Friday, 19 April 2024
WORLD

‘จีน’ เดินหน้าปราบอาชญากรรม ‘แลกเปลี่ยนเงินตรา ตปท.’ ผิด กม. ทลายแล้วกว่า 200 คดี ภายใน 2 ปี พร้อมออก กม.ควบคุมเข้มข้น

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักบริหารเงินตราต่างประเทศแห่งรัฐของจีน ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานตุลาการทั่วประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบปรามคดีอาชญากรรมอันเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เช่น การดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย คิดเป็นจำนวนมากกว่า 200 คดี

รายงานระบุว่า สำนักบริหารฯ ได้จัดการกรณีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย การหลีกเลี่ยง การฉ้อโกง และการละเมิดข้อบังคับอื่นๆ มากกว่า 1,100 กรณี ซึ่งนำสู่การปรับเงินรวม 1.5 พันล้านหยวน (ราว 7.44 พันล้านบาท)

ด้านสำนักงานอัยการประชาชนสูงสุดของจีน ประกาศเตือนเกี่ยวกับข้อมูลการแลกเปลี่ยนกองทุนที่ผิดกฎหมายจำนวนมาก บนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ และแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด โดยสำนักงานฯ จะทำงานร่วมกับสำนักบริหารฯ เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือทางตุลาการ ในการรักษาระเบียบของตลาดเงินตราต่างประเทศ

‘บริษัทจีน’ ผลิต 'ลานจอดเฮลิคอปเตอร์' แบบเคลื่อนที่ได้ กางออกพร้อมใช้ใน 10 นาที แถมสะดวกต่อพื้นที่ที่ซับซ้อน

(27 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชวนชมการสาธิตกาง ‘ลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเคลื่อนที่ได้’ หรือโมบาย เฮลิแพด (Mobile Helipad) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองโดยเซนซา เอวิเอชัน (SENSHA Aviation) บริษัทในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน

ลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเคลื่อนที่ได้นี้รับรองการขึ้นบินและลงจอดแนวดิ่งของอากาศยานด้วยความคล่องตัวสูง ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่การขึ้นบนและลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน

‘โมบาย เฮลิแพด’ ซึ่งสามารถวิ่งสัญจรบนถนนหากอยู่ในสถานะพับเก็บ จะกลายเป็นลานกว้าง 9 เมตร ยาว 13 เมตร และมีพื้นที่ 117 ตารางเมตร เมื่อถูกกางออกมาภายในระยะเวลา 10 นาที

ทั้งนี้ ‘โมบาย เฮลิแพด’ ได้ผ่านการตรวจสอบรับรองผลทดสอบเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินและลงจอดแล้ว และจะเข้าสู่กระบวนการผลิตปริมาณมากอย่างเป็นทางการภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 การใช้งานหลักจะเป็นการลาดตระเวนในแนวหน้าและสภาพแวดล้อมซับซ้อนอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้การขึ้นบินและลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่พื้นดินหรือบนหลังคาเท่านั้น

‘จีน’ ออกแผนส่งเสริมความเจริญร่วมกัน ผ่าน ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ หนุนสร้างความสมดุลในการพัฒนา-อุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

(27 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักข้อมูลระดับชาติของจีน รายงานว่า จีนได้ออกแผนการดำเนินงานว่าด้วยการสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่และดีขึ้น

แผนการข้างต้นร่วมออกโดยสำนักฯ และคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ มุ่งสนับสนุนการบูรณาการเชิงลึกของเทคโนโลยีดิจิทัลและภาคเศรษฐกิจจริง พร้อมกับแก้ไขปัญหาการพัฒนาอันไม่สมดุล และไม่เพียงพอผ่านวิธีการทางดิจิทัล

จีนควรมีความก้าวหน้าเชิงบวกในการอุดช่องโหว่ระหว่างภูมิภาค พื้นที่เมืองและชนบท กลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน ตลอดจนการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2025

ต่อจากนั้น จีนควรมีความก้าวหน้าอันเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2030 โดยมีชุดแนวปฏิบัติทางนวัตกรรมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก พร้อมใช้ซ้ำและส่งเสริมทั่วประเทศ

แผนการข้างต้นกำหนดการเตรียมการ 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาระดับภูมิภาคเชิงประสานผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล เดินหน้าการพัฒนาทางดิจิทัลในชนบท เพิ่มพูนความรู้ทางดิจิทัลของสาธารณชนเพื่อการจ้างงานที่ดีขึ้น และเกื้อหนุนการบริการทางสังคมอันครอบคลุมผ่านวิธีการทางดิจิทัล

ชาวเน็ตขำก๊าก!! หลังเปิดตัว 'รถยนต์ไฟฟ้า’ คันแรกของ ‘รัสเซีย’  ชี้!! ดีไซน์แปลก-สะดุดตา ยกเป็น ‘รถยนต์ที่น่าเกลียดที่สุดในโลก’

(26 ธ.ค.66) แอมเบอร์ ยันตาร์ (Amber Yantar) รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบรุ่นใหม่จากรัสเซียได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเพราะรูปลักษณ์ภายนอก หลังเปิดตัวโดย Avtotor ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติรัสเซียในเมืองคาลินินกราด ร่วมมือกับสถาบันโพลีเทคนิคมอสโก เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา รถคันนี้กล่าวกันว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของรัสเซียที่ผลิตโดยรัสเซีย 100%

งานนี้ รถยนต์ไฟฟ้ามีการออกแบบที่สะดุดตาและดึงดูดจินตนาการของผู้ชม ทำให้แฟน ๆ หัวเราะกับรูปลักษณ์จนขนานนามว่าเป็นรถยนต์น่าเกลียดที่สุดในโลก ตามรายงานแอมเบอร์ ยันตาร์ดูเหมือนจะเป็นผู้สืบทอดของ Fiat Multipla ปี 1998

ทางบริษัท Avtotor ประกาศว่ามีแผนจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแอมเบอร์ ยันตาร์ให้ได้มากถึง 50,000 คันในปี 2568 ที่โรงงานในเมืองคาลินินกราด โดยเสริมว่าส่วนประกอบหลักทั้งหมด เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า อินเวอร์เตอร์ แผงควบคุม และแบตเตอรี่ทั้งหมดจะได้รับการออกแบบและผลิตในรัสเซีย

แม้จะมีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคน้อยมาก แต่รถไฟฟ้าแอมเบอร์ ยันตาร์ มีราคาไม่แพงมากและมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 25kW/h นอกจากนี้ ผู้ขับขี่รถยนต์ยังสามารถเช่าแบตเตอรี่แทนการซื้อได้ รถจะไปถึงความเร็วสูงสุดที่ 105 กม./ชม. (65 ไมล์ต่อชั่วโมง)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นรถแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่สนใจด้านเทคนิค เพราะมีแต่คนสนใจในเรื่องของรูปลักษณ์มากกว่าทำให้เกิดมีมและเรื่องตลกนับไม่ถ้วนในโลกออนไลน์ ทั้งนี้ ทางบริษัทไม่นิ่งนอนใจเผยว่า รถไฟฟ้าจะมีการออกแบบที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเข้าสู่การผลิต และนี่เป็นเพียงต้นแบบรถยนต์ในการทดสอบ

130 ปี รำลึก ‘เหมา เจ๋อตง’ ความเงียบเหงา เพราะ ‘หนุ่ม-สาวจีน’ เหินห่าง ภายใต้ค่านิยม ‘นอนหายใจทิ้ง’ ที่กำลังท้าทายพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

วันที่ 26 ธันวาคม 2566 รัฐบาลปักกิ่งจีนได้เตรียมงานฉลองวันคล้ายวันเกิด ให้กับ 'เหมา เจ๋อตง' อดีตผู้นำ และนักปฏิวัติผู้ก่อตั้ง วางรากฐานระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และได้รับการขนานนามว่า ‘บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน’

เหมา เจ๋อตง เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2436 หากท่านประธานเหมา มีชีวิตถึงวันนี้ ก็จะมีอายุครบ 130 ปีพอดี  

โดยปกติ รัฐบาลจีนจะจัดงานรำลึก วันคล้ายวันเกิดให้แก่ เหมา เจ๋อตง เป็นประจำทุกปีอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งงานพิธีทางการที่จะจัดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง และ ที่บ้านเกิดของเขา ที่เมืองเฉาชาน ในมณฑลหูหนาน 

แต่ทว่าในปีนี้ รัฐบาลจีนตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบพิธีให้เรียบง่ายกว่าที่ผ่าน ๆ มา แม้แต่งานรำลึกที่บ้านเกิดของ เหมา เจ๋อตง ก็มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม โดยแหล่งข่าวในจีนเปิดเผยว่า ทางการจีนไม่ต้องการให้งานรำลึกของ เหมา เจ๋อตง โดดเด่นจนเกินไป เพื่อป้องกันการถูกโยงไปเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มแนวคิดฝ่ายขวา และ ฝ่ายซ้าย ที่โต้แย้งกันถึงปรัชญาแนวทางในระบอบสังคมนิยมของเหมา เจ๋อตง ที่ผ่านมาว่าถูกต้อง เหมาะสมกับจีนหรือไม่

โดยเฉพาะในยุคสมัยใหม่ ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคม และ เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปจากโลกเมื่อ 50 ปีก่อน ในช่วงที่ เหมา เจ๋อตง เชื่อมั่นว่าสามารถสร้างชาติจีนที่มั่งคั่ง เสมอภาค และ เท่าเทียมได้ด้วยการ ‘ปฏิวัติวัฒนธรรม’ หนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความแตกแยกในสังคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน 

แต่ทั้งนี้ เหมา เจ๋อตง มักถูกยกให้เป็นดั่งผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้วางรากฐานอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนที่สังคมจีนจะเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์โดย เติ้ง เสี่ยวผิง ด้วยการเปิดประเทศ และรับเอารูปแบบเศรษฐกิจระบบทุนนิยม มาผสมผสานเป็นระบอบสังคมนิยมใหม่ ที่ส่งเสริมการแข่งขันของภาคเอกชนในตลาดเสรีมากขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน 

แต่เมื่อมาถึงยุคของผู้นำ สี จิ้นผิง ผู้ที่ประกาศเจตนารมณ์ในการสืบทอดอุดมการณ์ของ เหมา เจ๋อตง และมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายอย่าง โดยเน้นนโยบายรวมศูนย์มากขึ้น บริหารงานผ่านระบบรัฐวิสาหกิจ มากกว่าภาคเอกชน เพื่อรัฐสามารถควบคุมได้ง่าย 

รวมถึงนโยบายตัดตอนกลุ่มนายทุนใหญ่ในภาคธุรกิจการเงิน เทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ และการศึกษาที่ผ่านมา ส่งผลต่อกระทบต่อการขยายตัวของธุรกิจเอกชนขนาดย่อยในประเทศอย่างมาก 

ทับถมด้วยเศรษฐกิจที่หยุดชะงักจากช่วงวิกฤติ Covid-19 และ ปัญหาฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ทำให้หนุ่ม-สาวจีนรุ่นใหม่รู้สึกสิ้นหวัง ขาดแรงจูงใจในการต่อสู้เพื่อก่อร่าง สร้างตัว ด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่น ซึ่งแตกต่างจากคนจีนรุ่นก่อน ๆ ในยุคสร้างชาติ 

จนเกิดวัฒนธรรมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกว่า ‘ถั่งผิง’ - นอนหายใจทิ้ง และ ‘ไป่ลั่น’ - ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เพราะคิดว่าการทำงานหนัก เพื่อสร้างฐานะ กลายเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อม

ดังนั้น หนุ่ม-สาว จีนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกเฉยชา และไม่ค่อยอินกับปรัชญาอุดมการณ์ของเหมา เจ๋อตง ส่งผลให้งานรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดอดีตผู้นำที่มักถูกยกย่อง เทิดทูนให้เป็น 'บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน' ก็ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อย ๆ

ประกอบกับภาพลักษณ์ของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบัน ถูกมองว่าซ้อนทับกับอัตลักษณ์ของ เหมา เจ๋อตง ในแง่การกระชับอำนาจทางการเมืองสูงสุดได้อย่างเบ็ดเสร็จ และการแก้รัฐธรรมนูญให้ผู้นำจีนสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่จำกัดสมัย ซึ่งอาจจะไม่ใช่แง่ดีนักในมุมมองของหนุ่ม-สาวจีนยุคใหม่ 

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่รัฐบาลจีน ตัดสินใจลดทอนงานรำลึกถึง เหมา เจ๋อตง ให้เรียบง่ายลง เพื่อหลีกเลี่ยงการจุดประเด็นที่ถกเถียงในสังคม แต่ยังคงไว้ซึ่งพิธีการที่สำคัญ ตามแบบฉบับคุณธรรมของชาวจีน ที่ต้องมีการรำลึกบรรพบุรุษ ที่อุทิศตนทำงานหนักเพื่อสร้างชาติ ดังเช่น ส่วนหนึ่งในบทความที่ สี จิ้นผิง เคยเขียนไว้ว่า...

"การรำลึกถึงสหาย เหมา เจ๋อตง ที่ดีที่สุดคือ การสืบทอดเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ ที่เขาและเหล่าสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ ได้ทุ่มเท ทำงานอย่างหนักเพื่อบ้านเมือง และเขียนประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ให้ได้” 

ในวันที่อุดมการณ์เหล่านั้น กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะทำเช่นไรต่อไป คงต้องติดตามดูกัน...

รถไฟความเร็วสูง ‘จาการ์ตา-บันดุง' กระแสตอบรับดี!! ยอดโดยสารทะลุ 1 ล้านครั้ง หลังเปิดให้บริการตั้งแต่ ต.ค.

(26 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด เปิดเผยว่าทางรถไฟความเร็วสูงสายจาการ์ตา-บันดุง ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกในอินโดนีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับรองการเดินทางของผู้โดยสารมากกว่า 1 ล้านครั้งแล้ว นับตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินงานเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 2023

รายงานระบุว่า การเดินทางของผู้โดยสารทางรถไฟความเร็วสูงสายจาการ์ตา-บันดุง ได้สูงแตะหลัก 1 ล้านครั้งเมื่อวันอาทิตย์ (24 ธ.ค.) โดยจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทพีที เคเรตา เซปาต อินโดนีเซีย-ไชน่า (KCIC) กิจการร่วมค้าระหว่างบริษัทอินโดนีเซียและจีนที่ก่อสร้างและดำเนินงานทางรถไฟสายนี้ เพิ่มการเดินรถจาก 14 เป็น 48 เที่ยวต่อวัน

คณะทำงานจากจีนและอินโดนีเซียได้ร่วมผลักดันการดำเนินงานที่มีคุณภาพสูงของทางรถไฟความเร็วสูงสายนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม โดยมีการส่งเสริมการจำหน่ายบัตรโดยสารทางออนไลน์ การปรับปรุงขึ้น-ลงรถไฟของผู้โดยสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ เข้ากับทางรถไฟสายนี้

นอกจากนั้นมีการเปิดให้บริการร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อที่สถานีรถไฟฮาลิม สถานีรถไฟปาดาลารัง และสถานีรถไฟเตกัลลัวร์ รวมถึงมีการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนขบวนรถไฟด้วย

อนึ่ง ทางรถไฟความเร็วสูงสายจาการ์ตา-บันดุง ระยะทาง 142.3 กิโลเมตร มีความเร็วออกแบบ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะย่นระยะเวลาการเดินทางระหว่างกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และนครบันดุงในจังหวัดชวาตะวันตก จากกว่า 3 ชั่วโมง เหลือราว 40 นาที

‘อิสราเอล’ บุกโจมตีทางอากาศใน ‘ซีเรีย’ เด็ดชีวิต!! ที่ปรึกษาระดับสูงกองทัพอิหร่าน

(26 ธ.ค.66) อิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่พื้นที่รอบนอกกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.) สังหารที่ปรึกษาระดับสูงรายหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวด้านความมั่นคง 3 รายและสื่อมวลชนแห่งรัฐอิหร่าน ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง สืบเนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส

แหล่งข่าวบอกกับรอยเตอร์ว่า ที่ปรึกษารายดังกล่าวก็คือซายเยด ราซี มัวซาวี ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบประสานงานพันธมิตรทหารระหว่างซีเรียกับอิหร่าน

"ผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวของต่างประเทศ ในเรื่องเหล่านี้หรืออื่นๆ ในตะวันออกกลาง" พล.ร.ต.ดาเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอลกล่าว ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวรายหนึ่ง "แน่นอนว่ากองทัพอิสราเอลมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของอิสราเอล"

สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของอิหร่าน แทรกรายงานข่าวปกติ ด้วยการออกอากาศคำแถลงแจ้งว่า มัวซาวี ถูกสังหาร พร้อมให้คำจำกัดความเขาว่าเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาเก่าแก่ที่สุดของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านในซีเรีย

นอกจากนี้แล้วสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของอิหร่าน ยังระบุด้วยว่า มัวซาวี เป็นหนึ่งในผู้ติดตามของ พล.ต.กาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ (Quds) แห่งกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ซึ่งเสียชีวิตในอิรัก ในปฏิบัติการโดรนโจมตีของสหรัฐฯ เมื่อปี 2020

ฮอสเซน อัคบารี เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำดามัสกัสให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ ว่า มัวซาวี มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ณ สถานทูต ในฐานะผู้แทนทูต และถูกสังหารโดยจรวดของอิสราเอล ขณะเดินทางจากที่ทำงานมุ่งหน้ากลับบ้าน

เอบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวว่าเหตุลอบสังหารมัวซาวี แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในส่วนของอิสราเอล "การกระทำนี้เป็นสัญญาณถึงความผิดหวังและความอ่อนแอของระบอบไซออนิสต์ในภูมิภาค ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องชดใช้ราคาแพง"

กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน บอกว่าอิสราเอลจะต้องทุกข์ทรมานจากการสังหารมัวซาวี ซึ่งประดับยศนายพลจัตวาแห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติ "รัฐบาลไซออนิสต์ผู้แย่งชิงและป่าเถื่อน จำเป็นต้องชดใช้อาชญากรรมนี้"

นาสเซอร์ คานานี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน บอกกับสื่อมวลชนแห่งรัฐว่า "อิหร่านขอสงวนสิทธิ์ในการใช้มาตรการต่างๆ ที่จำเป็น เพื่อตอบโต้การกระทำนี้ ณ เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม"

ในส่วนของญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ก็ประณามการสังหารมัวซาวีเช่นกัน โดยเรียกมันว่าเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดตาขาว พร้อมเผยว่ามัวซาวี มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนขบวนการต่อต้านในภูมิภาค เช่นเดียวกับประชาชนชาวปาเลสไตน์และเหตุผลของชาวปาเลสไตน์

เป็นเวลานานหลายปีแล้ว ที่อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีในสิ่งที่พวกเขาให้คำจำกัดความว่าเป็นเป้าหมายต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับอิหร่านในซีเรีย ประเทศที่อิทธิพลของเตหะรานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่อิหร่านให้การสนับสนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในสงครามกลางเมือง ที่ปะทุขึ้นในซีเรียเมื่อปี 2011

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน อิหร่านบอกว่าการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ได้สังหารสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน 2 นายในซีเรีย ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางทหารแก่ซีเรีย

อิหร่าน ส่งสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติหลายร้อยนาย ในฐานะที่ปรึกษา เข้าไปช่วยฝึกฝนและจัดระบบแก่พวกนักรบติดอาวุธชีอะห์หลายพันคนจากอิรัก อัฟกานิสถานและปากีสถาน เพื่อสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีอัสซาด ในความขัดแย้งในซีเรีย ขณะที่นักรบจากกลุ่มฮิบบอลเลาะห์ในเลบานอน ก็ทำงานใกล้ชิดกับบรรดาผู้บัญชาการทหารของอิหร่านในซีเรียเช่นกัน

‘EEA’ ชี้ ระดับ ‘มลพิษทางอากาศ’ ในยุโรปยังเสี่ยงสูง แถมคร่าชีวิตคน - ทำให้บางโรคทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

(25 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรป (EEA) เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เตือนว่าปัจจุบันมลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดในยุโรป โดยความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในปี 2021 ยังคงสูงเกินระดับที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำในแนวปฏิบัติเกี่ยวกับคุณภาพอากาศ

รายงานระบุว่า การลดมลพิษทางอากาศสู่ระดับตามแนวปฏิบัติข้างต้นจะป้องกันการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากสหภาพยุโรปมีการเสียชีวิตเนื่องด้วยมลพิษทางอากาศหลัก 3 ประเภท ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โอโซน และไนโตรเจนไดออกไซด์ มากกว่า 320,000 รายในปี 2021

จำนวนการเสียชีวิตข้างต้นแบ่งเป็นการเสียชีวิตเนื่องด้วยมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ราว 253,000 ราย มลพิษจากไนโตรเจนไดออกไซด์ 52,000 ราย มลพิษจากการสัมผัสโอโซนระยะสั้น 22,000 ราย

อย่างไรก็ดี จำนวนการเสียชีวิตเนื่องด้วยมลพิษทางอากาศทั่วยุโรปในปี 2021 จะสูงแตะ 389,000 ราย หากนับรวมตัวเลขของกลุ่มประเทศยุโรปที่อยู่นอกสหภาพยุโรปด้วย

สำนักงานฯ เสริมว่าการสัมผัสมลพิษทางอากาศทำให้เกิดหรือทำให้บางโรคทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหอบหืด และโรคเบาหวาน หากพิจารณาจากการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพฉบับใหม่

‘4 ชาติยุโรป’ ยกระดับความปลอดภัยช่วง ‘คริสต์มาส-ปีใหม่’ หวั่น!! ภัยคุกคามจากก่อการร้าย หลังพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

หลายชาติในยุโรปตรึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยเข้มในช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ เนื่องจากหวั่นภัยก่อการร้าย หลังพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และเกิดเหตุทำร้ายชาวยุโรปในกรุงปารีสก่อนหน้านี้ 

(25 ธ.ค.66) ก่อนหน้านี้มีการรายงานว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ส่งผลให้ยุโรปเสี่ยงภัยก่อการร้ายมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปก็ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าวและได้หารือถึงการยกระดับการรักษาความปลอดภัย

ต่อมามติชนรายงานว่า ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และสเปน เป็นหนึ่งในชาติยุโรปที่เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นขึ้นรับช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยคุกคามจากการก่อการร้าย 

ที่ฝรั่งเศส นายเฌราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีมหาดไทยโพสต์บน X เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม สั่งการให้ตำรวจและสารวัตรทหารเพิ่มการรักษาการณ์ตามโบสถ์ต่างๆ ทั่วประเทศ “เพื่อปกป้องชาวคริสเตียนที่จะมาร่วมเฉลิมฉลองคริสมาสต์ในเย็นวันนี้และเช้าวันพรุ่งนี้”

ขณะที่ทางการเยอรมนีได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้นบริเวณมหาวิหารเมืองโคโลญ โดยนายไมเคิล เอสเซอร์ ผู้บัญชาการตำรวจเมืองโคโลญจ์ แถลงว่า ตำรวจจะทำทุกอย่างเพื่อรับรองความปลอดภัย โดยผู้ที่เดินทางมายังโบสถ์ทุกคนจะถูกตำรวจค้นอย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ ตำรวจพร้อมสุนัขดมกลิ่มได้ตรวจค้นหา หลังจากมีรายงานกลุ่มติดอาวุธอิสลามิกมีแผนที่จะก่อเหตุโจมตีโบสถ์ในช่วงวันคริสต์มาสอีฟ หรือช่วงปีใหม่

ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ตำรวจได้เพิ่มการวางกำลังรักษาความปลอดภัยช่วงฉลองเทศกาลคริสต์ โดยตำรวจออสเตรีย ระบุว่า ในขณะที่ผู้ก่อการร้ายทั่วยุโรปเรียกร้องให้มีการโจมตีงานฉลองของชาวคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราววันที่ 24 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจึงได้เพิ่มมาตรการป้องกันที่สอดคล้องในพื้นที่สาธารณะในกรุงเวียนนาและรัฐต่างๆ

นอกจากนี้ มีรายงานว่า ตำรวจออสเตรียได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 4 คน ที่ต้องสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกองกำลังรัฐอิสลามแห่งโคราซาน ซึ่งแตกหน่อมาจากกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง

‘หญิงสหรัฐฯ’ ตั้งท้องลูก 2 คน จุดพีก!! อยู่คนละมดลูก ทำให้ทีมแพทย์ต้องทำงานหนัก 20 ชั่วโมงในวันคลอด

(24 ธ.ค.66) เคลซีย์ แฮทเชอร์ วัย 32 ปี ชาวสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเองตั้งครรภ์อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา และผลการตรวจก็ทำให้แพทย์ประจำตัวของเธอต้องช็อก

เพราะคุณแม่รายนี้มีลูกมาแล้ว 3 คน ใครๆ ก็คิดว่าท้องที่ 4 ของเธอคงจะเป็นเรื่องชิลๆ ที่รับมือง่าย แต่ใครจะคิดว่าการอัลตราซาวนด์ครั้งแรกของเธอจะพบสิ่งที่หายากหนึ่งในล้าน

ย้อนกลับไปตอนที่ เคลซีย์ อายุ 17 ปี เธอได้รับการวินิจฉัยว่ามีมดลูกแฝด (uterus didelphys) เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นได้ยากในผู้หญิงประมาณร้อยละ 0.3

และเพราะแบบนั้น เคลซีย์ จึงใส่ใจทุกการตั้งครรภ์ เนื่องจากคนที่มดลูดแฝดเสี่ยงแท้งได้ง่ายกว่าคนปกติการตรวจทำให้แพทย์พบว่า เคลซีย์ กำลังตั้งครรภ์ลูก 2 คน โดยเด็กอยู่กันคนละมดลูก

วันกำหนดคลอดกลายเป็นงานหินที่สุดของคุณแม่รายนี้และทีมแพทย์ เพราะกรณีของเธอเกิดขึ้นไม่บ่อยนักและมีความเสี่ยงสูง ทีมแพทย์ต้องทำงานกันนานถึง 20 ชั่วโมงเลยทีเดียว

เธอให้กำเนิดลูกสาว 2 คน ห่างกันคนละ 10 ชั่วโมง คนแรก คลอดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 19.45 น. คนที่สองคลอด วันที่ 20 ธันวาคม เวลา 06.10 น.

สำหรับ เคลซีย์ และครอบครัวของเธอ การตั้งครรภ์นี้น่าอัศจรรย์ พวกเขาต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า เธอมีลูกพร้อมกัน 2 คน และทั้งคู่เกิดกันคนละวัน

คุณแม่ลูก 5 กล่าวว่า “เราไม่เคยฝันถึงเรื่องบ้าระห่ำนี้เลย เราไม่สามารถวางแผนการตั้งครรภ์และการคลอดแบบนี้ได้ แต่การนำเด็กทารกหญิงสองคนที่มีสุขภาพแข็งแรงเข้ามาในโลกนี้อย่างปลอดภัยนั้นเป็นเป้าหมายเสมอ

มันดูเหมาะสมที่พวกเขาจะมีวันเกิดสองวันเกิด พวกเขาทั้งสองมี ‘บ้าน’ เป็นของตัวเอง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีเรื่องราวการเกิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง”

บริษัทแม่ ‘Pornhub’ โดนปรับ 62 ล้านบาท ปมแพร่คลิปโป๊ที่เหยื่อถูกหลอกให้เข้าร่วม

(24 ธ.ค.66) สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า บริษัท Aylo บริษัทแม่ของเว็บไซต์ พอร์นฮับ เจ้าของเว็บไซต์หนังโป๊ออนไลน์รายใหญ่ ตกลงกับอัยการสหรัฐ จ่ายค่าปรับ 62 ล้านบาท โดยยอมรับว่า บนเว็บไซต์ของพวกเขามีวิดีโอโป๊ของบริษัทเจ้าหนึ่งที่หลอกให้ผู้หญิงมาร่วมแสดง

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า บริษัท Aylo จะจ่ายค่าปรับและเงินชดเชยรวม 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 62 ล้านบาท แก่เหยื่อการค้าประเวณี พร้อมยอมรับว่า คลิปวิดีโอผิดกฎหมายถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ของพวกเขาจริง แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้าประเวณี

ขณะที่ ทางด้านรัฐบาลสหรัฐ ไม่ได้กล่าวหาทาง Aylo ว่าละเมิดกฎหมายการค้าประเวณีใดๆ แต่ระบุว่า บริษัทควรรู้ว่าตัวเองกำลังทำธุรกิจอยู่กับกลุ่มคนที่มีส่วนร่วมกับการค้ามนุษย์ ซึ่งตามข้อตกลงระบุไว้ว่า ทางบริษัทจะถูกเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งรัฐจะยอมยกฟ้องหากพวกเขาทำตามข้อตกลงตลอดระยะเวลาดังกล่าว

ตามรายงานของคำร้องระบุว่า ในปี 2559 ทางบริษัทเริ่มได้รับคำร้องจากผู้หญิงที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ เพื่อขอให้ลบคลิปออกจากแพลตฟอร์ม โดยให้เหตุผลว่าพวกเธอถูกหลอกให้ทำ ก่อนที่บริษัทจะรับรู้เรื่องการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทผู้ผลิตรายดังกล่าวในปี 2560

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเอฟบีไอ ระบุว่า ทางบริษัทควรลงมือลบวิดีโอออกจากแพลตฟอร์มเร็วกว่านี้ เพื่อผลประโยชน์ บริษัท Aylo Holding จงใจเพิ่มความมั่งคั่งให้ตัวเอง ด้วยการทำเป็นไม่สนใจคำร้องของผู้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งติดต่อกับบริษัทว่า พวกเธอกำลังตกเป็นเหยื่อให้ร่วมกิจกรรมทางเพศโดยไม่ยินยอม

ทั้งนี้ ทางด้าน Aylo ภายใต้คณะบริหารใหม่ ออกแถลงการณ์ว่า พวกเขาเสียใจอย่างยิ่งที่พอร์นฮับเป็นโฮสต์ให้กับวิดีโอผิดกฎหมายเหล่านี้ เรารู้สึกกังวลมากที่รู้ว่า บริษัทผู้ผลิตรายหนึ่งใช้วิธีผิดกฎหมายในการผลิตเนื้อหาของตัวเอง และยื่นเอกสารแสดงความยินยอมที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าได้มาด้วยการฉ้อโกงและการข่มขู่

นอกจากนี้ เราต้องเฝ้าระวังเพื่อหยุดผู้ที่ต้องการใช้แพลตฟอร์มของเราอย่างผิดกฎหมาย และเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคาม และความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

'อินเดีย' จ่อขึ้นแท่น 1 ในชาติ ‘เศรษฐกิจ’ โตเร็วสุดปีหน้า คาด!! จะแซง 'ญี่ปุ่น' และขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในเอเชียปี 2573

(24 ธ.ค.66) ฟิทช์ เรตติ้งส์คาดว่า ‘อินเดีย’ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 6.5% ในปี 2567-2568 ขณะที่การขยายตัวของ GDP ของอินเดียในปี 2566-2567 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบันนั้นอยู่ที่ 6.9%

ฟิทช์ ระบุในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ว่า "อุปสงค์จะยังคงแข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอุปสงค์ในปี 2566 ยังคงอยู่สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย จะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กด้วย และยอดขายรถยนต์จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แม้เราคาดว่าอาจจะชะลอตัวหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566"

โดยปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐ, จีน, เยอรมนี และญี่ปุ่น

ภายในปี 2573 คาดว่า GDP อินเดีย จะแซงหน้าญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ฟิทช์ ระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินเดียจะหนุนอุปสงค์ในภาคธุรกิจ แม้มีความอ่อนแอจากการขยายตัวที่ชะลอลงในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ๆ ก็ตาม

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะขยายตัวที่ 6.3% ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2566-2567) และในปีงบประมาณหน้า และคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคและด้านการเงิน

ด้าน โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช คาดการณ์ในเดือน ธ.ค.ปีนี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% สูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 แห่งในปี 2567 ขณะที่จีนตามมาเป็นอันดับ 2 โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 4.8%

ส่วนเอสแอนด์พี (S&P) คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัว 6-7.1% ต่อปีในปีงบประมาณ 2567-2569 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของอินเดียในปีงบประมาณ 2566-2567 ขึ้น 0.50% สู่ระดับ 7% จากการคาดการณ์ในการประชุมเดือนต.ค.ที่ 6.5%

‘ไทย’ เดินหน้ายกระดับมาตรการดูแล ’นักท่องเที่ยว‘ ส่งท้ายปี หวังทำให้ประเทศกลายเป็นหมุดหมายที่ ‘ปลอดภัย-เป็นมิตร’

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาลไทย เปิดเผยว่าไทยกำลังยกระดับมาตรการต่างๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกแก่การเดินทาง เพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะคึกคักเพิ่มขึ้นในช่วงส่งท้ายปี

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย รายงานว่าไทยจะเน้นย้ำการเสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัย การบริการคมนาคมขนส่ง และการตระหนักรู้ความปลอดภัย ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ 12 แห่ง

ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ซึ่งมุ่งทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันปลอดภัยและเป็นมิตร เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอันต้องการความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ช่วงวันที่ 22 ธ.ค.66 จนถึง 1 ม.ค.67 จะรวมอยู่ที่ 1.18 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะอยู่ที่ 4.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ นายชัย วัชรงค์ กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยจะอยู่ที่ 3.4-3.5 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปีนี้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนในปี 2024 จำนวน 8.2 ล้านคน

อนึ่ง นักท่องเที่ยวชาวจีนครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 28 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนไทยรวมเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 อันเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ โดยการท่องเที่ยวมีส่วนส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยราวร้อยละ 12

'เทย์เลอร์ สวิฟต์' อาจครองแชมป์คนดัง ที่ปล่อย CO2 มากสุดในโลก 2 ปีซ้อน

(22 ธ.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ ศิลปินสาวชื่อดังก้องโลก อาจรั้งที่ 1 ถึง 2 ปีซ้อนคนดังปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ มากที่สุดในโลก จากการขึ้นเจ็ทส่วนตัว หลังจากที่สื่อนอกรายงานว่าที่ผ่านมานั้นเธอบินไปหาแฟนหนุ่มดีกรีนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอย่าง'ทราวิส เคลซี' จากทีม Kansus City Chiefs ถึง 12 ครั้งในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมา

สื่อนอกรายงานว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนของนักร้องดังแห่งยุคอย่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ เกิดขึ้นจากการที่เธอนั้นได้นั่งเครื่องบินส่วนตัวเพื่อนบินไปเชียร์แฟนหนุ่มนักกีฬาแบบติดขอบสนามทั้งหมด 12 ครั้ง ในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น

สำหรับ เทย์เลอร์ นั้น เธอได้ครอบครองเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวถึง 2 ลำ คือ Dassault Falcon 7x จดทะเบียนในชื่อ N621MM ภายใต้บริษัทIsland Jet Inc. และ Dassault Falcon 900 จดทะเบียนในชื่อ N898TS ภายใต้บริษัท SATA LLFC การเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของเทย์เลอร์ ผลาญเชื้อเพลิงไปแล้วประมาณ 12,622 แกลลอน ตีเป็นเงิน 70,779 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,471,602 บาท 

โดยข้อมูลจาก Jets รายงานว่า นักร้องสาวชื่อดังได้ปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนถึง 138 ตัน หากตัวเธอนั้นต้องการที่จะชดเชยปริมาณก๊าซคาร์บอนที่เธอปล่อยออกไปจากการนั่งเจ็ทส่วนตัว เธอจะต้องปลูกต้นไม้ถึง 2,282 ต้น และต้องรอให้ต้นไม้เหล่านั้นเติบโตระยะเวลาถึง 10 ปีถึงจะชดเชยได้

ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปปีที่ผ่านมานั้น เทย์เลอร์ สวิฟต์ ขึ้นแท่นอันดับ 1 คนดังที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลกอยู่ที่ประมาณ 8,293 ตัน แซงหน้า'ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์'ที่ตามมาติดๆ ถึงประมาณ 7,076 ตัน จากการนั่งเครื่อบินเจ็ทส่วนตัวเช่นกัน ซึ่งข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนนั้นเมื่อเทียบง่ายๆ จะมีปริมาณเทียบเท่ากับการใช้พลังงานไฟฟ้าของบ้านเรือนประมาณ 26 หลังในรอบ 1 ปี

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเทย์เลอร์ สวิฟต์ เอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเธอได้ส่งโฆษกส่วนตัว ออกมาเทคแอคชันถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งทางโฆษกส่วนตัวของเธอระบุว่า กำลังเร่งดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากเครื่องบินส่วนตัวให้ได้มากที่สุด ด้วยการเดินทางให้น้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังระบุอีกว่า ก่อนที่คอนเสิร์ต Eras Tour 2023 จะเริ่มต้นขึ้น เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ควักกระเป๋าซื้อคาร์บอนเครดิตมากกว่าปกติถึง 2 เท่า เพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซ Co2 ระหว่างที่เธอได้ทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้อีกด้วย

‘ต้มยำกุ้งหม้อไฟ’ สุดยอดเมนูคลายหนาว ขายดีในยูนนาน แถมชาวจีนที่เคยทาน เริ่มหัด ‘ทำกินเองที่บ้าน’ แล้วด้วย

(21 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง ห้วงยามฤดูหนาวที่อากาศเย็นเยือก ‘ฟ่าน จื้อเหวิน’ เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ได้ออกเมนู ‘ต้มยำกุ้งหม้อไฟ’ ที่มีเครื่องต้มยำกุ้งของไทยเป็นส่วนประกอบหลัก เสิร์ฟพร้อมเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และผักสด กลายเป็นที่โปรดปรานของลูกค้าจำนวนไม่น้อย

‘ฟ่าน’ วัย 35 ปี เผยว่า ต้มยำกุ้งถือเป็นเมนูยอดนิยมที่สั่งกันทุกโต๊ะ ส่วนต้มยำกุ้งหม้อไฟเป็นอีกหนึ่งเมนูที่มีลูกค้าสั่งกันเยอะในฤดูหนาว โดยร้านอาหารกลุ่มชาติพันธุ์ไต-อาหารไทยของเขา มักออกสารพัดเมนูตามฤดูและเทศกาล เช่น ฤดูร้อนมีเมนูรสชาติเผ็ดเปรี้ยว ฤดูหนาวมีเมนูหม้อไฟ และมีเมนูพิเศษต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ด้วย

ทั้งนี้ ฟ่านผู้เริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหารไทยมาตั้งแต่ปี 2015 มองว่า ชาวอวิ๋นหนานชื่นชอบต้มยำกุ้งหม้อไฟกันไม่น้อย หลายคนหาซื้อวัตถุดิบกลับไปทำกินเองที่บ้าน ทำให้เป็นเมนูที่ขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารไทยในคุนหมิง

เมนูต้มยำกุ้งหม้อไฟที่มีน้ำซุปอุ่นร้อนให้ซดนั้น เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอีกในช่วงอากาศหนาวเย็นจัด โดยข้อมูลจากเหม่ยถวน (Meituan) และเตี่ยนผิง (Dianping) พบว่าช่วงวันที่ 1-13 ธ.ค. ร้านอาหารในอวิ๋นหนานออกเมนู ‘ต้มยำกุ้งหม้อไฟ’ หรือ ‘หม้อไฟไทย’ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบปีต่อปี และยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 74

ขณะที่การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมระหว่างจีน-ไทย ที่พัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แปรเปลี่ยนแนวทางรับประทานอาหารไทยของผู้บริโภคชาวจีนจาก ‘หากินที่ร้าน’ เป็น ‘ทำกินเองที่บ้าน’

ข้อมูลจากเหม่ยถวน ระบุว่า ปริมาณการค้นหาคำว่า “หม้อไฟไทย” และ “ต้มยำกุ้งหม้อไฟ” บนแอปพลิเคชันสั่งอาหารในอวิ๋นหนานเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่เข้าสู่เดือนธันวาคม โดยการค้นหาคำว่า “หม้อไฟไทย” เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.4 ส่วนคำว่า “ต้มยำกุ้งหม้อไฟ” เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 912.7

ด้านจำนวนร้านอาหารที่มีเมนูหม้อไฟไทยบนแพลตฟอร์มของเหม่ยถวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.5 ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 170.4 และยอดการซื้อขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 68.6


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top