Monday, 7 July 2025
WORLD

ตำรวจสวีเดนสกัดแผนลอบวางระเบิดในเมืองมัลโม่ รวบชาย 2 เยาวชน 1 พร้อมระเบิดมือเต็มกระเป๋าเป้

(6 เม.ย. 68) สำนักข่าว Sweden Herald รายงานเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ว่า ชาย 2 คนและวัยรุ่น 1 คนถูกควบคุมตัว จากปฏิบัติการของตำรวจในเมืองมัลโม่เมื่อเย็นวันศุกร์ หลังจากพบระเบิดมืออย่างน้อย 10 ลูกในกระเป๋าเป้สะพายหลังของหนึ่งในผู้ต้องสงสัยพกติดตัวมาด้วย ที่ย่านเวสเทิร์นฮาร์เบอร์ เมืองมัลโม่ ทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน 

ส่งผลให้ย่านเวสตราฮัมเนน เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ของเย็นวันศุกร์ มีการดำเนินการครั้งใหญ่และประกาศเตือนภัย (VMA) พื้นที่ถูกปิดกั้น ทั้งผู้อยู่อาศัยและธุรกิจต่าง ๆ ถูกอพยพ และหน่วยเก็บกู้ระเบิดแห่งชาติถูกเรียกตัวไปที่เกิดเหตุ จนถึงหลังเวลา 22.00 น. เล็กน้อย ความอันตรายก็สิ้นสุดลง

เจ้าหน้าที่ตำรวจสวีเดนเผย ผู้ต้องสงสัย 2 รายอายุ 25 และ 30 ปี ส่วนรายที่ 3 เป็นเด็กชายอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งคู่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ากระทำความผิดร้ายแรงตามกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุไวไฟและวัตถุระเบิด ซึ่งเบื้องต้นสอบปากคำผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยการสอบปากคำได้

“เรากำลังพูดคุยกับผู้คนและวิเคราะห์กล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าว มีสถานที่อยู่หลายแห่งในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเราจึงพยายามรวบรวมข้อมูล” ลินา ฟรีเบิร์ก โฆษกของตำรวจกล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดระเบิดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน และกำลังเร่งสอบสวนขยายผลว่า อาวุธดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้ในเหตุการณ์ใด รวมถึงตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมหรือกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของผู้ต้องสงสัยทั้งสาม เนื่องจากอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน แต่เบื้องต้นทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย  และอาจเผชิญโทษร้ายแรงหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง

‘หนุ่มจีน’ ตัดสินใจเลิกเลี้ยงสุนัข หันมาเลี้ยงควายในห้องเช่าแทน เผย เลี้ยงไว้เตือนใจตัวเอง ไม่ให้ถูกกดขี่ทำงานหนักแบบไร้จุดหมาย

(5 เม.ย. 68) เรื่องราวของชายชาวจีนวัย 30 ปีในเมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน กลายเป็นกระแสร้อนบนโลกออนไลน์ หลังโพสต์คลิปวิดีโอที่เขาเลี้ยงควายไว้ในห้องเช่า ดูแลอย่างดี ทั้งอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า และพาไปเดินเล่น โดยตั้งชื่อควายว่า ‘หนิวโหมวหวัง’ ซึ่งแปลว่า ‘ราชาควาย’

ชายแซ่เฉิน เคยเป็นนักมวยมาก่อน ปัจจุบันรับจ้างเป็นครูฝึกมวยในฟิตเนส เขาเล่าว่าเดิมทีเคยเลี้ยงหมาแต่รู้สึกว่าเสียงดังและซนเกินไป จึงเปลี่ยนมาเลี้ยงควายแทนเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

เฉินบอกว่าเขาเคยเช่าห้องอยู่ในหมู่บ้าน แต่พอเลี้ยงควายได้ไม่นานก็ถูกเจ้าของบ้านไล่ออก เขาจึงต้องย้ายมาหาห้องเช่าใหม่ที่ไม่ห้ามเลี้ยงสัตว์ เขายืนยันว่าควายของเขาเชื่อง ไม่สร้างปัญหาให้เพื่อนบ้าน “มันจะร้องแค่ตอนหิวเท่านั้น ปกติแล้วนิ่งมาก”

สำหรับสิ่งที่ยากที่สุดในการเลี้ยงควายในเมืองคือเรื่องความสะอาด เฉินบอกว่าเขาต้องล้างพื้นและฆ่าเชื้อเป็นประจำ

มีคนตั้งคำถามว่าเขาทำแบบนี้เพื่อเรียกกระแสหรือสร้างชื่อเสียงหรือไม่ แต่เฉินตอบว่าเหตุผลจริง ๆ ที่เลี้ยงควาย เพราะต้องการเตือนใจตัวเองว่า “อย่ายอมให้ใครใช้งานหนักเหมือนวัวเหมือนม้า” หมายถึงไม่ยอมใช้ชีวิตแบบคนที่ถูกกดขี่หรือถูกสั่งให้ทำงานหนักโดยไร้จุดหมาย 

เขาเสริมว่า “ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนธรรมดา ผมเลี้ยงควายเพื่อเตือนตัวเองว่าต้องไม่ยอมแพ้ ต้องพยายามและลุกขึ้นสู้ให้ได้เสมอ”

ตอนนี้เขาพาควายกลับบ้านต่างจังหวัดช่วงเทศกาลเช็งเม้ง และยืนยันว่าจะเลี้ยงมันต่อไป แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม “ถ้าคุณรักมัน คุณก็ยอมรับมันได้ทุกอย่าง”

‘จีน’ สั่งระงับนำเข้า ‘เนื้อสัตว์ปีก-ข้าวฟ่าง’ จากสหรัฐฯ หลังตรวจพบสารปนเปื้อนที่อันตรายต่อสุขภาพ

(5 เม.ย. 68) สำนักข่าว Xinhua News รายงานว่า ‘จีน’ ตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ด้วยการขยับภาษีในอัตราเดียวกัน 34% ในสินค้าหลายประเภท และล่าสุดสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีน ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีก และข้าวฟ่างจากบริษัทสหรัฐฯ บางแห่งมายังจีน

ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 จีนจะระงับคุณสมบัติของบริษัทซี&ดี (ยูเอสเอ) อิงก์ (C&D (USA) Inc.) ในการส่งออกข้าวฟ่างสู่จีน รวมถึงระงับคุณสมบัติของบริษัทสหรัฐฯ อีก 3 แห่ง ได้แก่ อเมริกัน โปรตีนส์, อิงก์ (American Proteins, Inc.) เมาน์แทร์ ฟาร์มส ออฟ เดลาแวร์, อิงก์ (Mountaire Farms of Delaware, Inc.) และดาร์ลิง อินกรีเดียนต์ส อิงก์ (Darling Ingredients Inc.) ในการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกและกระดูกป่นสู่จีนด้วย

การตัดสินใจนี้ เกิดขึ้นหลังจากศุลกากรของจีนตรวจพบสารซีราลีโนน และเชื้อราในข้าวฟ่างนำเข้าจากสหรัฐฯ ในปริมาณสูงเกินมาตรฐาน รวมถึงสารซาลโมเนลลาในเนื้อสัตว์ปีกและกระดูกป่นนำเข้าจากสหรัฐฯ จึงต้องมีการระงับการนำเข้าเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคชาวจีน และความปลอดภัยของภาคการเลี้ยงสัตว์ในจีน

ในประกาศแยกอีกฉบับ สำนักบริหารฯ ยังประกาศระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากบริษัทสหรัฐฯ 2 แห่งทันที ได้แก่ เมาน์แทร์ ฟาร์มส ออฟ เดลาแวร์, อิงก์ และโคสทอล โพรเซสซิง จำกัด (Coastal Processing, LLC)

"การระงับการนำเข้าครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ศุลกากรของจีน ตรวจพบสารฟูราซิลลิน ซึ่งเป็นยาต้องห้ามในผลิตภัณฑ์ไก่ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ หลายครั้ง และการตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค" รายงานจาก สำนักบริหารฯ กล่าวสรุป 

อย่างไรก็ตาม การประกาศระงับนำเข้าเนื้อสัตว์ปีก ข้าวฟ่าง จากสหรัฐ เหตุพบสารปนเปื้อนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังการประกาศขึ้นภาษีของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อจีนและหลายประเทศทั่วโลก เพียง 1 วัน

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีน ยังได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) จากการที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้จากคู่ค้าทุกราย เช่นกัน

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้ ‘เวียดนาม’ อยู่เป็น ในภาวะสหรัฐฯ เก็บภาษีอ่วม ต่อสายตรงเจรจา ‘ทรัมป์’ พร้อมเสนอลดภาษีสหรัฐฯ เหลือศูนย์

(5 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

#เวียดนาม 🇻🇳 เทหมดหน้าตัก #จำใจยอม ถอยสุดซอย เพราะพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูงมากกกกก #โตเลิม 🇻🇳 ผู้นำเบอร์หนึ่งเวียดนามต่อสายโทรคุยกับ #ทรัมป์ 🇺🇸 เสนอว่าจะ #ลดภาษีเหลือศูนย์ ให้สหรัฐฯ ถ้ามีข้อตกลงกันได้!! สัญญาณเหมือนจะดี ทรัมป์พอใจและบอกว่า “a very  productive call” และครอบครัวทรัมป์โดย Trump Organization ก็มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในเวียดนาม มีโครงการสร้างสนามกอล์ฟและรีสอร์ตแถวเมืองบ้านเกิดโตเลิม มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ 🤔เรื่องนี้จะจบอย่างไร ติดตามกันนะคะ #ภาวะผู้นำ ในยามวิกฤตสำคัญยิ่งยวด 🇻🇳 #เวียดนามอยู่เป็น

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี อธิบายเพิ่มเติมว่า #ผลประโยชน์ส่วนตัวของทรัมป์ในเวียดนาม 🤔 ครอบครัวทรัมป์ โดย Trump Organization และพันธมิตรในเวียดนาม คือ กลุ่ม Kinh Bac Urban Development Corporation (KBC) มีโครงการลงทุนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนามกอล์ฟ โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนาม

ตามรายงานจาก Reuters โดยอ้างคำพูดของโฆษกของ Trump Organization ระบุว่า “โครงการนี้จะลงทุนมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดฮึงเอียน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเลขาธิการใหญ่โต เลิม คาดว่า จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคมปีนี้”

แหล่งข่าวอ้างว่า “โครงการที่ร่วมมือกับ KBC ที่จังหวัดฮึงเอียนจะประกอบด้วยสนามกอล์ฟ 18 หลุม รวม 3 สนาม รวมทั้ง Resort Complex ที่จะเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกของ Trump Organization”

ในวันที่ 18 มีนาคม 2025 ตัวแทนของ Trump Organization ได้พบกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ โดยมีตัวแทนจากบริษัทระดับบิ๊กของสหรัฐฯ และสภาธุรกิจ U.S. ASEAN Business Council อื่นๆ ร่วมเข้าพบด้วย เช่น Boeing, Apple, Intel, Coca-Cola, Nike และ Amazon

#จุดแข็งเวียดนาม 🇻🇳 เวียดนามมีศักยภาพสูง เพราะมี 2 ปัจจัยหลักที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง คือ

(1) #ผู้นำดีมีชัย !! ผู้นำเวียดนามมองไกล มีวิสัยทัศน์ และกล้าลงมือทำ (ไม่ดีแต่พูด) มีความเฉียบขาดในการ regulate จัดการปัญหา/ขจัดจุดอ่อน และมีเป้าหมายที่แน่วแน่ long term strategy (ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา)

(2) #คุณภาพคนในชาติ !! คนเวียดนามขยันมากกก กระหายความสำเร็จ (ไม่งอมืองอเท้ารอคอยแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต)

แถมอีกเรื่อง คือ คนในชาติเวียดนาม #ไม่แตกแยกกันเอง และทุกคน #รักชาติยิ่งชีพ ด้วยค่ะ

เปิด 2 เรื่องที่น่ากลัวกว่าเกิด ‘แผ่นดินไหว’ ไทย-เมียนมา เฟกนิวส์-มิจฉาชีพระบาด พอๆ กับความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล

เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครประกาศยกเลิกการเป็นเขตธรณีพิบัติภัยแล้วยกเว้นแค่จุดอาคารถล่มเพียงเท่านั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกรณีธรณีพิบัติภัยครั้งนี้ที่เอย่ามองว่า นี่มันช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าแผ่นดินไหว วันนี้เอย่าจะหยิบยกมาให้รู้กัน

1. เฟกนิวส์และมิจฉาชีพที่มาในรูป AI ตามที่เราเห็นตามสื่อสังคมออนไลน์ตอนนี้ที่ยังพบได้คือภาพ VDO เฟกนิวส์ที่อ้างว่าเป็นภาพธรณีพิบัติภัยในเมียนมาและประเทศไทยสร้างภาพความเสียหายที่ดูรุนแรงจนเข้าใจผิด แต่ที่หนักกว่านั้นที่เอย่าพบตอนนี้คือการพบว่ามีการนำวิดีโอที่สร้างจาก AI มาใช้เรียกร้องขอเงินบริจาคของพวกกลุ่มมิจฉาชีพและสแกมเมอร์แล้ว

2. ความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล จากเหตุธรณีพิบัติภัยครั้งนี้เราจะเห็นได้ถึงน้ำใจของเหล่าประเทศที่ส่งทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเมียนมาในวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ตั้งธงทำร้ายเมียนมามาตลอดอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ตั้งโต๊ะแถลงคว่ำบาตรอย่างเกาหลีใต้ก็ยังบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐช่วยเหตุการณ์นี้ 

และเช่นกัน เราก็ได้เห็นบางประเทศอ้างว่ายกเลิกส่งทีมช่วยเหลือไปเพราะเมียนมาไม่ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มีประกาศยุติสงครามทั่วประเทศเพราะความเดือดร้อนของประชาชนต้องมาก่อนและดูเหมือนกลุ่มติดอาวุธก็ยอมปฏิบัติตามข้อเสนอนี้เสียด้วย

อย่างไรก็ดีก็มีคนบางกลุ่มและสื่อบางสื่อพยายามอ้างว่าการที่ผู้นำทหารเมียนมาได้เข้าร่วมประชุม BIMSTEC เป็นการที่ไทยฟอกขาวให้เขา ทั้งที่อีกมุมที่หลายคนไม่รู้คือ หลังเหตุการณ์รัฐประหารไทยแทบจะปิดประตูความช่วยเหลือให้แก่เมียนมา 

ยังไม่พอ ไทยคือฐานนอกประเทศของกลุ่มก่อความไม่สงบไม่เมียนมา อีกทั้งการที่เมียนมาเริ่มตีตัวออกห่างจากไทย นั่นก็เพราะหลายครั้งที่ไทยละเลยคำขอของเพื่อนบ้าน หลายคนคงไม่ทราบว่า ทางการไทยพยายามร้องขอการปล่อยตัวของลูกเรือ 4 คนมาตลอด จนล่าสุดที่ ‘ลุงป้อม’ ไปขอผ่านเจ้ายอดศึกให้คุยกับนายพล มินอ่องหล่ายให้ เขาก็ยอมปล่อยตัวออกมา ทางรัฐบาลเมียนมาขอน้ำมันวันละ 5,000 ลิตรเพื่อมาใช้ปั่นไฟในโรงพยาบาลในเมืองเมียวดี เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากกลุ่มจีนเทา ไทยกลับเพิกเฉย 

ดังนั้นเอย่าถามว่าการประชุม BIMSTEC ครั้งนี้เป็นการฟอกขาวหรือการกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอีกครั้งกันแน่

กลุ่มผู้อพยพผิดกฎหมายในไทยพยายามอ้างตลอดว่า เขาหนีเข้าไทยเพราะรัฐประหารในเมียนมา แต่ทุกคนควรทราบก่อนว่า เหตุผลใหญ่ในตอนนั้นที่กองทัพต้องทำรัฐประหารนอกจากเรื่องการตรวจสอบการเลือกตั้งไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องการยกหมู่เกาะโคโต่ให้เป็นฐานนอกประเทศของอเมริกาด้วย ซึ่งนั่นหากมีการเกิดสงครามจริง อเมริกาสามารถยิงขีปนาวุธเข้ามาที่เมืองย่างกุ้งหรือเนปิดอว์ได้เลย โดยใช้หมู่เกาะโคโต่เป็นฐาน

และการที่ประชาชนในประเทศเขาหนีส่วนใหญ่ เพราะไปเชื่อตามข่าวลือของกลุ่มต่อต้านที่ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังและอีกส่วนคือหนีสงครามที่เริ่มต้นโดยกลุ่มชาติพันธุ์นั่นเอง 

ส่วนในไทยสิ่งที่น่ากลัวคือการที่คนไทยผู้มีอำนาจเพิกเฉยและให้คนเหล่านี้เข้ามามีสิทธิ์มีเสียงในสังคมต่างหาก นั่นแหละที่เรียกว่าฟอกขาวที่แท้จริง

‘ทรัมป์’ มั่นใจปิดดีล TikTok สำเร็จแน่นอน สื่อนอกเผย MrBeast - Amazon - Microsoft โผล่ร่วมวงซื้อ

(4 เม.ย. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแสดงความมั่นใจว่า ข้อตกลงในการซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ จากบริษัท ByteDance ของจีนจะ “ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” โดยย้ำว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงด้านข้อมูลและการควบคุมแพลตฟอร์มโดยรัฐบาลจีน

ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (4 เม.ย.) ทรัมป์ระบุว่า การซื้อกิจการ TikTok ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจานั้น “เดินหน้าไปได้ดี เราจะทำให้ TikTok อยู่ภายใต้เจ้าของชาวอเมริกัน และผมมั่นใจว่ามันจะเสร็จสิ้นอย่างเรียบร้อย”

ทรัมป์ซึ่งเคยพยายามผลักดันการขาย TikTok มาตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2020 กล่าวอีกว่า การที่บริษัทจีนอย่าง ByteDance ควบคุมข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน “เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้”

สำนักข่าว CBS รายงานว่า Amazon ได้ยื่นข้อเสนอนาทีสุดท้ายต่อทำเนียบขาวเพื่อซื้อ TikTok อย่างไรก็ตาม Amazon ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ จิมมี่ โดนัลด์สัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ MrBeast ยูทูบเบอร์ชื่อดังชาวอเมริกันที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก กล่าวว่าเขากำลังมองหาที่จะซื้อ TikTok เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักลงทุน

ยังมีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการประมวลผลอย่าง Microsoft, บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนจากภาคเอกชนอย่าง Blackstone, บริษัทเงินทุนเสี่ยงอย่าง Andreessen Horowitz และโปรแกรมค้นหาอย่าง Perplexity AI ก็กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหุ้นด้วย

อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา TikTok เผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่ายในสหรัฐฯ ที่มองว่าแอปพลิเคชันยอดนิยมนี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ สอดแนม หรือ ชี้นำทางการเมือง โดยรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่ง ByteDance ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

การเจรจาขายกิจการในสหรัฐฯ ของ TikTok ยังคงเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองและความมั่นคง โดยคาดว่าหากดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะมีการแยก TikTok US ออกเป็นหน่วยธุรกิจอิสระหรือขายให้กับผู้ลงทุนอเมริกัน

“เราต้องทำให้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย และเป็นของอเมริกา” ทรัมป์ทิ้งท้าย
 

รัฐบาลทหารเมียนมา ไม่สนประกาศหยุดยิงกู้ภัยแผ่นดินไหว ระดมเครื่องบินทิ้งระเบิด โจมตีกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ต่อเนื่อง

(4 เม.ย. 68) แม้ว่า กองทัพเมียนมา ได้ประกาศหยุดยิงชั่วคราววันที่ 2-22 เม.ย.นี้ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการกู้ภัยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว แต่ในความเป็นจริงการโจมตีทางอากาศของรัฐบาลเมียนมายังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีท่าทีหยุดยั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการควบคุมโดยกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งขัดแย้งกับการประกาศหยุดยิงอย่างชัดเจน

การโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมาในพื้นที่รัฐคะฉิ่นและเขตสะกาย ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าประเทศจะประสบกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมากเช่นกัน

เจ้าหน้าที่จากองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่กล่าวว่า “การโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมา ทำให้การดำเนินงานของหน่วยกู้ภัย ถูกขัดขวางอย่างรุนแรง เพราะอากาศยานทหารยังคงบินโจมตีไปทั่วเมืองพะโม และเขตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มเอกราชชาติพันธุ์ โดยไม่สนใจการหยุดยิงที่ได้รับการประกาศเอาไว้”

พล.ท. กุน มอว์ รองผู้บัญชาการกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ได้โพสต์แผนที่สงครามบนเฟซบุ๊กเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาโดยเผยว่า รัฐบาลเมียนมาได้เปิดฉาก โจมตีฐานที่มั่นของกองทัพ KIA ในเมือง เวียงหม่อ หลังจากที่ได้ทำการโจมตีทางอากาศเมื่อวันพุธ (2 เม.ย.) โดยกล่าวว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่ไม่สนคำประกาศหยุดยิงจากฝ่ายต่อต้าน

ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่นในรัฐคะฉิ่น โดยอ้างอิงข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ ระบุว่า รัฐบาลเมียนมาใช้การยิงถล่มและโดรนโจมตี บริเวณพื้นที่ที่ควบคุมโดย KIA ในเมืองเวียงหม่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญที่มีการควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์

รายงานเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อเช้าวันพุธที่ 3 เม.ย. เครื่องบิน Y12 ของกองทัพเมียนมาได้ ทิ้งระเบิด 30 ลูก ที่เมืองพะโม และ 45 ลูก ที่เมืองอินดอว์ ในภูมิภาคสะกาย ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ KIA และพันธมิตร

พ.อ. นอว์ บู โฆษกของ KIA โฆษกของกองทัพกล่าวว่า “เราเห็นพวกเขาออกแถลงการณ์หยุดยิง อย่างไรก็ตามการสู้รบยังไม่หยุดลง หากพวกเขาโจมตี แน่นอนว่าเราจะป้องกันตัวเองด้วยการสู้กลับ ดังนั้นเราคาดว่าจะมีการสู้รบมากขึ้น”

ก่อนหน้านี้ มิน อ่อง ไหล่ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาได้ปฏิเสธการหยุดยิงจากฝ่ายตรงข้าม รวมถึงกลุ่ม กองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) ที่ภักดีต่อ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และ องค์กรติดอาวุธอื่น ๆ โดยมิน อ่อง ไหล่ได้ให้คำมั่นว่า จะยังคงปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มฝ่ายค้านต่อไป

ทั้งนี้ การโจมตีดังกล่าวได้ยกระดับความรุนแรงในพื้นที่ที่กำลังเกิดการต่อสู้ระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ยังคงประสบกับความยากลำบากจากการโจมตีที่ไม่หยุดยั้ง

ประกาศเก็บภาษี 34% ตอบโต้สหรัฐฯ หลังทรัมป์ขึ้นภาษี 54% ปลุกมังกรจีนตื่น

(4 เม.ย. 68) จีนประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากร 34% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจาก สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน นี้ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะตอบโต้กลับหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ยกระดับ สงครามการค้า ด้วยการเพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีนในปีที่ผ่านมา

เมื่อวันพุธ ทรัมป์เปิดเผยภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมดจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 34 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่จะส่งผลให้ความสัมพันธ์เริ่มกลับมาดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง และทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเลวร้ายลง

“การกระทำเช่นนี้ของสหรัฐฯ ไม่สอดคล้องกับกฎการค้าระหว่างประเทศ ทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีนอย่างร้ายแรง และถือเป็นการกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว” คณะกรรมการภาษีศุลกากรแห่งคณะรัฐมนตรีจีนระบุในแถลงการณ์ที่ประกาศกำหนดภาษีตอบโต้

นับตั้งแต่กลับมามีอำนาจในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด 2 งวดๆ ละ 10% ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่ามีความจำเป็นเพื่อหยุดยั้งการนำเข้าเฟนทานิลผิดกฎหมายจากจีนมายังสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าสินค้าจีนที่ส่งมายังสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีนำเข้า 54%

ภาษี 54 เปอร์เซ็นต์นั้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดไว้ และอาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์โดยพื้นฐาน รวมถึงการค้ามูลค่าราวๆ ครึ่งล้านล้านดอลลาร์ระหว่างทั้งสองเศรษฐกิจหลังจากพึ่งพากันมานานหลายทศวรรษ

การเพิ่มภาษีศุลกากรของจีนในครั้งนี้คาดว่าจะมีผลกระทบต่อ การค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับผู้บริโภคและธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องเผชิญกับ สินค้าที่มีราคาสูงขึ้นในตลาด

รัฐบาลอิตาลี ลบสูตรลัดขอสัญชาติบรรพบุรุษสมัยยังใช้รถม้า กันหนังสือเดินทางอิตาลีถูกใช้ในเชิงพาณิชย์

(4 เม.ย. 68) รัฐบาลอิตาลีประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า จะเพิ่มความเข้มงวดในการออกกฎหมายสัญชาติใหม่ โดยยกเลิกกฎเก่าที่อนุญาตให้ลูกหลานของชาวอิตาลีจากหลายยุคหลายสมัยสามารถขอสัญชาติได้ง่ายขึ้น 

ซึ่งเดิมทีตามกฎหมาย 'jure sanguinis' หรือกฎหมายสิทธิสัญชาติผ่านสายเลือด อนุญาตให้พลเมืองต่างชาติสามารถขอสัญชาติอิตาลีได้หากมีหลักฐานยืนยันว่าเป็นลูกหลานของชาวอิตาลีตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรอิตาลี (ปี 1861–1946) เป็นต้นมา

ตามรายงานจาก DW เมื่อวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากชาวต่างชาติที่มีบรรพบุรุษอิตาลีที่อพยพไปในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะลูกหลานของชาวอิตาลีในสมัยราชอาณาจักรอิตาลี สามารถยื่นคำขอได้หากสามารถพิสูจน์ความเชื่อมโยงทางสายเลือดกับบรรพบุรุษที่มีชีวิตหลังวันที่ 17 มีนาคม 1861 ซึ่งเป็นวันประกาศการรวมอาณาจักรอิตาลี

กระทรวงต่างประเทศของอิตาลีกล่าวว่า มีผู้ได้รับสัญชาติจากผู้มีเชื้อสายต่างแดนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะจากทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งชาวอิตาลีจำนวนมากอพยพเข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยเฉพาะประเทศอาร์เจนตินามีการรับรองสถานะพลเมืองเพิ่มขึ้นจาก 20,000 รายในปี 2023 เป็น 30,000 รายในปีถัดมา และบราซิลตัวเลขเพิ่มขึ้นจาก 14,000 รายในปี 2022 เป็น 20,000 รายในปี 2024

อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศของรัฐบาลในครั้งนี้ การเข้าถึงสัญชาติอิตาลีในลักษณะนี้จะมีข้อจำกัดมากขึ้น และลูกหลานจากหลายรุ่นของชาวอิตาลีจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการขอสัญชาติอย่างง่ายดายเหมือนในอดีต 

โดยรัฐบาลอิตาลีกล่าวว่า การยกเลิกกฎหมายนี้เป็นการควบคุมการให้สัญชาติที่เน้นคุณสมบัติและความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้การออกสัญชาติเป็นไปอย่างเหมาะสมและโปร่งใส

รัฐมนตรีต่างประเทศอันโตนิโอ ทาจานี กล่าวว่าระบบดังกล่าวกำลังถูกละเมิด และสถานกงสุลอิตาลีทั่วโลกกำลังถูกล้นหลามด้วยคำร้องขอหนังสือเดินทาง 

“การเป็นพลเมืองอิตาลีถือเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้หนังสือเดินทาง เพื่อไปช้อปปิ้งในไมอามี” ทาจานีกล่าวในการแถลงข่าว 

นอกจากนี้ ทาจานีกล่าวว่าจุดมุ่งหมายคือเพื่อ “เสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอิตาลีและพลเมืองในต่างประเทศ ลูกหลานของผู้อพยพจำนวนมากยังคงสามารถขอสัญชาติอิตาลีได้ แต่จะมีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดการนำหนังสือเดินทางอิตาลีไปใช้ในเชิงพาณิชย์”

ทั้งนี้ ประชาชนชาวอิตาลีจะมีสิทธิได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติตามสายเลือด หากมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายอย่างน้อยหนึ่งคนเกิดในอิตาลี ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 

ศาลฟัน ‘ยุน ซอกยอล’ พ้นตำแหน่งปธน.เกาหลีใต้ จากปมกฎอัยการศึกสายฟ้าแลบ สั่งเลือกตั้งใหม่ใน 60 วัน

(4 เม.ย. 68) ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ อ่านคำตัดสินในคดีถอดถอน ปธน.ยุน ซอกยอล โดยผู้พิพากษาทั้ง 8 คน นำโดยผู้พิพากษา มุน ฮยองแบ รักษาการประธานศาล ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ 8-0 เสียง ให้ถอดถอนยุนออกจากตำแหน่ง หลังการไต่สวนที่ยืดเยื้อมานาน นับตั้งแต่รัฐสภาลงมติถอดถอนเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2567 ด้วยคะแนน 204 ต่อ 85 เสียง

ศาลรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีคำวินิจฉัยในวันนี้ เพื่อสนับสนุนญัตติของรัฐสภาที่ถอดถอน ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ออกจากตำแหน่ง หลังจากมีกรณีวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการประกาศใช้ กฎอัยการศึกชั่วคราว ซึ่งถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต

มุน ฮยองแบ รักษาการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 8 คน มีมติ 'เป็นเอกฉันท์' ให้ถอดถอนผู้นำสูงสุดของประเทศ พร้อมระบุว่า คำตัดสินมีผลบังคับใช้ในทันทีตามกฎหมาย

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญของเกาหลีใต้ โดยทันทีที่คำตัดสินมีผล รัฐบาลรักษาการจะเข้ามาดำเนินหน้าที่บริหารประเทศชั่วคราว และจะต้องจัดการ เลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ภายใน 60 วัน

การประกาศใช้กฎอัยการศึกโดยประธานาธิบดียุน แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ถูกฝ่ายค้านและนักสิทธิมนุษยชนโจมตีอย่างรุนแรงว่า ละเมิดหลักนิติธรรมและรัฐธรรมนูญ อีกทั้งสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองภายในประเทศ

ทั้งนี้ การถอดถอนประธานาธิบดีโดยศาลรัฐธรรมนูญนับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ต่อจากกรณีของอดีตประธานาธิบดีพัค กึนฮเย ในปี 2017 โดยการตัดสินครั้งนี้จะเปิดทางสู่กระบวนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียดและเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปอำนาจบริหารอย่างเร่งด่วน

รัสเซียบอกชัด ‘ไม่เคยขอ’ สหรัฐยกเลิกคว่ำบาตร โชว์ GDP พุ่งสวนทางยุโรป

(4 เม.ย. 68) คิริลล์ ดมิทรีเยฟ ผู้อำนวยการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย (Russian National Wealth Fund) ออกมาให้สัมภาษณ์กับ ฟิล แมททิงลีย์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ CNN เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยกล่าวถึงท่าทีของรัสเซียในการประชุมหารือร่วมกับตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า รัสเซียไม่เคยร้องขอให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

“เราไม่ได้ต้องการการผ่อนปรนจากสหรัฐฯ เพราะประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่า มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกเป็นปัจจัยเร่งให้ประเทศของเราปรับตัว และหันกลับมาพึ่งพาตนเองอย่างจริงจังมากขึ้น” ผู้อำนวยการฯ กล่าว

เขายังเสริมว่า ผลลัพธ์ของการปรับตัวดังกล่าวสามารถเห็นได้ชัดจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา โดย จีดีพีของรัสเซียเติบโตสูงถึง 4% ในขณะที่ ยุโรปเติบโตเพียง 1% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจรัสเซียสามารถยืนหยัดและพัฒนาได้แม้อยู่ภายใต้แรงกดดันระหว่างประเทศ

แหล่งข่าวจากฝั่งรัสเซียยังเปิดเผยว่า ในการหารือกับคณะตัวแทนสหรัฐฯ ฝ่ายรัสเซียให้ความสำคัญกับประเด็นความร่วมมือในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น เสถียรภาพพลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร และการพัฒนานวัตกรรมในอนาคต มากกว่าจะโฟกัสที่ประเด็นคว่ำบาตร

การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกยังคงตึงเครียด ขณะที่หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่ามาตรการคว่ำบาตรชุดต่อไปจากฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ จะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างไร

แม้จะยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายจากทั้งสองฝ่าย แต่สัญญาณจากฝั่งรัสเซียครั้งนี้นับเป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่า “การพึ่งพาตนเอง” อาจกลายเป็นหัวใจหลักของนโยบายเศรษฐกิจในยุคหลังการเผชิญหน้ากับโลกตะวันตก

อินเดียรื้อสอบบริษัทโยง ‘จอร์จ โซรอส’ เอี่ยวรับทุนอเมริกา (USAID) กว่า 80 ล้านรูปี

(4 เม.ย. 68) คณะกรรมการบังคับใช้กฎหมายของอินเดีย (Enforcement Directorate – ED) อยู่ระหว่างการสอบสวนเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบริษัทแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับมหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังระดับโลก “จอร์จ โซรอส” หลังพบว่าบริษัทดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) เป็นจำนวนกว่า 80 ล้านรูปี หรือราว 32 ล้านบาทไทย ในช่วงปีงบประมาณ 2022-2023

แหล่งข่าวจาก ED เปิดเผยว่าบริษัทดังกล่าวอธิบายว่า มีการคืนเงิน 80 รูปี สำหรับบริการที่ให้แก่กลุ่มงานวิจัยในเดลีที่มีชื่อว่า Council on Energy Environment and Water (CEEW) อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ต่อ HT.com CEEW ปฏิเสธว่าไม่มีการเชื่อมโยงไปยัง George Soros หรือ Open Society Foundations

“CEEW ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจอร์จ โซรอส หรือมูลนิธิโอเพ่นโซไซตี้ ASAR Social Impact Advisors ได้รับการว่าจ้างจาก CEEW เพื่อให้บริการเฉพาะสำหรับโครงการ USAID ที่เกี่ยวข้องกับอากาศที่สะอาดขึ้น โครงการนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว CEEW ไม่มีความสัมพันธ์กับ ASAR ในขณะนี้ CEEW ไม่ได้รับคำถามใดๆ จากหน่วยงานรัฐบาลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ASAR เราไม่มีเหตุผลและไม่มีพื้นฐานใดๆ ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสืบสวนที่กำลังดำเนินอยู่” CEEW กล่าว

เจ้าหน้าที่ ED ระบุว่า การสอบสวนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบว่าเงินทุนดังกล่าวถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้หรือไม่ และมีการละเมิดกฎหมายว่าด้วยเงินทุนต่างประเทศ (FCRA) หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่อาจมีนัยทางการเมือง หรืออิทธิพลต่อความมั่นคงของประเทศ

สำหรับ จอร์จ โซรอส นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก เคยตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

แม้ในเบื้องต้นยังไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อบริษัทดังกล่าว แต่การสอบสวนของ ED ได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่ออินเดียอย่างกว้างขวาง โดยมีการจับตาว่าเรื่องนี้อาจลุกลามไปสู่การทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการรับเงินทุนจากต่างประเทศในวงกว้าง

โฆษกของ USAID ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ ขณะที่ตัวแทนของบริษัทที่อยู่ระหว่างการสอบสวนได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับทางการอินเดียอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าเงินทุนทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อ “โครงการด้านการพัฒนาและสาธารณประโยชน์” อย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

ทั้งนี้ การสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

รัสเซียไม่อยู่ในรายชื่อขึ้นภาษีของทรัมป์ สื่อมอสโกเผย เพราะถูกคว่ำบาตรอยู่แล้ว

(4 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยรายชื่อประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ภายใต้แผนการใหม่เพื่อ 'ปกป้องเศรษฐกิจอเมริกัน' โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และส่งเสริมภาคการผลิตภายในประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์และผู้นำหลายชาติในโลกตะวันตก คือ “รัสเซียไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศเป้าหมาย” รวมถึงคิวบา เบลารุส และเกาหลีเหนือ ก็ไม่ได้รวมอยู่ในมาตรการดังกล่าวด้วยท่ามกลางความคาดหวังของหลายฝ่ายที่ต้องการเห็นสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการกดดันเพิ่มเติมต่อมอสโก ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินต่อไปในหลายประเด็น

เมื่อวันพฤหัสบดี สื่อรัสเซียยังโต้แย้งว่าประเทศของพวกเขาไม่อยู่ในรายชื่อภาษีศุลกากรครอบคลุมเนื่องจากมีการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้ว 

“รัสเซียไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรใดๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ เพียงแต่เป็นเพราะชาติตะวันตกได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศของเราแล้ว” สถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ของรัฐบาลกล่าว

ขณะเดียวกันยูเครนกำลังเผชิญกับภาษีนำเข้า 10 เปอร์เซ็นต์จากสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยูเลีย สวีรีเดนโก รองนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ กล่าวว่าภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่

ในปี 2024 ยูเครนส่งออกสินค้ามูลค่า 874 ล้านดอลลาร์ (ราว 31,901 ล้านบาท) ไปยังสหรัฐฯ และนำเข้า 3.4 พันล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีกล่าว “ยูเครนมีสิ่งดีๆ มากมายที่จะมอบให้กับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรและหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้” เธอกล่าวเสริม “ภาษีศุลกากรที่เป็นธรรมจะส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศ”

บรรดาชาติพันธมิตรในยุโรปแสดงความผิดหวังต่อท่าทีดังกล่าว โดยมองว่า เป็นสัญญาณที่สหรัฐฯ อาจลังเลในการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นมาตรการตอบโต้รัสเซีย ในขณะที่ชาติเหล่านั้นต่างกำลังแบกรับภาระจากการคว่ำบาตรที่ได้ประกาศใช้ไปก่อนหน้า

นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัสเซียไม่ถูกรวมอยู่ในรายชื่อ อาจสะท้อนถึงเจตนาทางการเมืองบางประการของทำเนียบขาว หรืออาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงโยงใยกันอยู่ในระดับลึก

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ สื่อหลายสำนักรายงานว่ามีแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อฝ่ายบริหารของทรัมป์ให้ทบทวนจุดยืน พร้อมเรียกร้องให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีต่อรัสเซียในระยะยาว

แผนขึ้นภาษีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในสภาคองเกรส โดยคาดว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในประเด็น “สองมาตรฐาน” ที่หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามต่อการดำเนินนโยบายในครั้งนี้

อีลอน มัสก์ จ่อถอนตัวจากบทบาท ‘พนักงานรัฐบาลพิเศษ’ หลังพบแรงต้านในกลุ่มรัฐบาลสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการเมือง

(3 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แจ้งกับบุคคลใกล้ชิด รวมถึงสมาชิกคณะรัฐมนตรีว่า อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลาและเอ็กซ์ (X) เตรียมถอนตัวจากบทบาท “พนักงานรัฐบาลพิเศษ” ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มพันธมิตรของรัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่บางรายที่เริ่มมองว่ามัสก์เป็น “ภาระทางการเมือง” และเชื่อว่าการที่เขามีบทบาทในรัฐบาลสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับกลุ่มพันธมิตรและความเชื่อมั่นในรัฐบาล

มัสก์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่พนักงานรัฐบาลพิเศษ หรือบทบาทในกรมประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) เพื่อช่วยเสริมสร้างนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในสหรัฐฯ มีบทบาทที่สำคัญในหลายโครงการรัฐบาล แต่กระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นจากบางส่วนในรัฐบาล ทำให้การตัดสินใจถอนตัวของมัสก์กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการจับตามอง

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนหนึ่งกล่าวว่า มัสก์มีแนวโน้มที่จะยังคงมีบทบาทอย่างไม่เป็นทางการในฐานะที่ปรึกษา และยังคงเป็นบุคคลภายนอกที่ปรากฏตัวเป็นครั้งคราวในบริเวณทำเนียบขาว ส่วนอีกคนหนึ่งเตือนว่าใครก็ตามที่คิดว่ามัสก์จะหายไปจากวงโคจรของทรัมป์ เขาคนนั้นกำลังหลอกตัวเอง

แหล่งข่าวระบุว่า มัสก์จะถอนตัวจากบทบาทนี้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ยังไม่ได้มีการประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการในอนาคตของเขา โดยคาดว่าเขาจะมุ่งเน้นที่การพัฒนาธุรกิจส่วนตัวและการลงทุนในเทคโนโลยีต่อไป

“สักวันหนึ่ง อีลอนคงอยากจะกลับไปที่บริษัทของเขา เขาต้องการแบบนั้น ผมจะเก็บเขาไว้ตราบเท่าที่ผมยังเก็บเขาไว้ได้” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว

เบร็ท แบเยอร์ จาก Fox News ถามมัสก์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาพร้อมที่จะลาออกหรือไม่เมื่อสถานะพนักงานพิเศษของรัฐบาลของเขาสิ้นสุดลง เขาก็ได้ประกาศว่าภารกิจของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว โดยกล่าวว่า “ผมคิดว่าเราจะบรรลุภารกิจส่วนใหญ่ที่จำเป็นเพื่อลดการขาดดุลลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในกรอบเวลาดังกล่าว”

รมว.คลังสหรัฐฯ แนะประเทศทั่วโลก ‘อย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ และยอมรับมัน’ เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้ง หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีใหม่

(3 เม.ย. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นในระหว่างการประชุมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่า ประเทศต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้มาตรการภาษีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ

เบสเซนต์กล่าวว่า “คำแนะนำของผมสำหรับทุกประเทศในตอนนี้คืออย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ ยอมรับมัน แล้วมาดูกันว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าคุณตอบโต้ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง” โดยเบสเซนต์กล่าวในการสัมภาษณ์ในรายการ Special Report ไม่นานหลังจากการประกาศดังกล่าว 

ในระหว่างการประชุม เบสเซนต์เน้นย้ำว่า การตอบโต้ภาษีของทรัมป์อาจไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง “ถ้าคุณไม่ตอบโต้ นี่คือจุดสูงสุด” 

ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการภาษีใหม่เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้หลายประเทศตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และบางประเทศได้แสดงท่าทีที่ต้องการตอบโต้

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงยืนยันในความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว เบสเซนต์เตือนว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจยืดเยื้อและขยายวงกว้าง หากไม่มีการเจรจาและหาทางออกที่สมดุลและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ เบสเซนต์กล่าวกับเบร็ต ไบเออร์ หัวหน้าผู้ประกาศข่าวสายการเมืองของ Fox News ว่าเป้าหมายของการเก็บภาษีศุลกากรคือการสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว “เรากำลังกลับสู่วิถีทางที่ดี” เขากล่าว โดยโจมตีรัฐบาลของไบเดนเรื่องการใช้จ่ายรัฐบาลที่ “มหาศาล” 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเสริมว่า รัฐสภากำลังดำเนินการเพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายภาษี เนื่องจากฝ่ายบริหารกำลังพยายามทำให้ การลดหย่อนภาษีของทรัมป์ในปี 2017 เป็นแบบถาวร

“ยิ่งเราสามารถได้รับความแน่นอนเรื่องภาษีได้เร็วเท่าไหร่ เราก็สามารถเตรียมการสำหรับการกลับมาเติบโตได้เร็วเท่านั้น” เบสเซนต์กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top