Saturday, 9 December 2023
WORLD

‘ชาวเช็ก’ นับหมื่น รวมตัวประท้วงเต็มถนน กลางกรุงปราก ต่อต้านรัฐบาลฝักใฝ่ชาติตะวันตก-บริหารเศรษฐกิจย่ำแย่

(17 ก.ย. 66) ประชาชนชาวเช็กนับหมื่นที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน ออกมารวมตัวกันบนท้องถนนในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแสดงพลังประท้วงต่อต้านนโยบายของรัฐบาลกลางขวา ที่มุ่งเน้นการดำเนินการตามชาติตะวันตก และให้การสนับสนุนทางทหารต่อยูเครน นอกจากนี้ ยังวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย

การประท้วงดังกล่าวนำโดยพรรค PRO ซึ่งไม่มีตัวแทนในรัฐสภา และยึดแนวทางชาตินิยม สนับสนุนรัสเซีย และต่อต้านตะวันตก โดยนายจินดริช ไรซิล ผู้นำพรรค PRO กล่าว่า วันนี้เราก้าวไปอีกขึ้นเพื่อขับไล่รัฐบาลของนายปีเตอร์ ฟิอาลา นายกรัฐมนตรี

“พวกเขาเป็นตัวแทนของมหาอำนาจต่างชาติ เป็นแค่ผู้ทำตามคำสั่ง หุ่นเชิดธรรมดา และเราไม่ต้องการรัฐบาลหุ่นเชิดอีกต่อไป” ไรซิลกล่าว และว่า เช็กควรยับยั้งความพยายามใดๆ ก็ตามของยูเครนที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

รัฐบาลเช็กชุดปัจจุบันเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับยูเครน โดยได้ส่งทั้งรถถัง เครื่องยิงจรวด เฮลิคอปเตอร์ กระสุนปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยให้ยูเครนต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย

ด้านสำนักข่าวซีทีเคประเมินว่า ผู้ออกมาร่วมประท้วงในครั้งนี้อยู่ที่ราว 10,000 คน ซึ่งน้อยกว่าเหตุประท้วงในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า ในช่วงที่ราคาพลังงานของยุโรปพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

เปิดวิธีการ ‘ทุนจีนเทา’ ฟอกเงินในสิงคโปร์ ‘ซื้อสัญชาติ-ถือครองทรัพย์หรู-ซื้อหุ้นหลากบริษัท’

(17 ก.ย. 66) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้เผยผลสอบสวนคดีฟอกเงินจากประเทศสิงคโปร์ โดยเมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา (***ลิงก์ต้นข่าวสิงคโปร์ เมื่อวันที่จับกุม 17 ส.ค. 66 >> https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=843361127352891&id=100050370353740&mibextid=Nif5oz) ได้มีการจับกุม 10 ผู้ต้องหาสัญชาติจีน พร้อมตรวจค้น และยึดทรัพย์สินได้กว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติมากสุดในประวัติศาสตร์

โดย 10 คนสัญชาติจีนนี้ ส่วนใหญ่มาจากฟูเจี้ยน ถือพาสปอร์ต กัมพูชา 3 ราย และวานาอูตู, ไซปรัส, ตุรกี ตามลำดับ ซึ่งผลสอบสวนล่าสุด พบว่า มีการซื้อขายสัญชาติเฉพาะกัมพูชา อยู่ที่ราคาประมาณ 4.6 ล้านบาท

ทั้งนี้ การซื้อขายสัญชาติ เป็นสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพ และผู้หนีคดี อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์  หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต, การพนันออนไลน์, การซื้อขายสินทรัพย์เสมือน (เงินดิจิทัล) และการขนเงินออกจากจีน เพื่อมาซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือเงินทุจริตยักยอกออกนอกประเทศ ที่เรียกว่า ‘ธนาคารใต้ดิน’

ในส่วนของประเด็นการฟอกเงินในสิงคโปร์ สามารถสรุปวิธีการได้ ดังนี้...
1.) ขายสินค้าออนไลน์ แบรนด์เนม กระเป๋านาฬิกา ไวน์ รถยนต์ อสังหาฯ
2.) ครอบครองอสังหาฯ หรู รถยนต์ บ้าน คอนโด
3.) ซื้อหุ้น บริษัทต่างๆ
4.) รับเงินโอน แทน แรงงานต่างด้าว (อาทิ แรงงานจะโอนเงินออกจากสิงคโปร์ แล้วแก๊งจะเป็นตัวแทนโอนแทน โดยมีเครือข่ายในประเทศต้น-ปลายทาง ได้ฟอก และกำไรจากเรทเงิน)

‘เซเลนสกี’ เตรียมพบ ‘โจ ไบเดน’ ขอความช่วยเหลือต่อสู้กับรัสเซีย  เชื่อ!! สหรัฐฯ หนุนต่อ แม้เสียงคัดค้านจาก ‘รีพับลิกัน’ เริ่มหนาหู

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66 ที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 78 ที่นครนิวยอร์ก เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน และเข้าประชุมร่วมกับรัฐสภาสหรัฐฯ

ด้าน นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครนในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤต และประธานาธิบดีไบเดน ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนยูเครน ซึ่งกำลังปกป้องเอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งดินแดน จากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน กำลังเผชิญกับการคัดค้านสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกัน ในการจัดส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ยูเครน อีก 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอีก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยูเครน

'เมียนมา' เล็ง!! เสนอวีซ่าท่องเที่ยว 1 ปี ให้ 'ชาวจีน-อินเดีย' เที่ยวได้ทุกแห่ง เว้นพื้นที่ต้องห้าม หวังดึงเม็ดเงินกลับมา

(16 ก.ย.66) หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar ของทางการเมียนมารายงานว่า เร็วๆ นี้รัฐบาลจะประกาศโครงการนำร่องหนึ่งปีให้วีซ่าท่องเที่ยวขอได้ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียสามารถท่องเที่ยวในเมียนมาได้ทุกที่ยกเว้นพื้นที่ต้องห้ามด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เทียบกับปัจจุบันที่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวออนไลน์หรือไปที่สถานทูตเมียนมา

ทั้งนี้ หากมองรัฐบาลทหารเมียนมาที่ยังคงจัดการฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี 2564 โดยยอมรับว่า ยังควบคุมพื้นที่ไม่ได้ทั้งหมดนั้น ทำให้หลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย จึงแนะนำไม่ให้คนของตนมาเมียนมา เนื่องจากความขัดแย้งยังมีอยู่

ต่างจากจีนและอินเดียซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมา อีกทั้งยังมีสัมพันธ์กับเหล่านายพลนับตั้งแต่ก่อรัฐประหาร

ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงการท่องเที่ยวเมียนมากำลังทำงานเพื่อดึงดูดนักเดินทางจากรัสเซีย พันธมิตรหลักและประเทศผู้จัดหาอาวุธอีกรายด้วย

ไม่กี่วันก่อนสายการบินแห่งชาติเมียนมาเริ่มบนตรงไปยังเมืองโนโวซีบีสค์ของรัสเซีย รัฐบาลทหารเผยว่ากำลังจะอนุญาตให้ใช้บัตร Mir ของรัสเซียชำระเงินได้โดยตรง

เมียนมา หลังจากกองทัพปกครองประเทศมาหลายสิบปี จนกระทั่งเมียนมาได้เปิดประเทศเมื่อปี 2554 และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่พอเจอช่วงโควิดระบาดก็ต้องปิดประเทศ ซ้ำยังตามด้วยการรัฐประหาร และปราบปรามฝ่ายต่อต้าน จนทำให้นักท่องเที่ยวหายไป

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจเมียนมาตกต่ำอย่างหนัก ค่าเงินจ๊าดดิ่งมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลายเมืองหลักประสบปัญหาไฟฟ้าดับ เอทีเอ็มและเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหายาก

มาตรการนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลทหารเมียนมาคงต้องเร่งทำ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติและเม็ดเงินกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ 'ชาวจีน-อินเดีย' ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ 

'นักวิทยาศาสตร์' โต้!! ร่างมัมมี่จากสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เปรู ไม่ใช่ศพของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หรือ 'เอเลียน' แต่อย่างใด

เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.66) ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาดจากประเทศเปรู ซึ่งมีผู้นำมาแสดงต่อรัฐสภาเม็กซิโกเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นซากของสิ่งที่ ‘ไม่ใช่มนุษย์’ และมีอายุเก่าแก่นับพันปี ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องออกมาโต้แย้งว่า มันไม่ใช่ศพของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หรือ ‘เอเลียน’ แต่อย่างใด

ในการไต่สวนสาธารณะของรัฐสภาเม็กซิโก ว่าด้วยเรื่องของปรากฏการณ์ทางอากาศที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (Unidentified Aerial Phenomena - UAP) ซึ่งรวมถึงประเด็นเกี่ยวกับอากาศยานลึกลับอย่างยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวด้วยนั้น นายไฮเม เมาซาน ผู้สื่อข่าวชาวเม็กซิกัน และนายโฮเซ เด เฮซุส ซัลเซ เบนิเตซ แพทย์ทหารสัญชาติเดียวกัน ได้นำร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ร่าง มาแสดงต่อหน้าบรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้เข้ารับฟังการไต่สวน

ซากศพของสิ่งมีชีวิตประหลาดดังกล่าว มีความสูงไม่ถึง 1 เมตร รูปร่างผอม ผิวสีเทา ศีรษะใหญ่ มีนิ้วมือเพียงข้างละ 3 นิ้ว และในท้องยังมีไข่ที่อาจใช้ในการสืบพันธุ์

นายเมาซานและนายเบนิเตซอ้างว่า ผลตรวจดีเอ็นเอบ่งชี้ชัดเจนว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสียังชี้ว่า ร่างดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 ปีด้วย

อย่างไรก็ตาม ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตที่อาจเป็นเอเลียนนี้ เคยตกเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงปี 2017-2018 โดยนายเมาซานบอกกับเว็บไซต์ Live Science ว่า เขายังไม่ได้กล่าวฟันธงว่ามันคือร่างของเอเลียนอย่างแน่นอน เพียงแต่ยืนยันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์

นอกจากนี้ เขายังได้ค้นพบเพิ่มเติมว่ามีอวัยวะเทียมทำจากธาตุออสเมียม (Os) และแคดเมียม (Cd) อยู่ในร่างของมัมมี่ทั้งสองด้วย ซึ่งอวัยวะเทียมทำจากโลหะนี้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน

ดร.ราฟาเอล โบฮาลิล-ปาร์รา ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมงานวิจัยของมหาวิทยาลัย UAD ในกรุงเม็กซิโกซิตี บอกกับเว็บไซต์ Live Science ว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่เคยมีโอกาสได้ตรวจสอบร่างมัมมี่ทั้งสองอย่างที่มีการกล่าวอ้างกัน ส่วนผลวิเคราะห์ดีเอ็นเอนั้นมาจากทางมหาวิทยาลัยจริง แต่ก็ไม่อาจจะเปิดเผยให้สาธารณชนทราบอย่างละเอียดได้ เพราะติดข้อสัญญาการว่าจ้างในเชิงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ดร.โบฮาลิล-ปาร์รา กล่าวประณามว่า “การที่รัฐสภาของเราให้พื้นที่และโอกาส แก่พวกที่อ้างตนว่าเป็นนักล่ายูเอฟโอนั้น เท่ากับสะท้อนให้เห็นถึงกระแสต่อต้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังมาแรงในประเทศของเรา”

ผศ.ดร.เดวิด แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปลอมแปลงทางโบราณคดี (pseudoarchaeology) จากมหาวิทยาลัยแรดฟอร์ดของสหรัฐฯ กล่าวชี้แจงว่า “หากร่างมัมมี่ทั้งสองเป็นเอเลียนจริง ผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสีที่บ่งชี้ว่ามีอายุเก่าแก่ถึงพันปีนั้น จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมายอะไรเลย”

“การตรวจหาอายุทางโบราณคดีนั้น ใช้อะตอมของคาร์บอน 14 ที่เกิดขึ้น เมื่อรังสีจากดวงอาทิตย์ชนเข้ากับบรรยากาศชั้นบนของโลก ดังนั้นในการตรวจหาอายุของร่างเอเลียน เราจะต้องทราบถึงอัตราการผลิตอะตอมคาร์บอน 14 ในชั้นบรรยากาศของดาวที่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา ไม่ใช่ในบรรยากาศโลก” ผศ.ดร.แอนเดอร์สัน กล่าว

ดร.แอนดรูว์ เนลสัน หัวหน้าภาควิชามานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นของแคนาดา กล่าววิจารณ์ว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่นิทานลวงโลกของนายเมาซาน ซึ่งถูกเปิดโปงด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้วเมื่อหลายปีก่อน ได้กลับมาปรากฏอยู่ในโลกออนไลน์อีกครั้ง”

ดร.เนลสัน อ้างถึงงานวิจัยเมื่อปี 2017 ของ ดร.โรดอลโฟ ซาลาส-กิสมอนดี นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในกรุงลิมาของเปรู ซึ่งอธิบายว่ากายวิภาคของร่างมัมมี่ที่ดูคล้ายเอเลียนนั้น เกิดจากการดัดแปลงร่างมัมมี่ของมนุษย์ โดยมีการตัดนิ้วมือรวมทั้งหนังและเนื้อเยื่ออ่อนหลังนิ้วหัวแม่เท้า เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีนิ้วหัวแม่เท้าที่ยาวผิดปกติ

หากมัมมี่ดังกล่าวเป็นร่างของมนุษย์จริง นายเมาซานจะมีความผิดตามกฎหมายฐานลักขโมยและทำลายศพ รวมทั้งความผิดฐานลักลอบนำวัตถุโบราณออกจากแหล่งต้นกำเนิด

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยยังมองว่า เหตุที่นายเมาซานนำร่างมัมมี่ทั้งสองมาแสดงต่อสาธารณชนอีกครั้งในรัฐสภาของเม็กซิโกนั้น เป็นเพราะต้องการหาผลประโยชน์จากกระแสความตื่นตัวเรื่องยูเอพี (UAP) ซึ่งเม็กซิโกได้รับอิทธิพลจากสหรัฐฯ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้จัดการไต่สวนสาธารณะในประเด็นดังกล่าวหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงความนิยมและความเชื่อถือในเรื่องทฤษฎีสมคบคิด ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในหมู่ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก

ยอดผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใหญ่ที่ ‘ลิเบีย’ พุ่งทะลุ 21,000 ราย ทางการเร่งช่วยเหลือ พร้อมค้นหาผู้สูญหายอีกนับหมื่น

(15 ก.ย. 66) สภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะสูงถึง 11,300 ราย แต่อาจเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากยังมีผู้สูญหายราว 10,000 คน และอาจส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตเกินกว่า 21,000 ราย มากกว่าที่นายกเทศมนตรีเมืองเดอร์นา พื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุเขื่อน 2 แห่งแตกทลาย ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่าจากการประเมินเขตที่ถูกมวลน้ำมหาศาลพัดถล่มโดยสิ้นเชิงอาจมีผู้เสียชีวิตมากถึง 20,000 ราย

ด้านทางการลิเบียฝั่งตะวันออกเปิดเผยว่ามหาอุทกภัยครั้งนี้ทำให้ประชาชนราว 30,000 คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน หลายฝ่ายกล่าวโทษว่า เป็นเพราะระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีสภาพทรุดโทรมและไม่ได้รับการซ่อมแซม ขณะที่นักการเมืองท้องถิ่นเรียกร้องให้รัฐบาลลิเบียฝั่งตะวันออกเร่งสอบสวนกรณีดังกล่าว

วันเดียวกัน องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) แถลงว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จากน้ำท่วมสามารถหลีกเลี่ยงได้หากระบบเตือนภัยล่วงหน้าและระบบการจัดการเหตุฉุกเฉินที่เหมาะสมถูกต้อง ศาสตราจารย์เพทเตอรี ทาลาส เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก กล่าวว่าหากกองกำลังจัดการเหตุฉุกเฉินสามารถอพยพประชาชนได้ทันท่วงทีตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจต่ำกว่านี้

ขณะที่สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) ระบุว่ากำลังเร่งระดมเงินมากกว่า 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,550 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เข้าข่ายเป็นหายนะครั้งใหญ่

และว่าเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปเยียวยาผู้ประสบภัยที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุดราว 250,000 คน จากผู้ประสบภัยทั้งหมดกว่า 884,000 คน นอกจากนี้ นายมาร์ติน กริฟฟิธส์ หัวหน้าสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรม ยังประกาศกองทุนฉุกเฉินอีก 357 ล้านบาทด้วย

‘นาซา’ แถลง ไม่พบหลักฐานเชื่อมโยง UFO-มนุษย์ต่างดาว แต่ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ พร้อมแจง องค์การจะเร่งศึกษาต่อ

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 66 คณะนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ ‘นาซา’ (NASA) ของสหรัฐอเมริกา นำโดย ‘บิล เนลสัน’ (Bill Nelson) ผู้อำนวยการนาซา จัดแถลงข้อมูล ผลการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับ ‘UAP (unidentified anomalous phenomenon)’ หรือ ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งเดิมทีเรียกว่า ‘UFO (unidentified flying object)’ หรือ วัตถุปริศนาบินได้ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้

เป้าหมายในการศึกษาครั้งนี้ เพื่อที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนอาจทำให้เกิดเป็นทฤษฎีสมคบคิด หรือการตีความที่ไม่ถูกต้อง รวมไปถึงสร้างความวิตกกังวลให้แก่ประชาชน

‘บิล เนลสัน’ (Bill Nelson) ผู้อำนวยการนาซาเผยว่า หน่วยงานอวกาศของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำในการค้นคว้า ‘ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ (UAP)’ แต่จะแบ่งปันข้อมูลด้วยความโปร่งใสมากขึ้น

จากการศึกษาของ ‘นาซา’ (NASA) ที่ได้นำรายงานการพบเห็น ‘ยูเอฟโอ’ (UFO) หรือ ‘ยูเอพี’ (UAP) หลายร้อยครั้ง ในอดีตที่เคยบันทึกได้มาศึกษา พบว่า ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ‘มนุษย์ต่างดาว’ อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้เหล่านี้ รวมถึงยังไม่พบหลักฐานใดที่เชื่อมโยงว่า ‘ยูเอฟโอ’ ที่พบทั้งหมดนั้นมาจากนอกโลก

แต่อย่างไรก็ดี ทางหน่วยงานอวกาศก็ยังไม่สามารถฟันธงและปฏิเสธความเป็นไปได้ดังกล่าว เนื่องจากทางคณะกรรมการเผยว่า ยังมีปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ (UAP) อีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด และยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้

นับเป็นการตอกย้ำความสำคัญที่จะต้องมีการรายงานและศึกษาปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างเป็นระบบ อาจจะนำไปสู่การค้นพบปรากฏการณ์สำคัญที่เรายังไม่รู้จักต่อไปในอนาคต

แม้ว่ารายงานดังกล่าวจะไม่ได้สรุปว่า สิ่งมีชีวิตนอกโลกมีอยู่จริง แต่นาซาก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะมี “เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ทราบศักยภาพซึ่งปฏิบัติการในชั้นบรรยากาศโลก”

‘นิโคลา ฟ็อกซ์’ (Nicola Fox) ผู้ร่วมบริหารของคณะกรรมการภารกิจวิทยาศาสตร์ของนาซา กล่าวว่า “UAP เป็นหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของเรา” ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขาดข้อมูลหลักฐานที่มีคุณภาพ

‘ฟ็อกซ์’ ยังเสริมอีกว่า แม้จะมีรายงานการพบเห็น ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ (UAP) หลายครั้งก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสามารถใช้เพื่อสรุปข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติและต้นกำเนิดของ UAP ได้

‘ฟ็อกซ์’ ประกาศว่า นาซาได้แต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ (UAP) คนใหม่เพื่อ ‘สร้างฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งสำหรับการประเมินข้อมูลในอนาคต’ โดยจะมีการใช้ AI ในกระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

จากกรณีล่าสุด ‘ซากมนุษย์ต่างดาว’ ที่มีอายุกว่าพันปี และมีรหัสพันธุกรรม (DNA) ของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ถูกนำมาเปิดเผยกลางสภาเม็กซิโก ผู้ค้นพบคือ ‘นายไฮเม เมาส์ซัน’ (Jaime Maussan) ผู้สื่อข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะชาวเม็กซิโก ซึ่งศึกษาสนใจเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวและจานบิน (UFO) มาเป็นเวลาหลายสิบปี

การค้นพบดังกล่าว สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนทั่วโลก อย่างไรก็ดี ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากตั้งข้อกังขา เพราะก่อนหน้านี้ นายไฮเม เคยมีประเด็นเดือด นำเสนอซากมนุษย์ต่างดาวลักษณะคล้ายกันนี้ ทว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงมัมมี่โบรา

สำหรับกรณี ‘ซากมนุษย์ต่างดาว’ ที่เป็นไวรัลจากเม็กซิโก ทาง ‘ดร.เดวิด สแปร์เกล’ (Dr.David Spergel) นักวิทยาศาสตร์ของนาซา เผยว่าได้ทำการส่งตัวอย่างไปให้ชุมชนวิทยาศาสตร์โลก เพื่อตรวจสอบต่อไป

เรียกได้ว่าทาง ‘นาซา’ แถลงการณ์ออกมาชัดเจนว่า ยังไม่พบหลักฐานใดที่เชื่อมโยงว่า ‘ยูเอฟโอ’ ที่พบทั้งหมดนั้นมาจากนอกโลก หรือมี ‘มนุษย์ต่างดาว’ อยู่เบื้องหลัง

ทว่าทางคณะกรรมการยังชี้ถึง ‘ความเป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั้นอาจจะมีอยู่จริง’ แม้จะยังไม่สามารถค้นหาได้ในเร็วๆ นี้ แต่ทางหน่วยงานก็จะยังคงเร่งศึกษาในเรื่องนี้ต่อไป โดยการอาศัยเทคโนโลยีที่มี เพื่อก้าวอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

อัตราความยากจนในสหรัฐฯ ปี 2022 พุ่ง 12.4% สูงในรอบ 50 ปี สะท้อน!! บางนโยบายของรัฐบาล ส่งผลร้ายต่อชีวิตประชาชน

(15 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (12 ก.ย.) สำนักสำมะโนประชากรสหรัฐฯ รายงานว่าอัตราความยากจนของสหรัฐฯ ในปี 2022 อยู่ที่ร้อยละ 12.4 โดยความยากจนในเด็กเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปี 2021

ผลการประเมินมาตรวัดความยากจน (SPM) ซึ่งวัดว่าประชาชนมีทรัพยากรเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ในปี 2022 เพิ่มขึ้น 4.6 จุดจากปีก่อนหน้า ขณะอัตราความยากจนในเด็กเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 ในปี 2021 เป็นร้อยละ 12.4 ในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สำนักฯ เริ่มติดตามดัชนีในปี 2009

ศูนย์จัดลำดับความสำคัญด้านงบประมาณและนโยบาย คลังสมองฝ่ายซ้ายของสหรัฐฯ ระบุว่าความยากจนที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นชาวอเมริกันใช้ชีวิตอยู่ในความยากจนเพิ่มขึ้น 15.3 ล้านคน 

โดยชารอน แพร์รอตต์ ประธานศูนย์ฯ มองว่าความยากจนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นน่าตกใจ

แพร์รอตต์ระบุว่าอัตราความยากจนที่เพิ่มขึ้นทั้งในประชากรรวมและในเด็ก ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่า 50 ปี ได้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของตัวเลือกนโยบายที่มีผลต่อระดับความยากจนและความลำบากในประเทศ

นอกจากนั้นแพร์รอตต์เสริมว่าการสิ้นสุดโครงการคืนภาษีบุตรภาคต่อขยายของรัฐบาลกลางในปี 2022 เป็นสาเหตุของความยากจนในเด็กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแพร์รอตต์เรียกร้องฝ่ายนิติบัญญัติฟื้นคืนการดำเนินโครงการดังกล่าว

อนึ่ง การประเมินมาตรวัดความยากจน ครอบคลุมรายได้และผลกระทบของความช่วยเหลือที่ไม่ใช่เงินสด อาทิ ความช่วยเหลือด้านอาหาร และความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย

เมื่อการให้ ‘ทิป’ กลายเป็นเรื่องลำบากใจของชาวเกาหลีใต้ จนลูกค้าแห่เลี่ยงใช้บริการ ส่อฉุดยอดขายร่วง-ธุรกิจดิ่ง

‘ค่าทิป’ เรื่องลำบากใจชาวเกาหลีใต้ ผู้บริโภคแห่เลี่ยงใช้บริการ การทำให้วัฒนธรรมให้ทิปกลายเป็นเรื่องปกติ อาจฉุดยอดขายธุรกิจลง เนื่องจากลูกค้าบางคนอาจเข้าใจว่า ยิ่งรับประทานอาหารมากเท่าไร ยิ่งต้องจ่ายค่าทิปมากเท่านั้น

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 66 อัลจาซีราห์ นำเสนอรายงานเรื่องนี้ โดยระบุว่า สังคมของชาวเกาหลีใต้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากสหรัฐฯ มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชอบชีสเบอร์เกอร์ของสหรัฐฯ ปาร์ตี้สละโสดแบบ bridal shower และละครซิตคอม แต่มีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสหรัฐฯ ที่สังคมเกาหลีใต้รับไม่ได้ และออกแนวไม่ชอบใจเท่าที่ควร นั่นคือธรรมเนียม ‘การให้ทิป’

ชาวเกาหลีใต้ก็เหมือนประเทศอื่น ๆ นอกสหรัฐที่มักไม่ค่อยให้ทิปเพื่อเข้าไปซื้อบริการ แต่ก็กำลังเจอกับปัญหาท้าทายเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่ออูเบอร์ของเกาหลีใต้ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้คนขับบางราย โดยสามารถรับทิปได้ 0.75 เซนต์-1.5 ดอลลาร์ ต่อการให้บริการ 1 ครั้ง หรือราว 26-53 บาทต่อการบริการ 1 ครั้ง ซึ่งการให้ทิปอูเบอร์ จะแตกต่างกันไปตามระดับความพรีเมียมของแท็กซี่

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต่อต้านการให้ทิป แม้แต่ 2 เซนต์ก็ไม่อยากให้

โพสต์ในโลกออนไลน์ที่เป็นกระแสมาแรง ระบุว่า “ตอนนี้ ธรรมเนียมการให้ทิปเริ่มต้นด้วยการให้ตามความพึงพอใจ แต่หลังจากนั้นจะกลายเป็นความกดดัน”

ขณะที่ชาวเน็ตคนอื่นๆ ร่วมกันล่าแม่มด ตามข่าวลือต่าง ๆ นานา เพื่อสืบหาและทำให้ธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่ม หรือการจ่ายค่าทิปเป็นเรื่องที่น่าอาย

กระแสให้ทิปกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมเกาหลีใต้ จนสำนักข่าวแห่งหนึ่งพาดหัวข่าวว่า “เดี๋ยวนะ ที่นี่คืออเมริกาเหรอ?”

‘ซอน อึนจี’ พนักงานการเงินวัย 34 ปี เล่าว่าเธอไม่เคยให้ทิปใครหรือร้านใดในเกาหลีใต้เลย ยกเว้นบริจาคเงินเพื่อการกุศล เมื่อเกิดกระแสว่า บางธุรกิจเปิดให้เพิ่มทิป เธออาจหลีกเลี่ยงไม่สนับสนุนธุรกิจที่ขอเงินเพิ่มแบบนี้

“การให้ทิปไม่ใช่เรื่องสำคัญในเกาหลีใต้ และไม่ควรเป็นเรื่องสำคัญในตอนนี้” ซอน กล่าว

ปัจจุบัน เกาหลีใต้ยังเป็นประเทศที่ไม่นิยมให้ทิป แต่มีข้อยกเว้นให้บางธุรกิจ เช่น แคดดี้ในสนามกอล์ฟ หรือคนเก็บลูกกอล์ฟ และพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารทะเลหรือบาร์บีคิว ที่สามารถขอทิปจากลูกค้าได้ และกฎหมายของเกาหลีใต้ กำหนดให้ร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ต้องระบุค่าใช้จ่ายสินค้าและบริการต่างๆ ทั้งหมด รวมออกมาเป็นราคาเดียว

แม้แต่คนขับรถส่งของ ที่รับรายได้จากแอปพลิเคชันดิลิเวอร์รี ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับทิป ไม่ว่าจะให้บริการในวันฝนตกหรือแดดออกก็ตาม

ชาวเน็ตเกาหลีใต้บางคนบ่นว่า พวกเขาทุ่มเงินไม่กี่เหรียญให้กับพนักงานบริการส่วนใหญ่ แต่กลับไม่สนใจให้ทิปช่างทำกุญกับบุคลากรการแพทย์ ช่างเป็นอะไรที่ชวนให้สับสน

‘ฌอน จุง’ ศาสตราจารย์ด้านบริหารกิจการให้บริการ จากมหาวิทยาลัยบอสตัน บอกว่า “สหรัฐฯ เป็นประเทศให้ทิปมากกว่าปกติ เพราะการให้ทิปเป็นเรื่องที่ถูกตั้งความหวัง และเป็นวัฒนธรรมที่นิยมในร้านอาหารอย่างแพร่หลาย”

อย่างไรก็ตาม การให้ทิปในเกาหลีใต้เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับ แม้แต่เจ้าของร้านอาหารต่าง ๆ ก็มองว่า วัฒนธรรมการให้ทิปเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

‘นัม ซุกจา’ เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นระดับไฮเอ็นด์ในกรุงโซล ที่มีเมนูอาหารที่เป็นจุดขายคือซาชิมิทูน่า ภายในร้านอาหารเต็มไปด้วยห้องอาหารส่วนตัว และลูกค้าร้านนี้มักจะจ่ายเงิน 10,000 วอน หรือราว 268 บาท ให้กับพนักงานเสิร์ฟ เมื่อเริ่มสั่งอาหารชุดแรก ซึ่งการให้ทิปพนักงาน อาจทำให้ได้รับบริการที่เอาใจใส่มากขึ้น ได้รับอาหารชุดต่อไปไวขึ้น หรือได้รับการเสิร์ฟแบบพิเศษ

อย่างไรก็ตาม นัม คิดว่า การที่ลูกค้าของเธอรู้สึกว่าต้องให้ทิปเพื่อรับบริการที่ดีขึ้นเป็นเรื่องที่ผิด และเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

ด้าน ‘คิม มยองคยู’ เจ้าของบาร์แห่งหนึ่งในเกาหลีใต้กังวลว่า การทำให้วัฒนธรรมให้ทิปกลายเป็นเรื่องปกติ อาจฉุดยอดขายธุรกิจให้ลดลง เนื่องจากลูกค้าบางคนอาจเข้าใจว่า ยิ่งรับประทานอาหารมากเท่าไร ยิ่งต้องจ่ายค่าทิปมากเท่านั้น

“การให้ทิปดูไม่เป็นเรื่องที่น่าพอใจสำหรับลูกค้า ถ้าจะให้วางกล่องใส่ทิปไว้เหรอ? ร้านไม่มีทางทำแน่นอน” คิม ย้ำ

ด้าน ‘กาเกา โมบิลลิตี’ ผู้ให้บริการเรียกแท็กซี่รายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เผยว่า ยอดให้ทิปของประเทศถึงจุดพลิกผันเมื่อเดือนก่อน

โดยบริษัทเริ่มโครงการนำร่อง เสนอช่องทางจ่ายเงินเพิ่มที่เรียกว่า ‘ทิปขอบคุณ’ 1.5 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่านั้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ขับขี่ให้บริการที่ดีขึ้น แต่โฆษกหญิงของบริษัทบอกว่า มีเพียงคนขับที่ให้บริการแท็กซี่ระดับสูงและได้รับคะแนนรีวิว 5 ดาวหลังให้บริการเท่านั้น ที่สามารถรับทิปจากลูกค้าได้

อย่างไรก็ตาม อนาคตของฟังก์ชันนี้จะเป็นอย่างไรนั้น บริษัทยังไม่ได้วางแผนใดๆ เพิ่มเติม

จากโพลสำรวจข้อมูลของโอเพนเซอร์เวย์ในกรุงโซล พบว่า ชาวเกาหลีใต้ 7 ใน 10 คน ไม่ชอบฟีเจอร์ให้ทิปแท็กซี่ ขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 1 ใน 6 เท่านั้น ที่เห็นด้วยกับฟีเจอร์ดังกล่าว

ข้อกังขาจากสาธารณชนเกี่ยวกับการให้ทิป จุดประกายให้กับโต๊ะข่าว ที่ทำข่าวเกี่ยวกับการให้ทิปลดลงส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ โดยผู้ประกาศข่าวหญิงคนหนึ่ง ถึงกับต้องทำประเด็นข่าวใหม่ เพื่ออธิบายว่า การให้ทิปปริมาณมากเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายในสหรัฐฯ ได้อย่างไร และถึงขั้นที่ลูกค้าต้องจ่ายทิปจำนวนมาก

นักข่าวกล่าวว่า โดยปกติแล้ว ผู้คนมักสงสัยกันว่า ทำไมโลกเราต้องมีวัฒนธรรมการให้ทิป เมื่อมองไปที่สหรัฐฯ ผู้คนในประเทศนี้ก็เริ่มซักถามและแลกเปลี่ยนข้อมูล เกี่ยวกับสถานที่ที่อาจจะเก็บค่าทิป หรือไม่เก็บค่าทิปกันบ้างแล้ว

'ผู้นำเวเนฯ' ยอมรับใช้สมาร์ตโฟน Huawei ได้อย่างสบายใจ เพราะ 'ชาวอเมริกัน' ดักฟังไม่ได้ ฟากยุโรปเริ่มแห่ซื้อใช้ตาม

ไม่นานมานี้ เพจ 'ลึกชัดกับผิงผิง' ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับสื่อจีนที่รายงานถึงเทคโนโลยี และความปลอดภัยของ 'หัวเว่ย' (Huawei) ผ่านมุมมองของผุ้นำเวเนซุเอล่า ว่า...

เมื่อเร็วๆ นี้ นายนิโกลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาเดินทางเยือนจีน ก่อนการเดินทาง ได้เข้าร่วมรายการ Con Maduro+ ที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์เวเนซุเอลา (VTV) 

ขณะกล่าวถึงเรื่องที่บริษัทหัวเว่ยของจีนได้ออกสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด Mate 60 Pro นายนิโกลัส มาดูโรกล่าวว่า แม้หลายปีมานี้ สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกดำเนินการคว่ำบาตรอย่างไร้เหตุผลต่อหัวเว่ย แต่หัวเว่ยยังคงประสบผลคืบหน้าอย่างมาก เทคโนโลยีของหัวเว่ยสามารถเทียบเท่าคู่แข่งของโลกจำนวนมาก กระทั่งมีความเหนือกว่าในบางอย่างด้วย 

นายมาดูโรยังเผยว่า “ผมมีมือถือหัวเว่ยเครื่องหนึ่ง ใช้ดีมาก ชาวต่างชาติไม่สามารถดังฟังได้เลย” (เขาใช้คำว่า 'gringos' ที่ตามภาษาสเปนมักจะหมายถึงชาวอเมริกัน) 

คำพูดของนายมาดูโรเกี่ยวกับหัวเว่ยนั้น เกิดจากการยืนยันด้านความปลอดภัยจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของเวเนซุเอลาเอง 

หลังจากสหรัฐอเมริกา ทุ่มเทกำลังทั่วประเทศในการปราบปรามบริษัทหัวเว่ย ทำให้หัวเว่ยไม่ได้รับชิประดับสูงที่ใช้ในการผลิตสมาร์ตโฟน 5G อัตราส่วนในตลาดโลกของหัวเว่ยร่วงจากอันดับ 1 อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทแอปเปิลพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคือ ผู้ที่ใช้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยนั้น หน่วยงานพิเศษของสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถดักฟังได้ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขากังวลเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายมาแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าทำไมชาวยุโรปก็พากันไปซื้อ Mate 60 Pro สมาร์ตโฟนระดับ 5G ที่หัวเหว่ยเปิดขายเมื่อเร็วๆ นี้ 

ทั้งนี้ รายงานข่าวของสื่อจีนระบุว่า ช่วง 7 วันแรก ยอดสั่งซื้อ Mate 60 Pro เกินกว่า 15 ล้านเครื่องแล้ว

‘สภาเม็กซิโก’ โชว์ร่างมัมมี่อายุพันปี หน้าตาคล้าย ‘มนุษย์ต่างดาว’ ด้านผู้ค้นพบ กร้าว!! “พวกเรากำลังเจอกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์

(14 ก.ย. 66) สำนักข่าวเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์ รวมถึงสื่อต่างชาติอีกหลายสำนัก ต่างรายงานข่าวน่าตื่นเต้น ซึ่งเกิดขึ้นกลางที่ประชุมสภาของเม็กซิโก เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากมีการนำร่างที่ถูกระบุว่า “ไม่ใช่ร่างของมนุษย์” จำนวน 2 ร่าง มาแสดงระหว่างการไต่สวนสาธารณะเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกของสภาเม็กซิโก ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในการนำเรื่องของมนุษย์ต่างดาวมาพูดในสภาเม็กซิโก

โดยนายเจมี เมาส์ซัน นักข่าวและนักวิจัยชาวเม็กซิกัน ซึ่งเป็นผู้ค้นพบซากฟอสซิลดังกล่าว ที่ประเทศเปรู เมื่อปี ค.ศ.2017 เป็นผู้นำซากฟอสซิลทั้งสองมาที่ประชุมสภาเม็กซิโก ซึ่งเป็นร่างสีเทา โครงหน้ามีความเหมือนกับมนุษย์ และมีนิ้วข้างละ 3 นิ้ว โดยมีกะโหลกศีรษะที่นูนออกมามากกว่ามนุษย์ทั่วไป

นายเมาส์ซัน กล่าวว่า ซากมัมมี่นี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่ไม่อยากเรียกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากยังไม่รู้ความจริง พร้อมอ้างอิงข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์คาร์บอน โดยมหาวิทยาลัยออโตโนมัสแห่งชาติ เม็กซิโก ที่ระบุว่า “ซากมัมมี่นี้ มีอายุมากถึงราว 1,000 ปี”

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานว่า เคยมีการค้นพบซากฟอสซิลในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว และถูกพิสูจน์ได้ในเวลาต่อมาว่า เป็นซากของ “มัมมี่เด็ก”

ขณะที่นายเมาส์ซัน ซึ่งได้ยกมือสาบานต่อสภาฯ ว่าจะพูดความสัตย์จริงต่อสภาฯ ระบุว่า สิ่งที่ปรากฏนี้เป็นที่แน่ชัดว่า เรากำลังเจอกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวโยงกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใดๆ บนโลกนี้ และอาจจะต้องมีการเปิดให้สถาบันวิทยาศาสตร์ใดๆ ทำการสอบสวนเรื่องดังกล่าว ก่อนจะบอกว่า “เราไม่ได้อยู่ลำพัง”

การนำร่างมัมมี่ดังกล่าว ที่ดูเหมือนกับมนุษย์ต่างดาวมาแสดงในที่ประชุมสภา ทำให้เกิดความรู้สึกหลากหลายบนโลกออนไลน์ ทั้งการแปลกใจ ความไม่เชื่อ และบางคนก็เยาะเย้ยการกระทำดังกล่าว เนื่องจากไม่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง

‘Google’ สั่งปลดพนักงานฝ่ายบุคคลหลายร้อยตำแหน่ง อ้างเหตุผล บริษัทชะลอการจ้างงาน เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ

(14 ก.ย. 66) รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ‘อัลฟ่าเบท’ (Alphabet) บริษัทแม่ของ ‘กูเกิล’ (Google) ตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานจากทีมสรรหาบุคลากรหลายร้อยตำแหน่ง เนื่องจากบริษัทยังคงชะลอการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง

การตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเลิกจ้างครั้งใหญ่ เพราะบริษัทจะยังคงรักษาพนักงานส่วนที่สำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป และผลักดันให้พนักงานค้นหาบทบาทการทำงานในบริษัทที่ตรงกับความต้องการของตนเอง

Alphabet เป็นบิ๊กเทคแห่งแรกที่เลิกจ้างพนักงานในไตรมาสนี้ หลังจากที่บริษัทอื่น ๆ เช่น เมตา (Meta), ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอมะซอน (Amazon) ปรับลดขนาดองค์กรและลดจำนวนพนักงานในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจอ่อนแอ

ก่อนหน้านี้ ในเดือน ม.ค. 2566 Alphabet เลิกจ้างพนักงานในรัฐแคลิฟอร์เนียประมาณ 12,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 6% ของพนักงานทั้งหมด

นอกจากนี้ รอยเตอร์ยังอ้างอิงรายงานของ Challenger, Grey & Christmas บริษัทจัดหางานในสหรัฐที่ระบุว่า การเลิกจ้างในสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในเดือน ส.ค. จากเดือน ก.ค. และเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าปี

‘อียู’ สั่งสอบรถยนต์ไฟฟ้าของ 'จีน' หลังพบราคาถูกเกินไป หวั่นยุโรปได้รับผลกระทบ หากเป็นการขายเพื่อตัดราคาคู่แข่ง

(14 ก.ย. 66) อียูจะทำการสืบสวนการอุดหนุนรถไฟฟ้าโดยภาครัฐจีน จากการเปิดเผยของอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อวันพุธ (13 ก.ย.) พร้อมประกาศปกป้องอุตสาหกรรมยุโรปจาก ‘ราคาขายต่ำแบบเทียมๆ’

"เวลานี้ตลาดโลกท่วมไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกกว่าของจีน และราคาของรถเหล่านั้นถูกคงไว้ในระดับต่ำแบบเทียมๆ ด้วยการอุดหนุนมหาศาลของภาครัฐ" ฟอน แดร์ ไลเอิน กล่าวระหว่างปราศรัยต่อรัฐสภายุโรปในสตาร์บวร์ก

ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวต่อว่าการสืบสวนนี้อาจนำมาซึ่งการที่สหภาพยุโรปกำหนดจัดเก็บภาษีกับรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านั้น ที่เชื่อว่าถูกวางจำหน่ายในราคาถูกอย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งเป็นการขายตัดราคาบรรดาคู่แข่งสัญชาติยุโรปทั้งหลาย "ยุโรปเปิดกว้างสำหรับการแข่งขัน แต่ไม่ใช่การแข่งขันที่นำไปสู่จุดเสื่อม"

มีรายงานข่าวว่า ฝรั่งเศสคือชาติที่ผลักดันให้ ฟอน แดร์ ไลเอิน เปิดการสืบสวน ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วยุโรป ต่อกรณีที่ทวีปแห่งนี้ต้องพึ่งพิงผลิตภัณฑ์ของจีน

บรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติยุโรปต่างชื่นชมการสืบสวนในครั้งนี้ โดยมองมันในฐานะสัญญาณในทางบวก "คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังตระหนักถึงสถานการณ์ที่ไม่สมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ ที่อุตสาหกรรมของพวกเราต้องเผชิญ และกำลังพิจารณาอย่างเร่งด่วนต่อการแข่งขันที่บิดเบี้ยวในภาคอุตสาหกรรมของเรา" Sigrid de Vries ผู้อำนวยการทั่วไปของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งยุโรปกล่าว

เธียร์รี เบรตอง หัวหน้าตลาดภายในของอียู กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนเกี่ยวกับแนวโน้มหนึ่งที่กำลังก่อตัวขึ้น แนวโน้มที่ยุโรปกำลังถูกผลักไปเป็นผู้นำเข้าสุทธิยานยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์

ขณะเดียวกัน พวกผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า จีน อาจแซงหน้าญี่ปุ่น กลายเป็นชาติผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกในปีนี้

ฝรั่งเศสมีความกังวลอย่างยิ่งว่า ยุโรปจะตกเป็นฝ่ายตามหลังถ้าไม่ดำเนินการเชิงรุกมากกว่านี้ ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความเคลื่อนไหวต่างๆ ของจีน ที่มีการกีดกันทางการค้ามากกว่า

ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศสได้แถลงมาตรการต่างๆ ที่จะมอบการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ บนพื้นฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเหล่าผู้ผลิต ซึ่งมันจะทำให้รถยนต์ของจีนเจองานที่ยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้ผลิตสัญชาติจีนมักพึ่งพิงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน

ฟอน แดร์ ไลเอิน เรียกร้องให้อียูกำหนดแนวทางของตนเองในการรับมือกับจีน แต่บรรดามหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของยุโรปบางส่วนอยากให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงถูกตัดขาดความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

แม้แสดงออกด้วยคำพูดที่แข็งกร้าว แต่ ฟอน แดร์ ไลเอิน กล่าวเช่นกันว่า มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับยุโรปที่ต้องธำรงไว้ซึ่งการติดต่อสื่อสารและการทูตกับจีน "เพราะว่ายังมีหัวข้อต่างๆ ที่เราสามารถและมีความร่วมมือระหว่างกัน ลดความเสี่ยง ไม่ใช่เพิ่มเป็นทวีคูณ นี่คือท่าทีของฉันที่มีต่อพวกผู้นำจีน ณ ที่ประชุมซัมมิตอียู-จีน ในช่วงปลายปี"

‘ไต้หวัน’ โวย!! พบเครื่องบิน 28 ลำของกองทัพจีน บินเข้ามาในเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวัน

(14 ก.ย. 66) กระทรวงกลาโหมไต้หวัน แถลงว่า พบเครื่องบิน 28 ลำของกองทัพอากาศจีน อยู่ในเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวันเมื่อเช้าวันที่ (13 กันยายน) ซึ่งเครื่องบินเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจีน เพื่อก่อกวนไต้หวัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไต้หวันออกมาระบุว่า จีนยกระดับการทำกิจกรรมทางทหารใกล้เกาะไต้หวันเพิ่มมากขึ้น และจีนแสวงหาการอ้างอธิปไตยเหนือไต้หวันมาตลอด แม้ไต้หวันปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่จีนมองว่า ไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่

กระทรวงกลาโหมไต้หวัน ระบุต่อไปว่า เมื่อเวลาประมาณ 06.00 ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องบินรบจีนหลายสิบลำ รวมถึงเครื่องบินขับไล่ เจ-10 ได้บินเข้ามาทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวัน

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินรบบางลำของจีน บินข้ามช่องแคบบาชิ เพื่อปฏิบัติการซ้อมรบร่วมกับเรือบรรทุกเครื่องบินซานตงในมหาสมุทรแปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม กองกำลังไต้หวัน เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงส่งเครื่องบินขับไล่ปกป้องน่านฟ้า ซึ่งไต้หวันมักใช้วิธีส่งเครื่องบินขับไล่พิทักษ์น่านฟ้า เพื่อตอบโต้ที่เครื่องบินรบจีนรุกล้ำน่านฟ้า 
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันจันทร์ (11 กันยายน) กระทรวงกลาโหมไต้หวัน เปิดเผยว่า กองเรือรบจีนนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินซานตง ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อซ้อมรบ

‘ซีเรีย’ ร้อง!! UN จัดการ ‘สหรัฐฯ’ ให้จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหาย หลังใช้สงครามบังหน้า ก่อนเข้ายึดครองดินแดน-ขโมยน้ำมัน

(14 ก.ย. 66) ‘ซีเรีย’ เรียกร้องสหประชาชาติ ให้ดำเนินการเอาผิดกับสหรัฐฯ ต่อกรณียึดครองดินแดนบางส่วนของซีเรีย เช่นเดียวกับลอบสกัดทรัพยากรทางธรรมชาติในพื้นที่เหล่านั้นอย่างผิดกฎหมาย ตามรายงานของสำนักข่าวซานา สื่อมวลชนแห่งรัฐเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้แล้ว ดามัสกัส ยังเรียกร้องขอเงินชดเชยจากวอชิงตัน สำหรับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า เป็นการปล้นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศ

ในรายงานชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) สำนักข่าวซานา อ้างอิงหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย ที่ส่งถึง ‘อันโตนิโอ กูเตอร์เรส’ เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ แอลเบเนีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประจำเดือนกันยายน

โดยในหนังสือดังกล่าว เรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศแห่งนี้หยุดสหรัฐฯ จากการละเมิดกฎหมายสากลและกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยการประจำการทหารอย่างผิดกฎหมาย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย อ้างอีกว่า นอกจากนี้แล้ว วอชิงตันและกลุ่มติดอาวุธพันธมิตร ยังกระทำผิดด้วยการฉกชิงทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ และความมั่งคั่งของประเทศอีกด้วย

ในหนังสือดังกล่าวได้ประเมินความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและเหมืองที่มั่งคั่งของซีเรีย จากฝีมือของกองทัพสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2011 จนถึง 2023 อยู่ที่ประมาณ 115,200 ล้านดอลลาร์

โดยในหนังสือได้ปิดท้าย เรียกร้องให้ลงโทษพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ สำหรับการขโมยและบอกว่ารัฐบาลอเมริกาจำเป็นต้องจ่ายชดเชยแทนคนเหล่านี้ นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเรียกร้องให้ถอนบุคลากรทางทหารของอเมริกาทุกรายออกจากซีเรีย พร้อมกับคืนบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งหมด กลับคืนสู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลซีเรีย

เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว พลเอกมาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมแห่งกองทัพสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ทหารอเมริกาจะยังคงประจำการในประเทศแห่งนี้ต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้ โดยเน้นว่า วอชิงตันจะไม่มีวันเดินหนีออกจากตะวันออกกลาง อ้างถึงอันตรายจากพวนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในภูมิภาค นอกจากนี้ เขายังยอมรับว่าน้ำมันเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่อเมริกาจะไม่ถอนตัวจากภูมิภาคนี้

‘ซีเรีย’ ดำดิ่งสู่ความขัดแย้งในปี 2011 เมื่อกลุ่มฝ่านค้านลุกฮือต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด จากนั้นในปี 2015 อัสซาดเผชิญกองทัพรัสเซียเข้าช่วยเหลือกองกำลังของพวกเขาในการสู้รบกับกลุ่มไอเอส ในขณะที่สหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการทางทหารของตนเองหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ทว่าไม่ได้เป็นการเชิญจาก อัสซาด แต่อย่างใด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top