม่สร้างความขัดแย้งด้วยคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

>> คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
ในกรณีที่ประเด็นความอ่อนไหวนั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะกลุ่มมาก ๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง คนที่ทำอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์อาจจะต้องไตร่ตรองถึงความคุ้มค่าอย่างถี่ถ้วน ว่าการแสดงความคิดเห็นออกไปนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับภาพลักษณ์และอาชีพของเรา แล้วจะได้อะไรกลับมาคุ้มกับที่เสียไปหรือไม่?

สุดท้ายนี้ แม้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจกำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างน่าติดตาม แต่ในฐานะของผู้ประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้สร้างคอนเทนต์ออนไลน์จำเป็นจะต้องคำนึงถึงทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผู้จ้าง ภาพลักษณ์ของตัวเราเอง และทัศนคติของโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบกับประเด็นอ่อนไหวที่เกิดขึ้นด้วย

การคำนึงถึงทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบอย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้เราระมัดระวังในการผลิตและเผยแพร่คอนเทนต์มากขึ้น มีการตรวจสอบที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ให้ดูน่าเชื่อถือได้ และถ้าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ก็มีส่วนผิด และจำเป็นที่จะต้องแสดงการรับผิดชอบต่อแบรนด์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน

‘WHO’ ประกาศยกระดับ ‘โรคฝีดาษลิง’ เป็นภาวะฉุกเฉิน พร้อมรับมือการระบาดของหลายสายพันธุ์ในหลากประเทศ

(15 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคเอ็มพอกซ์ (MPOX) หรือโรคฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนความเสี่ยงเกิดการแพร่ระบาดระหว่างประเทศ

ทางด้าน ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การฯ แถลงข่าวว่า เขารับทราบคำแนะนำจากคณะกรรมการฉุกเฉิน ซึ่งได้ประชุมหารือและพิจารณาแล้วว่าสถานการณ์การระบาดของโรคเอ็มพอกซ์หรือโรคฝีดาษลิง ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ

โดยภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ นับเป็นสัญญาณเตือนระดับสูงสุดภายใต้กฎหมายสาธารณสุขระหว่างประเทศ ทุกฝ่ายจึงควรเฝ้าระวังการระบาดของโรคเอ็มพอกซ์หรือโรคฝีดาษลิง ซึ่งมีแนวโน้มแพร่ระบาดภายในแอฟริกาและกระจายวงกว้างยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลขององค์การฯ พบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์หรือโรคฝีดาษลิงในปี 2024 ได้สูงเกินจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดในปี 2023 แล้ว โดยขณะนี้มีผู้ป่วยสะสมอยู่ที่มากกว่า 14,000 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิตอยู่ที่ 524 ราย

ทั้งนี้ องค์การฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ หลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกาประกาศให้การระบาดของโรคเอ็มพอกซ์หรือโรคฝีดาษลิงในเวลานี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของทวีป

ทีโดรสกล่าวเปิดการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินว่าการรับมือในตอนนี้ ไม่ได้รับมือกับการระบาดของสายพันธุ์เดียว แต่เป็นการรับมือกับการระบาดของหลายสายพันธุ์ในหลายประเทศ ซึ่งมีรูปแบบการระบาดและระดับความเสี่ยงแตกต่างกัน

นอกจากนี้ เมื่อวันพุธ (14 ส.ค.) องค์การเตรียมความพร้อมและรับมือภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของคณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยว่า สหภาพยุโรปประกาศแผนการจัดซื้อและบริจาควัคซีนเอ็มวีเอ-บีเอ็น (MVA-BN) แก่แอฟริกา จำนวน 175,420 โดส และบาวาเรียน นอร์ดิก (Bavarian Nordic) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพในเดนมาร์ก จะบริจาควัคซีนแก่องค์การฯ จำนวน 40,000 โดสด้วย

‘จีน’ เล็งแก้ กม.‘แต่งงาน’ ง่ายขึ้น ‘หย่า’ ต้องรอ 30 วัน เบรกการหย่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบ-แก้วิกฤติประชากรลด

(15 ส.ค. 67) จีนเตรียมแก้กฎหมายเอื้อให้การจดทะเบียนสมรสทำได้ง่ายขึ้น ขณะที่การหย่าร้างจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่าเดิม ในความเคลื่อนไหวที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นเทรนด์ฮอตในโซเชียลมีเดียวันนี้

ด้านกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนได้เผยแพร่ร่างแก้ไขกฎหมายที่ระบุว่ามุ่งสร้าง ‘สังคมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว’ เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน โดยจะเปิดให้พลเมืองจีนสามารถส่งความคิดเห็นเข้าไปยังกระทรวงได้จนถึงวันที่ 11 ก.ย.นี้

โดยการแก้กฎหมายครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความพยายามของผู้กำหนดนโยบายจีนที่ต้องการส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวหันมาแต่งงานสร้างครอบครัวและมีบุตร เพื่อแก้ไขวิกฤตประชากรจีนที่ลดลงต่อเนื่องมา 2 ปีติดแล้ว

ร่างกฎหมายนี้มีการลดทอนข้อจำกัดในแง่ของถิ่นที่อยู่อาศัยลง จากเดิมที่กฎหมายจีนกำหนดไว้ว่าการจดทะเบียนสมรสจะต้องกระทำในเขตพื้นที่ตามทะเบียนบ้านของคู่แต่งงานเท่านั้น

อย่างไรก็ดี คู่สมรสที่ประสงค์หย่าร้างจะมีช่วงเวลา ‘รอ’ 30 วันหลังจากที่ยื่นคำร้อง ซึ่งระหว่างนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการหย่า ก็สามารถถอนคำร้องได้ทันที และกระบวนการจดทะเบียนหย่าถือเป็นอันสิ้นสุด

“แต่งงานง่าย แต่เวลาจะหย่ากลับยาก นี่มันกฎหมายงี่เง่าอะไรเนี่ย” ผู้ใช้ weibo รายหนึ่งกล่าว ซึ่งปรากฏว่ามีชาวเน็ตเข้าไปกดถูกใจหลายหมื่นครั้ง

ขณะที่ทางด้าน เจียง เฉวียนเป่า (Jaing Quanbao) อาจารย์ประจำสถาบันเพื่อการศึกษาด้านประชากรและการพัฒนาในสังกัดมหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง ให้สัมภาษณ์กับสื่อโกลบอลไทม์สว่า กฎหมายนี้มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนเล็งเห็นความสำคัญของการแต่งงานและการสร้างครอบครัว ป้องกันการหย่าร้างด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สร้างความมั่นคงทางสังคม ตลอดจนปกป้องสิทธิตามกฎหมายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

จำนวนคู่รักชาวจีนที่จดทะเบียนสมรสในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 3.43 ล้านคน ลดลง 498,000 คนจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2013

ทั้งนี้ นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจีนทำให้การแต่งงานเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีบุตร รวมถึงการที่พ่อแม่ต้องนำทะเบียนสมรสไปแสดง เพื่อลงทะเบียนขอรับสวัสดิการอุดหนุนสำหรับลูกที่เกิดมา

อย่างไรก็ตาม คนจีนหนุ่มสาวจำนวนมากเลือกที่จะเป็นโสดหรือเลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน เนื่องจากกังวลเรื่องความมั่นคงด้านอาชีพการงาน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาในช่วงเวลานี้

'หัวเว่ย' ส่งสัญญาณโอเปอเรเตอร์ไทย ขานรับ '5.5G' หนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ 'ทรู-เอไอเอส' จ่อแจม หลัง 60 โอเปอเรเตอร์ทั่วโลกเปิดตัวในเชิงพาณิชย์แล้ว

(15 ส.ค. 67) นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการ ฝ่ายขายกลุ่มธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Huawei กล่าวในงาน Asia-Pacific ICT Summit 2024 ถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 5.5G และบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ว่าในขณะที่ 4G เคยสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่และโอกาสในการทำงานของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ 5G จะยิ่งเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้งาน 5G ทุก ๆ 10% จะทำให้ GDP เติบโต 1% ถึง 1.8% และ 5G สามารถเพิ่มผลผลิตให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมได้ 10% ถึง 20% สถิติเหล่านี้จึงสะท้อนทิศทางที่สดใสของตลาด 5.5G ในภูมิภาค

"เทอร์มินัลมากกว่า 30 ประเภทรองรับ 5.5G และผู้ให้บริการมากกว่า 60 รายได้เปิดตัว 5.5G ในเชิงพาณิชย์แล้ว โดยโอเปอเรเตอร์บางรายได้นำ 5.5G มาใช้ในเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงชัดเจนว่าการผสมผสานระหว่าง AI และ 5.5G จะขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ซึ่งในการจัดส่งสมาร์ทโฟน AI ทั่วโลกที่จะสูงถึง 170 ล้านเครื่องในปี 2024 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอาจคิดเป็น 40-50% ของการจัดส่งเหล่านี้"

อาเบลย้ำว่าวันนี้มีโครงการ 5G B2B มากกว่า 13,000 โครงการทั่วโลก ทำให้บริการด้าน 5G รูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด โอเปอเรเตอร์จึงเริ่มสร้างรายได้จากการมอบประสบการณ์ที่หลากหลายให้ผู้ใช้ ที่จะได้ใช้งานดิจิทัลแบบลื่นไหลบนความสามารถของ 5.5G ตั้งแต่การปรับปรุงความเร็วแบนด์วิดท์ การรองรับความหนาแน่นของการเชื่อมต่อได้มากขึ้น ความแม่นยำในการระบุตำแหน่งที่ทำให้เล่นเกมได้ดีขึ้น และประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับ 5G

5.5G ของ Huawei จะรองรับแอปพลิเคชันใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี XR (extended reality) เสมือนจริง การส่งสัญญาณระบบภาพความละเอียดสูงพิเศษ และการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ IoT ที่ทุกสิ่งล้วนต้องออนไลน์ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 10 กิกะบิตต่อวินาที (เร็วกว่า 5G ถึง 10 เท่า) ความหน่วงต่ำกว่า 1 มิลลิวินาทีจนผู้ให้บริการสามารถรับประกันคุณภาพหรือ SLA ได้แบบกำหนดเอง ที่สำคัญคือรองรับ AI และเครือข่ายอัตโนมัติดีกว่าเพราะประสิทธิภาพและการจัดการเครือข่ายที่ดีขึ้น

ในขณะที่ย้ำว่าเทคโนโลยี 5.5G ช่วยให้โอเปอเรเตอร์สามารถให้บริการแนวใหม่ เช่น Massive IoT ประสบการณ์ 3D/MR/XR การสื่อสาร V2X และแอปพลิเคชัน AI ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ Huawei ได้ส่งสัญญาณกำลังร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างระบบนิเวศ 5.5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย ทั้งเอไอเอสและทรูที่เข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีงานประชุมเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานที่จัดแสดงการใช้งานเทคโนโลยี 5G และ 5.5G ในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่โรงงานอัจฉริยะ รถแท็กซี่ไร้คนขับ และการชอปปิ้งด้วย AI

มาร์ก ชง ชิน กก (Mark Chong Chin Kok) รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส กล่าวว่าเครือข่าย 5G ของ AIS นั้นครอบคลุมพื้นที่ 95% ของไทย ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีพื้นที่เครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุด และบริษัทจะยังคงขยายการลงทุนเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในศักยภาพของเครือข่าย ขณะที่ นายฮาว ริ เร็น (How Lih Ren) หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และเทเลคอม-เทค บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทใช้ AI ในการพัฒนาบริการลูกค้าทั้งดีแทคและทรูอย่างเป็นเนื้อเดียว และในปี 2024 คนไทยจะได้เห็นบริการแชตบอตของบริษัทในรูปผู้ช่วยส่วนตัวชื่อมะลิ ซึ่งแม้ทั้งคู่จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการลงทุน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณการเปิดทางให้บริการและโอกาสทางธุรกิจใหม่ในไทยในช่วง 5 ปีที่ 6G จะยังไม่เกิด

สำหรับงาน Asia-Pacific ICT Summit 2024 นั้นเป็นงานแสดงโมเดลอัจฉริยะหลากหลายสำหรับชีวิตดิจิทัล ทั้งด้านการทำงาน การแพทย์ รวมถึงบ้านอัจฉริยะ Wi-Fi 7 และนวัตกรรมระดับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เปิดให้งานในหลายเมืองใหญ่ของจีนเรียบร้อย

‘มีอา เลอ ลูซ์’ นางงามหูหนวกคนแรก คว้ามงกุฎ 'มิสแอฟริกาใต้' เจ้าตัวลั่น!! ชัยชนะครั้งนี้ หวังเป็นแรงใจของผู้ที่ถูกกีดกันทางสังคม

(14 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีอา เลอ ลูซ์ (Mia le Roux) วัย 28 ปี หญิงสาวผู้พิการหูหนวกคนแรกที่คว้ามงกุฎ 'มิสแอฟริกาใต้' ไปครองได้สำเร็จ ซึ่งการประกวดเต็มไปด้วยดรามาถึงขั้นทำให้หนึ่งในนางงามผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายต้องถอนตัวออกไป หลังจากถูกโจมตีเรื่องที่เธอมีเชื้อสายของชาวไนจีเรีย

สำหรับ 'มีอา เลอ ลูซ์' ได้รับการวินิจฉัยจากทางแพทย์ว่าเธอมีอาการหูหนวก คือไม่ได้ยินเสียงใด ๆ แม้จะเป็นเสียงตะโกน ในตอนที่เธออายุเพียง 1 ขวบเท่านั้น และต้องรับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เพื่อช่วยให้เธอได้ยินเสียงบ้าง และต้องใช้เวลาถึง 2 ปีในการบำบัดการพูดก่อนที่เธอจะพูดคำแรกได้

'มีอา เลอ ลูซ์' กล่าวว่า เธอคือหญิงหูหนวกชาวแอฟริกาใต้อย่างภาคภูมิใจ และเธอรู้ดีว่ามันรู้สึกอย่างไรเวลาถูกกีดกัน หวังว่าชัยชนะของเธอจะช่วยเหล่าผู้ที่รู้สึกว่าถูกกีดกันทางสังคม ให้บรรลุความฝันของพวกเขาเหมือนกับเธอ 

อย่างไรก็ตาม การประกวดเวทีนางงามแอฟริกาใต้ท่านนี้ ถือว่าเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยดรามาหนัก ทั้งเรื่องการกีดกันทางเชื้อชาติ โดยมีนางงามวัย 23 ปี ได้ถอนตัวจากการประกวดหลังแม่ของเธอถูกกล่าวหาว่าขโมยตัวตนของหญิงอเมริกาใต้คนหนึ่งมาเป็นของตัวเอง ซึ่งนางงามวัย 23 ปีท่านนี้ กำลังตกเป็นเหยื่อของ ‘การเกลียดชังคนดำโดยคนดำ’

‘ไทย-จีน’ เตรียมเปิดฉากซ้อมรบร่วมทางอากาศ ‘Falcon Strike 2024’ หวังเพิ่มพูนทักษะต่อสู้ พร้อมกระชับแลกเปลี่ยนความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

(14 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงกลาโหมของจีนประกาศว่า จีนและไทยจะจัดการซ้อมรบร่วมทางอากาศ ‘ฟอลคอน สไตรค์ 2024’ (Falcon Strike-2024) ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยการซ้อมรบเป็นไปตามแผนความร่วมมือประจำปีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ระบุว่า การซ้อมรบจะจัดขึ้นที่ฐานทัพอากาศของไทย และจีนจะจัดส่งเครื่องบินหลายประเภทและกองกำลังพิเศษเข้าร่วมการซ้อมรบ โดยเป้าหมายของการซ้อมรบร่วมครั้งนี้คือเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้ของกองกำลังที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระชับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

‘ไต้หวัน’ แต่งตั้ง 'หลิน ยู่ถิง' เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' หลังผ่านความขมขื่นเรื่องเพศ สู่เจ้าของเหรียญทองมวยสากลหญิง

ไต้หวันต้อนรับยิ่งใหญ่ นักกีฬาทีมชาติที่กลับจากการแข่งขันปารีส โอลิมปิก 2024 ซึ่งหนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไต้หวันมากที่สุด คือ หลิน ยู่ถิง นักกีฬามวยสากลหญิง ในรุ่น 57 กิโลกรัม ที่สามารถคว้าเหรียญทองมวยสากลให้กับไต้หวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จนชาวไต้หวัน ต่างขั้นยกฉายาให้เธอว่าเป็น 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน'

แต่กว่าที่ หลิน ยู่ถิง ก้าวมาถึงจุดนี้ เธอต้องผ่านความขมขื่นจากการถูกบูลลี่ ด้วยข้อความหยามเหยียด เกลียดชัง บนโลกออนไลน์มากมาย 

เช่นเดียวกับ อิมาน เคลิฟ นักชกหญิงจากแอลจีเรีย ในประเด็นความคลุมเครือเรื่องเพศสภาพ ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ผ่านการรับรองจากสมาคมมวยสากล (IBA) ให้เข้าแข่งขันในประเภทมวยสากลหญิง แต่ทว่า ทั้ง หลิน ยู่ถิง และ อิมาน เคลิฟ กลับผ่านเกณฑ์การพิจารณาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ให้สามารถแข่งขันในงานโอลิมปิกได้

เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรง ถึงสิทธิ และความเท่าเทียมในการแข่งขันกีฬา ในกรณีความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซมเพศ ส่งผลให้เพศสภาพไม่ชัดเจน อันเป็นผลให้พวกเธอ ถูกโจมตีโดยชาวเน็ตจากทั่วโลก ที่มองว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ และไม่เห็นด้วยที่ทั้งคู่จะได้ขึ้นชกกับนักมวยที่มีเพศสภาพเป็นหญิงชัดเจน 

แต่ในขณะเดียวกัน นักมวยทั้งคู่ก็ได้รับแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไต้หวันที่พร้อมออกมาปกป้อง หลิน ยู่ถิง ในฐานะ 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน' อีกทั้ง ไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน สั่งให้ทีมกฎหมายเตรียมดำเนินคดีเอาผิดกับชาวเน็ตที่ออกมาบูลลี่ลูกสาวแห่งชาติของชาวไต้หวัน 

และล่าสุด หลิน ยู่ถิง ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานด้านกีฬาให้เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' และยังได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยวัฒนธรรมจีน โดยเธอจะได้สอนวิชาการชกมวยสากล และ ทักษะทางกีฬา ตั้งแต่ภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้เป็นต้นไป 

ประเด็นเรื่องความคลุมเครือทางเพศสภาพของ หลิน ยู่ถิง ทำให้เธอถูกเพิกถอนเหรียญรางวัลในการแข่งขันชิงแชมป์มวยโลก ที่จัดโดย IBA ที่ยังแสดงความเห็นขัดแย้งกับ IOC เรื่องสิทธิในการเข้าแข่งขันของเธอ อันเป็นเหตุให้หน่วยงานด้านกีฬาของไต้หวันกำลังพิจารณาฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายกับ IBA  

ด้าน นายกรัฐมนตรี โช จุงไต เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการมอบเหรียญเกียรติยศ พร้อมเงินอัดฉีดอีก 9 แสนเหรียญไต้หวันย้อนหลังให้ แม้ หลิน ยู่ถิงจะถูกริบเหรียญจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกก็ตาม 

แต่ทั้งนี้ หลิน ยู่ถิง ไม่ต้องการดำเนินคดีกับฝ่ายใดทั้งสิ้น และบอกว่าการได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของเธอแล้ว และเธอยินดีรับตำแหน่งทูตต่อต้านการบูลลี่ และ ทำหน้าที่สอนกีฬาเพื่อส่งเสริมนักกีฬารุ่นใหม่ของไต้หวันต่อไป

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'นายกฯ ญี่ปุ่น' เตรียมลงจากตำแหน่งผู้นำพรรครัฐบาล เดือน ก.ย.นี้ ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวต่างๆ และความขัดแย้งทางการเมือง

(14 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรครัฐบาลในเดือนกันยายน 2567 นี้ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งในช่วงผลักดันให้เพิ่มค่าจ้างและเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม

ที่ผ่านมาเสียงสนับสนุนคิชิดะลดลงอย่างมาก ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ และท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง

คิชิดะจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) อีกต่อไป สื่อท้องถิ่น รวมถึงสถานีวิทยุและโทรทัศน์สาธารณะ NHK รายงานโดยอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง

การตัดสินใจลาออกของเขาจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่จะมาแทนที่เขา และขยายไปเป็นผู้นำเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก

ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาจะต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น และอาจเป็นไปได้ที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้า

สลด!! ‘พ่อปาเลสไตน์’ สูญเสียทั้งครอบครัว จากการโจมตีของอิสราเอล หลังตนรีบออกจากบ้าน เพื่อไปขอใบสูติบัตรให้ ‘ลูกน้อยฝาแฝดวัย 4 วัน’

(14 ส.ค.67) โมฮัมเหม็ด อาบู อัล คัมซาน (Mohammed Abu al Qumsan) ต้องหัวใจสลายที่ต้องเสียทั้งครอบครัวไปอย่างไม่ตั้งตัวในวันอังคาร (13 ส.ค.) หลังบ้านพักฉุกเฉินที่เขาและลูกฝาแฝดชายหญิงวัยแค่ 4 วัน กำลังน่ารัก รวมภรรยาและย่าอาศัยอยู่นั้น โดนทหารอิสราเอลโจมตีทางอากาศ

ด้านสกายนิวส์ของอังกฤษรายงานเมื่อวันอังคาร (13 ส.ค.) ว่า ไอซาล (Aysal) ทารกฝาแฝดหญิงผู้พี่และอาเซอร์ (Aser) ฝาแฝดน้องชายที่เพิ่งลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกเมื่อสุดสัปดาห์ แต่กลับต้องเคราะห์ร้ายมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 4 วัน เมื่อพ่อปาเลสไตน์ที่กำลังตื่นเต้น ‘โมฮัมเหม็ด อาบู อัล คัมซาน’ (Mohammed Abu al Qumsan) รีบเดินทางออกจากบ้านในเดอีร์ อัล บาลาห์ (Deir al Balah) ตอนกลางของเขตฉนวนกาซา

แต่เมื่อเขาเดินทางกลับมาในเช้าวันอังคาร (13 ส.ค.) พร้อมกับใบสูติบัตรของลูกฝาแฝดแรกคลอดกลับพบว่าทั้งครอบครัวถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอล

อ้างอิงจากสื่อท้องถิ่นพบว่า ทั้งครอบครัวแต่เดิมอาศัยอยู่ทางเหนือของกาซา แต่ทว่าต้องอพยพลงมาอาศัยชั่วคราวที่ทางใต้ลงไป

โดยภาพที่เห็นและเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียผ่านวิดีโอคลิปแสดงให้เห็นชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ และในมือถือใบสูติบัตรจำนวน 2 ใบ และอัล คัมซานนั้นร้องไห้หนักมากขึ้นและดูเหมือนจะเป็นหมดสติด้วยความเสียใจขณะที่ชาย 2 คนประคองเขาไว้

เป็นภาพไม่ต่างจากเมื่อครั้งพ่อชาวยิวไอริช ทอม แฮนด์ (Tom HandX) ที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างสุดสะเทือนใจเมื่อไม่กี่วันหลังฮามาสบุกข้ามแดนเข้าไปโจมตีสังหารในหมู่บ้านของเขาในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปี 2023 ว่า เป็นการดีที่ได้รู้ว่าลูกสาว เอมิลี วัย 8 ขวบเสียชีวิตและไม่ได้ถูกลักพาตัวไป แต่ในเวลาต่อมาแฮนด์ซึ่งโชคดีมากกว่าพ่อปาเลสไตน์หลายคนเพราะเขาได้ตัวลูกสาว เอมิลี กลับคืนมาอย่างปลอดภัยและเด็กจากสื่อ i24NEWS English รายงานเมื่อวันที่ 5 ก.พ. ต้นปี สามารถเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

สกายนิวส์รายงานว่า ภรรยาของเขา จูมานา อราฟา ซึ่งเป็นเภสัชกรได้ให้กำเนิดโดยการผ่าคลอดก่อนที่จะประกาศข่าวดีว่าเป็นฝาแฝดผ่านทางเฟซบุ๊ก

ในวันอังคาร (13 ส.ค.) คุณพ่อปาเลสไตน์มือใหม่รีบเดินทางไปขอใบสูติบัตรที่สำนักงานรัฐบาลท้องถิ่น แต่ในระหว่างที่เขาอยู่ที่นั่นพบว่าเพื่อนบ้านได้โทรศัพท์แจ้งว่า บ้านพักฉุกเฉินที่อาศัยถูกโจมตีด้วยระเบิด

“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไร” และกล่าวว่า “ผมได้รับการบอกว่ามีการยิงและมาโดนที่บ้านพักอาศัย”

คู่สามีภรรยาทำตามคำสั่งอพยพในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของสงคราม และได้เข้ามาอาศัยที่ตอนกลางของเขตฉนวนกาซาตามคำสั่งของกองทัพอิสราเอล เอพีชี้

กระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดมีไม่ต่ำกว่า 39,929 คน และบาดเจ็บอีก 92,240 คน

ขณะเดียวกันในวันจันทร์ (12 ส.ค.) กลุ่มติดอาวุธฮามาสแถลงยืนยันว่า ตัวประกันชายชาวอิสราเอลที่ถูกจับไว้ในกาซาโดนผู้คุมของเขายิงเสียชีวิตพร้อมกับมีตัวประกันหญิงอีก 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสในอีกเหตุการณ์

โฆษกกองกำลังฮามาสประกาศการตั้งคณะกรรมการสอบสวน

'องค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ’ แจ้งเตือน 'ไทย' เตรียมรับมือด่วน หลังพบเรือขนขยะพิษจากแอลเบเนียกว่า 100 ตู้กำลังจะถึงแหลมฉบัง

(13 ส.ค.67) Spacebar รายงานว่า ‘Basel Action Network’ องค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ ที่ติดตามการส่งออกของเสียที่เป็นพิษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยแจ้งเตือนมาเลเซียถึงการขนส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ผิดกฎหมาย และได้แจ้งประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวที่ทางองค์กรเชื่อว่าเต็มไปด้วยฝุ่นเตาเผาไฟฟ้าที่อาจเป็นอันตรายกำลังมุ่งหน้าสู่ประเทศไทย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง

นอกจากนี้ ยังพบว่าเรือลำหนึ่งที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ไม่ปรากฏบนบริการติดตามตำแหน่งทางทะเลอีกต่อไป จากนั้นเรือก็จอดเมื่อเข้าใกล้เมืองเคปทาวน์เมื่อปลายเดือนที่แล้ว หลังจากที่ ‘Basel Action Networ’ ระบุว่าได้แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่แอฟริกาใต้เกี่ยวกับการขนส่งดังกล่าว 

เจ้าหน้าที่ไทยได้รับแจ้งว่าตู้คอนเทนเนอร์ถูกบรรทุกขึ้นเรือที่แอลเบเนียเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม และกำลังดำเนินการร่วมกับหน่วยงานในแอลเบเนียและสิงคโปร์เพื่อระงับการขนส่งดังกล่าว ซึ่งเรือจะเข้าเทียบท่าในช่วงปลายเดือนนี้ 

กรมโรงงานอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการจัดการขยะระหว่างประเทศระบุในอีเมลว่า “หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับแจ้งและไม่ได้ให้ความยินยอมสำหรับการขนส่งเหล่านี้ ขณะนี้เรากำลังประสานงานและติดตามเพื่อป้องกันการขนส่งที่ผิดกฎหมายเหล่านี้” 

สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับขยะล้นประเทศที่มาจากประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขยะพลาสติกสกปรก ขยะอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจมีสารพิษเจือปนอยู่ด้วย  

โดยตามอนุสัญญาบาเซลของสหประชาชาติ (Basel Convention) ข้อตกลงระดับโลกที่ลงนามโดยหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องยินยอมให้ประเทศพัฒนาแล้วส่งขยะมาทิ้งในประเทศของตัวเอง 

อย่างไรก็ตาม จากรายงานของ ‘Basel Action Network’ ได้ระบุว่า ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวอยู่บนเรือแคมป์ตัน และแคนเดอร์ของบริษัท A/S AP Moller-Maersk โดยทางบริษัทยืนยันว่าเรือบรรทุกสินค้า 2 ลำของบริษัทกำลังบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่มาจากแอลเบเนีย ซึ่งบริษัทเดินเรืออีกแห่งหนึ่งจองไว้ 

“ไม่มีตู้คอนเทนเนอร์ใดที่ถูกระบุว่ามีขยะอันตราย มิฉะนั้นแล้ว Maersk (เมิร์สก์) ก็คงปฏิเสธที่จะขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้ เนื่องจากมีการคาดเดาเกี่ยวกับตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้ บริษัท Maersk จึงจะส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวให้กับบริษัทเดินเรือที่จองและรับผิดชอบต่อตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว” ซัมเมอร์ ชี โฆษกหญิง ระบุในอีเมล 

ถึงกระนั้น ‘Basel Action Network’ ซึ่งร่วมกับกลุ่มสิ่งแวดล้อม ‘มูลนิธิบูรณะนิเวศ’ (EARTH) ก็ได้แจ้งเตือนประเทศต่าง ๆ มากมาย เมื่อทราบว่าฝุ่นจากเตาเผาไฟฟ้ามากกว่า 800 ตัน ถูกบรรทุกลงบนเรือในแอลเบเนีย จากนั้นจึงส่งต่อไปยังเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัท Maersk ในเมืองทรีเอสต์ ประเทศอิตาลี โดยข้อมูลการขนส่งทางออนไลน์แสดงให้เห็นว่า เรือของบริษัทเมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (MSC) ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งครั้งนี้ด้วย โดยมีประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง 

ทั้งนี้ ฝุ่นจากเตาเผาที่ต้องได้รับการบำบัดเป็นขยะอันตรายที่มักมาจากการรีไซเคิลเศษเหล็ก และมีออกไซด์โลหะที่เป็นพิษ เช่น แคดเมียมและโครเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 

ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ติดตามตู้คอนเทนเนอร์ของ MSC ระบุอีกว่า “ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 40 ตู้ถูกโหลดขึ้นเรือ ‘Contship Vow’ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ท่าเรือดูร์เรสของแอลเบเนีย จากนั้นตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังเรือแคมป์ตันของบริษัท Maersk ที่เมืองทรีเอสต์ ในอีกไม่กี่วันต่อมา และจะถูกส่งต่ออีกครั้งบนเรือ MSC ที่สิงคโปร์ในวันที่ 18 สิงหาคม” 

โดยเรือบรรทุกดังกล่าวมีกำหนดเดินทางถึงท่าเรือแหลมฉบังของไทยในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ในขณะเดียวกัน การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จำนวนประมาณ 60 ตู้ ซึ่งเดิมบรรจุอยู่บนเรือ MSC จากแอลเบเนีย ก็กำลังมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์บนเรือแคนเดอร์ของบริษัท Maersk ด้วยเช่นกัน 

ทว่า เรือแคมป์ตัน ได้ปิดการส่งสัญญาณตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม โดยบริษัท Maersk กล่าวว่า “เรือลำนี้ไม่มีกำหนดแวะจอดที่แอฟริกาใต้ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรือจะปิดการส่งสัญญาณตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย” ปัจจุบันเรือลำนี้อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์  

ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าเรือแคมป์ตันจะจอดที่สิงคโปร์ในวันที่ 14 สิงหาคม ส่วนเรือแคนเดอร์จะเดินทางถึงสิงคโปร์ในวันที่ 22 สิงหาคม ก่อนที่ตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเต็มไปด้วยฝุ่นเตาเผาจะมุ่งหน้าไปยังประเทศไทย 

“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เนื่องจากสิงคโปร์และไทยจะต้องดำเนินการเพื่อหยุดยั้งเรือเหล่านี้...แอลเบเนียควรนำตู้คอนเทนเนอร์กลับคืน เพื่อให้แน่ใจว่าขยะจะไม่ถูกส่งออกอีกครั้งไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ” จิม พักเก็ตต์ ผู้อำนวยการบริหารของ ‘Basel Action Network’ กล่าว 

'อดีตนายกฯ บังกลาเทศ' แฉ!! ถูก US ปลุกระดมโค่นอำนาจ แก้แค้นไม่ยอมให้ตั้งฐานทัพ หากยอมแต่แรกอำนาจไม่หลุด

(13 ส.ค. 67) อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ชัยค์ ฮาสินา แห่งบังกลาเทศ ซึ่งถูกบีบให้ลาออกและหลบหนีออกนอกประเทศ ท่ามกลางการประท้วงใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวหาสหรัฐฯ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับไล่เธอพ้นจากอำนาจ

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อีโคโนมิกไทม์ส ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) ฮาสินา บ่งชี้ว่าเธออาจยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป หากว่าเธอยินยอมอ้าแขนรับให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในบังกลาเทศ

"ฉันลาออกแล้ว เพื่อที่ว่าฉันจะไม่ได้เห็นขบวนแห่ศพผู้เสียชีวิต พวกเขาต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจด้วยศพของพวกนักศึกษา แต่ฉันไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น ฉันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ฮาสินากล่าว "ฉันอาจยังคงอยู่ในอำนาจ หากว่าฉันยอมสละอธิปไตยของเกาะเซนต์มาร์ติน และเปิดทางให้อเมริกามีอิทธิพลเหนืออ่าวเบงกอล ฉันขอวิงวอนผู้คนในแผ่นดินของฉัน กรุณาอย่าถูกบิดเบือนด้วยพวกหัวรุนแรง"

ฮาสินา อ้างถึงเกาะผืดหินปะการังของบังกลาเทศ ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเบงกอล ที่กล่าวอ้างว่าวอชิงตันพยายามยึดครองมัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บังกลาเทศหลายคนกล่าวอ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าอเมริกาขอเช่าเกาะแห่งนี้ในหลายโอกาส แต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ ฮาสินา บอกว่า ‘พวกชายผิวขาว’ คำที่เธอใช้เรียกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยมาขอเข้าพบเธอก่อนศึกเลือกตั้งก่อนหน้านี้ และขอให้เธอสนับสนุนโครงการก่อสร้างฐานทัพอากาศบนเกาะเซนต์มาร์ติน

นักการเมืองหญิงวัย 76 ปี ซึ่งครองอำนาจมานานกว่า 15 ปี หลบหนีไปยังอินเดีย ประเทศเพื่อนบ้าน หลังลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 5 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม เธอประกาศว่าจะเดินทางกลับกรุงธากาเร็ว ๆ นี้ "ด้วยพระคุณแห่งผู้ทรงฤทธานุภาพ พระอัลเลาะห์"

การพ้นจากตำแหน่งของฮาสินา มีขึ้นหลังจากเกิดการประท้วงทั่วประเทศที่นำโดยนักศีกษาต่อเนื่องยาวนานหลายสัปดาห์ เกี่ยวกับระบบโควตางานของรัฐบาล ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้ออำนวยต่อคนที่เกี่ยวข้องกับพรรครัฐบาล การประชุมเริ่มต้นอย่างสันติ แต่จากนั้นได้ลุกลามกลายเป็นสถานการณ์ความรุนแรงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คน และถูกจัมกุมประมาณ 11,000 คน

ไม่นานหลังจาก ฮาสินา ลาออก ทางพลเอกวาเกอร์-อุซ-ซามัน ประธานคณะเสนาธิการร่วมของบังกลาเทศ แถลงว่าเขาจะตั้งรัฐบาลรักษาการ โดยที่ มูฮัมหมัด ยูนูส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มและพัฒนาแนวคิดการให้กู้เงินแก่คนจนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลรักษาการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม

‘WHO’ เล็งประกาศ ‘ฝีดาษลิง’ เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข หลังระบาดหนักในทวีปแอฟริกา ชี้!! 14 ส.ค.นี้ ได้ข้อสรุปแน่ชัด

(13 ส.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผอ.องค์การอนามัยโลก หรือ ดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) ทวีตข้อความในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การประชุมคณะกรรมการฉุกเฉิน ในวันพุธที่ 14 ส.ค. 2567 จะมีการพิจารณาถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฝีดาษลิง หรือ เอ็มพ็อกซ์ (Mpox : Monkey Pox) ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในทวีปแอฟริกา หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

ซึ่งจากสถานการณ์แพร่ระบาดข้างต้น อาจส่งผลให้ที่ประชุมประกาศให้การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงดังกล่าว เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก เพื่อวางแผนรับมือ รวมถึงการแนะนำเพื่อทางป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรค

“การประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินเกี่ยวกับการระบาดของโรคฝีดาษลิงในวันพุธที่ 14 ส.ค. คณะกรรมการจะให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดว่า ถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ก่อให้เกิดความกังวลในระดับนานาชาติหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น คณะกรรมการจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรค รวมถึงดำเนินการรับมือด้านสาธารณสุขระดับโลก” ดร.กีบรีเยซุส ทวีต

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในทวีปแอฟริกา ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2567) พบผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 14,000 รายในพื้นที่ 10 รัฐของสหภาพแอฟริกา ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ผู้ป่วยติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจำนวน 2,750 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 450 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าถึงร้อยละ 160

Army-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์สุดยิ่งใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ใต้นัย!! เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ

(13 ส.ค. 67) Army-2024 เป็นงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับนานาชาติของสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 และจัดขึ้นและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และผสมผสานนิทรรศการและการสาธิตความสามารถของอุปกรณ์ทางทหารเข้ากับโปรแกรมการประชุมที่ครอบคลุมและการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของผู้เข้าชมจากต่างประเทศซึ่งประกอบด้วยผู้แสดงสินค้า คณะผู้แทน และผู้เยี่ยมชมจากต่างประเทศ

ผลงานของ Army-2024 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนิทรรศการอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นเวทีที่มีอำนาจในการหารือเกี่ยวกับแนวคิดและการพัฒนาที่สร้างสรรค์สำหรับกองกำลังติดอาวุธ

ผู้ดำเนินการอย่างเป็นทางการของ งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งได้รับการมอบหมายจากกระทรวงกลาโหมของสหพันธรัฐรัสเซียคือ International Congresses and Exhibitions (MKB) โดย Army-2024 เป็นงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับ จัดโดยกระทรวงกลาโหมของสหพันธรัฐรัสเซีย และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นงานนิทรรศการที่สำคัญในรัสเซียในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง อาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ทางทหารสำหรับกองกำลังติดอาวุธและหน่วยงานด้านความปลอดภัย

โปรแกรมสาธิตกลางแจ้งจัดขึ้นเพื่อนำเสนอระบบอาวุธและอุปกรณ์ในสนามยิงปืนพิเศษพร้อมคำบรรยายสดและวิดีโอที่ฉายบนจอขนาดใหญ่ ซึ่งรับประกันความสำเร็จของการนำเสนอครั้งนี้ การนำเสนอเหล่านี้ได้รับการชื่นชมอย่างมากจากรัฐมนตรีกลาโหม คณะผู้แทนระดับมืออาชีพ และสื่อมวลชนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียเยี่ยมชมบูธของผู้แสดงสินค้า รวมทั้งรัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซีย คณะผู้แทนทหารและธุรกิจจากต่างประเทศเยี่ยมชมบูธของผู้แสดงสินค้า

Army-2024 เป็นงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเวทีพิเศษในการสาธิตความสำเร็จที่ดีที่สุดในด้านการทหาร โดยมีการนำเสนอหน่วยอาวุธอัจฉริยะที่ทันสมัยและก้าวหน้า อุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการทหาร โครงการก่อสร้างและบำรุงรักษา ตลอดจนโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ ในการสาธิตผลิตภัณฑ์เพื่อบูรณาการเพิ่มเติมในการร่วมมือกันภายในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

คำปราศรัยในการเปิดงาน Army-2024 ของประธานาธิบดี Vladimir Putin แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย 

“เพื่อน ๆ งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Army 2024 นำเสนอโปรแกรมที่แน่นขนัดและมีรายละเอียดมาก โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่างานนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่และสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ โดยการลงนามในสัญญาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับกระทรวงกลาโหมของรัสเซียและบริษัทในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อีกทั้งงานนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความร่วมมือของเรากับประเทศที่ใกล้ชิดและเป็นมิตรของเราในประเด็นความมั่นคงและในแง่ของการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ข้าพเจ้าขออวยพรให้ผู้เข้าร่วมในงาน Army-2024 จงประสบความสำเร็จและโชคดี"

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้!! โลกตกอยู่ในอันตราย หลัง ‘ปูติน’ โต้ ‘ยูเครน’ เหตุโดนทหารบุกแคว้นคูสค์ จนต้องอพยพประชาชนเกือบแสนคน

(13 ส.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง โลกตกอยู่ในอันตราย มีรายละเอียดดังนี้

“เมื่อวานนี้ ปูตินแถลงหลังจากการประชุมฝ่ายความมั่นคง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่ยูเครนส่งทหารบุกเข้าไปในแคว้นคูสค์ของ 10 กิโลเมตร รัสเซียต้องอพยพคนออกจากพื้นที่สู้รบเกือบแสนคน เพื่อลดการสูญเสีย ถูกกระตุกหนวดเสือ

ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้เผยแพร่ภาพหอหล่อเย็นของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองซาโปโรซี Zaporozhye ที่ได้รับความเสียหายไฟไหม้จากการโจมตีของฝ่ายยูเครน หากจัดการไม่ได้อาจเกิดโศกนาฏกรรมแบบ เชอโนบิล

ปูตินประกาศ ว่า

1.ยกเลิกการเจรจาเพื่อแสวงหาสันติภาพทั้งหมด
2.นาโตต้องการทำสงครามโลกครั้งที่สามกับรัสเซีย
3.ให้ทำลายยูเครนด้วยทหารและอาวุธ

รอติดตามว่า รัสเซียจะตอบโต้หนักหน่วงเพียงใด และการสู้รบจะลุกลามขยายตัวเพียงใด”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top