Tuesday, 1 July 2025
WORLD

‘ทรัมป์’ ลงนาม ปูทางยุบกระทรวงศึกษาฯ ฝ่ายค้านเตือนเตรียมรับผลกระทบที่ร้ายแรง

(21 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศไปตลอดกาล โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การยุบกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักของรัฐบาลกลาง

คำสั่งดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คำสั่งปรับปรุงผลลัพธ์ทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมผู้ปกครอง รัฐ และชุมชน” โดยทรัมป์ย้ำว่า การปิดกระทรวงศึกษาธิการเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” และรัฐบาลจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

ภายใต้คำสั่งนี้ รัฐบาลกลางจะ ลดบทบาทของตนในด้านการศึกษา และ กระจายอำนาจ ไปยังระดับรัฐและท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งทรัมป์เชื่อว่า รัฐและผู้ปกครองควรเป็นผู้กำหนดแนวทางการศึกษาเอง มากกว่าถูกกำกับโดยรัฐบาลกลาง

“เราต้องให้พ่อแม่ ชุมชน และรัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กๆ ไม่ใช่ข้าราชการในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าวระหว่างการลงนาม

แผนการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ มีบทบาทมากเกินไปและไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการเรียนการสอน 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามรวมถึงพรรคเดโมแครต และองค์กรด้านการศึกษาออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยเตือนว่า การยุบกระทรวงอาจส่งผลให้การศึกษาขาดมาตรฐานและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สหพันธ์ครูแห่งอเมริกาออกแถลงการณ์ว่า “ไม่มีใครชอบระบบราชการ และทุกคนก็เห็นด้วยกับประสิทธิภาพที่มากขึ้น ดังนั้นเรามาหาวิธีการทำให้สำเร็จกันดีกว่า แต่อย่าใช้การ 'ทำสงครามกับคนตื่นรู้' เพื่อโจมตีเด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนและเด็กพิการ”

เบ็ตซี่ เดวอส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจทางการศึกษา กล่าวว่าการยุบกระทรวงเป็น 'ก้าวที่กล้าหาญ' ที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า อาจทำให้โครงการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบ

แม้ว่าคำสั่งบริหารฉบับนี้จะเป็นก้าวแรกสู่การปิดกระทรวงศึกษาธิการ แต่การดำเนินการจริงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'สภาคองเกรส' ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อแผนของทรัมป์

ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปิดกระทรวง แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ร้อนแรงในวงการการศึกษาและการเมืองของสหรัฐฯ

ฝรั่งเศสยกระดับความพร้อม แจก ‘คู่มือเอาตัวรอด’ เตรียมรับมือวิกฤตและความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

(21 มี.ค. 68) สำนักข่าว CNN รายงานว่า รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศแผนแจกจ่าย “คู่มือเอาตัวรอด” ให้กับทุกครัวเรือนทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมของประชาชนในการรับมือกับ ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ของ ความขัดแย้งด้วยอาวุธบนผืนแผ่นดินฝรั่งเศส

คู่มือฉบับนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น วิธีป้องกันตัวจากภัยธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือภาวะขาดแคลนพลังงาน รวมถึงขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดสงคราม คู่มือนี้จะเน้น การจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น อาทิ เสบียงอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ตลอดจนแนวทางในการหาที่หลบภัยและการติดต่อหน่วยงานฉุกเฉิน

แหล่งข่าวจากรัฐบาลระบุว่า การแจกคู่มือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเพิ่ม ความตระหนักและความพร้อม ของประชาชนต่อสถานการณ์ความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปในยุโรป โดยเฉพาะจาก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยคุกคามด้านความมั่นคง ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“คู่มือเอาตัวรอดนี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้ประชาชนพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวเมื่อเผชิญกับวิกฤตต่างๆ” ​โฆษกของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ บายรู กล่าวกับ CNN เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ด้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมองว่า ฝรั่งเศสอาจได้รับแรงกดดันให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น เช่น สงครามในยุโรป ความตึงเครียดกับรัสเซีย หรือภัยคุกคามจากการก่อการร้าย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความตื่นตัวในหมู่ประชาชน

ทั้งนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสคาดว่าจะเริ่มแจกจ่ายคู่มือฉบับนี้ ภายในปี 2025 โดยจะส่งตรงไปยังที่พักอาศัยของประชาชน และสามารถเข้าถึงในรูปแบบ ดิจิทัล ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ

มาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ฝรั่งเศสออกแนวทางเตรียมพร้อมในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนถึง ระดับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลต่อภัยคุกคามในอนาคต

อิมาน เคลิฟ ตั้งเป้าคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2028 ที่แอลเอ แม้เจอกระแสกดดันจากทรัมป์ ออกมาโจมตีนักกีฬาที่มีภาวะ DSD

(20 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิมาน เคลิฟ (Imane Khelif) นักมวยหญิงชาวแอลจีเรีย ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่าเธอจะกลับมาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี 2028 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคจากกระแสต่อต้านของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นแกนนำในการผลักดันกฎกติกาที่เข้มงวดเกี่ยวกับเพศสภาพของนักกีฬา

อย่างที่ทราบกันดีว่า เคลิฟ คว้าเหรียญทองให้แอลจีเรียในศึกโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ด้วยการเอาชนะ หลิว หยาง จากจีน ที่คะแนนเอกฉันท์ 5-0 เสียง ในรอบชิงชนะเลิศ ส่วนรอบรองชนะเลิศ เธอคว้าชัยเหนือ ‘บี’ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักชกสาวไทย ด้วยคะแนน 5-0 เสียง ทำให้จันทร์แจ่มคว้าเหรียญทองแดงไปครอง 

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่เหรียญทองของเธอไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากก่อนหน้านี้ เคลิฟเคยถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี 2023 เนื่องจากไม่ผ่านการตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย แต่ในโอลิมปิก 2024 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้อนุญาตให้เธอเข้าร่วมแข่งขัน หลังจากตรวจสอบเอกสารและยืนยันว่าเธอเป็นเพศหญิงตามกฎหมาย

แม้จะได้รับอนุญาตให้แข่งขัน แต่เคลิฟยังคงเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมและบุคคลสำคัญ เช่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แสดงความไม่พอใจต่อการเข้าร่วมแข่งขันของเธอ 

ทรัมป์แสดงจุดยืนมาโดยตลอดเกี่ยวกับกฎระเบียบเพศสภาพในวงการกีฬา และเคยกล่าวโจมตีอย่างรุนแรงต่อนักกีฬาข้ามเพศและผู้ที่มีภาวะเพศกำกวม (DSD – Differences in Sexual Development) โดยเรียกร้องให้มีการห้ามนักกีฬาข้ามเพศและนักกีฬาที่มีภาวะ DSD ลงแข่งขันในประเภทหญิง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเคลิฟและนักกีฬาหญิงอีกหลายคน

ทั้งนี้ เคลิฟประกาศอย่างชัดเจนว่า โอลิมปิก 2028 คือเป้าหมายสำคัญของเธอ และเธอจะไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรมมาหยุดยั้งเส้นทางการเป็นแชมป์ของ 

“เหรียญทองที่สอง แน่นอนที่สุด กับการแข่งขันที่อเมริกา ลอส แองเจลิส และฉันตอบแบบตรงไปตรงมานะ ผู้นำของสหรัฐฯ ออกคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับคนข้ามเพศในอเมริกา แต่ฉันไม่ใช่คนข้ามเพศ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน และไม่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเลย” นักชกวัย 25 ปี กล่าว 

เกาหลีใต้ประกาศฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน หวังฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ซบเซา

(20 มี.ค. 68) เกาหลีใต้ประกาศแผนการให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยตั้งเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ซบเซาในช่วงที่ผ่านมา หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ

การตัดสินใจในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางการลดลงอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การปิดประเทศและมาตรการจำกัดการเดินทางจากการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้การท่องเที่ยวในเกาหลีใต้ลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจหลายประเภทที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก

การให้ฟรีวีซ่าครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่รัฐบาลเกาหลีใต้หวังจะใช้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลับมาที่ประเทศ โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการใช้จ่ายภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

รัฐบาลเกาหลีใต้ระบุว่า นโยบายนี้จะมีผลบังคับใช้ทันทีและจะมอบสิทธิประโยชน์นี้ให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในระยะเวลา 3 เดือน โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า หากนักท่องเที่ยวสามารถแสดงเอกสารการเดินทางที่ชัดเจนและมีจุดมุ่งหมายในการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน

“เราหวังว่า การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศได้ง่ายขึ้นจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว” เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้กล่าว

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเกาหลีใต้นั้นยังคงเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์ทางการเมืองและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ในจีน โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่า การฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับการตอบสนองจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจีน

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่เช่น โซล และปูซาน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวชาวจีนในการเดินทางมาท่องเที่ยวทั้งเพื่อการพักผ่อนและการช็อปปิ้ง

ส่งออกชิปเกาหลีใต้ไปจีนร่วง 31.8% หลังสหรัฐคุมเข้มกฎส่งออกเทคโนโลยี

(20 มี.ค. 68) สื่อต่างประเทศรายงานว่า การส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ไปยังจีน ลดลง 31.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางแรงกดดันจากกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นต่อจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก

สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การชะลอตัวการส่งออกของไปจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ซึ่งทำให้ซัพพลายเชนชิปต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น

โดยสาเหตุหลักของการลดลงนี้มาจาก มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออกชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ส่งผลให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้า

ซึ่งจีนถือเป็น ตลาดนำเข้าชิปที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ การลดลงของยอดส่งออกจึงสะท้อนถึง ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนอย่างมาก

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากมาตรการของสหรัฐฯ ยังคงเข้มงวดขึ้น เกาหลีใต้อาจต้อง เร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจีน ในขณะที่จีนเองก็กำลัง พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณา แนวทางนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยอาจมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ หรือส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนโลก และมีแนวโน้มจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาว

วิบากกรรมของ ‘โรดรีโก ดูแตร์เต’ เผชิญหมายจับ ICC อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ชาติตะวันตกไม่ชอบ

(20 มี.ค. 68) เมื่อไม่นานมานี้ ฟิลิปปินส์กลับกลายเป็นข่าวดังทั่วโลก เมื่อ โรดรีโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ช่วงปี ค.ศ.2016–2022 ถูกจับกุมตามหมายจับของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผู้นำที่มีความขัดแย้งอย่างมากกับชาติตะวันตก

หมายจับนี้ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 และจับกุม ดูแตร์เต เมื่อเขากลับมาจากฮ่องกงในวันที่ 11 มีนาคม 2025 โดยข้อกล่าวหาที่ ICC ยื่นฟ้องนั้นเกี่ยวข้องกับการ ฆาตกรรม, ทรมาน และข่มขืน ที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2011 ถึง 16 มีนาคม 2019 ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ ICC แต่หมายจับถูกส่งผ่าน INTERPOL ทำให้เขากลายเป็นผู้นำฟิลิปปินส์คนแรกที่ต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ

ช่วงที่ ดูแตร์เต ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ริเริ่มนโยบายที่ทำให้เกิดการ ปราบปรามยาเสพติด อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน โดยที่รัฐบาลฟิลิปปินส์อ้างว่าเป็นการจัดการกับ ผู้ค้ายาเสพติด แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศในตะวันตกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งทำให้เขาต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก

ถึงแม้จะถูกวิจารณ์หนักจากนานาชาติ แต่ คะแนนความนิยมในประเทศ ของเขาก็ยังคงสูง โดยเฉพาะในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และจากการสนับสนุนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ซึ่งทำให้เขาดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคง

แม้ว่า มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ เคยประกาศว่า ฟิลิปปินส์จะไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน ICC แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ มาร์กอส จูเนียร์ ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนและตัดสินใจให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีต่อดูแตร์เต

การจับกุม ดูแตร์เต ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ทางการเมืองฟิลิปปินส์ เพราะเขาได้กลายเป็นผู้นำคนแรกจากเอเชียที่ถูก ศาลอาญาระหว่างประเทศ ฟ้อง โดยต้องถูกพิจารณาคดีในวันที่ 23 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญของการยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการสร้างความยุติธรรมในระดับสากล

พร้อททั้งส่งผลให้สะท้อนถึง การเผชิญหน้าระหว่างการเมืองภายในประเทศ และความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ก็ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ICC มีอำนาจในการดำเนินคดีแม้แต่กับผู้นำประเทศใหญ่ในเอเชีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจและอิทธิพลของผู้นำในอนาคต

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่เคยถูกขับไล่จากตำแหน่งและถูกกล่าวหาว่าทุจริตอย่างมโหฬาร จนมีทรัพย์สินมหาศาลกว่า 5,000-10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ 36 ปีต่อมา ลูกชายของเขา มาร์กอส จูเนียร์ กลับได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะที่ ดูแตร์เต ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่เกิดจากนโยบายของเขาเอง

อนาคตของ โรดรีโก ดูแตร์เต ดูเหมือนจะมีหลายคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้ ในขณะที่เขาเผชิญกับการพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ และประเทศฟิลิปปินส์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ

ทรัมป์ขู่อิหร่าน หยุดหนุนฮูตี ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งคำเตือนถึงอิหร่าน ยุติการส่งอาวุธให้กลุ่มฮูตีโดยทันที รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในเยเมน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง 

“การโจมตีของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีจะเลวร้ายลงอีก และพวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง!” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจากกลุ่มฮูตีเปิดฉากโจมตีเรือสินค้าและเรือรบที่ผ่านทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่ออิสราเอลจากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นทางการค้าโลก

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสินค้า และย้ำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนกว่าฮูตีจะยุติการโจมตีในทะเลแดง

ทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนกลุ่มฮูตี และเตือนว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว อิหร่านจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง และส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการลดละความพยายามในการทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตี หากพวกเขายังคงคุกคามเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลก โดยหลายฝ่ายจับตาดูว่าคำเตือนของทรัมป์จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

รัฐบาลมาเลเซียจับมือ Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเล เริ่มค้นหาเครื่องบินที่สาบสูญรอบใหม่ มาเลเซียแอร์ไลน์ ‘MH370’

(20 มี.ค. 68) นายแอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศว่ารัฐบาลมาเลเซียได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท Ocean Infinity เพื่อเริ่มต้นปฏิบัติการค้นหาซากเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 อีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์หายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน ระหว่างเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่ง ถือเป็นหนึ่งในปริศนาการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยปฏิบัติการค้นหาก่อนหน้านี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเครื่องบินได้

Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเลจากสหรัฐฯ เคยได้รับมอบหมายให้ค้นหา MH370 ในปี 2018 โดยใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ใต้น้ำ (Autonomous Underwater Vehicles – AUVs) แม้จะมีความก้าวหน้าในการค้นหา แต่ก็ไม่พบซากเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและข้อมูลที่พัฒนาเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจเพิ่มโอกาสในการค้นพบซากเครื่องบินในครั้งนี้

“เราหวังว่าปฏิบัติการค้นหาใหม่จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และนำความจริงมาสู่ครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือที่รอคอยคำตอบมานานกว่าทศวรรษ” นายแอนโธนี โลค กล่าว

แม้รายละเอียดของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity จะยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด แต่นายโลคระบุว่า เงื่อนไขของสัญญาจะเป็นแบบ "No Find, No Fee" หมายความว่า Ocean Infinity จะได้รับค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อสามารถค้นพบซากของ MH370 เท่านั้น

รูปแบบข้อตกลงนี้เคยถูกนำมาใช้แล้วในภารกิจค้นหาเมื่อปี 2018 ซึ่ง Ocean Infinity ได้ทำการสำรวจพื้นที่มหาสมุทรอินเดียตอนใต้กว่า 112,000 ตารางกิโลเมตร แต่ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า การค้นหา MH370 ครั้งใหม่นี้อาจได้รับประโยชน์จาก ข้อมูลดาวเทียมและการวิเคราะห์กระแสน้ำในมหาสมุทรที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งอาจช่วยระบุพื้นที่ค้นหาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

“เรายังเชื่อว่า MH370 อยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ และเราหวังว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้การค้นหาประสบความสำเร็จ” โอลิเวอร์ พลังก์ (Oliver Plunkett) ซีอีโอของ Ocean Infinity กล่าว

ทั้งนี้ ครอบครัวของผู้สูญหายจาก MH370 ยังคงเฝ้ารอคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการค้นหาใหม่ในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการไขปริศนาที่ดำเนินมากว่าสิบปี รัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity คาดว่าจะเริ่มปฏิบัติการค้นหาในช่วงปลายปี 2024 นี้

รัสเซียเปิดแผนผลิตลิเธียม 60,000 ตันภายในปี 2030 หนุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้า ลดการพึ่งพาต่างชาติ

(20 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติรัสเซียประกาศแผนผลิตลิเธียมคาร์บอเนตอย่างน้อย 60,000 เมตริกตันภายในปี 2030 เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้ากำลังสูงและลดการพึ่งพาการนำเข้า

ลิเธียมและแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ รวมถึงแร่หายาก (Rare Earth) ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เสนอทำข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครนและรัสเซีย เพื่อแข่งขันกับจีนที่ครองตลาดแร่หายากอยู่ในปัจจุบัน

รัสเซียมีแผนเปิดดำเนินการแหล่งลิเธียมสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ Kolmozerskoye, Polmostundrovskoye และ Tastygskoye ภายในปี 2030 เพื่อสนับสนุนการผลิตลิเธียมในประเทศ โดยในปี 2023 รัสเซียผลิตลิเธียมได้เพียง 27 ตัน ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองมรกต

“การผลิตลิเธียมในประเทศจะช่วยให้รัสเซียสามารถควบคุมต้นทุนและจัดหาวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดได้อย่างยั่งยืน” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติรัสเซีย กล่าว

อย่างที่ทราบกันดีว่า ความต้องการลิเธียมเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการพัฒนาแบตเตอรี่และยานพาหนะไฟฟ้า ส่งผลให้การผลิตลิเธียมในประเทศจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซีย

แผนดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลรัสเซียในการพัฒนา เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งจำเป็นต่อการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems - ESS)

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากรัสเซียสามารถเพิ่มกำลังผลิตลิเธียมได้ตามแผน จะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกและลดต้นทุนของแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการปฏิวัติพลังงานสะอาด

ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกลิเธียมรายใหญ่ที่สุดของโลก และครองอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม รัสเซียกำลังวางแผนเพิ่มขีดความสามารถในการแปรรูปและกลั่นแร่ลิเธียม เพื่อลดการพึ่งพาจีนและสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลก

แผนการผลิตลิเธียมของรัสเซียนี้มีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันด้านทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญระหว่างมหาอำนาจ โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเสนอข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครนและรัสเซีย เพื่อสกัดอิทธิพลของจีนในตลาดแร่หายาก

ทั้งนี้ รัฐบาลรัสเซียเตรียมออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพิ่มเติม รวมถึงการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาแหล่งทรัพยากรลิเธียมของประเทศ

‘เซเลนสกี’ ยกหูคุย ‘ทรัมป์’ 1 ชั่วโมง การสนทนาเป็นไปด้วยดี เชื่อสันติภาพเกิดขึ้นได้ในปีนี้

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเป็นที่เรียบร้อย โดยการสนทนาดังกล่าวเป็นไปด้วยดีและใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ว่า “การหารือส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการที่ผมได้สนทนากับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวานนี้ เพื่อทำให้ความต้องการของรัสเซียและยูเครนสอดคล้องกัน ซึ่งเรากำลังเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าว”

ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีได้กล่าวว่า เขาจะสนทนาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ จับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง 30 วันระหว่างรัสเซียและยูเครน

“เราเห็นชอบร่วมกันว่ายูเครนกับสหรัฐฯ ควรทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อบรรลุจุดจบที่แท้จริงของสงครามและสันติภาพที่ยั่งยืน” เซเลนสกี กล่าว “เราเชื่อว่าการร่วมมือกับอเมริกา กับประธานาธิบดีทรัมป์ และภายใต้การนำของอเมริกา จะนำพาสันติภาพที่ยั่งยืนที่สามารถเกิดขึ้นได้ในปีนี้”

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) โดยปูตินเห็นพ้องที่จะให้มีการหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในยูเครน

เซเลนสกีกล่าวว่า คำพูดของปูตินยังคงไม่เพียงพอ และยูเครนจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าในประเทศ เพื่อให้สหรัฐฯ และพันธมิตรช่วยจับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง

“ผมหวังว่าจะมีการควบคุมในเรื่องนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าควรจะมาจากสหรัฐฯ ขณะที่ยูเครนพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งถ้ารัสเซียไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของเรา เราก็จะไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของพวกเขา” เซเลนสกีกล่าว

การสนทนาระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะคารมกันในทำเนียบขาว ซึ่งการพูดคุยล่าสุดผู้นำทั้งสองต่างบอกว่าเป็นไปด้วยดี

นอกจากนี้ มีรายงานว่าทรัมป์และเซเลนสกีได้หารือเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสันติภาพ และโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าไปเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครน

หลายฝ่ายเฝ้าจับตามองการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์และปูตินที่เกิดขึ้นนานกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีได้ขอให้ทรัมป์สนับสนุนด้านการป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม เพื่อปกป้องจากการโจมตีของรัสเซีย โดยทรัมป์กล่าวว่าจะช่วยหาอุปกรณ์ทางทหารที่จำเป็น

อย่างไรก็ดี การสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาค

ทรัมป์สั่งปล่อยแฟ้มลับคดี JFK 80,000 หน้า เริ่มต้นยุคใหม่แห่งความโปร่งใส เผยทุกข้อมูลไม่มีเซ็นเซอร์

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เปิดเผยเอกสารลับจำนวน 80,000 หน้า ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ในปี 1963 โดยไม่มีการแก้ไขหรือเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ

การเปิดเผยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างความโปร่งใสของรัฐบาล โดยทัลซี แก็บบาร์ด ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ระบุว่า นี่เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของความโปร่งใสสูงสุด

เอกสารที่เปิดเผยประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนของคณะกรรมาธิการวอร์เรนในปี 1964 ซึ่งสรุปว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือสังหารเคนเนดีเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าเอกสารบางส่วนอาจชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการมีส่วนร่วมของกลุ่มอื่น ๆ เช่น ซีไอเอ หรือกลุ่มผู้ลี้ภัยคิวบา

นอกจากนี้ เอกสารยังเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการลับของซีไอเอในช่วงทศวรรษที่ 1960 รวมถึงการพยายามโค่นล้มฟิเดล คาสโตร ผู้นำคิวบา

แม้ว่าการเปิดเผยเอกสารครั้งนี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความโปร่งใส แต่ผู้เชี่ยวชาญและนักประวัติศาสตร์บางคนยังคงสงสัยว่าเอกสารเหล่านี้จะเปิดเผยข้อมูลใหม่ที่สำคัญหรือไม่ โดยระบุว่าเอกสารส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนหน้านี้แล้ว

การเปิดเผยเอกสารครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาว่า “รัฐเร้นลึก” (Deep State) คือการปกครองลับรูปแบบหนึ่งประกอบด้วยเครือข่ายอำนาจที่ดำเนินการอย่างเป็นอิสระจากคณะผู้นำทางการเมืองของประเทศ เพื่อผลักดันระเบียบวาระหรือเป้าหมายของตนเอง ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันข้อกล่าวหาดังกล่าว

ทั้งนี้ เอกสารทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติในรัฐแมริแลนด์ และจะถูกเผยแพร่ออนไลน์เมื่อมีการแปลงเป็นดิจิทัลแบบเสร็จสมบูรณ์

ตำรวจเติร์กรวบนายกเทศมนตรีนครอิสตันบูล หลังมีข่าวเตรียมลงชิงตำแหน่ง ปธน.

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตุรกีได้ออกหมายจับ เอแกรม อีมาโมลู (Ekrem İmamoğlu) นายกเทศมนตรีนครอิสตันบูล พร้อมส่งกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นที่พักของเขาในวันนี้

ตามรายงานจากแหล่งข่าวภายในประเทศ การออกหมายจับครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองในตุรกี โดยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดแน่ชัดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่อีมาโมลูต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับ ข้อกล่าวหาด้านการทุจริต หรือประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหว

แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงเปิดเผยว่า ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของอีมาโมลู ในช่วงเช้ามืด และกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนเพิ่มเติม ด้านเจ้าตัวยังไม่มีแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ แต่มีการโพสต์คลิปวิดีโอผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) จากภายในที่พักของเขา ระบุว่า 

“มีตำรวจนับร้อยนายมาอยู่หน้าประตูบ้านผม เรากำลังเผชิญกับการใช้อำนาจเผด็จการครั้งใหญ่ ผมขอฝากความหวังไว้กับประชาชน”

เอแกรม อีมาโมลู เป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองของตุรกี และถือเป็น คู่แข่งทางการเมืองสำคัญของประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน โดยเขาสังกัดพรรคฝ่ายค้าน พรรครีพับลิกันประชาชน (CHP) และเคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครอิสตันบูลถึงสองครั้ง ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเวทีการเมืองของตุรกี

นักวิจารณ์ประณามการคุมขังดังกล่าวว่าเป็นประเด็นทางการเมืองและเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามฝ่ายค้านที่ยังคงดำเนินต่อไปของรัฐบาล หลังจากที่เออร์โดกันพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและนายกเทศมนตรีเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ประเทศกำลังเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญในอนาคต

ภายหลังการจับกุมอิมาโมกลู ผู้ว่าการอิสตันบูลได้สั่งระงับสิทธิในการประท้วงในเมืองจนถึงวันที่ 23 มีนาคม “พื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน” นอกจากนี้สถานีรถไฟใต้ดินและถนนบางสายในตัวเมืองอิสตันบูลยังถูกปิดอีกด้วย

ทั้งนี้ แถลงการณ์ล่าสุดจากสำนักงานอัยการสูงสุดแห่งอิสตันบูล ระบุว่า อีมาโมลู และคนอื่นๆ อีกประมาณ 100 คนที่เกี่ยวข้องกับเขา ถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม เรียกสินบน ขู่กรรโชก และฉ้อโกงโดยเจตนา 

โดยทางด้าน ภรรยาของนายกเทศมนตรีที่ถูกคุมขัง กล่าวถึงข้อกล่าวหาต่อสามีของเธอว่า “ใครๆ ก็คงหัวเราะเยาะเรื่องแบบนี้” “เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน มันเป็นการใส่ร้ายที่ร้ายแรงมาก และทุกอย่างจะต้องถูกเปิดเผย”

ธุรกิจต้องมาก่อน เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐกว่า 150 แห่ง ยังทำธุรกิจในรัสเซีย แม้ถูกคว่ำบาตรหนัก

(19 มี.ค. 68) บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ราว 150 แห่ง นำโดย โคคา-โคลา ฟอร์ด ไมโครซอฟท์ ไอบีเอ็ม แมคโดนัลด์ ยังคงเดินหน้าทำธุรกิจในรัสเซีย แม้วอชิงตันจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อมอสโกหลายต่อหลายรอบ จากการเปิดเผยของ คิริล ดมิทรีเยฟ ผู้แทนพิเศษด้านการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน

ดมิทรีเยฟระบุว่า แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย แต่บริษัทอเมริกันหลายแห่งยังคงเลือกที่จะรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงาน เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภค

“มีบริษัทสหรัฐฯ จำนวนมากที่ยังคงดำเนินธุรกิจในรัสเซีย เนื่องจากตระหนักถึงความสำคัญของตลาดและโอกาสทางเศรษฐกิจที่นี่” ดมิทรีเยฟกล่าว

ดมิทรีเยฟ กล่าวเสริมอีกว่าบริษัทอเมริกันจะประสบความยากลำบากในการกลับสู่รัสเซีย และทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทเหล่านี้คือการร่วมทุนกับธุรกิจในท้องถิ่น “หอการค้าอเมริกันแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทสหรัฐฯ 150 แห่งอยู่ในตลาดรัสเซีย โดย 75% ของบริษัทเหล่านี้ดำเนินกิจการมานานกว่า 25 ปีแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาต้องการดำเนินธุรกิจต่อไปในรัสเซีย”

รายงานระบุว่า บริษัทข้ามชาติบางแห่งได้ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ตัวแทนท้องถิ่นหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนเพื่อให้ยังสามารถดำเนินงานในรัสเซียได้ โดยไม่ขัดต่อมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ

ในขณะที่หลายบริษัทตะวันตกถอนตัวจากรัสเซียหลังจากความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2022 บริษัทอเมริกันบางแห่งกลับ ยังคงรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจในรัสเซีย ท่ามกลางสภาวะที่ซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า แม้มาตรการคว่ำบาตรจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย แต่ในความเป็นจริง บริษัทต่างชาติบางแห่งยังต้องพึ่งพาตลาดรัสเซีย ทำให้ไม่สามารถถอนตัวออกจากธุรกิจได้โดยง่าย

Apple - Meta - Boeing นำทัพบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ เข้าพบนายกฯ ‘ฝ่ามมิงชิ่ญ’ ถกการขยายธุรกิจในเอเชีย

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะผู้แทนจากกว่า 60 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ รวมถึง Apple, Meta และ Boeing ได้เดินทางเข้าพบ นายฝ่ามมิงชิ่ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสในการขยายการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นท่ามกลางความพยายามของเวียดนามในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักของเวียดนาม กำลังมองหาโอกาสในการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับธุรกิจระดับโลก

“เวียดนามเข้าสู่บทใหม่ด้วยระบบการเมืองที่ได้รับการปฏิรูปและปรับปรุงอย่างพื้นฐาน ชุมชนธุรกิจอเมริกันก็ตั้งตารอที่จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และโอกาสต่างๆ ข้างหน้า” นายเท็ด โอเซียส ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) กล่าว

แหล่งข่าวระบุว่า การหารือครั้งนี้ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแนวทางสนับสนุนบริษัทต่างชาติที่ต้องการขยายธุรกิจในเวียดนาม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทค อิเล็กทรอนิกส์ และการบิน

ก่อนหน้านี้ Apple และบริษัทซัพพลายเออร์ของตนได้ขยายการผลิตมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Meta กำลังมองหาโอกาสทางดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในภูมิภาค ส่วน Boeing ก็ให้ความสนใจในการร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการบิน

นายฝ่ามมิงชิ่ญย้ำถึงความพร้อมของเวียดนามในการสนับสนุนการลงทุนจากสหรัฐฯ และเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลเวียดนามพร้อมให้การสนับสนุนในด้านนโยบาย สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนในระยะยาว

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทชั้นนำระดับโลก

ญี่ปุ่นเผชิญหิมะตกหนักผิดฤดูในโตเกียว อุตุฯ ชี้สภาพอากาศแปรปรวนมาจากหย่อมความกดอากาศต่ำ

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวคิโยโด นิวส์ รายงานว่า เกิดสภาพอากาศที่ผิดปกติในวันนี้ เมื่อหิมะตกลงมาในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูหนาวของกรุงโตเกียว โดยปรากฏการณ์นี้เป็นผลจากหย่อมความกดอากาศต่ำที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ผิดปกติ

กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ประกาศเตือนสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงในวงกว้าง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะและฝนตกหนัก

การตกของหิมะในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากในญี่ปุ่น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น แต่ในวันนี้ พายุที่เกิดขึ้นจากหย่อมความกดอากาศต่ำได้ทำให้กรุงโตเกียวและพื้นที่ใกล้เคียงประสบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ผิดปกติ

ทางกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้แจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบระมัดระวังอันตรายจากการเกิดหิมะตกหนัก การจราจรติดขัด และสภาพถนนที่ลื่นไถล รวมถึงเตือนให้เตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเดือนมีนาคมในญี่ปุ่นถือเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยจะเริ่มตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้อุณหภูมิจะเริ่มอุ่นขึ้น และมีการบานของดอกซากุระ รวมถึงเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top