Sunday, 6 October 2024
WORLD

'อีลอน' เผย!! ผู้ถือหุ้นเทสลาโหวตอนุมัติค่าตอบแทน 2 ลลบ. หลังวางยา 'หากไม่ยอม อนาคตของเทสลาอาจมีความเสี่ยง'

(14 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา โพสต์ลงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.) ว่า ผู้ถือหุ้นเทสลาโหวตเห็นด้วยกับการอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทน 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่นายมัสก์ และโหวตสนับสนุนการย้ายสำนักงานใหญ่จากรัฐเดลาแวร์ไปยังรัฐเท็กซัส โดยนายมัสก์เผยว่าผลการลงคะแนนออกมาอย่างท่วมท้น

“ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนนะทุกคน!!” นายมัสก์โพสต์บนเอ็กซ์

ผลการลงคะแนนจะประกาศในที่ประชุมที่สำนักงานใหญ่ของเทสลาในรัฐเท็กซัส เวลา 16:30 น. ในวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 04.30 น. ของวันศุกร์นี้ ตามเวลาไทย)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ผลการนับคะแนนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า เสียงสนับสนุนมาจากทั้งนักลงทุนสถาบันรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย

ก่อนหน้านี้ บริษัทนายหน้ารายใหญ่อย่าง Glass Lewis กับ Institutional Shareholder Services (ISS) ได้ขอให้ผู้ถือหุ้นลงคะแนนเสียงคัดค้านแพ็กเกจค่าตอบแทนของนายมัสก์ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ ก็ได้ประกาศว่าจะโหวตคัดค้านด้วย

นอกจากเรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทนกับเรื่องย้ายสำนักงานใหญ่แล้ว ผู้ถือหุ้นเทสลายังโหวตเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น การเลือกตั้งกรรมการบริษัทสองคนใหม่ ได้แก่ นายคิมบาล มัสก์ ผู้เป็นน้องชายของนายอีลอน และนายเจมส์ เมอร์ด็อก

ด้านนายเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส โพสต์แสดงความยินดีกับนายมัสก์บนเอ็กซ์ว่า “ยินดีต้อนรับสู่รัฐที่ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล”

ทั้งนี้ เทสลาได้รณรงค์อย่างหนักเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลให้แก่นายมัสก์ โดยระบุในเว็บไซต์การประชุมประจำปีของบริษัทว่า “มูลค่าในอนาคตที่เรามีไว้ให้คุณนั้นกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เราต้องการคะแนนเสียงของคุณตอนนี้เพื่อปกป้องเทสลาและเงินลงทุนของคุณ”

นอกจากนี้ เทสลายังจัดกิจกรรมสุ่มเลือกผู้ถือหุ้น 15 คนที่ลงคะแนนเสียง ให้ไปทัวร์โรงงานเทสลาที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยมีนายมัสก์และนักออกแบบรถยนต์ ฟรองซ์ ฟอน โฮลซ์เฮาเซน เป็นผู้นำทัวร์ด้วยตนเอง

เมื่อเดือนมี.ค. 2561 ผู้ถือหุ้นเทสลาส่วนใหญ่โหวตสนับสนุนแพ็กเกจค่าตอบแทนสำหรับนายมัสก์ แต่ในเดือนม.ค.ของปีนี้ ศาลรัฐเดลาแวร์ตัดสินให้แพ็กเกจดังกล่าวเป็นโมฆะ ต่อมาในเดือนเม.ย. เทสลาได้รื้อฟื้นแพ็กเกจดังกล่าวอีกครั้ง โดยนางโรบิน เดนโฮล์ม ประธานบอร์ดฯ ได้ขอร้องให้นักลงทุน “ช่วยกันแก้ปัญหานี้”

วิเคราะห์!! โอกาสจีนผลิตไมโครชิพได้เองตามเป้าหมายภายใน 6 ปี มีสูง อาจทำหุ้นไมโครชิพยักษ์ใหญ่ของโลกวูบ หากซัพพลายในตลาดล้น

(14 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ศึกไมโครชิพ' ความว่า...

สำนักข่าว Global Times ของรัฐบาลจีน รายงานตัวเลขการผลิตและการนำเข้าไมโครชิพของจีน ระหว่างปี ค.ศ.2020 ถึง 2023

ในขณะที่การนำเข้ามีแนวโน้มลดลง สวนทางกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการควํ่าบาตรของชาติตะวันตกที่กีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยการปฏิเสธไม่จำหน่ายไมโครชิพรุ่นใหม่ ๆ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับผลิตไมโครชิพให้กับจีน...จีนกลับสามารถผลิตไมโครชิพเองได้เพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนผลิตไมโครชิพเพิ่มจากไตรมาสแรกของปีที่แล้วถึง 40% เป็น 98.1 พันล้านชิ้น

จีนมีเป้าหมายว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไมโครชิพและสามารถวิจัยพัฒนาและผลิตไมโครชิพรุ่นใหม่ๆเองได้จนสามารถยกเลิกการนําเข้าทั้งหมดภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า

ใครมีหุ้น TSMC, Nvidia, Samsung, Qualcomm, Intel อยู่ อย่าถือเพลินจนลืมขายทำกำไรละกัน เพราะถ้าจีนทำได้ตามเป้าหมายใน 6 ปี หุ้นที่ว่าน่าจะราคาหายไปเยอะเลย เพราะไม่รู้ว่าผลิตขึ้นมามากๆแล้วจะไปขายให้ใคร

'จีน' ขีดเส้นตาย 'แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ความยากจน' ด้วยการศึกษา ปักธงปี 2050 คนจีนกว่า 70% ต้องจบการศึกษาระดับปริญญา

(14 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Trin Voonklinhom' ของนายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมการค้าดิจิทัลไทยและเคยทำงานในมูลนิธิแจ๊คหม่า อาลีบาบา ได้โพสต์ 'ข้อมูลที่น่าสนใจของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนปี 2024 (เกาเข่า)' ระบุว่า...

>> ผู้สอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จำนวนกว่า 13,538,900 คน เนื่องจากผลการแก้ปัญหาความยากจน และรัฐบาลพยายามผลักดันการหารายได้เข้าประเทศด้วยการส่งออก ส่วนเป้าหมายปี 2050 คือ เส้นตายการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา โดยต้องการให้คนจีนกว่า 70% จบการศึกษาระดับปริญญา

>> มีนักเรียน ม.6 ที่ยอมลงเรียนซ้ำเพื่อเข้าสอบใหม่มากที่สุดกว่า 4.2 ล้านคน

>> มหาวิทยาลัยของจีนสามารถรองรับนักศึกษาได้เพียง 4.5 ล้านคน (อีกกว่า 9 ล้านคนต้องไปหามหาวิทยาลัยนอกประเทศเรียน) 

>> นักเรียนช่วงปี 2021-2023 ที่ผ่านมามีสถิติการไม่สำเร็จการศึกษาสูงถึง 66% ซึ่งส่วนมากมาจากปัญหาค่าใช้จ่ายระหว่างการศึกษา

>> คะแนนสอบเต็ม 750 คะแนน เมื่อคุณสอบเข้าได้ในลำดับที่ 1-1,000 จะได้เอกสารใบสมัครงานจากบริษัทชั้นนำในจีน หลังจากวันรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยไม่เกิน 30 วัน โดยมีกรอบ เงินเดือนดังนี้...

>> สอบได้ 680 คะแนนขึ้นไป (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 50,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือ ชิงหัว

>> สอบได้ 620 คะแนนขึ้นไป (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 30,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยโครงการ '985' (มีอยู่ 39 มหาวิทยาลัย)

>> สอบได้ 580-620 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 20,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยโครงการ '211' (มีอยู่ 115 มหาวิทยาลัย)

>> สอบได้ 550-580 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 10,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 1

>> สอบได้ 500-550 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 8,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 2 (ระดับ 1)

>> สอบได้ 450-500 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 6,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 3 (ระดับ 2)

>> สอบได้ 400-450 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 4,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน

>> สอบได้ต่ำกว่า 400 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 3,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มวิทยาลัยอาชีวะ หรือ วิทยาลัยวิชาช่าง

>> สอบได้ ต่ำกว่า 300 คะแนน 'รอสอบใหม่'

>> ปีนี้คนที่สอบไดัที่ 1 ของประเทศ ชื่อ 'เหยียน อวี้เฉิน' เลือกเรียน 'การแสดงละครและภาพยนตร์' ที่ 'สถาบันการละครเซี่ยงไฮ้' (หน้าตาดีมากกกกกกก และฉลาดมากกกก)

‼️เกิดที่ ซานตง วันที่ 20 พ.ค. 2547 สูง 186 หนัก 68‼️

‘นักชก กุน ขแมร์’ โพสต์ภาพชูกำปั้นใส่รูป ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ ลั่น!! “ถึงเวลาวัดฝีมือกัน แต่มีบางคนไม่อยากให้เราได้เจอกัน”

กลายเป็นดรามาระหว่าง ‘มวยไทย VS กุน ขแมร์’ อีกครั้งหลังจากที่ ‘เบิร์ด ซงเครม’ นักมวยเขมร ได้ออกมาท้าทาย ‘ดิไอรอนแมน’ รถถัง จิตรเมืองนนท์ นักชกขวัญใจคนไทย แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต

งานนี้ทำเอาแฟนมวยชาวกัมพูชาให้ความสนใจทันที หลังจากที่ นักชกของพวกเขาโพสต์ภาพกำหมัดใส่รูปของ รถถัง จิตรเมืองนนท์ พร้อมด้วยแคปชัน "สักวัน" และอีกภาพมีข้อความว่า "อยากเจอมึงวะถัง"

จากนั้นเจ้าตัวก็มีการอัดคลิปแสดงความต้องการที่จะเจอกับยอดมวยไทยพร้อมแคปชันว่า "ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะได้วัดฝีมือกับ รถถัง บนเวที แต่มีบางคนไม่อยากให้เราทั้งคู่ได้เจอกัน"

งานนี้แฟนมวยเขมร ออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่า กุน ขแมร์ ของพวกเขาโดนประเมินค่าต่ำเกินไป จริง ๆ แล้วศิลปะการต่อสู้ของสองชาติไม่ได้ห่างกันมากนัก และมีโอกาสที่ เบิร์ด ซงเครม จะสามารถเอาชนะรถถังได้

สำหรับ เบิร์ด ซงเครม หรือชื่อจริงว่า ทอช รัชฮาน มีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองคิกบ็อกซิ่ง ซีเกมส์ 2 สมัย ปี 2021 กับ 2023 ก่อนที่จะผันตัวมาชกกุน ขแมร์ ในทุกวันนี้

ขณะที่ รถถัง จิตรเมืองนนท์ ถือเป็นยอดมวยเงินล้าน ด้วยลีลาการชกที่ดุดันเดินแลกแบบเดือด ๆ นอกจากนี้เจ้าตัวยังถือเป็นมวยเอนเตอร์เทนต์เบอร์ต้น ๆ ของประเทศ ทำให้ครองใจแฟนกำปั้นชาวไทยเป็นอย่างมาก และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

‘ยูนิเซฟ’ เผยวิกฤตของ ‘เด็กเล็ก’ เกือบ 400 ล้านคนทั่วโลก ต้องเผชิญความรุนแรงทาง ‘ร่างกาย-วาจา’ ในครอบครัว

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประมาณการใหม่จากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ (UNICEF) ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (11 มิ.ย.) เนื่องในโอกาสการฉลองวันแห่งการเล่นสากล (International Day of Play) ครั้งแรก เปิดเผยว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เกือบ 400 ล้านคน หรือร้อยละ 60 ของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก ต้องทนเผชิญความรุนแรงทางจิตใจหรือการลงโทษทางร่างกายจากที่บ้านเป็นประจำ โดยในจำนวนนี้มีเด็กราว 330 ล้านคนถูกลงโทษด้วยวิธีทางร่างกาย

ด้าน แคทเธอรีน รัสเซลล์ คณะกรรมการผู้บริหารของยูนิเซฟ กล่าวว่า เมื่อเด็กเผชิญความรุนแรงทางร่างกายหรือทางวาจาจากที่บ้าน หรือเมื่อไม่ได้รับการดูแลทางสังคมและทางอารมณ์จากบุคคลอันเป็นที่รัก การกระทำเหล่านี้เป็นบ่อนทำลายความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองและพัฒนาการของพวกเขาได้ พร้อมเสริมว่าการเอาใจใส่และการเลี้ยงดูอย่างสนุกสนานสามารถสร้างความสุขและยังช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกปลอดภัย ได้เรียนรู้ สร้างทักษะ และสำรวจโลกรอบ ๆ ตัวของพวกเขา

รายงานระบุว่า บรรทัดฐานทางสังคมอันตรายที่สนับสนุนวิธีการเลี้ยงดูบุตรโดยใช้ความรุนแรงยังคงมีอยู่ทั่วโลก โดยพบว่าแม่และผู้ดูแลหลักมากกว่า 1 ใน 4 มองว่าการลงโทษทางร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเลี้ยงดูและสั่งสอนเด็กอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มความพยายามและการลงทุนด้านการคุ้มครอง โดยการเสริมสร้างกรอบกฎหมายและนโยบายที่ยับยั้งและยุติความรุนแรงที่บ้านที่มีต่อเด็กทุกรูปแบบผ่านการขยายโครงการการเลี้ยงดูแบบอิงหลักฐานที่ส่งเสริมแนวทางเชิงบวก สนุกสนาน และป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ตลอดจนการเรียนรู้อย่างคุ้มค่าผ่านการขยายการเข้าถึงพื้นที่การเรียนรู้และการเล่นให้กับเด็ก ๆ เพื่อรับรองว่าเด็กทุกคนสามารถเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกว่าตนเป็นที่รัก

'จีน' เรียกร้อง 'สหภาพยุโรป' ทบทวนแผนรีดภาษีรถ EV นำเข้าจากจีน เตือน!! อย่าหลงเดินทางผิด เพียงเพื่อปกป้องอุตฯ ยานยนต์ของตัวเอง

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 67 รัฐบาลจีนเรียกร้องให้สหภาพยุโรปทบทวนแผนรีดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน และ ‘อย่าหลงเดินทางผิด’ เพียงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของตัวเอง หลังจากที่อียูได้ประกาศมาตรการขึ้นภาษีรถอีวีจีนสูงสุดในอัตรา 38.1% โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป

จีนยังขู่จะใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ประกาศแผนขึ้นภาษีดังกล่าว

“เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างและขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โตแล้ว หากจีนและอียูสามารถร่วมมือกันในประเด็นการค้าและเศรษฐกิจได้ก็จะเป็นการดีที่สุด” บทความแสดงความคิดเห็นของสำนักข่าวซินหวา ระบุ

“อียูเองก็จะมีความคุ้มทุน (cost-effective) มากขึ้น หากอาศัยข้อได้เปรียบของจีนเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมรถอีวีของตนเอง”

ไม่ถึง 1 เดือนหลังจากที่สหรัฐฯ ขยับอัตราภาษีรถอีวีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัวเป็น 100% บรัสเซลส์ก็กระโดดร่วมวงต่อสู้นโยบายอุดหนุนของปักกิ่งโดยเตรียมที่จะขึ้นภาษีในอัตราตั้งแต่ 17.4% สำหรับรถยนต์ BYD และสูงสุด 38.1% สำหรับรถยนต์ SAIC นอกเหนือไปจากภาษีนำเข้ามาตรฐาน 10% ที่ใช้อยู่แล้ว และนั่นทำให้อัตราภาษีสูงสุดที่เรียกเก็บพุ่งขึ้นไปเกือบถึง 50% ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของอียูแทบไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบรรดาค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีน เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว โดยราคาหุ้น BYD ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงขยับพุ่งขึ้นกว่า 7% ในการซื้อขายช่วงเช้า ส่วนที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นก็ขยับขึ้น 4.5%

“อัตราภาษีที่อียูประกาศออกจะให้ผลในเชิงบวกกับ BYD ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับที่เราคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะสูงถึง 30% และนั่นทำให้ภาพรวมการส่งออกของ BYD ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น” 

รายงานของ Citi ระบุ ราคาหุ้น Geely Auto ขยับพุ่ง 2.5% และ Xpeng เพิ่มกว่า 2% เช่นเดียวกับหุ้นของ Nio ที่ปรับเพิ่ม 3.5% ขณะที่ราคาหุ้น SAIC Motor ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ปรับตัวลดลง 1%

ในทางกลับกัน ราคาหุ้นค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของยุโรปซึ่งมีจีนเป็นตลาดใหญ่กลับดิ่งลง (12 มิ.ย.) สืบเนื่องจากความกังวลว่าจีนอาจจะใช้มาตรการแก้แค้น

แม้ว่าค่ายรถยุโรปจะต้องเผชิญความท้าทายจากรถอีวีราคาถูกสัญชาติจีนที่หลั่งไหลเข้าสู่ภูมิภาค ทว่ามาตรการรีดภาษีของ EU กลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากอุตสาหกรรมรถยนต์สักเท่าไหร่

บรรดาค่ายรถเยอรมนีนั้นต้องพึ่งยอดขายในจีนมากเป็นพิเศษ และเกรงว่าจะถูกปักกิ่งเล่นงานแก้แค้น ขณะที่ค่ายรถยุโรปหลาย ๆ เจ้าก็นำเข้ารถยนต์ของตัวเองที่ผลิตในจีนเช่นกัน

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เคยออกมาแถลงย้ำหลายครั้งว่ายุโรปจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้จีนส่งรถอีวีที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐเข้ามาท่วมตลาดยานยนต์ยุโรป

'เยอรมนี' วางแผนจะนำรูปแบบการเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ใหม่ ภายใต้แรงกดดันจากกรณีสงคราม 'ยูเครน-รัสเซีย'

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 67) บอริส พิสโทริอุส รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี เข้าร่วมแถลงข่าวเรื่องการปฏิรูปการรับราชการทหารในเยอรมนี โดยระบุว่า เยอรมนีกำลังวางแผนปรับรูปแบบการรับราชการทหารใหม่ เนื่องจากประเทศต้องการปรับปรุงกองทัพภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

บอริส พิสโทริอุส แสดงความต้องการฟื้นฟูการขึ้นทะเบียนของผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับราชการทหารซึ่งเคยถูกระงับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้วสำหรับรูปแบบการเกณฑ์ทหารใหม่ นอกจากนี้นักการเมืองสังกัดพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD) ยังใช้มาตรการบังคับให้ชายหนุ่มแจ้งข้อมูลในแบบสอบถามเกี่ยวกับความเต็มใจและความสามารถในการรับใช้ราชการทหารของพวกเขาด้วย

ข้อเสนอของนักการเมืองพรรค SPD ถือเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นไปได้ในการนำมาตรการรับราชการทหารภาคบังคับกลับมาใช้ใหม่ ขณะเดียวกันพิสโทริอุสต้องการดำเนินการตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริงในช่วงระยะเวลาของกฎหมายนี้จากข้อมูลของสื่อเยอรมัน แผนการของพิสโทริอุสจำเป็นต้องมีการขยายกรอบกฎหมายการเกณฑ์ทหารสำหรับชายหนุ่ม

นักวางแผนทางทหารประเมินว่า ในแต่ละปีจะต้องมีคน 400,000 คนกรอกแบบสอบถาม และคาดการณ์ว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนนั้นอาจแสดงความสนใจ โดยมีแผนจะสั่งผู้สมัคร 40,000 คนเพื่อทำการทดสอบ ขณะนี้ทางกองทัพมีความสามารถในการฝึกอบรมทหารเกณฑ์ได้ 5,000-7,000 คน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และการฝึกอบรมจะใช้เวลาหกหรือสิบสองเดือน

บอริส พิสโทริอุส รายงานข้อเสนอเกี่ยวกับแผนการของเขาให้คณะกรรมการรัฐสภากลาโหมทราบในเช้าวันพุธ (12 มิ.ย.) และในช่วงบ่ายเขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการคัดค้านอย่างชัดเจนต่อแผนการรื้อฟื้นการรับราชการทหารภาคบังคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางส่วนของพรรค SPD เอง ‘ลาร์ส คลิงไบล์’ หัวหน้าพรรค SPD กล่าวยืนยันว่าเขายังสนับสนุนการสรรหาบุคลากรทางทหารโดยสมัครใจต่อไป 

“ผมคิดว่าแนวทางการสรรหาด้วยความสมัครใจจะทำให้บุนเดสแวร์ (กองทัพเยอรมัน) น่าดึงดูดใจมากกว่า” 

ส่วน ‘โอมิด นูริปูร์’ หัวหน้าพรรคกรีน กล่าวอย่างชัดเจนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วว่า “ผมไม่เชื่อว่าเราจำเป็นต้องมีการเกณฑ์ทหาร” นอกจากนี้ยังมีเสียงคัดค้านการคัดเลือกกำลังพลภาคบังคับจากพรรคเสรีประชาธิปไตยเยอรมนี (FDP) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ตามแบบจำลองของพิสโทริอุส ทุกคนจะต้องตอบแบบสอบถามและเข้ารับการทดสอบเมื่อถูกเรียกตัว มีรายงานว่าเขาเห็นชอบที่จะเปิดทางสำหรับการรับราชการทหารภาคบังคับ แม้ในยามสงบ หากไม่สามารถสรรหาทหารเกณฑ์ได้เพียงพอ

การรับราชการทหารภาคบังคับในเยอรมนีเคยถูกระงับไปเมื่อปี 2011 ภายใต้รัฐมนตรีกลาโหม ‘คาร์ล-เทโอดอร์ ซู กุตเทนแบร์ก’ (สังกัดพรรค CSU ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในขณะนั้น) ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และทำให้โครงสร้างการรับราชการทหารภาคบังคับเกือบทั้งหมดสลายไปด้วย

แม้จะขาดแคลนกำลังพล แต่ในปีที่แล้วบุนเดสแวร์ก็ลดจำนวนทหารลงเหลือ 181,500 นาย บอริส พิสโทริอุสจึงรื้อฟื้นแบบจำลองการรับราชการทหารภาคบังคับมาตรวจสอบอีกครั้ง ภายใต้แรงกดดันจากสงครามรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน เขาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนในกระทู้ของรัฐบาลว่า เขาไม่หวังจะพึ่งพาความสมัครใจเพียงอย่างเดียว

'ชาวมาเลเซีย' โอด!! 'เบนซิน-ดีเซล' เตรียมขึ้นราคาแบบไร้ปรานี คาด!! ต้องใช้ SPR เป็นคำตอบสุดท้าย แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันพุ่ง

ตั้งแต่จันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียได้ตัดสินใจลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลอยตัวเป็นอัตราตลาดที่ 3.35 ริงกิต (26.50 บาท) ต่อลิตร จากราคาเดิม 2.15 ริงกิต (17 บาท) ต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 55 

ในวันที่ 9 มิถุนายน รัฐบาลมาเลเซียได้การประกาศเหตุผลในการตัดสินใจลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล โดย ‘ดาโต๊ะ เสรี อามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “มาเลเซียจะไม่ยอมสูญเสียเงินปีละหลายพันล้านริงกิตจากการลักลอบขายน้ำมันออกนอกประเทศต่อไปอีก และจะเป็นการดีกว่าถ้าเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวมาเลเซียและเพื่อการพัฒนาประเทศมาเลเซียของเรา”

โดยวันที่ 24 พฤษภาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้นี้กล่าวว่าการอุดหนุนน้ำมันดีเซลทำให้ประเทศต้องเสียเงินกว่า 1 พันล้านริงกิต (7.9 พันล้านบาท) ต่อเดือน ในขณะที่ความสูญเสียจากการรั่วไหลจากการลักลอบส่งออกอยู่ที่ราววันละ 4.5 ล้านริงกิต ในปี 2023 มีการใช้เงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลถึง 1.45 หมื่นล้านริงกิต (1.15แสนล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียคาดว่าจะสามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ประมาณปีละ 4 พันล้านริงกิต

สำหรับมาตรการช่วยเหลือโดยกระทรวงการคลังจะแจกเงินสด 200 ริงกิต สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนเกษตรกร ขณะเดียวกันยังคงให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ค้าที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ที่ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งประกอบด้วยรถขนส่งสาธารณะ 10 ประเภท และรถขนส่งสินค้า 23 ประเภท ธุรกิจเหล่านี้รวมถึงผู้ให้บริการรถโดยสารและรถแท็กซี่ภายใต้ระบบควบคุมดีเซลแบบอุดหนุน (the Subsidised Diesel Control System) : SKDS 1.0 และ SKDS 2.0

ภายใต้ SKDS 2.0 ผู้ใช้ยานพาหนะเพื่อการขนส่งที่มีสิทธิ์ได้รับบัตรฟลีทการ์ด ซึ่งเป็นบัตรสำหรับน้ำมันดีเซลที่ได้รับการอุดหนุนเพื่อใช้ที่ปั๊มน้ำมัน แทนที่จะจ่ายเงินสดหรือใช้บัตรเครดิต/เดบิต และต้องจ่าย 2.15 ริงกิตมาเลเซีย (17 บาท)ต่อลิตร ในขณะที่ SKDS 1.0 ซึ่งมุ่งเป้าไปที่รถโรงเรียน, รถด่วน, รถพยาบาล และรถดับเพลิง มีราคาต่ำกว่าอยู่ที่ 1.88 ริงกิต (14.85 บาท) ต่อลิตร และมาตรการต่อไปคือการเลิกอุดหนุนน้ำเบนซิน (RON95) ซึ่งราคาอยู่ที่ 2.05 ริงกิต (15.97 บาท) ต่อลิตร เทียบกับน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศไทยที่ราคาลิตรละ 37.35 บาท

แต่ราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงยังคงอยู่ที่ 1.65 ริงกิต (13 บาท) ต่อลิตร และราคาน้ำมันดีเซลในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักยังคงอยู่ที่ 2.15 ริงกิต (17 บาท) ต่อลิตร เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ที่นั่นใช้น้ำมันดีเซล ไม่เหมือนในฝั่งที่เป็นคาบสมุทรมาเลเซีย ด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล จึงทำให้มีการลักลอบส่งน้ำมันออกเป็นจำนวนมาก ทั้งด้านไทย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยรัฐบาลมาเลเซียใช้งบในการอุดหนุนราคาน้ำมันปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ในขณะที่ไทยเราใช้เงินจากกองทุนน้ำมันในการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเงินที่คิดจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินไปอุดหนุนราคาน้ำมันเช่นเดียวกับที่รัฐบาลมาเลเซียเคยปฏิบัติมาจนพึ่งจะมายกเลิก

กองทุนน้ำมันจะมีเงินกองทุนมากหรือน้อยหรือติดลบนั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูงขึ้น เงินกองทุนน้ำมันก็จะถูกใช้เพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันไม่ให้สูงขึ้นตามไปด้วย 

ปัจจุบันกองทุนน้ำมันถูกใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลโดยเก็บจากน้ำมันเบนซิน เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูง จึงต้องชดเชยราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG ด้วยเป็นน้ำมันและก๊าซเชื้อเพลิงเศรษฐกิจ หากไม่ได้รับการอุดหนุนก็จะมีราคาแพงส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ และเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงกองทุนน้ำมันก็จะไม่มีภาระที่จะต้องอุดหนุนชดเชย เงินที่ถูกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้หลาย ๆ ประเทศในอาเซียนต่างก็พยายามที่จะยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งกองทุนน้ำมันเพื่อทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้กระทบต่อเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อนำไปใช้ในกิจการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแทน

แต่การใช้กองทุนน้ำมันจะสามารถแก้ปัญหาได้ในเวลาที่จำกัด หากปัญหาที่เกิดขึ้นต้องยืดเยื้อต่อเนื่องยาวนานเกินไป กองทุนน้ำมันก็จะตกอยู่ในสภาพต้องจ่ายเงินออกเรื่อย ๆ จนต้องติดลบมหาศาลเช่นที่ไทยเราเป็นอยู่ในขณะนี้ 

แต่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบ SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ เพื่อเข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่กองทุนน้ำมันมากขึ้น ด้วยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศจนเพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศได้ถึง 50-90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ 

เพราะที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิงมีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เพื่อแก้ไขปัญหา แต่ความเป็นจริงแล้วในยามเกิดวิกฤตน้ำมัน ‘เงิน’ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา เพราะต้องใช้ ‘เงิน’ มากขึ้นในการซื้อน้ำมัน หรือบางสถานการณ์แม้จะมี ‘เงิน’ แต่อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง หรือซื้อแล้วก็ไม่สามารถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมายังประเทศไทยได้ 

ดังนั้นการมีระบบ SPR ด้วยการถือครอง ‘น้ำเชื้อเพลิงสำรอง’ โดยรัฐที่มากพอสำหรับการใช้งาน 50-90 วัน ซึ่งนานพอจนกระทั่งวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงได้เบาคลายลดลงต่างหากจึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

‘ศาล’ ตัดสิน!! ‘ลูกชายโจ ไบเดน’ ทำผิดทางอาญา โทษจำคุกสูงสุด 25 ปี ฐานปลอมข้อมูลเพื่อซื้อปืน

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายวัย 54 ปี ของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาทั้ง 3 ข้อหา สืบเนื่องจากการปลอมแปลงเอกสารทางราชการว่าเขาไม่ได้เสพสารเสพติด เพื่อซื้อปืนลูกโม่เมื่อปี 2561 แต่อย่างใด โดยความผิดทางอาญานี้มีโทษฐานจำคุกสูงสุด 25 ปี แต่เขาไม่น่าที่จะได้รับโทษสูงสุดเพราะถือเป็นความผิดครั้งแรก และยังไม่ชัดเจนว่าผู้พิพากษาจะตัดสินให้เขาต้องเข้าคุกด้วยหรือไม่

ด้านประธานาธิบดีไบเดนได้ออกแถลงการณ์หลังจากที่ศาลได้ตัดสินว่าลูกชายของเขามีความผิดจริงว่า เขาเคารพกระบวนการพิพากษาของประเทศและฮันเตอร์กำลังเตรียมการที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อไป กระบวนการตัดสินของศาลนั้นเสร็จสมบูรณ์ ขณะที่ไบเดนเตรียมกล่าวถ้อยแถลงในเรื่องการลดความรุนแรงจากการใช้ปืน และการยกเลิกข้อกฎหมายว่าด้วยการครอบครองปืนที่ Gun Safety Action Fund องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในรัฐวอชิงตัน ซึ่งนายไบเดนปฏิเสธการกล่าวถึงลูกชายของเขาระหว่างการกล่าวถ้อยแถลงในงานนี้

อย่างไรก็ดี ไบเดนได้เจอกับบุตรชายเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังคำตัดสิน เมื่อเครื่องบินของเขาลงจอดที่วิลมิงตัน ซึ่งเขาได้เข้าไปโอบกอดฮันเตอร์ทันที โดยไบเดนจะใช้เวลาร่วมกับครอบครัวก่อนที่จะออกเดินทางไปร่วมประชุมกับผู้นำจี 7 ที่อิตาลี ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ตลอดเวลาในการพิจารณาคดี นางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐก็อยู่เคียงข้างฮันเตอร์ตลอดเวลา และยังจับมือของเขาเดินออกจากศาลหลังรับฟังคำพิพากษาด้วย

นอกจากคดีนี้แล้ว นายฮันเตอร์ยังต้องขึ้นศาลที่รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อต่อสู้กับข้อหาการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายนด้วย

ทั้งนี้ นายเดวิด ไวส์ ซึ่งนอกจากจะเป็นอัยการในคดีนี้ ซึ่งถูกเสนอชื่อในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์โดนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ กล่าวว่าคำตัดสินของศาลในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครที่อยู่เหนือกฎหมาย

‘เกาหลีใต้’ เผชิญแผ่นดินไหว 4.8 แมกนิจูด ครั้งหนักสุดของปีนี้ ภาครัฐฯ ส่งข้อความเตือน ปชช. หวั่นเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อเวลา 08.26 น. เกิดแผ่นดินไหวบริเวณพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดช็อลลาเหนือ ของเกาหลีใต้ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 4.8 แมกนิจูดตามมาตราริกเตอร์ ความลึก 8 กิโลเมตร ทั้งนี้ ถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้

หลังเกิดเหตุได้มีการส่งข้อความสั้นเตือนภัยแผ่นดินไหวไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบเหตุระมัดระวังความเป็นไปได้ที่อาจมีวัตถุสิ่งของตกใส่และอาฟเตอร์ช็อกที่อาจเกิดตามมา

ขณะที่นายฮัน ด็อกซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ สั่งการให้รัฐบาลดำเนินมาตรการทั้งหมดเพื่อตอบสนองเหตุแผ่นดินไหว ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่ายังเกิดเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนขึ้นที่เมืองเซจง แดจอน และชอนันด้วย

ยาง ซอยอน ที่อาศัยอยู่ในเขตบูอัน เปิดเผยว่า ตนได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคำรามราวกับกำลังอยู่ในไซต์ก่อสร้างตอนที่ตนกำลังจะออกไปทำงานก่อนที่บ้านจะเริ่มสั่นไหว

'นักวิจัย' ตรวจพบ ‘น้ำค้างแข็งปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่' บนดาวอังคาร แถมเจอน้ำได้เกือบทุกที่บนพื้นผิว สะท้อนวิวัฒนาการของดาวดวงนี้

(12 มิ.ย. 67) นักวิจัยรายงานการค้นพบใหม่ พบปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งที่ปากปล่องภูเขาไฟบนดาวอังคาร และเป็นน้ำค้างแข็งที่เกิดจากน้ำด้วย

‘โอลิมปัสมอนส์’ (Olympus Mons) คือชื่อของภูเขาไฟที่สูงที่สุดบนดาวอังคาร รวมถึงสูงที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ด้วยความสูงถึง 26 กิโลเมตร หรือกว่า 3 เท่าของยอดเขาเอเวอเรสต์ และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 602 กิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร

แต่นอกจากความยิ่งใหญ่แล้ว ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า มันมีปรากฏการณ์ที่พวกเขาไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่ภูเขาไฟโอลิมปัสมอนส์นี้ด้วย นั่นคือ ‘น้ำค้างแข็งปากปล่องภูเขาไฟ’
ภูเขาไฟบนดาวอังคารมักเต็มไปด้วยแอ่งรูปชามขนาดยักษ์ (สามารถกว้างได้ถึงกว่า 120 กิโลเมตร) ที่เกิดจากการพังทลายของยอดภูเขาไฟหลังจากการปะทุครั้งใหญ่

ขนาดที่ใหญ่นั้นทำให้เกิดภูมิอากาศจุลภาค (Microclimate) ที่พิเศษภายในปากปล่องภูเขาไฟ โดยนักวิจัยได้ใช้กล้องที่ติดตั้งบนยานสำรวจที่โคจรรอบดาวอังคาร และสังเกตเห็นน้ำค้างแข็งก่อตัวขึ้นในปล่องภูเขาไฟ นับเป็นครั้งแรกที่มีการพบปรากฏการณ์นี้

อโดมัส วาลันตินัส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ ผู้ค้นพบปรากฏการณ์นี้ขณะศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติที่จะพบคราบตะกอนก่อตัวขึ้นบนปล่องภูเขาไฟ แต่เราเห็นน้ำค้างแข็งเล็กน้อยบนขอบของมันด้วย นอกจากนี้เรายังยืนยันว่ามันเป็นน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำ'

เขาเสริมว่า “มันสำคัญ เพราะมันแสดงให้เราเห็นว่า ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่มีพลวัต และยังสามารถพบน้ำได้เกือบทุกที่บนพื้นผิวดาวอังคาร”

ทีมนักวิจัยพบน้ำค้างแข็งในภูเขาไฟ 4 ลูก ได้แก่ โอลิมปัสมอนส์, อาร์เซียมอนส์ (Arsia Mons), อัสเครอุสมอนส์ (Ascraeus Mons) และเซราอูเนียส โทลุส (Ceraunius Tholus)
วาลันตินัสระบุว่า น้ำค้างแข็งที่พบมีความบางมาก โดยหนาเพียง 0.01 มิลลิเมตร หรือ 1 ใน 6 ของเส้นผมมนุษย์เท่านั้น แต่มันกระจายไปทั่วพื้นที่ผิวขนาดใหญ่จนมีปริมาณน้ำมาก “จากการประมาณการคร่าว ๆ มีน้ำแข็งอยู่ประมาณ 150,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิก 60 สระ”

เพื่อศึกษาการก่อตัวของน้ำค้างแข็งนี้ ทีมวิจัยได้ดูภาพประมาณ 5,000 ภาพที่ถ่ายโดย CaSSIS บนยานสำรวจ ExoMars Trace Gas Orbiter ซึ่งเป็นระบบถ่ายภาพสีและพื้นผิวดาวเคราะห์ของมหาวิทยาลัยเบิร์น เป็นกล้องความละเอียดสูงที่ถ่ายภาพดาวอังคารมาตั้งแต่ปี 2018
'นี่เป็นการค้นพบครั้งแรกที่มาจาก CaSSIS ซึ่งค่อนข้างน่าตื่นเต้น” วาลันตินัสกล่าว
ทีมวิจัยยังตรวจสอบการสังเกตการณ์ด้วยเครื่องมืออีก 2 ชิ้น ได้แก่ NOMAD ซึ่งเป็นสเปกโตรมิเตอร์บนยานอวกาศ Trace Gas Orbiter และ HRSC หรือกล้องสเตอริโอความละเอียดสูง ซึ่งเป็นกล้องรุ่นเก่าบนยานอวกาศ ESA Mars Express

วาลันตินัสกล่าวว่า การค้นพบนี้เป็นความบังเอิญ เพราะเดิมทีเขากำลังมองหาน้ำค้างแข็งที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ไม่พบ และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบ จะกลับไปพบน้ำค้างแข็งที่เกิดจากน้ำแทน

อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่มนุษย์อวกาศบนดาวอังคารจะสามารถเก็บเกี่ยวน้ำค้างแข็งมาใช้เป็นน้ำสำหรับดำรงชีพได้ “มันคงจะค่อนข้างยาก เพราะถึงแม้มันจะเป็นน้ำค้างแข็งขนาดใหญ่ แต่มันก็บางมากและอยู่เพียงชั่วคราว ซึ่งหมายความว่ามันจะอยู่ที่นั่นเฉพาะช่วงกลางคืนและเช้าตรู่เท่านั้น จากนั้นมันก็จะระเหยกลับไปสู่ชั้นบรรยากาศ”

เขาเสริมว่า ภูเขาไฟทั้ง 4 ลูกที่พบน้ำค้างแข็งตั้งอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อบอุ่นที่สุด ทำให้การค้นพบน้ำเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ

“ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ทะเลทราย แต่มีน้ำแข็งอยู่ที่ขั้วโลก และมีน้ำแข็งอยู่ในละติจูดกลาง ตอนนี้ เรายังมีน้ำค้างแข็งในบริเวณเส้นศูนย์สูตรด้วย และโดยทั่วไปบริเวณเส้นศูนย์สูตรนั้นค่อนข้างแห้ง ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างคาดไม่ถึง” วาเลนตินัสกล่าว

เขากล่าวเสริมว่า ในอดีต เมื่อดาวอังคารยังมีชั้นบรรยากาศที่หนาและมีสภาพอากาศแตกต่างออกไป อาจมีธารน้ำแข็งบนภูเขาไฟเหล่านี้

ขณะนี้ ทีมวิจัยกำลังขยายการค้นหาน้ำค้างแข็งไปยังภูเขาไฟอื่นอีกหลายสิบลูกบนดาวอังคาร

‘ทอรัส’ หุ่นยนต์ฝีมือจีน ‘ฝังสายเคเบิลก้นทะเล’ สำเร็จครั้งแรก หนุนการปฏิบัติงานของมนุษย์ ภายใต้สภาพแวดล้อมอันซับซ้อน

(12 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หุ่นยนต์ที่พัฒนาโดยจีนทำการฝังสายเคเบิลก้นทะเลของโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของความพยายามกระตุ้นการพัฒนาหุ่นยนต์ใต้ทะเลลึกและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานลม

ด้าน ซีลเลียน กว่างโจว เทคโนโลยี (Sealien Guangzhou Technology) ระบุว่า ‘ทอรัส’ (Taurus) หุ่นยนต์ลากฝังสายเคเบิลและท่อก้นทะเล ได้วางสายเคเบิลที่นอกชายฝั่งเมืองจ้านเจียง มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม

หุ่นยนต์ทอรัสที่ควบคุมจากระยะไกลนี้จะเกื้อหนุนการก่อสร้างฟาร์มพลังงานลมนอกชายฝั่งด้วยการลดการปฏิบัติงานของแรงงานมนุษย์ในสภาพแวดล้อมใต้ทะเลลึกอันซับซ้อน โดยหุ่นยนต์เคลื่อนที่ด้วยล้อตีนตะขาบและทำงานได้ลึกสุด 500 เมตร

อนึ่ง จีนกลายเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตติดตั้งพลังงานลมนอกชายฝั่งมากที่สุดในโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะจีนเดินหน้าความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนแตะระดับสูงสุดภายในปี 2030 และความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060

‘เดนมาร์ก’ ประกาศเรียกคืนบะหมี่เกาหลี ‘ซัมยัง’ หลังพบสาร ‘ความเผ็ด’ เสี่ยงเป็นพิษต่อผู้บริโภค

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เดนมาร์กเรียกคืนผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดของแบรนด์ ‘ซัมยัง’ (Samyang) สัญชาติเกาหลีใต้จำนวนมากในวันอังคาร (11 มิ.ย.) เนื่องจากพบแคปไซซิน หรือสารที่ให้ความเผ็ด ในระดับที่เสี่ยงเป็นพิษต่อผู้บริโภค

หน่วยงานด้านอาหารของเดนมาร์กได้ประกาศเรียกคืนราเมงสำเร็จรูปจำนวน 3 รสชาติ ได้แก่ บูลดัก สไปซี่แอนด์ฮอต ชิคเก้น เผ็ดคูณสาม (Buldak 3x Spicy & Hot Chicken), รสเผ็ดคูณสอง (2x Spicy & Hot Chicken) และสตูว์ไก่รสเผ็ด (Hot Chicken Stew) และเรียกร้องให้ผู้บริโภคงดรับประทานราเมงสำเร็จรูปทั้ง 3 รสดังกล่าว แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่ามีประเด็นใดเป็นพิเศษ ที่ทำให้ทางการเดนมาร์กเรียกคืนสินค้าเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม สำนักงานสัตวแพทยศาสตร์และอาหารเดนมาร์ก เผยว่า หน่วยงานพบระดับของสารแคปไซซินต่อราเมงสำเร็จรูป 1 ห่อ สูงจนมีความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลันได้

หน่วยงานระบุในแถลงว่าหากมีสินค้านั้นไว้ในครอบครอง จะเลือกทิ้งหรือนำไปคืนที่ร้านค้าที่ซื้อมาก็ได้

การประกาศเตือนดังกล่าว กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ซึ่งในหมู่ผู้บริโภคที่ชื่นชอบมองว่า คำเตือนดังกล่าวเป็นเรื่องน่าขัน และหลายคนพูดถึงความสามารถในการรับประทานอาหารเผ็ดของชาวเดนมาร์กว่า ‘อยู่ในระดับต่ำ’

4 อาจารย์แลกเปลี่ยนชาวอเมริกัน ถูกไล่แทงในจี๋หลิน ด้าน ‘จีน’ ยืนยัน!! ไม่กระทบความสัมพันธ์ด้านวิชาการ

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายชาวจีนรายหนึ่ง ใช้มีดไล่แทงชาวต่างชาติ 4 คนกลางสวนสาธารณะในมณฑลจี๋หลิน โดยทราบภายหลังว่า ทั้ง 4 คน เป็นอาจารย์ชาวอเมริกัน และกำลังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเป่ยหัว หนึ่งในสถาบันที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในมณฑลจี๋หลิน 

อาจารย์อเมริกันทั้ง 4 คน เข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างวิทยาลัยคอร์แนล ในรัฐไอโอวา ของสหรัฐอเมริกา และ มหาวิทยาลัยเป่ยหัว โดยได้เดินทางมาเป็นอาจารย์สอนในสถาบันของจีน ซึ่งในวันเกิดเหตุ ผู้ดูแลชาวจีนได้พาอาจารย์อเมริกันทั้ง 4 คนมาเที่ยววัดโบราณ ที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเป่ยชาน หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมประจำมณฑลจี๋หลิน 

ต่อมาปรากฏชายจีนคนหนึ่ง ใช้มีดทำร้ายกลุ่มอาจารย์ชาวอเมริกันทั้ง 4 คน เมื่อผู้ติดตามชาวจีนวิ่งเข้ามาช่วย ก็โดนคนร้ายแทงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และกลายเป็นภาพข่าวที่สร้างความตกใจให้กับทั้งชาวจีนในประเทศ และ ชาวต่างชาติ เนื่องจากการก่อเหตุไล่แทงเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในประเทศจีน 

อาจารย์อเมริกันทั้ง 4 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนคนร้ายชาวจีนถูกจับตัวได้แล้ว เป็นชายวัย 55 ปี ชื่อว่า นาย ชุย แต่ไม่มีรายงานถึงมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ

ข่าวนี้ได้สร้างปฏิกิริยาอย่างมากมายในฝั่งสหรัฐฯ เริ่มจาก ‘คิม เรย์โนลด์’ ผู้ว่าการรัฐไอโอวา ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ว่าได้พูดคุยกับผู้แทนของรัฐบาลกลางถึงเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองในครั้งนี้ และหวังว่าพลเมืองอเมริกันทั้ง 4 คนจะหายดีและได้เดินทางกลับสู่ครอบครัวในสหรัฐฯ เร็ว ๆ นี้ 

ด้าน ‘เจค ซัลลิแวน’ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลอย่างมากต่อเหตุไล่แทงคนอเมริกันในจีน

ส่วนชาวจีนก็ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์นี้ผ่านโลกโซเชียลไม่น้อย หลายคนแปลกใจ เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 

แต่บางคนก็ได้เหตุการณ์นี้ไปเปรียบเทียบกับกบฏนักมวย ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 1899 - 1901 เมื่อมีกลุ่มชาวจีนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตก และ ต้องการขับไล่ชาวต่างชาติออกนอกประเทศ แต่ภาพข่าว และ ความเห็นต่าง ๆ ถูกลบออกจากสื่อจีนอย่างรวดเร็วตามมาตรการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีน

ด้าน ‘หลิน เจี้ยน’ โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศจีนได้แถลงว่า จากรายงานของตำรวจเบื้องต้นพบว่าเหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย โดยไม่ได้มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงถึงผู้เคราะห์ร้ายคนใด ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน และยืนยันว่าจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในโลก จีนมีมาตรการจำกัดการครอบครองอาวุธปืนที่เข้มงวด และระบบสอดแนมแทบทุกจุดในเมือง 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะไม่กระทบความสัมพันธ์ด้านวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่ง โดย วิทยาลัยคอร์แนล และ มหาวิทยาลัยเป่ยหัว ได้เซ็นข้อตกลงพันธมิตรด้านวิชาการร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งทางสถาบันจีนมีทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับอาจารย์จากวิทยาลัยคอร์แนล เดินทางมาใช้ชีวิต และสอนหลักสูตรระยะสั้น 2 สัปดาห์ในสาขาคอมพิวเตอร์, คณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์  ให้กับนักศึกษาจีนในจี๋หลิน 

และโครงการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีน และ สหรัฐอเมริกา หลังจากความบาดหมางในประเด็นการระบาด Covid-19 ที่มีส่วนทำให้นักศึกษาอเมริกันในจีนลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ ‘นิโคลัส เบิร์น’ เอกอัคราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศจีน ระบุว่า เคยมีนักศึกษาอเมริกันเดินทางไปศึกษาในจีนราวปีละ 11,000 คนก่อนช่วงวิกฤติ Covid-19 ลดลงเหลือเพียง 880 คนในปัจจุบันเท่านั้น 

ดังนั้น ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำจีน จึงวางแผนที่จะทำแผนส่งเสริมให้นักศึกษาอเมริกันเดินทางมาเรียนต่อในจีนมากขึ้นให้ได้ 5 หมื่นคนภายใน 5 ปีข้างหน้า ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และ ความร่วมมือด้านวิชาการกับสถาบันในสหรัฐอเมริกา แม้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังคงออกเอกสารเตือนพลเมืองอเมริกันในการเดินทางมาประเทศจีนอยู่ก็ตาม

‘แมนยูฯ’ เคาะ!! ‘เทน ฮาก’ ยังได้คุมทีมต่อ แม้สัญญาฉบับใหม่จะถูกพิจารณานานไปหน่อย

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าว ‘บีบีซี’ รายงานว่า ผู้บริหารทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำการพิจารณาผลงานของอีริก เทน ฮาก กุนซือปีศาจแดงฤดูกาลที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว และตัดสินใจให้เขาทำงานต่อไป โดยกำลังอยู่ระหว่างเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ เนื่องจากสัญญาปัจจุบันกำลังจะหมดลงในปีหน้า

ทั้งนี้ บอร์ดบริหารหารือกันทันที หลังจบการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ‘เอฟเอคัพ’ ซึ่งแมนยูพลิกชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่ากุนซือชาวดัตช์จะโดนปลดจากตำแหน่งเนื่องจากทำผลงานน่าผิดหวังในเกมลีก ด้วยการจบอันดับ 8 ของตาราง เป็นอันดับแย่ที่สุดของทีมในการเล่นพรีเมียร์ลีก

ที่ผ่านมา มีข่าวลือเกี่ยวกับว่าที่กุนซือใหม่หลายราย อาทิ โธมัส ทูเคิล อดีตผู้จัดการทีมเชลซีและบาเยิร์น มิวนิก, เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่เพิ่งโดนเชลซีปลดจากตำแหน่ง รวมถึงเกรแฮม พ็อตเตอร์, โธมัส แฟรงก์, โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ และแกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ โดยเฉพาะรายของทูเคิลที่พบกับเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีเจ้าของ ‘อิเนออส’ ที่เข้าไปถือหุ้น 27.7 เปอร์เซ็นต์ของสโมสร พร้อมสิทธิการบริหารงานด้านฟุตบอล แต่เจ้าตัวปฏิเสธไป

เมื่อเดือนมกราคม แรทคลิฟฟ์ก็เปรยกับสื่อเป็นนัย ๆ ว่าอาจจะให้กุนซือชาวดัตช์ทำหน้าที่ต่อไป โดยกล่าวว่า ในช่วง 11 ปีหลัง แมนยูมีโค้ชมากมาย แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าเขาในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ซึ่งนั่นบอกตนว่าสิ่งแวดล้อมหลายอย่างในทีมมีปัญหา

รายงานข่าวระบุว่า หลังจากบอร์ดบริหารลงมติดังกล่าวแล้วก็ได้พูดคุยเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับแผนงานอนาคตกับเทน ฮาก โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดอ้างว่ากุนซือวัย 54 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างพักผ่อนกับครอบครัวที่อิบิซา ดีใจกับคำตัดสินที่ออกมา แต่ก็ไม่พอใจต้นสังกัดเล็กน้อยที่ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้นานเกินไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top