Saturday, 27 April 2024
WORLD

คุณยายวัย 84 ถักเสื้อกันหนาวกว่า 1,500 ตัวแจกฟรีมานาน 15 ปี เผย!! อยากอบอุ่นหัวใจ 'เด็ก-คนยากไร้' ที่ไร้เงินซื้อเสื้อกันยามหนาว

(5 ม.ค. 67) สื่อต่างประเทศรายงานข่าว เรื่องราวอันแสนอบอุ่นของคุณยาย 'หานชุ่ยจวี๋' วัย 84 ปี จากหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ผู้มีงานอดิเรกเป็นการถักเสื้อสเวตเตอร์ และนำไปบริจาคให้เด็กยากจนทั่วทั้งประเทศจีน

ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา คุณยายหานบริจาคเสื้อสเวตเตอร์ไปมากกว่า 1,500 ตัว จนได้รับฉายาว่า 'คุณยายสเวตเตอร์'

จุดเริ่มต้นในการถักเสื้อสเวตเตอร์ของคุณยายหานมาจากความบังเอิญ เมื่อลูกสาวของคุณยายเปิดไปเจอคลิปวิดีโอของเด็กยากจนที่สวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ต้องอดทนต่อความหนาวเหน็บในฤดูหนาว เนื่องจากไม่มีเงินซื้อเสื้อกันหนาว

“เด็กพวกนี้น่าสงสารเกินไป ที่บ้านมีขนแกะเหลืออยู่ ฉันจะถักเสื้อสเวตเตอร์ส่งไปให้พวกเขาสักหน่อย!” คุณยายหาน กล่าว

จากนั้นคุณยายหานก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตั้งใจถักเสื้อสเวตเตอร์ให้เด็กๆ โดย 2-3 เดือนต่อมา เสื้อสเวตเตอร์ฝีมือคุณยายหานทั้ง 36 ตัวก็ถูกจัดส่งไปยังโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง โดยนักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนเป็นลูกของแรงงานต่างถิ่นจากพื้นที่ห่างไกล

เด็กๆ ที่ได้รับเสื้อสเวตเตอร์ต่างดีใจเป็นอย่างมาก ทำให้คุณยายหานปลื้มใจสุดๆ นับแต่นั้นมา คุณยายหานก็ไม่หยุดถักเสื้อสเวตเตอร์เลย โดยคุณยายหานจะพกอุปกรณ์สำหรับถักเสื้อสเวตเตอร์ไปทุกที่

เรียกว่าทุกครั้งที่มีโอกาส คุณยายหานก็ไม่พลาดที่จะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาถักเสื้อสเวตเตอร์ ถึงขนาดที่เข้าโรงพยาบาลก็ยังไม่เว้น หรือกระทั่งไปเที่ยวเกาหลีใต้กับเพื่อนๆ คุณยายหานก็ยังไปนั่งถักเสื้อสเวตเตอร์ที่ชายหาดมาแล้ว

“ตราบใดที่ร่างกายของฉันยังไหวอยู่ ฉันก็จะถักเสื้อสเวตเตอร์ต่อไป” คุณยายหานกล่าว

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เสื้อสเวตเตอร์ของคุณยายหานจะถูกนำไปบริจาคให้เด็กๆ เท่านั้น แต่ยังถูกบริจาคให้คนพิการและผู้ประสบภัยทางภัยพิบัติต่างๆ ด้วย

ความใจดีของคุณยายหาน สร้างความประทับใจให้ใครหลายคน และทำให้คุณยายได้รับคำชมมากมายจากชาวเน็ต เช่น “คุณยายคนนี้ทำให้ฤดูหนาวอบอุ่นขึ้น ฉันรู้สึกซาบซึ้งในความใจดีและมีน้ำใจของคุณยายมาก ขอให้คุณยายมีสุขภาพดี” “ช่างเต็มไปด้วยพลังบวก ขอคารวะคุณยาย” และ "คุณยายเป็นคนที่มีจิตใจดีอย่างแท้จริง...น้อยคนนักที่จะทำกิจกรรมเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ขอบคุณ 'คุณยายสเวตเตอร์'!”

‘อิหร่าน’ เดือด!! ประกาศแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดกลางงานรำลึก ‘กาเซม โซเลมานี’

สื่ออิหร่านรายงานข่าวด่วน เหตุลอบวางระเบิดถึง 2 ครั้งในงานรำลึกการเสียชีวิตของนายพล กาเซม โซเลมานี ผู้นำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRCG) ที่เมืองเคอร์มาน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 95 คน รัฐบาลอิหร่านประกาศ จะแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด

ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเกิดเหตุระเบิดถึง 2 ครั้ง ใกล้กับอนุสรณ์สถานของนายพล กาเซม โซเลมานี ที่มีการจัดงานรำลึกประจำปีให้กับอดีตผู้นำสูงของกองกำลัง IRCG ที่ถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยโดรนพิฆาตของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2020 ขณะกำลังเดินทางเยือนอิรัก โดยงานรำลึกในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4

สื่ออิหร่านรายงานว่า เหตุระเบิดลูกแรก เกิดขึ้นช่วง 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในบริเวณด้านหน้าสุสานผู้พลีชีพ ใกล้ ๆ กับมัสยิด Saheb al-Zaman ส่วนระเบิดลูกที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากนั้น 15 นาที และห่างจากระเบิดจุดแรกเพียง 700 เมตรเท่านั้น โดยมีเจตนาสังหารผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างโกลาหลหลังจากเกิดเหตุระเบิดลูกแรก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 95 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 200 คน ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในอิหร่าน ในรอบ 42 ปี 

ด้านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี สาบานว่าจะล้างแค้น กลุ่มอาชญากรที่ก่อเหตุระเบิดนองเลือดครั้งนี้อย่างถึงที่สุด หลายประเทศ รวมถึงรัสเซียและตุรกี ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าว ในขณะที่เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ให้ได้

แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใด ออกมาแสดงตนอ้างตัวเป็นผู้ความรับผิดชอบ แต่คาดเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาหรับ หรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายจิฮัด และ ISIS เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการก่อเหตุ และ การก่อความไม่สงบหลายครั้งในอิหร่านที่ผ่านมา 

แต่ก็มีไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของหน่วยลับจากอิสราเอล และ สหรัฐอเมริกา เนื่องจาก อิหร่าน ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล และ สหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นประเทศหลักที่ผลักดันให้เกิด กลุ่ม Axis of Resistance - พันธมิตรแห่งการต่อต้าน เพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส ในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์

ด้าน แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแถลงผ่านห้องประชุมผู้สื่อข่าวว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีในเมืองเคอร์มาน และไม่มีเหตุผลที่ต้องทำด้วย จึงขอให้เลิกสงสัยสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล เสีย 

เชื่อได้ว่า การก่อเหตุระเบิดรุนแรงในงานรำลึกนายพล กาเซม โซเลมานี มีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญของชาวอิหร่าน ที่จะมาเยือนสุสานของเขา แต่รัฐบาลอิหร่านยังยืนยันที่จะจัดงานรำลึกเป็นประจำทุกปี แม้อาจเสี่ยงเป็นเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรง ส่วนหนึ่งก็เพื่อยกย่องผู้นำของกองกำลัง IRCG แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการตอกย้ำพฤติกรรมก่อการร้ายข้ามชาติของสหรัฐอเมริกาให้ยังอยู่ในความทรงจำของชาวอิหร่านนั่นเอง 

‘โยอิจิ ทากาฮาชิ’ ผู้วาดมังงะในตำนาน ‘กัปตันซึบาสะ’  ประกาศรีไทร์จากวงการการ์ตูนอย่างเป็นทางการ

(4 ม.ค.67) กลายเป็นข่าวใหญ่ของวงการมังงะญี่ปุ่นในทันที เมื่อ อ.โยอิจิ ทากาฮาชิ (Yoichi Takahashi) นักวาดมังงะรุ่นเก๋า เจ้าของผลงานมังงะฟุตบอลชื่อดังระดับโลกอย่าง กัปตันซึบาสะ (Captain Tsubasa) ประกาศรีไทร์จากวงการการ์ตูนอย่างเป็นทางการ ปิดฉากตำนาน 43 ปี ด้วยปัญหาสุขภาพ

โดยทางเว็บไซต์ คอมมิคบุ๊ค (comicbook) ได้ออกมารายงานว่า เหตุผลที่ อ.โยอิจิ ทากาฮาชิ ตัดสินใจเลิกเขียนมังงะมาจากอายุที่มากขึ้นของเขา (64 ปี) ทำให้อาจาร์ย์ทำงานออกมาได้ช้าลงอย่างมาก รวมไปถึงสายตาที่ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดและวาดลงเล่นได้เท่าเดิมอีกด้วย

อ.โยอิจิ ได้เผยว่า “ผมคิดว่าผมยังมีสุขภาพที่ดี แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นมันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ผมจะวาดภาพได้ช้าลง และสายตาก็ไม่ดีเหมือนก่อน” พร้อมกล่าวอีกว่า การจากไปอย่างกะทันหันของ อ.มิตสึชิม่า ชินจิ เจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง ‘อิคคิวซัง’ ที่เสียชีวิตไปเมื่อต้นปี 2022 ที่ผ่านมา คือ อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อาจารย์ตัดสินใจแขวนปากกาในครั้งนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม อ.โยอิจิ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เขาได้เตรียมร่างต้นฉบับในภาค ‘ศึกฟุตบอลโลกครั้งสุดท้าย’ ไว้คร่าวๆ แล้ว เผื่อในอนาคตจะมีนักวาดมังงะ หรือ เทคโนโลยี AI มาสานต่อความฝันให้สำเร็จในที่สุด

“แม้จะเป็นแบบฉบับร่าง แต่ถ้าผมทิ้งเรื่องราวไว้ บางทีในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า AI อาจจะสามารถสร้างมังงะ กัปตันซึบาซะ ตามสถานการณ์ได้ หรือถ้าผมได้จากโลกนี้ไปแล้วนักวาดคนอื่นๆ จะสามารถทำต่อไปได้”

อ.โยอิจิ กล่าวอีกว่า “ในฐานะนักเขียนการมีซีรีส์กัปตันซึบาสะ ทั้งมังงะและอนิเมะ เป็นหนึ่งในความปรารถนาของผมและหากเรื่องราวทั้งหมดจนถึง ซึบาสะยกถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะจริงๆ นั่นคงจะเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับผมมากครับ”

อย่างไรก็ตาม แม้จะรีไทร์งานเขียน แต่เชื่อว่า ทาง อ.โยอิจิ คงยังไม่ทิ้งจิตวิญญาณอีกส่วนของ กัปตันซึบาสะ โดยอาจหันไปมุ่งมั่นกับการพาทีมฟุตบอลในชีวิตจริงอย่าง ‘นันคัตสึ เอสซี’ ทีมฟุตบอลบ้านเกิดที่เขามีส่วนร่วมตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของในปี 2019 และได้ตั้งชื่อตามทีมโรงเรียนในสึบาสะในการ์ตูน ให้เลื่อนชั้นขึ้นชั้น เจลีก ดิวิชัน 1 ให้ได้อีกด้วย

สำหรับ Captain Tsubasa: Rising Sun และ Captain Tsubasa: Memories จะจบลงในนิตยสาร Captain Tsubasa Magazine ฉบับที่ 20 ในเดือนเมษายน 2024 นี้

กรณีศึกษาอพยพผู้โดยสารสายการบินเจแปนฯ ได้อย่าง 'ปลอดภัย-รวดเร็ว' เพราะพนักงานฝึกฝนมาดี ผู้โดยสารก็ปฏิบัติตัวดี เชื่อฟังทุกคำแนะนำ

(4 ม.ค.67) จากกรณีเครื่องบินโดยสารแบบ แอร์บัส A350 ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 516 (JAL) พุ่งชนเครื่องบินตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งที่เตรียมไปช่วยผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหว จนไฟลุกท่วมคาสนามบินฮาเนดะ แต่ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือเครื่องบินพาณิชย์ 379 ชีวิตปลอดภัยนั้น เหตุผลสำคัญมาจากผู้โดยสารต่างเร่งไปที่ประตูทางออกฉุกเฉินของเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้โดยที่ไม่ถือสัมภาระอะไรติดตัว ตามคำแนะนำของพนักงานบนเครื่องบิน

ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า การไม่นำสิ่งของมีค่าหรือสัมภาระส่วนตัวไปด้วย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอพยพทั้ง 379 คนบนเครื่องเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนที่เครื่องบินจะถูกไฟลุกท่วมบนรันเวย์ที่สนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 516 ได้กลายเป็นลูกบอลติดไฟขนาดยักษ์หลังจากชนเข้ากับเครื่องบินของหน่วยยามชายฝั่งขณะกำลังลงจอด โดยผู้ที่อยู่บนเครื่องบินซึ่งลำเล็กกว่าของหน่วยยามชายฝั่ง 5 จาก 6 คน เสียชีวิต

การอพยพผู้คนอย่างไร้ที่ติของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินและผู้ที่เคยเป็นลูกเรือของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์บอกกับบีบีซีว่า การอพยพที่ราบรื่นดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้เพราะพนักงานบนเครื่องได้นำการฝึกฝนที่ได้ทำมาอย่างเข้มงวดมาใช้ ส่วนผู้โดยสารก็ปฏิบัติตัวอย่างดีและเชื่อฟังคำสั่งด้านความปลอดภัย

“ผมไม่เห็นผู้โดยสารสักคนที่ลงเครื่องมาแล้วมีกระเป๋าติดตัวเลยสักคน...ถ้าคนบนเครื่องพยายามที่จะขนสัมภาระของตัวเองลงมาด้วยนั่นจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก เพราะว่ามันจะทำให้การอพยพเป็นไปได้ช้าลง” ศาสตราจารย์เอ็ด กาแล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากมหาวิทยาลัยกรีนิช กล่าว

ศาสตราจารย์กาแล ยังบอกด้วยว่า สถานะของเครื่องบินแอร์บัส A350 ลำดังกล่าว ยังทำให้การอพยพคนบนเครื่องเป็นไปได้ยากด้วย

“อุบัติเหตุนี้ห่างไกลจากสภาวะในอุดมคติที่คุณอยากให้เกิดขึ้นมาก ส่วนหัวของเครื่องบินทิ่มลงด้านล่าง ซึ่งหมายความว่ามันเป็นการยากสำหรับผู้โดยสารในเครื่องที่จะเคลื่อนที่” เขากล่าว

ทั้งนี้ มีสไลเดอร์ตรงทางออกฉุกเฉินเพียง 3 อันเท่านั้นที่ใช้การได้ แต่มันก็ไม่ได้ถูกกางอย่างเหมาะสมเนื่องจากลักษณะการลงจอดของเครื่องบิน สไลเดอร์ฉุกเฉินดังกล่าวยังชันมากด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ทางเจแปนแอร์ไลน์ยังระบุด้วยว่า ระบบกระจายเสียงในเครื่องบินลำดังกล่าวยังทำงานผิดปกติในระหว่างการอพยพด้วย ดังนั้นลูกเรือบนเครื่องจึงต้องใช้โทรโข่งและการตะโกนเอาแทน

ทางสายการบินยังระบุด้วยว่า มีผู้โดยสารหนึ่งคนที่มีรอยบอบช้ำ และอีก 13 คนที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เที่ยวบินดังกล่าว เดินทางออกจากสนามบินในซัปโปโรในเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และลงจอดที่ฮาเนดะก่อนเวลา 18.00 น. เพียงไม่นาน สำหรับเครื่องบินของยามชายฝั่งที่ลำเล็กกว่านั้น มีแผนที่จะนำสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปให้เหยื่อจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันปีใหม่ ทั้งนี้ ยังคงมีการสืบสวนสาเหตุของการชนกันครั้งนี้อยู่

อดีตลูกเรือของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์คนหนึ่งบอกกับบีบีซีว่า ผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวถือว่า “โชคดีอย่างสุดๆ”

“ฉันรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย แต่เมื่อฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับขั้นตอนในการอพยพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ฉันก็รู้สึกประหม่าและกลัวขึ้นมาทันที” เธอกล่าว “ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องบินทั้งสองลำชนกันแบบไหน รวมถึงว่าไฟไหม้ลุกลามอย่างไร มันอาจจบลงด้วยเรื่องเศร้ากว่านี้ก็ได้”

ในสถานการณ์จริง มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ผู้โดยสารไม่ตื่นตระหนก อดีตลูกเรือที่ขอไม่เปิดเผยนาม ระบุ

“แต่สิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จมันยากกว่าที่ใครจะจินตนาการออก ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพาทุกคนหนีออกมาได้ เป็นผลมาจากการร่วมมือกันอย่างดีระหว่างลูกเรือและผู้โดยสารที่ปฏิบัติตามคำแนะนำ” เธอกล่าว

อดีตลูกเรือสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ผู้นี้ยังระบุด้วยว่า ลูกเรือทุกคนต้องผ่านการฝึกการช่วยเหลือและอพยพที่เข้มงวดกว่า 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงานบนสายการบินพาณิชย์ และการฝึกฝนดังกล่าวยังต้องฝึกซ้ำอยู่ทุกปี

“เราต้องผ่านการสอบข้อเขียน การอภิปรายกรณีศึกษา และการฝึกฝนสถานการณ์จำลองหลายๆ แบบ อย่างเช่นในสถานการณ์ที่เครื่องบินต้องลงจอดในน้ำ หรือถ้าเกิดมีไฟไหม้ในเครื่อง พนักงานหน่วยอื่นๆ ที่ดูแลรักษาเครื่องบินก็ต้องเข้าร่วมการฝึกนี้เช่นเดียวกัน” อดีตลูกเรือที่ออกจากบริษัทมา 10 ปีแล้ว กล่าว

นักบินอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานในสายการบินหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีโดยไม่ขอเปิดเผยตัวตนเช่นกันว่า การฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่ลูกเรือต้องทำ ช่วยให้การอพยพเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“ผมต้องบอกว่ามันน่าทึ่งมาก ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้คือ การฝึกฝนถูกนำมาใช้จริง คุณไม่มีเวลาคิดในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นคุณแค่ทำไปตามสิ่งที่ได้ฝึกฝนมา” เขากล่าว

ทั้งนี้ สำหรับเครื่องบินโดยสารใดๆ ก็ตาม เพื่อที่จะได้รับใบอนุญาตในระดับนานาชาติให้ทำการบินได้ ผู้ผลิตเครื่องบินจะต้องแสดงให้เห็นว่าทุกคนที่อยู่บนเครื่องสามารถออกจากเครื่องบินได้ภายในเวลา 90 วินาที โดยการทดสอบเวลาในการอพยพบางครั้งมีการใช้ผู้โดยสารจริงมาทดสอบด้วย เขาระบุเพิ่มเติม

นักบินคนนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การควบคุมความปลอดภัยด้านการบินเข้มงวดขึ้นอย่างมากหลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันและความผิดพลาดในอุบัติเหตุครั้งก่อนๆ

ยกตัวอย่างเช่น การชนกันของเครื่องบินโบอิ้ง 747 สองลำที่สนามบินลอส โรดีโอ ในสเปนในปี 1977 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 583 คนและถือเป็นอุบัติเหตุด้านการบินที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นตอนที่นักบินต้องปฏิบัติ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการสื่อสารทางวิทยุ ทั้งนี้ การชนกันดังกล่าวพบว่าเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างลูกเรือและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เคยพบเจอกับหายนะเช่นกันในเดือน ส.ค. 1985 เมื่อเที่ยวบิน 123 ที่มุ่งไปโอซากา บินชนภูเขาหลังจากออกจากสนามบินฮาเนดะในโตเกียวได้ไม่นาน สำหรับสาเหตุครั้งนั้นพบว่าเกิดจากการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ไม่สมบูรณ์โดยโบอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินลำดังกล่าว ในอุบัติเหตุครั้งนั้น มีเพียง 4 คนจากคนบนเครื่องทั้งหมด 524 คนที่รอดชีวิต

ในปี 2006 เจแปนแอร์ไลน์ได้เปิดสถานที่ที่คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ใกล้กับสนามบินฮาเนดะ และจัดแสดงซากความเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความตระหนักด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานของสายการบิน

“ต่อหน้าความเจ็บปวดและความเศร้าโศกของครอบครัวผู้สูญเสีย และความไม่เชื่อใจของสาธารณชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของสายการบิน (หลังเกิดอุบัติเหตุในปี 1985) เราให้คำมั่นว่าเราจะไม่ยอมให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ระบุ

“พนักงานทุกคนตระหนักดีกว่า ผู้โดยสารฝากชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่าไว้กับงานของเรา”

‘SpaceX’ ลุยส่ง ‘ดาวเทียม’ ชุดแรกขึ้นวงโคจร หวังส่งสัญญาณโทรศัพท์มาสู่สมาร์ทโฟนโดยตรง

(4 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ ‘SpaceX’ ส่งดาวเทียมชุดแรกขึ้นสู่วงโคจร เพื่อเตรียมส่งสัญญาณโทรศัพท์สู่สมาร์ทโฟนโดยตรง โดยมีเนื้อหาดังนี้…

T-Mobile บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ ประกาศว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX ได้ส่งดาวเทียม 6 ดวง ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งเป็นดาวเทียมชุดแรกที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณโทรศัพท์ตรงสู่พื้นโลกไปที่อุปกรณ์สมาร์ทโฟน

เป้าหมายคือการเชื่อมต่อผู้ใช้งานแบบ Direct to Cell (D2C) ให้ได้ทุกที่ในโลก แม้อยู่ในจุดที่ไม่มีสัญญาณ โดยนอกจาก T-Mobile แล้ว SpaceX ยังร่วมทดสอบบริการนี้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์อีก 6 ราย ใน 6 ประเทศ ได้แก่ Optus (ออสเตรเลีย), Rogers (แคนาดา), One NZ (นิวซีแลนด์), KDDI (ญี่ปุ่น), Salt (สวิตเซอร์แลนด์) และ Entel (ชิลี)

D2C ในช่วงแรกจะทดสอบด้วยการส่งข้อความตัวหนังสือก่อน จากนั้นจึงขยายมาทดสอบบริการคุยเสียง และการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ด้าน ‘Elon Musk’ CEO ของ SpaceX ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน X ของเขาว่า การส่งลำแสงจากดาวเทียมแต่ละครั้งรองรับข้อมูลประมาณ 7Mb ทำให้เป็นทางออกที่ดีในพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่ยังห่างไกลจากการเป็นคู่แข่งผู้ให้บริการเครือข่ายภาคพื้น

‘สหรัฐฯ’ อ่วม!! ‘หนี้สาธารณะ’ ทะลุ 34 ล้านล้านดอลล์ครั้งแรก นับเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล หลังตัวเลขพุ่งเร็วจนน่าห่วง

(4 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ รายงานว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ พุ่งสูงกว่า 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.164 พันล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก เพิ่มจาก 33.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.161 พันล้านล้านบาท) เมื่อวันพฤหัสบดี (28 ธ.ค.)

มายา แมคกิเนียส ประธานคณะกรรมการฝ่ายความรับผิดชอบด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า หนี้สาธารณะแตะระดับ 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.164 พันล้านล้านบาท) เมื่อวันศุกร์ (29 ธ.ค.) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพุ่งแตะระดับ 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.13 พันล้านล้านบาท) เพียงราวสามเดือน และถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างมาก

“สิ่งที่น่าเศร้าคือผู้นำทางการเมืองของเราไม่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ทางการคลัง” แมคกิเนียส กล่าว

ตัวเลขหนี้ล่าสุดถูกเปิดเผยขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสเตรียมแย่งชิงการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลกลาง โดยปัจจุบันงบประมาณสำหรับหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลกลางบางส่วนจะหมดอายุในเดือนมกราคมนี้

‘อีลอน มัสก์’ ทำมูลค่าทางการตลาด ‘X’ หายไป 71% นับตั้งแต่ทุ่มเงิน 44 พันล้านดอลลาร์ เข้าซื้อกิจการ

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.67) มูลค่าทางการตลาดของทวิตเตอร์ลดลงไปกว่า 71% นับตั้งแต่โดนเจ้าของเทสลา อีลอน มัสก์ ซื้อออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อตุลาคมปี 2022 ในดีล 44 พันล้านดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มต้นปลดพนักงานครั้งใหญ่ เปลี่ยนชื่อแพลตฟอร์มเป็น X และผจญมรสุมต่างๆ นานา โดนใบเหลืองเตือนจาก EU ข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และมัสก์โดนกระแสทวีตเหยียดยิวเล่นงานจนโฆษณาหนี

เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานในวันอังคาร (2 ม.ค.) ว่า บริษัทการลงทุน Fidelity เปิดเผยว่าตั้งแต่หลังจากมหาเศรษฐีพันล้านเจ้าของเทสลา อีลอน มัสก์ ซื้อบริษัททวิตเตอร์ไปเมื่อตุลาคมปี 2022 ได้ในราคา 44 พันล้านดอลลาร์ พบว่ามูลค่าหุ้นตกลงไปกว่า 71.5%

Fidelity ซึ่งถือหุ้นอยู่ในทวิตเตอร์เปิดเผยในการรายงานของสื่อ Axios ของสหรัฐฯ ได้ประเมินว่า แพลตฟอร์ม X ในชื่อปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ราว 12.5 พันล้านดอลลาร์ ในการเปิดเผย

ทวิตเตอร์นั้นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น X เมื่อกรกฎาคมปี 2023 และยังคงประสบปัญหามาโดยตลอด ตัวเลขผู้ใช้ประจำเดือนตกลงไป 15% ในปีแรกตั้งแต่มัสก์ซื้อท่ามกลางความวิตกการเพิ่มขึ้นของวาทะแสดงความเกลียดชัง หรือ hate speech บนแพลตฟอร์มซึ่งหลังจากที่มัสก์ซื้อทวิตเตอร์ออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ เขาสั่งปลดพนักงานออกไปไม่ต่ำกว่า 50% และลดการตรวจสอบลง ส่งผลทำให้ในกันยายนปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรป EU ออกคำเตือนไปยังอีลอน มัสก์ หลังจากพบว่าแพลตฟอร์ม X ของเขามีอัตราสูงสุดของการโพสต์ข้อมูลปลอมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด

และล่าสุด อีลอน มัสก์ยังทำให้ X โดนแห่ถอนโฆษณาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังนับตั้งแต่มัสก์ได้ทวีตให้การสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดเหยียดชาวยิว อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และส่งผลทำให้เจ้าของเทสลาออกมาตอบโต้การแห่ถอนโฆษณาจาก X ด้วยการกล่าวว่า “ขอให้บริษัทพวกนั้นไปลงนรกซะ” ระหว่างการให้สัมภาษณ์อยู่ในเมืองนิวยอร์ก ซิตี

มัสก์ซึ่งถูกนิตยสารฟ็อบส์จัดให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกมีความมั่งคั่ง 251 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อครั้งที่เขาซื้อทวิตเตอร์ไปเขาแสดงเหตุผลว่า “เป็นการซื้อเพื่อช่วยมนุษยชาติ”

และมัสก์ที่มีแนวคิดทางการเมืองนิยมฝ่ายขวาและพรรครีพับลิกันได้สั่งยกเลิกการแบนบุคคลทางการเมืองอื้อฉาวของสหรัฐฯ ทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนักจัดรายการวิทยุเจ้าของเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิด อเล็กซ์ โจนส์ (Alex Jones) ซึ่งบุคคลทั้งสองต่างมีคดีติดตัว

‘สี จิ้นผิง’ ยอมรับ!! ผ่านสุนทรพจน์อวยพรปีใหม่ ‘เศรษฐกิจจีน’ กำลังอยู่ในช่วง ‘ยากลำบาก’

(3 ม.ค. 67) CNN ของสหรัฐฯรายงานว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เข้ารับตำแหน่งในฐานะผู้นำประเทศเมื่อปี 2013 ที่เขาได้ออกมายอมรับถึงสภาพปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจีนว่ามีอยู่จริง

เป็นการเปิดเผยผ่านสุนทรพจน์อวยพรปีใหม่ประจำปี 2024 ในวันอาทิตย์(31 ธ.ค)นี้มีใจความว่า

“มีบางบริษัทกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ประชาชนบางคนกำลังมีปัญหาในการหางานทำและเพื่อทำให้สามารถอิ่มท้องและอยู่ได้ไปวันๆ”

และเขาต่อว่า “ทั้งหมดเหล่านี้ยังคงเป็นปราการด่านหน้าอยู่ในใจของผม” ผู้นำจีนชี้ว่า “พวกเราจะทำให้เข้มแข็งและเพิ่มความแข็งแกร่งต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของพวกเรา”

ทั้งนี้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่สีจะขึ้นกล่าวสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน NBS (National Bureau of Statistics) ได้เผยแพร่ดัชนีประจำเดือนผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI(Purchasing Managers Index) ซึ่งดัชนีที่ว่านี้เพื่อสำรวจธุรกิจเอกชนทั่วโลก หากดัชนี PMI สูงกว่า/ต่ำกว่า ระดับ 50 หมายถึง แนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะธุรกิจโดยรวมมีทิศทางดีขึ้น/แย่ลง

ซึ่งจากการเปิดเผยแสดงถึงความเคลื่อนไหวทางอุตสาหกรรมจีนลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่เดือนธันวาคม

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน NBS กล่าวผ่านแถลงการณ์มีใจความว่า ตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมจีนอย่างเป็นทางการตกไปที่ 49 ในเดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่า 49.4 ในเดือนพฤศจิกายน

CNN รายงานว่าซึ่งหากตัวเลขดัชนีสูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัวและหากต่ำกว่า 50 แสดงถึงการหดตัว ซึ่งตัวเลข PMI เดือนธันวาคมยังเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแสดงการหดตัวทางอุตสาหกรรม

เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายจากปัญหาอุปสงค์(demand) ที่อ่อนตัว การว่างงานเพิ่มขึ้นและความไม่มั่นใจทางธุรกิจ

การกวาดล้างของรัฐบาลจีนทางธุรกิจโดยใช้ข้ออ้างเหตุผลทางความมั่นคงจีนนั้นทำให้นักลงทุนต่างประเทศหนี

ทั้งนี้ในวันเสาร์(30 ธ.ค)ธนาคารกลางจีนได้ประกาศไฟเขียวยกเลิกการควบคุมของผู้ถือหุ้นของบริษัท Alipay ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลทางการเงินยักษ์ใหญ่ของจีนที่สามารถพบได้ในต่างประเทศรวมในไทย โดย Alipay เป็นของ Ant Group ที่มีเศรษฐีพันล้านจีน แจ็ก หม่า เป็นผู้ก่อตั้งร่วม

ซึ่งการไฟเขียวนี้ CNN หมายความว่า แจ็ก หม่านั้นยกเลิกการควบคุมในบริษัทนี้อย่างเป็นทางการ

‘แบรนด์จีน’ เฮ!! ยอดขาย ‘EV’ ดีที่สุดในอิสราเอล ครองสัดส่วนถึงร้อยละ 60.98 ในปี 2023

(3 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สมาคมผู้นำเข้ายานยนต์แห่งอิสราเอล รายงานว่ารถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ขนาดเล็กมาก รุ่นอัตโต 3 (Atto 3) ผลิตโดยบีวายดี (BYD) ผู้ผลิตยานยนต์ของจีน เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดในอิสราเอลในปี 2023

ซึ่งทาง สมาคมฯ เปิดเผยว่า รถยนต์รุ่นดังกล่าวซึ่งเข้าสู่ตลาดอิสราเอลเมื่อช่วงปลายปี 2022 มียอดจำหน่าย 14,244 คันในปี 2023

อีกทั้ง จี๋ลี่ ออโต กรุ๊ป (Geely Auto Group) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนอีกราย มียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ รุ่นจีโอเมทรี ซี (Geometry C) รวม 7,129 คันในช่วงเดียวกัน ซึ่งครองอันดับสองด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในอิสราเอล

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายดีเป็นอันดับสาม ได้แก่ เทสลา รุ่นโมเดล วาย (Tesla Model Y) ตามด้วย เทสลา รุ่นโมเดล 3 (Tesla Model 3)

ข้อมูลระบุว่า แบรนด์จีนครองสัดส่วนร้อยละ 60.98 ของยอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าของอิสราเอลในปี 2023 โดยมียอดจำหน่าย 29,402 คัน มากกว่าตัวเลข 13,294 คันในปี 2022 กว่าสองเท่า

สำหรับยอดจำหน่ายยานยนต์เชื้อเพลิงน้ำมัน เชอรี ออโตโมบิล (Chery Automobile) ผู้ผลิตยานยนต์ของจีน ซึ่งเข้าสู่ตลาดอิสราเอลช่วงปลายปี 2022 ครองอันดับ 6 ด้วยยอดจำหน่าย 11,162 คันในปี 2023

‘อิสราเอล’ ส่งโดรนสังหารเจ้าหน้าที่ฮามาสถึงเลบานอน โจมตีอย่างโจ่งแจ้ง ละเมิดอธิปไตยชาติอื่นอย่างร้ายแรง

สำนักข่าว Reuters อ้างอิงแหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงในเลบานอน และ กองกำลังฝ่ายปาเลสไตน์ รายงานว่า นายซาเลห์ อัล-อาโรรี หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาสถูกลอบสังหารเสียชีวิตแล้ว จากการโจมตีด้วยโดรนพิฆาตของอิสราเอล ภายในสำนักงานของกลุ่มฮามาสในเมือง Haret Hreik ชานกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของคืนวันที่ 2 ม.ค. 67 ทางการเลบานอนได้รับรายงานเหตุระเบิดภายในอาคารแห่งหนึ่งที่เมือง Haret Hreik ที่ต่อมาพบว่าเป็นสำนักงานของกลุ่มฮามาส และพบผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุอย่างน้อย 6 คน หนึ่งในนั้นคือ นายซาเลห์ อัล-อาโรรี (57 ปี) สมาชิกคนสำคัญของโปลิตบูโร และหนึ่งในแกนนำของฝ่ายกองกำลังฮามาส ที่มีค่าหัวจากทางการสหรัฐฯ ถึง 5 ล้านเหรียญ 

ด้วยสงครามระหว่างกองกำลังฮามาส และ อิสราเอล ที่ผ่านมา ทำให้ ซาเลห์ อัล-อาโรรี ถูกหมายหัวจากกองกำลังป้องกันประเทศของอิสราเอล จนนำไปสู่การส่งโดรนลอบสังหารข้ามแดนมาโจมตีถึงเลบานอนในวันนี้ 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเลบานอนกล่าวว่า เนื่องจากสำนักงานของกลุ่มฮามาสตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร 3 ชั้น และไม่มีตึกสูงอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง จึงง่ายต่อการล็อกเป้าโจมตีด้วยโดรน 

แรงระเบิดทำให้ตัวอาคารชั้น 3 เสียหายอย่างรุนแรง และเกิดเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยดับเพลิงของเลบานอน ยังพบซากชิ้นส่วน แขน ขา ของผู้เสียชีวิต กระจายเกลื่อนตามพื้นถนนด้านล่าง อย่างน่าสยดสยอง 

หลังจากเหตุการลอบสังหาร แดเนียล ฮาการี โฆษกประจำกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ได้ออกแถลงการณ์ว่า กองกำลังอิสราเอลอยู่ในระดับความพร้อมที่สูงมากในทุกพื้นที่ และทุกสถานการณ์ ทั้งเชิงป้องกัน และ เชิงรุก เพื่อต่อสู้กับกลุ่มฮามาสเป็นสำคัญ 

แต่ทว่า ด้าน นาจิบ มิกาตี นายกรัฐมนตรีแห่งเลบานอน แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าวว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงในระดับภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาชญากรรมครั้งล่าสุดของฝ่ายอิสราเอลใกล้กรุงเบรุต ยังไม่นับรวมการโจมตีของกองทัพอิสราเอลเป็นประจำแทบทุกวันทางตอนใต้ของเลบานอน ดังนั้นรัฐบาลเลบานอนจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับ ‘การโจมตีอย่างโจ่งแจ้ง’ ของฝ่ายอิสราเอลในดินแดนของตน ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยอย่างร้ายแรง 

เช่นเดียวกันกับถ้อยแถลงของกลุ่มกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน ได้ออกมาประณามการก่อเหตุลอบสังหารครั้งนี้ว่าไม่ต่างจากการโจมตีประเทศเลบานอนโดยตรงเช่นกัน ที่จะนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นอย่างแน่นอนของฝ่าย ‘Axis of Resistance’ หรือ กลุ่มพันธมิตรแห่งการต่อต้าน - กองกำลังผสมที่มีเป้าหมายต่อต้านอิสราเอล และ สหรัฐอเมริกา ที่ประกอบด้วย อิหร่าน. กลุ่มฮามาส, กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน, กองกำลังติดอาวุธในอิรัก และกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน

ในอีกด้านหนึ่ง มาร์ก เรเจฟ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า อิสราเอลไม่ขอรับผิดชอบต่อการโจมตีสำนักงานฮามาสในเลบานอน แต่ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายใด ก็ชัดเจนว่าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อโจมตีรัฐบาลเลบานอน แต่เพื่อทำลายกองกำลังฮามาสเท่านั้น 

แต่ถึงรัฐบาลอิสราเอลจะไม่ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวกับการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาสในเลบานอน ทว่า แดนนี ดานอน อดีตนักการทูตอาวุโสของอิสราเอลและ สส. ในพรรคลิคุดของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู โพสต์ข้อความผ่าน X เพื่อแสดงความยินดีกับหน่วย IDF, ชินเบต, มอสสาด และกองกำลังรักษาความปลอดภัย ที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดนายซาเลห์ อัล-อาโรรี

และได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ 7/10 (วันที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีชุมชนอิสราเอลในชายแดนฉนวนกาซา) ก็ควรรู้ไว้ซะด้วยว่าเราจะตามล่า และปิดบัญชีพวกมันอย่างสาสม"

ก็คงไม่ต้องเดากันแล้วว่า เหตุการลอบสังหารข้ามพรมแดนแบบไม่ต้องเกรงใจเป็นฝีมือของใคร เพราะทุกคนคงเข้าใจตรงกัน

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

จับตา!! ‘ซาอุฯ’ เข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ ความทะเยอทะยานสู่ผู้ชนะแห่งประเทศโลกใต้

(3 ม.ค.67) สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของซาอุดีอาระเบีย รายงานในวันอังคาร (2 ม.ค.) ว่าซาอุฯ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยก่อนเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ว่าประเทศของพวกเขาจะศึกษารายละเอียดต่างๆ ก่อนเข้าร่วมกลุ่มตามที่ตั้งใจไว้ในวันที่ 1 มกราคม และจะดำเนินการตัดสินใจอย่างเหมาะสม

มกุฎราชกุมารฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย บอกว่ากลุ่มบริกส์ เป็นประโยชน์และเป็นช่องทางที่สำคัญในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 

เดิมกลุ่ม BRICS ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ แต่ได้เพิ่มสมาชิกอีกเท่าตัว โดยที่ ซาอุดีอาระเบีย พร้อมด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ อิหร่าน และเอธิโอเปีย จะเข้าร่วมในฐานะสมาชิกใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป

การเข้าร่วมของซาอุดีอาระเบีย มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการขยายอิทธิพลของจีนภายในซาอุดีอาระเบีย

แม้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสหรัฐฯ แต่ซาอุดีอาระเบียกำลังเดินตามเส้นทางของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากความกังวลว่า วอชิงตันมีความมุ่งมั่นต่อความมั่นคงในอ่าวอาหรับน้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมา

จีน ซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย ส่งเสียงเรียกร้องให้ขยายขอบเขตของ BRICS ให้กลายมาเป็นตัวถ่วงดุลตะวันตก

การรับสมาชิกเพิ่มเติมของ BRICS ถือเป็นการขยายความความทะเยอทะยานของทางกลุ่ม ที่ประกาศว่าจะกลายมาเป็นผู้ชนะแห่งประเทศโลกใต้ แม้อาร์เจนตินาส่งสัญญาณเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมกลุ่ม 

รวบชายวัย 40 โพสต์ขู่ฆ่าแกนนำรัฐบาล หลังผู้นำฝ่ายค้านเกาหลีใต้เพิ่งถูกแทง

(3 ม.ค. 67) The Korea Herald หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเกาหลีใต้ เสนอข่าว Police arrest man for murder threat on ruling party leader ระบุว่า ตำรวจเข้าควบคุมตัวชายวัย 40 ปี เมื่อเวลา 05.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น หลังสืบทราบว่าชายคนดังกล่าวได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ขู่จะสังหาร ฮัน ดง-ฮูน (Han Dong-hoon) ประธานคณะกรรมการภาวะฉุกเฉินของพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายรัฐบาลในรัฐสภาเกาหลีใต้ เมื่อเวลา 21.40 น. ของวันที่ 2 ม.ค. 2567

ตามข้อมูลจากสถานีตำรวจกวางจู กวางซาน ผู้รับผิดชอบท้องที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมชายคนดังกล่าวที่บ้านพักในเขตกวางซาน - กู ในเมืองกวางจู ขณะที่ ฮัน มีกำหนดการลงพื้นที่เมืองกวางจูในวันที่ 4 ม.ค. 2567 ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญาของเกาหลีใต้ ตำรวจสามารถจับกุมผู้ที่ต้องสงสัยว่าอาจก่ออาชญากรรมได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ และหากมีความผิดจริง ผู้ต้องสงสัยนั้นอาจถูกลงโทษจำคุกอย่างน้อย 3 ปี

ขณะที่สำนักงานตำรวจเมืองกวางจู เพิ่งให้คำมั่นไปเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2567 ว่า จะคุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับฮัน หลังจากที่ในวันดังกล่าวเพิ่งเกิดเหตุคนร้ายเป็นชายวัย 67 ปี ใช้อาวุธมีดแทง ลี แจ-มย็อง (Lee Jae-myung) ผู้นำพรรคประชาธิปไตยเกาหลี ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้านในรัฐสภาเกาหลีใต้ ได้รับบาดเจ็บ โดยล่าสุดอาการของลีพ้นขีดอันตรายแล้ว อยู่ในระหว่างพักฟื้นหลังการผ่าตัด  

'เทสลา' ถูก BYD แซงหน้าคว้าแท่นผู้ผลิตรถอีวีรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังคงรักษาบัลลังก์แชมป์ยอดขายรถอีวีแบบรายปีอยู่

(3 ม.ค.67) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติสหรัฐฯ สูญเสียบัลลังก์ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรายใหญ่ที่สุดของโลกให้แก่ BYD บริษัทสัญชาติจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากตัวเลขยอดขายที่เผยแพร่ในวันอังคาร (2 ม.ค.)

ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสหรัฐฯ ที่บริหารงานโดยอภิมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ ส่งมอบรถยนต์ 484,507 คัน ในไตรมาส 4 ของปี 2023 อ้างอิงจากเอกสารของทางบริษัท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านั้นมากกว่า 11%

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่มากพอที่จะช่วยรักษาบัลลังก์ของเทสลา ในฐานะผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก เนื่องจากขณะเดียวกันทาง BYD คู่แข่งจากจีน ในวันจันทร์ (1 ม.ค.) รายงานว่ามียอดขาย 526,409 คัน ในช่วงเวลาเดียวกัน

ตัวเลขดังกล่าวเป็นการตอกย้ำความท้าทายต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่า ทางเทสลาจะต้องเผชิญในปีนี้ จากบรรดาคู่แข่งทั้งหลายที่กระตือรือร้นแสวงหาผลประโยชน์จากอุปสงค์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ของตลาดรถอีวี

หุ้นของเทสลาดิ่งลงทันทีหลังข่าวนี้ถูกแจ้งออกมา ก่อนฟื้นตัวขึ้นมาปิดลบไม่มากนัก

นอกเหนือจากเอาชนะเทสลา ในยอดขายรถไฟฟ้าล้วนแล้ว ทาง BYD ยังขายรถไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดอีกมากกว่า 400,000 คัน ในไตรมาส 4 และโดยรวมแล้ว พวกเขามียอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากกว่า 3 ล้านคันในปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เทสลายังคงรักษาบัลลังก์แชมป์ยอดขายรถอีวีในแง่ของรายปี โดยมีการส่งมอบรถยนต์มากกว่า 1.8 ล้านคันแก่ลูกค้าในช่วงต้นปีจนถึงเดือนธันวาคม ในขณะที่ตัวเลขยอดขายของ BYD ตลอดทั้งปี มีไม่ถึง 1.6 ล้านคัน

ระทึก!! ‘เจแปนแอร์ไลน์’ เครื่องบินไฟไหม้บนรันเวย์ ‘ผู้โดยสาร-ลูกเรือ’ รวม 379 ชีวิต รอดตายยกลำ!!

(3 ม.ค. 67) อุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ที่เกิดชนกับเครื่องบินของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่นในสนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์

คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือการอพยพผู้โดยสารรวมทั้งลูกเรือ 379 ชีวิตออกมาอย่างปลอดภัย ที่ต้องบอกว่าไม่ต่างจากปาฏิหาริย์นั้นเกิดขึ้นอย่างไร จากภาพที่คนเห็นจากด้านนอกเมื่อเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว คือเปลวไฟสีส้มได้ระเบิดขึ้นบนรันเวย์ จากนั้นก็ดูเหมือนเครื่องบินของเจแปนแอร์ไลน์ก็พุ่งต่อไปบนรันเวย์ในสภาพไฟลุกท่วมลำ

บีบีซี รายงานว่า ผู้โดยสารบนเครื่องบินแอร์บัส A350 เที่ยวบินที่ JL516 จากชิโตเสะ ฮอกไกโด ระบุว่า พวกเขารู้สึกได้ว่าเครื่องบินชนกับอะไรบางอย่างขณะที่มันกำลังลงจอดที่สนามบิน จากนั้นมีความร้อนพวยพุ่งขึ้นตามด้วยควันหนาแน่น

สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของทุกชีวิตถูกปลุกขุ้น ผู้โดยสารต่างตะเกียกตะกายเพื่อหนีออกจากเครื่องบินที่เต็มไปด้วยกลุ่มควัน ด้วยตระหนักดีว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นกับเสี้ยวเวลาไม่กี่วินาทีข้างหน้า

การที่ผู้โดยสารพร้อมด้วยลูกเรือทั้งหมดสามารถหลบหนีออกไปจากเครื่องบินได้นั้นถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การอพยพที่เกิดขึ้นโดยปราศจากที่ติ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มีส่วนอย่างสำคัญต่อการรอดชีวิตของพวกเขา

อันทอน เดเบ ผู้โดยสารชาวสวีเดนวัย 17 ปี กล่าวถึงความวุ่นวายหลังอุบัติเหตุดังกล่าว ขณะเครื่องบินหยุดอยู่บนรันเวย์ ให้หนังสือพิมพ์ Aftonbladet ของสวีเดนฟังว่า ห้องโดยสารทั้งหมดปกคลุมไปด้วยควันภายในไม่กี่นาที และควันพวกนั้นก็เหมือนเหมือนนรก เหมือนพวกเราอยู่ในนรกอย่างไรอย่างนั้น

เดเบบอกว่า เราทิ้งตัวลงบนพื้น จากนั้นประตูฉุกเฉินของเครื่องบินก็เปิดออกมา พวกเขาพุ่งตัวออกไปตามๆ กัน เราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปไหน ดังนั้นเราก็เลยวิ่งออกไปบนที่โล่ง มันวุ่นวายมาก

เดเบ พร้อมด้วยพ่อแม่และน้องสาวของเขาสามารถหลบหนีออกมาจากเครื่องบินได้โดยไม่มีใครได้รับอันตราย

ซาโตชิ ยามาเกะ วัย 59 ปี บอกว่า เขารู้สึกว่าเครื่องบินเอียงไปด้านข้าง และรู้สึกว่าเกิดแรงกกระแทกครั้งใหญ่ในการชนกันครั้งแรก ด้านผู้โดยสารอีกรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า มีอุบัติเหตุเหมือนเครื่องบินชนกันระหว่างลงจอด เขาเห็นประกายไฟนอกหน้าต่าง ขณะที่ห้องโดยสารก็เต็มไปด้วยควัน

ผู้โดยสารบางคนเก็บภาพแสงสีแดงของประกายไฟจากเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องบินหยุดนิ่งแล้ว อีกคนหนึ่งถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ภายในตัวเครื่อง ที่แสดงให้เห็นถึงควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้โดยสารร้องตะโกน ด้านลูกเรือพยายามที่จะบอกว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรต่อไป

เอ็นเอชเคอ้างผู้โดยสารหญิงรายหนึ่งว่า บนเครื่องมืดลงเพราะไฟลามมากขึ้นหลังเครื่องจอด บนเครื่องบินเริ่มร้อนขึ้น และเธอก็คิอว่าตัวเองคนไม่รอด ด้านผู้โดยสารอีกคนบอกว่า แผนการหลบหนีทำได้ยาก เพราะใช้ประตูฉุกเฉินได้เพียงจุดเดียวทางด้านหน้าของเครื่อง เนื่องจากประตูฉุกเฉินของเครื่องบินทางตอนกลางและท้ายเครื่องบินไม่สามารถเปิดได้

ภาพและวิดีโอแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ผู้คนบนเครื่องบินกระโดดลงจากสไลเดอร์เป่าลมของสายการบิน บางส่วนก็ล้มลงขณะพยายามหนีออกจากเครื่องที่ไฟลุกไหม้ และวิ่งหนีออกไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า

ไม่มีใครถือกระเป๋าลากขึ้นเครื่องของตัวเองออกมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องบินเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น

อเล็กซ์ มาเชอรัส นักวิเคราะห์การบินบอกกับบีบีซีว่า ลูกเรือสามารถเริ่มการอพยพตามที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาในช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น และในช่วง 90 วินาทีแรก ไฟที่ลุกไหม้เกิดขึ้นในพื้นที่เดียว ทำให้พวกเขามีช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะพาทุกคนออกไปจากเครื่องบิน

มาเชอรัสบอกอีกว่า ลูกเรือเข้าใจชัดเจนว่าประตูไหนอยู่ห่างจากเปลวไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราได้เห็นในรูปภาพว่า ประตูฉุกเฉินทั้งหมดไม่สามารถเปิดออกเพื่อให้ผู้คนหลบหนีได้ ขณะที่ผู้โดยสารเองก็มีส่วนช่วยลดความตื่นตระหนก ด้วยตัวอย่างเช่นที่พวกเขาไม่พยายามที่จะเอากระเป๋าออกมาจากที่เก็บของเหนือศีรษะ

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งเป็นเพราะเครื่องบินแอร์บัส A350 เป็นหนึ่งในเครื่องบินเชิงพาณิชย์รุ่นแรกๆ ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิต ซึ่งมีความทนทานต่อการชนในครั้งแรกรวมถึงต่อเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นตามมา

ยามาเกะบอกว่า ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ผู้โดยสารใช้เวลาราว 5 นาทีก็สามารถออกจากเครื่องบินได้ จากนั้นในเวลาราว 10-15 นาที เขาก็เห็นเปลวไฟลามออกไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องบิน

สึบาสะ ซาวาดะ วัย 28 ปี บอกว่า การที่พวกเขารอดตายมาได้ถือเป็นปาฏิหาริย์ แต่เขาก็มีคำถามเช่นกันว่า ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และเขาไม่มีแผนจะขึ้นเครื่องบินอีกครั้งจนกว่าจะได้รับคำตอบ

หลังจากใช้เวลาดับไฟที่ไหม้เครื่องบินหลายชั่วโมง ในที่สุดไฟบนเครื่องเจแปนแอร์ไลน์ก็ถูกควบคุมไว้ได้ โดยผู้โดยสารและลูกเรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียง 14 คนเท่านั้น

ความโชคดีแบบเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นกับเครื่องบินเล็กของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น ที่กำลังจะออกเดินทางไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวทางตะวันตกของญี่ปุ่น มีรายงานว่าลูกเรือ 5 คนเสียชีวิต ขณะที่กัปตันเครื่องบินแม้จะรอดตายแต่ก็บาดเจ็บสาหัส

ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งทำงานเพื่อไขคำตอบว่า เหตุใดเครื่องบินทั้ง 2 ลำจึงอยู่ในรันเวย์พร้อมกัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโศกนาฎกรรมรับปีใหม่ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดเช่นนี้

สงคราม ‘อิสราเอล-ฮามาส’ อีกหนึ่งความขัดแย้งที่สะเทือนโลกทั้งใบ

ปี 2566 กำลังจะจบลง แต่สิ่งที่คงยังไม่จบลงง่าย ๆ เห็นจะเป็นความขัดแย้งอันละเอียดอ่อน ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนตะวันออกกลางให้สั่นคลอน นั่นคือ สงครามระหว่าง ‘อิสราเอล-ฮามาส’ ที่ได้เริ่มเปิดฉากโจมตีใส่กัน ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา และยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด

อีกทั้ง ประชาชนของทั้ง 2 ฝ่าย ก็ยังตกเป็นเหยื่อที่ต้องทนทุกข์จากพิษของสงคราม โดยชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์จำนวนมากยังคงติดอยู่ในประเทศ และเผชิญกับความยากลำบากเพราะขาดไฟฟ้า น้ำประปา และความสะดวกด้านสาธารณูปโภค

โดยเหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มต้นมาจากการที่กลุ่มนักรบปาเลสไตน์ หรือ ‘ฮามาส’ ได้เปิดฉากระดมยิงจรวดหลายพันลูกจากฉนวนกาซา โจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 7 ต.ค.ผ่านมา พร้อมทั้งส่งกองกำลังติดอาวุธหลายสิบคน แทรกซึมเข้าไปโจมตีในหลายเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล พร้อมจับตัวประกันไว้หลายคน ซึ่งมีแรงงานไทยด้วยจำนวนหนึ่ง

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ออกมาประกาศว่า เวลานี้ประเทศอิสราเอลอยู่ใน ‘ภาวะสงคราม’ อย่างเต็มรูปแบบ และยังได้ระดมทหารกองหนุนเพื่อมาร่วมต่อสู้แล้ว โดยเขาประกาศว่า นี่จะเป็นการแก้แค้นครั้งใหญ่ให้กับคนหนุ่มสาวทุกคนที่เสียชีวิต และจะเปลี่ยนฉนวนกาซาให้เป็น ‘เกาะร้าง’

กลุ่มฮามาสได้ออกมาอ้างเหตุผลว่า การโจมตีครั้งนี้มีขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อความโหดร้ายทั้งหมด ที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญจากอิสราเอลตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการกระทำของกองกำลังอิสราเอลที่บุก ‘มัสยิดอัล-อักซอ’ (Al-Aqsa) ในนครเยรูซาเล็ม อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และการปฏิบัติที่เลวร้ายต่อนักโทษปาเลสไตน์ในเรือนจำอิสราเอล

การปะทะกันระหว่างฮามาสกับกองกำลังความมั่นคงของอิสราเอล ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตของ 2 ฝั่ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ นักรบ และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังถือเป็นวิกฤติตัวประกันครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อีกด้วย

โดยยอดผู้เสียชีวิตทางฝั่งของชาวปาเลสไตน์ ล่าสุดสูงถึง 20,000 คน (ตัวเลขเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 66) นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มทิ้งระเบิดเพื่อตอบโต้การโจมตี ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1% ของประชากรจำนวน 2.2 ล้านคนในพื้นที่ฉนวนกาซา ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 4,100 คน หมายความว่า มีเด็กเสียชีวิตเฉลี่ย 1 คนในทุก 10 นาที (ตัวเลขเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66)

ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตของทางฝั่งอิสราเอล ซึ่งมีทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ เสียชีวิตมากกว่า 1,400 ราย จากการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อมูลอย่างละเอียดของทางการอิสราเอล ได้ทำการพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้เสียชีวิตแล้ว 1,159 ราย พบว่า เป็นพลเรือน 828 ราย และเด็ก 31 ราย (ตัวเลขเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66) อย่างไรก็ดี ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Iron Dome) ของอิสราเอล สามารถป้องกันความเสียหายร้ายแรง หรือการบาดเจ็บล้มตายเอาไว้ได้

ต่อมา ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นตัวกลางในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ได้ออกมาเผยว่า อิสราเอลและกลุ่มฮามาส จะหยุดยิงเป็นเวลา 4 วัน และตัวประกันชุดแรก 13 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงและเด็ก จะถูกปล่อยตัวออกมาฉนวนกาซา ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน และได้มามีการขยายเวลาหยุดยิงเพิ่มขึ้นอีก รวมเป็นระยะเวลา 7 วัน เพื่อแลกกับการปล่อยตัวประกัน โดยมีประเทศกาตาร์ เป็นตัวกลางในการเจรจาข้อตกลง เพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ให้ได้รับอิสระ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายประกาศชัดเจนว่า จะกลับมาสู้รบกันอีกครั้ง หลังข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวสิ้นสุดลง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีฉนวนกาซาอีกครั้งในรอบสัปดาห์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนข้อตกลงสิ้นสุด จึงถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย และเดินหน้าสู้รบกันต่ออีกครั้ง

การสู้รบกันระหว่าง ‘อิสราเอล-ฮามาส’ รอบล่าสุดนี้ ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และกลายเป็นการทำสงครามข้ามปี ตามรอย ‘รัสเซีย-ยูเครน’

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top