Friday, 13 December 2024
WORLD

'ชาติมุสลิม' คว่ำบาตร ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ หนุน ‘น้ำอัดลมท้องถิ่น’ โตช่วงสงคราม หลังทั้งสองยักษ์ถูกมองเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง 'อเมริกา-อิสราเอล'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ยอดขายปีนี้ของ 'โค้ก' ในอียิปต์ตกต่ำ สวนทางกับแบรนด์ท้องถิ่น 'V7' ในอียิปต์ ที่สามารถส่งออกโคล่าไปยังตะวันออกกลางได้มากกว่าโค้ก 3 เท่า และขยายตลาดในภูมิภาคได้มากกว่าปีก่อน ขณะที่ 'เป๊ปซี่' ที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็วในตะวันออกกลาง ก็ทำยอดขายได้ไม่ดี หลังจากเกิดสงครามในกาซาเมื่อเดือน ต.ค. 2566

ด้าน ซันบาล ฮัสซัน ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่งในปากีสถาน สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า เธอได้ตัดเครื่องดื่มโค้กและเป๊ปซี่ออกจากเมนูอาหารในงานแต่งงานของเธอเมื่อเดือน เม.ย. เพราะเธอไม่อยากรู้สึกว่าเงินของเธอตกไปถึงคลังภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของอิสราเอล

ทั้งนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากในโลกมุสลิมพยายามหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ของ 'โคคา-โคล่า' และ 'เป๊ปซี่โค' โดยอ้างว่าสหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่อิสราเอลทำสงครามกับฮามาส ส่งผลให้มีการตัดสินใจซื้อสินค้าจากตัวเลือกที่แตกต่างไป เพราะทัศนคติทางการเมือง ซึ่งการคว่ำบาตรดังกล่าวส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เฉพาะแห่ง เช่น เลบานอน, ปากีสถาน และอียิปต์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง เป๊ปซี่โค ออกมายืนยันถึงเรื่องนี้ว่า ตัวบริษัทฯ หรือ แบรนด์ใด ๆ ภายใต้บริษัท ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือกองทัพสหรัฐฯ ในเรื่องของความขัดแย้ง ขณะที่ 'โคคา-โคล่า' ก็เผยว่า บริษัทฯ ไม่ได้ให้เงินทุนสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในอิสราเอลหรือประเทศอื่น ๆ ใด ๆ

สำหรับรายได้ของทั้ง 2 บริษัท มีการเปิดเผย ระบุว่า รายได้ทั้งหมดของเป๊ปซี่โคในตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ อยู่ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 และในปีเดียวกันนั้น รายได้ของโคคา-โคล่า ในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาอยู่ที่ 8,000 ล้านดอลลาร์ 

แต่ในช่วง 6 เดือน หลังจากฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลวันที่ 7 ต.ค. 67 ยอดขายเครื่องดื่มเป๊ปซี่โคในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้แทบไม่เติบโต เมื่อเทียบไตรมาส 2565/66 ขณะที่ยอดขายโค้กในอียิปต์ ลดลงสองหลักในช่วง 6 เดือนจนถึง 28 มิ.ย. 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566

อย่างไรก็ตาม การคว่ำบาตรไม่ได้ทำให้แบรนด์เครื่องดื่มอเมริกันรายได้หดเพียงอย่างเดียว แต่เงินเฟ้อ และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจในปากีสถาน, อียิปต์ และบังกลาเทศ ได้บั่นทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามแล้ว และทำให้แบรนด์ท้องถิ่นน่าสนใจมากกว่า

โดย กัสซิม ชรอฟฟ์ ผู้ก่อตั้งคราฟ มาร์ต (Krave Mart) แอปพลิเคชันดิลิเวอรีชั้นนำในปากีสถาน เผยว่า คู่แข่งในท้องถิ่นอย่างโคล่าเน็กซ์ (Cola Next) และปาโคลา (Pakola) ได้รับความนิยมมากขึ้น จนมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมราว 12% ซึ่งก่อนที่แบรนด์น้ำอัดลมสหรัฐฯ ถูกบอยคอต แบรนด์ท้องถิ่นสองรายมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันราว 2.5% เท่านั้น

ขณะที่โมฮัมเหม็ด นูร์ อดีตผู้บริหารโคคา-โคล่า ที่ลาออกเมื่อปี 2563 หลังทำงานมานาน 28 ปี และกลายเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องดื่มอียิปต์ 'V7' เปิดเผยว่า ธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม V7 เติบโต 3 เท่าในปีนี้ เมื่อเทียบกับปี 2566 และตอนนี้แบรนด์สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากถึง 21 ประเทศ แถมยอดขายในอียิปต์ตั้งแต่ ก.ค. 2566 ก็เติบโตขึ้นถึง 40%

อย่างไรก็ตาม ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ ก็ยังมองบวกตลาดมุสลิม โดยในฝั่ง โคคา-โคล่า ยังคงลงทุนเพิ่มอีก 22 ล้านดอลลาร์ในปากีสถานเมื่อเดือน เม.ย. เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีให้ดีขึ้น ขณะที่ตัวแทนบริษัทเป๊ปซี่โคยืนยันกับรอยเตอร์สว่า บริษัทได้กลับมาเปิดแบรนด์น้ำอัดลม 'ทีม' (Teem) ในตลาดปากีสถานอีกครั้ง และผลิตภัณฑ์พิมพ์คำว่า 'Made in Pakistan' บนฉลากไว้อย่างโดดเด่น

นอกจากนี้ โคคา-โคล่า และ เป๊ปซี่ ก็ยังคงนำแบรนด์เข้าไปในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่น ผ่านการนำผลิตภัณฑ์ร่วมสนับสนุนองค์กรการกุศล นักดนตรี และทีมกีฬาคริกเก็ต ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โค้กและเป๊ปซี่ยังคงรักษาฐานลูกค้าในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมในระยะยาว แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย

'โดนัลด์ ทรัมป์' ประกาศเก็บภาษี 100% หากประเทศใดเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้าขาย

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แถลงการณ์ของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐและที่ปรึกษาเศรษฐกิจของเขาหารือกันเป็นเวลานานหลายเดือนเกี่ยวกับแนวทางในการลงโทษพันธมิตรหรือศัตรูที่แสวงหาวิธีดำเนินการทางการค้าทวิภาคีด้วยสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ ทรัมป์กล่าวว่าดอลลาร์ถูกโจมตีอย่างหนักมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว

“ถ้าคุณเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ คุณก็ไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐฯ เพราะเราจะเรียกเก็บภาษีสินค้าของคุณ 100 เปอร์เซ็นต์” โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในการชุมนุมที่วิสคอนซิน พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำให้ประเทศต่าง ๆ จ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่ จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย และแอฟริกาใต้ หารือเกี่ยวกับการเลิกใช้ดอลลาร์ในการประชุมสุดยอดเมื่อปีที่แล้ว

อิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าและการเงินระหว่างประเทศเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสที่เรียกว่า de-dollarisation หมายถึงกระบวนการที่ประเทศต่าง ๆ ตั้งเป้าหมายที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก

ความพยายามในการยกเลิกการใช้ดอลลาร์ผ่านความคิดริเริ่ม เช่น กลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ทำให้การบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับสกุลเงินร่วมและนโยบายการเงินทำได้ยาก

แม้ว่าการครอบงำของดอลลาร์จะลดลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงคิดเป็น 59% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกของปี 2024 เงินยูโรเป็นอันดับสองที่เกือบ 20% ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ การค้าโลกประมาณครึ่งหนึ่งมีสกุลเงินดอลลาร์ ตามข้อมูลของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ

ระยะหลังอินเดียกำลังผลักดันความพยายามที่จะเพิ่มการชำระเงินทางการค้าด้วยเงินรูปีและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์มากขึ้น ซึ่งเป็นความทะเยอทะยานที่หลบเลี่ยงประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อปีที่แล้วว่า โรงกลั่นในอินเดียได้เริ่มชำระเงินค่าน้ำมันรัสเซียส่วนใหญ่ที่ซื้อผ่านผู้ค้าในดูไบด้วยสกุลเงินเดอร์แฮม สกุลเงินที่ใช้ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แทนที่จะเป็นสกุลเงินดอลลาร์

อินเดีย เริ่มทำการค้าเงินรูปีกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเนปาลและภูฏาน กลไกการค้าเงินรูปีได้รับการริเริ่มขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าสกุลเงินประจำชาติกับรัสเซีย ในขณะที่ศรีลังกาได้รวมเงินรูปีไว้ในรายชื่อสกุลเงินต่างประเทศที่กำหนดไว้

'ต่างด้าว' ผุดศูนย์การเรียนรู้ในไทยเพียบ หวั่น!! สอนคนต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย

(9 ก.ย. 67) ล่าสุดไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับข้อมูลจากหลากหลายทางถึงการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในไทยอย่างโจ่งครึ่ม ทั้งที่ในประเทศไทยมีนโยบายให้เรียนฟรี แม้จะเป็นเด็กต่างชาติก็ตาม

แต่ทว่าก็ยังมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ โดยให้การศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่เป็นไปตามหลักสูตรการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการไทยกำหนด รวมถึงการฝึกงานฝึกอาชีพ เพื่อรองรับงานที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของแรงงานต่างด้าวให้เข้ามาฝึกอาชีพด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนอื่น เราควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ศูนย์การเรียนรู้ในไทย ต่างจากโรงเรียนอย่างไร  

ศูนย์การเรียนรู้ หมายถึง การจัดพื้นที่การเรียนทางกายภาพ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล หรือผู้เรียนในกลุ่มเล็ก ตามงานที่โปรแกรมกำหนดให้ โดยจัดเป็นคูหาหรือโต๊ะ และมีสื่อการเรียนในรูปแบบสื่อประสม ช่วยในการเรียนรู้โดยมีครูผู้สอนคอยแนะนำ  

โดยตามกฎหมายแล้วระบุไว้ว่า "ศูนย์การเรียนรู้ คือ สถานที่เรียนที่องค์กรชุมชนหรือเอกชนจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่แสวงหากำไร แต่การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยสามารถจัดการเรียนการศึกษานอกระบบได้ตามอัธยาศัยตามที่ศูนย์การเรียนรู้นั้น ๆ พัฒนาขึ้น แต่จะต้องยึดหลักคือ มุ่งเรียนรู้จากสถานที่จริง เป็นแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น"

แน่นอนว่าข้อกำหนดดังกล่าวนี้ เป็นการกำหนดกรอบกว้าง ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนที่มีเจตจำนงที่ดีในการที่จะมอบความรู้ได้อย่างอิสระ มามอบความรู้ให้แก่ผู้สนใจ โดยใช้บ้านหรือพื้นที่ตนเองเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียนปราชญ์ชาวบ้าน นั่นเอง

แต่ในปัจจุบัน ด้วยช่องโหว่ของกฎกระทรวงและความเพิกเฉยของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือก็มิอาจทราบได้ ทำให้มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้บัตรประชาชนไทยมาเปิดสมาคม-มูลนิธิ เพื่อใช้เป็นแหล่งพักเงินและใช้เงินเหล่านี้ในการเปิดศูนย์การเรียนรู้ที่จะเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนของคนต่างด้าวที่สอนด้วยระบบของประเทศนั้น ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน 

เอย่า ทราบมาว่า ตอนนี้มีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในแม่สอด และอำเภอตามตะเข็บชายแดนนับร้อยศูนย์ โดยโรงเรียนเหล่านั้นไม่ได้สอนหนังสือตามแผนการศึกษาของไทยด้วยซ้ำ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า สำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาอนุมัติให้เปิดมาได้อย่างไร  

และเช่นกัน ก็มีรายงานอีกว่า ในมหาชัยเองและรวมถึงในหลายเขตในกรุงเทพมหานครนั้น ก็มีศูนย์การเรียนรู้แบบนี้มากมาย และสอนด้วยครูที่หลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูด้วย อีกทั้งไม่ได้สอนในหลักสูตรของไทยอีกต่างหาก  

ที่สำคัญ!! เขาสอนอะไร? เขาปลูกฝังอะไรให้คนของเขาในประเทศไทย? และไม่มีใคร-หน่วยงานไหนไปประเมินเลยหรือ? รึว่าต้องการรายงานปีละครั้งจากศูนย์การเรียนรู้ตามที่กฎกระทรวงระบุไว้ก็พอ

หลังการรัฐประหารมีรายงานว่า กลุ่มผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และเหล่าสมาคม มูลนิธีที่เป็น NGO เหล่านี้ ก็ตีอกชกปีก ตั้งตัวรับคนเหล่านี้มาทำงาน ตรงนี้ถามว่าผิดกฎหมายไทยหรือไม่? เห็นแล้วก็ไม่ค่อยแปลกใจเลยว่า ทำไมองค์กรเหล่านี้ถึงพยายามจะให้สิทธิ์คนต่างด้าวลืมตาอ้าปากได้แทนที่จะผลักดันให้กลับประเทศ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประการสำคัญ ก็เป็นผลจากการที่เราไม่เคยเข้าไปตรวจสอบศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้ และหากวันใดวันหนึ่งคนเหล่านี้จะลุกฮือขึ้นมายึดดินแดนไทยหรือเรียกร้องขอแบ่งแยกดินแดน แบ่งแยกการปกครอง ก็คงไม่แปลกนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในอดีตที่ไม่เคยมีใครกำกับดูแลก็มีให้เห็นมาแล้วว่า จนประเทศไทยต้องเสียชีวิต ทรัพยากรมากมายแค่ไหนกับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทุกวันนี้ประเทศไทยให้โอกาสการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กทุกชาติพันธุ์ให้ได้เรียนฟรีอยู่แล้ว ฉะนั้นคำถามคือ ณ วันนี้ เราควรต้องหันมาจัดการกำกับดูแลศูนย์การเรียนรู้พวกนี้ได้หรือยัง รวมถึงมองไปถึงกลุ่มมูลนิธิ สมาคม NGO ที่ให้การสนับสนุนว่ามีเส้นทางเงินมาจากไหน อีกทั้งกำกับดูแลการเรียนการสอนเพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ที่เปิดมีคุณภาพและเพื่อคนไทยหรือคนที่ต้องการจะอยู่ในไทยจริง ๆ 

ไม่ใช่โรงเรียนต่างแดนของคนพลัดถิ่นหรือที่ซ่องสุมเพื่อใช้ฟอกขาวในการเป็นคนไทยในอนาคต

‘นิวยอร์กไทม์’ เผย!! 'ทรัมป์-แฮร์ริส' คะแนนนิยมกินกันไม่ลงก่อนดีเบตรอบใหม่ ภายใต้มุมมองอเมริกันชนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ 'จุดยืน-นโยบาย' ของ 'แฮร์ริส'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจของ ‘นิวยอร์กไทม์’ (New York Times/ Siena College) พบว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคริพับริพัน มีคะแนนนิยมนำ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ จากพรรคเดโมแครต 1 แต้ม อยู่ที่ 48% ต่อ 47% ซึ่งเป็นส่วนต่างที่ไม่มีนัยสำคัญภายใต้ค่าความผิดพลาดของโพลซึ่งอยู่ที่บวกลบไม่เกิน 3% นั่นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีโอกาสมากพอๆ กันที่จะชนะศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67

แม้แคมเปญหาเสียงของ ทรัมป์ จะซวนเซไปบ้างหลังจากที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ประกาศถอนตัว และส่ง ‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงพรรคเดโมแครตแทนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลสำรวจล่าสุดของหลายสำนักบ่งชี้ตรงกันว่ากลุ่มประชากรที่เป็นฐานเสียงหลักของ ทรัมป์ ยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม

โพลฉบับนี้ยังพบด้วยว่า ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนยังไม่ค่อยเข้าใจจุดยืนและนโยบายต่างๆ ของแฮร์ริสเท่าไหร่นัก ขณะที่ความเข้าใจของพวกเขาต่อทรัมป์ นั้น ‘ชัดเจน’ อยู่แล้ว โดย 28% ยอมรับว่ายังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครของเดโมแครตมากกว่านี้ แต่มีเพียง 9% ที่รู้สึกแบบเดียวกันกับทรัมป์

จากตัวเลขที่ออกมาทำให้เห็นได้ว่า ศึกดีเบตนัดแรกระหว่าง ทรัมป์ กับ แฮร์ริส ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ย. 67) อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดพลิกผันที่สำคัญของศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดย ‘แฮร์ริส’ จะได้มีโอกาสแจกแจงนโยบายต่างๆ ของเธอให้ชาวอเมริกันเข้าใจมากยิ่งขึ้นระหว่างที่ประชันวิสัยทัศน์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเวลา 90 นาที และเนื่องจากคะแนนนิยมของทั้งคู่สูสีกันอย่างยิ่ง ศึกดีเบตครั้งนี้จึงอาจสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยสำคัญหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผลงานออกมาได้ดีกว่า

นับตั้งแต่ แฮร์ริส ก้าวเข้ามาถือตั๋วผู้แทนพรรคเดโมแครต เธอก็ตระเวนเดินสายพบปะประชาชนอย่างแข็งขัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการแสดงวิสัยทัศน์แบบ ‘อ่านบท’ ที่เตรียมเอาไว้แล้ว และยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างๆ น้อยมากด้วย

ผลสำรวจครั้งนี้ออกมาคล้ายคลึงกับโพลของ ‘New York Times/ Siena College’ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนำแฮร์ริส อยู่ 1 แต้มเช่นกัน

สำหรับผลโพลใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67 ก็พบว่าผู้สมัครทั้ง 2 รายยังคงมีคะแนนนิยมตีคู่สูสีกันอย่างมาก

'ชาวมาเลเซีย' เกินครึ่ง เห็นด้วย!! จำกัดเด็กต่ำกว่า 14 เล่นโซเชียลมีเดีย แนะ!! 'ครู-ผู้ปกครอง' สำคัญ ช่วยสร้างภูมิเท่าทันภัยโลกออนไลน์

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยผลสำรวจจาก ‘อิปซอสส์’ (Ipsos) บริษัทวิจัยการตลาดและสำรวจความคิดเห็นระดับโลก พบว่า มีชาวมาเลเซียถึง 71% เห็นด้วยกับการจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี

โดยผลโพลการติดตามการศึกษาของอิปซอสส์ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้คนในมาเลเซีย ไทย, อินโดนีเซีย, และสิงคโปร์ ระบุว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีผู้คนคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้มากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก ‘อินโดนีเซีย’

"ชาวมาเลเซียระมัดระวังการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเด็กๆ มากที่สุด ขณะที่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโรงเรียนนั้นแตกต่างกันออกไป" ผลสำรวจระบุ

ต่อมา ผลสำรวจยังพบว่าชาวมาเลเซีย 51% มองว่าควรห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีใช้สมาร์ทโฟนทั้งในระหว่างคาบเรียนและหลังเลิกเรียน ส่วนอีก 29% เห็นด้วยว่าควรห้ามใช้โมเดลภาษาเอไออย่างแชทจีพีที (ChatGPT)

ขณะเดียวกัน ชาวมาเลเซีย 56% เชื่อว่าครูและโรงเรียนควรมีหน้าที่ในการสอนความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ด้าน 39% มองว่าหน้าที่นี้ควรเป็นของผู้ปกครอง

‘ยางิ’ แผลงฤทธิ์!! ทำยอดเสียชีวิตพุ่ง 14 ราย บาดเจ็บ 219 ราย อุตุฯ ชี้!! แม้อ่อนกำลังลง แต่ยังเสี่ยง 'น้ำท่วมฉับพลัน-ดินถล่ม'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าจากกรณีที่ ‘ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ’ (typhoon Yagi) พายุที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชียประจำปีนี้ หลังจากพัดกระหน่ำมณฑลไห่หนานจนราบเป็นหน้ากลอง

ซึ่งล่าสุด 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' ได้พัดขึ้นฝั่งเวียดนามด้วยความเร็วลม 149 กม./ชม. ทำให้เกิดคลื่นสูง 4 เมตร ในหลายจังหวัดริมชายฝั่ง บ้านเรือนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและลมแรงกว่า 3,200 หลัง ต้นไม้และเสาไฟฟ้าหักโค่น ทำให้เกิดไฟดับและสัญญาณโทรคมนาคมถูกตัดขาด ซึ่งสร้างความยากลำบากในการประเมินความเสียหายจากพายุ 

โดย 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' อ่อนกำลังจากไต้ฝุ่นเป็นดีเปรสชันแล้ว สร้างความเสียหายอย่างหนักในภาคเหนือของเวียดนาม ทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมแรง ดินถล่ม และมีเรือหลายลำจมหาย คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 14 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 219 ราย หลังจากพายุพัดขึ้นฝั่งด้วยความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นที่เมืองไฮฟองและจังหวัด ‘กว๋างนิญ’ ทางภาคเหนือของเวียดนาม

นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชน รายงานอีกว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด มี 4 ราย อยู่ในจังหวัดกว๋างนิญ, อีก 3 ราย อยู่ใน ‘กรุงฮานอย’ และอีก 4 ราย เสียชีวิตจากดินถล่มในจังหวัด ‘ฮวาบิ่ญ’ และผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด ’กว๋างนิญ’

ขณะเดียวกันมีรายงานเรือล่ม 25 ลำในจุดที่ทอดสมอในจังหวัดกว๋างนิญ ชาวประมงสูญหาย 13 คน และเมืองไฮฟอง ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายที่สุด มีน้ำท่วมเกือบ 50 เซนติเมตรในบางพื้นที่ และเกิดไฟดับในวงกว้าง

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่า พายุอ่อนกำลังเป็นดีเปรสชันแล้วแต่ยังเตือนมีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ขณะพายุมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ส่วนสถานการณ์ในกรุงฮานอย เจ้าหน้าที่เริ่มเก็บกวาดถนน ที่มีต้นไม้หักโค่นกีดขวางทั่วเมือง ‘สนามบินโหน่ยบ่าย’ ในกรุงฮานอยเริ่มกลับมาให้บริการแล้ว หลังจากปิดบริการเช่นเดียวกับสนามบินอีก 3 แห่งในเมืองท่าตามแนวชายฝั่ง เมือง ‘ไฮฟอง’ จังหวัดกว๋างนิญ และจังหวัด ’ทัญฮว้า’

ชายเกษียณ ถูก ‘ยูโรลอตเตอรี่’ แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างอนาถา กินอาหารแจกฟรี ชี้!! เงินไม่เข้าบัญชี ทั้งที่รอมาเดือนกว่า ทุกครั้งที่โทรหา เจ้าหน้าที่ก็บอกปัด

(7 ก.ย.67) ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ ‘พีท เดลี’ ชายเกษียณอายุชาวอังกฤษได้รับแจ้งว่าเขาเป็นผู้ชนะรางวัล EuroMillions แต่จนถึงขณะนี้เขายังไม่ได้รับเงินรางวัลที่ควรจะได้ ทำให้ต้องพึ่งศูนย์แจกอาหารชุมชนเพื่อความอยู่รอด

สำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติต้องออกมาขอโทษหลังจากเกิดความล่าช้าในการจ่ายเงินรางวัล EuroMillions ให้กับชายคนนี้ ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก

หลายคนฝันที่จะถูกรางวัลจากลอตเตอรี่ และสำหรับ พีท เดลี จาก วีร์รัล (Wirral) ความฝันนั้นก็กลายเป็นจริงเมื่อหมายเลขของเขาถูกรางวัล EuroMillions ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

การถูกรางวัลครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเงินจำนวน £582.20 ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีจากการซื้อลอตเตอรี่เพียง £2.50

เมื่อ Pete โทรไปเพื่อขอรับเงินรางวัล เขาได้รับแจ้งว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 วันก่อนที่เงินจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของเขา แต่ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน เขาก็ยังไม่ได้รับเงินรางวัลดังกล่าว

พีท เดลี ต้องใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาศูนย์แจกอาหารชุมชน (ฟู๊ดแบงค์) หลังจากการจ่ายเงินรางวัล EuroMillions ของเขาถูกเลื่อนออกไปมากกว่าหนึ่งเดือน

แต่ความล่าช้าในการจ่ายเงินรางวัลของ Pete ทำให้เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเงินที่ยากลำบาก

พีท ให้สัมภาษณ์กับ Liverpool Echo ว่า "ผมถูกรางวัล £582.20 และทุกครั้งที่ผมโทรไปหาพวกเขา ผมจะได้รับคำตอบที่ต่างกันออกไป"

"ผมจ่ายเงินซื้อลอตเตอรี่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว นั่นคือ £10 ต่อสัปดาห์ £1,040 ต่อปี รวมทั้งหมดแล้ว 30 ปี และในที่สุดผมก็ถูกรางวัล £500 แต่พวกเขากลับไม่ให้เงินผม"

เขาเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากที่เขาจ่ายค่าต่อประกันรถยนต์ เขาก็ไม่มีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเลย

"ผมไม่สามารถซื้ออะไรได้เลย เพราะผมจ่ายค่าประกันรถไปหมดแล้ว โดยตอนแรกคิดว่าจะได้เงินรางวัลนี้ภายใน 10 วัน"

ตอนนี้ Pete ต้องพึ่งศูนย์แจกอาหารชุมชน (ฟู๊ดแบงค์) และไม่สามารถจ่ายค่าตัดผมหรือซื้อรองเท้าใหม่ที่เขาต้องการได้จนกว่าจะได้รับเงินรางวัลที่ติดค้างอยู่

"ผมติดอยู่ในบ้าน ไม่สามารถไปไหนได้ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะเติมน้ำมัน ผมต้องการเงินนี้จริงๆ ผมกำลังลำบาก เงินนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้" ชายวัยเกษียณจาก เพนส์บี (Pensby) ใน Wirral กล่าว

สำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติได้ออกมาขอโทษสำหรับความล่าช้าที่เกิดขึ้น และได้ให้เหตุผลว่าทำไมการจ่ายเงินให้กับผู้ถูกรางวัลวัย 71 ปีจึงใช้เวลานานเช่นนี้

โฆษกของบริษัท Allwyn (ออลวิน เป็นชื่อของบริษัทที่ดำเนินการลอตเตอรี่ในหลายประเทศ รวมถึงในสหราชอาณาจักร) กล่าวว่า "เราขออภัยอย่างยิ่งต่อความกังวลที่เกิดขึ้น ขณะนี้ทางเราได้โทรไปแจ้งคุณ Daly แล้ว โดยปกติเราดำเนินการจ่ายเงินรางวัลหลายร้อยถึงหลายพันรางวัลให้เสร็จสิ้นในแต่ละสัปดาห์"

เมื่ออธิบายถึงสาเหตุของความล่าช้า พวกเขาเสริมว่า ความล่าช้านี้เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ปรับปรุงกระบวนการขอรับรางวัลใหม่เมื่อต้นปีนี้ เนื่องจากทางที่ทำการไปรษณีย์ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายเงินรางวัลลอตเตอรี่ที่ซื้อผ่านร้านค้าปลีกในระหว่างเงินจำนวน £500.01 ถึง £50,000 อีกต่อไป 

น่าเสียดายที่การเคลมรางวัลจำนวนหนึ่งมีความล่าช้าเนื่องจากสาเหตุต่างๆ อย่างไรก็ตาม เรากำลังพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการเคลมรางวัล และขอยืนยันกับผู้ถูกรางวัลทุกท่านว่าพวกเขาจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน

แหล่ง ‘แร่โมลิบดีนัม’ ขนาดใหญ่กว่า 100 ล้านตัน ถูกค้นพบใน ‘มองโกเลีย’ ทางตอนเหนือของจีน

(7 ก.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แหล่งแร่โมลิบดีนัมขนาดใหญ่ที่คาดว่ามีปริมาณสำรองราว 100 ล้านตัน ถูกค้นพบในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน

แหล่งแร่โลหะหายากดังกล่าวตั้งอยู่ในอำเภอเวิงหนิวเท่อ เมืองชื่อเฟิง โดยสำนักทรัพยากรธรรมชาติประจำอำเภอระบุว่าแหล่งแร่โมลิบดีนัมในท้องถิ่นยังประกอบด้วยแร่โลหะอื่นๆ อีกหลายชนิด อาทิ เงิน ทองคำ สังกะสี ตะกั่ว และทองแดง

โมลิบดีนัมสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มความแข็งและความเหนียวของเหล็กกล้าผสมได้ ขณะที่สารประกอบโมลิบดีนัมยังใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตสารเคมี ยา เชื้อเพลิง และน้ำมันหล่อลื่น

ทั้งนี้ เมืองชื่อเฟิงได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งโลหะนอกกลุ่มเหล็ก (nonferrous metals) ของจีน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของแหล่งสำรองตะกั่ว สังกะสี ดีบุก ทองคำ เงิน และโลหะอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

'ด่านโม่ฮานจีน' รับชาวไทยกว่า 16,000 คนใน 6 เดือน อานิสงส์รถไฟความเร็วสูง 'ลาว-จีน' ช่วยกระตุ้น

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) สำนักข่าวซีซีทีวี รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ข้อตกลงการยกเว้นวีซ่าระหว่างประเทศไทยและจีนมีผลบังคับใช้ ด่านโม่ฮานที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมณฑลยูนนานในจีนตอนใต้ ได้รองรับผู้โดยสารชาวไทยมากกว่า 16,000 คน ภายในระยะเวลา 6 เดือน

สถานีตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านโม่ฮาน ซึ่งเป็นด่านพรมแดนทางบกที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนและลาวระบุว่า ผู้โดยสารชาวไทยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าคิดเป็น 54 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหมด

ในบรรดาผู้โดยสารจากประเทศที่สามที่ผ่านเข้าออกด่านแห่งนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีสัดส่วนมากกว่า 74 เปอร์เซ็นต์

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา รถไฟโดยสารข้ามพรมแดนระหว่างลาวและไทยได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าจีนสามารถโดยสารรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปยังเวียงจันทน์ในลาว และต่อรถไฟสายจีน-ลาว จากเวียงจันทน์เข้าสู่จีนได้ ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางออกจากจีนสามารถเดินทางไปยังลาว ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความสะดวกสบายดังกล่าวส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ผ่านเข้าออกที่ด่านรถไฟโม่ฮานอย่างมีนัยสำคัญ

จากสถิติของสถานีตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านโม่ฮาน ในช่วงวันที่ 19 ก.ค. 67 ถึง 31 ส.ค. 67 ด่านรถไฟโม่ฮานได้รองรับผู้โดยสารชาวไทยขาเข้าและขาออกมากกว่า 1,400 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในจำนวนนี้ ผู้โดยสารชาวไทยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าคิดเป็น 56 เปอร์เซ็นต์

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระบุว่า นโยบายการยกเว้นวีซ่าที่ได้รับจากจีนและประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

"ในขณะที่ตลาดการท่องเที่ยวของจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับนโยบายต่างๆ เช่น การยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนกับไทย และนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในลาว ผมเชื่อว่าการท่องเที่ยวตามเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ และเส้นทางอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ" 

‘นายอวี๋ หนาน’ ไกด์นำเที่ยวของ China International Travel Service กล่าว

'ไต้หวัน' เซ็ง!! ศักยภาพขีปนาวุธต่อต้านรถถัง TOW จากสหรัฐฯ ยิงถูกเป้าหมาย ‘ไม่ถึงครึ่ง’ ไม่รู้จากตัวอาวุธหรือผู้ที่ใช้งาน

เมื่อปลายเดือนสิงหาคม Taiwan News เปิดเผยว่า ทางกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ได้ประกาศจะทบทวนการใช้ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง TOW 2A หลังพบว่าขีปนาวุธที่ยิงออกไประหว่างการฝึกซ้อม 'พลาดเป้า' เสียเป็นส่วนใหญ่

จากรายงาน ระบุว่า มีขีปนาวุธ TOW เพียง 7 ลูกจากทั้งหมด 17 ลูกที่ยิงถูกเป้าหมายระหว่างการซ้อมรบ 2 วัน และยังไม่แน่ชัดว่าความผิดพลาดนี้เกิดจากระบบอาวุธเอง หรือผู้ที่ใช้งาน

ด้านสื่อ CNA อ้างเจ้าหน้าที่กองทัพไต้หวันซึ่งออกมาชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ในการฝึกครั้งนี้ก็เพื่อให้ทหารไต้หวันคุ้นเคยกับอาวุธมากกว่าที่จะเน้นเรื่องความแม่นยำหรือการทำผลงานได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับระบบขีปนาวุธชนิดนี้ภายในสัปดาห์หน้า

การซ้อมรบดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่ชายหาดของเทศมณฑลผิงตง (Pingtung) ทางตอนใต้ใกล้ช่องแคบไต้หวัน เน้นไปที่การใช้ขีปนาวุธ TOW เพื่อล็อกเป้าทำลายยานพาหนะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่จีนอาจนำมาใช้หากสงครามปะทุขึ้น และต้องการให้ทหารไต้หวันได้เห็นภาพว่าหากมีการรุกรานเกิดขึ้นจริง สถานการณ์น่าจะเป็นเช่นไร

สำหรับขีปนาวุธ TOW นั้นมีข้อดีตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและมีการใช้งานที่ยืดหยุ่น โดยไต้หวันอาจนำแท่นยิงไปติดตั้งบนยานพาหนะทหาร เช่น รถฮัมวี และขับไปที่ชายหาดเพื่อใช้ยิงทำลายกองกำลังจีนที่ยกพลขึ้นบกได้

ไต้หวันเผชิญภัยคุกคามหลายด้านจากจีน ตั้งแต่การรุกรานไปจนถึงการปิดล้อม (blockade) ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า ไต้หวันจำเป็นจะต้องใช้อาวุธแบบอสมมาตรที่ต้นทุนต่ำ เช่น ทุ่นระเบิดทะเล เพื่อป้องปรามกองทัพจีนซึ่งทั้งมีขนาดใหญ่และมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าหลายเท่า แต่กระนั้นอาวุธแบบดั้งเดิม (Conventional) ก็ยังสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รัฐบาลไต้หวันยังมีโครงการพัฒนาเรือดำน้ำภายในประเทศ และตั้งงบประมาณเอาไว้หลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการจัดสร้างเรือดำน้ำให้ได้อีก 7 ลำ ภายใน 14 ปีข้างหน้า

'นักข่าวเกาหลี' จ่อดำเนินคดี 'คนไทย' หลังโดนทัวร์ลงจากคอนเทนต์แซะไทย โต้!! ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คลิปดรามา #แบนเกาหลี อ้างจากข้อมูลจริง

(6 ก.ย.67) Top News รายงานว่า 'นักข่าวสาวเกาหลี' เคลื่อนไหวโต้ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คอนเทนต์ที่ทำเป็นความจริงอ้างอิงมาจากข้อมูลจริง ปมทำคลิปล้อเลียนดราม่า #แบนเกาหลี หลังนักท่องเที่ยวไทยแชร์ประสบการณ์ติด ตม.เกาหลี ด้วยเหตุผลที่ตอบเจ้าหน้าที่ไม่ได้ว่า โรงแรมที่พักมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำคนไทยขนทัวร์ไปลงฉ่ำ ล่าสุดเจ้าตัวจ่อดำเนินการทางกฎหมายแล้ว

กลายเป็นประเด็นศึกข้ามชาติอีกแล้วระหว่าง 'ประเทศไทย' กับ 'ประเทศเกาหลี' ที่มีกระแสร้อนแรงติดเทรน X ไปเมื่อวาน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ก็ยังติดรั้งอันดับ1อยู่ โดยเรื่องราวเกิดจากกรณีที่ นักท่องเที่ยวชาวไทย ติดตม.เกาหลี ถูกส่งตัวกลับเป็น 10 คน เพราะเจอถามว่า "โรงแรมมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำไมถึงตอบไม่ได้"

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีข่าวว่านักท่องเที่ยวชาวไทย ถูกตีกลับไม่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ได้ แม้บางรายจะมีเอกสารครบ แต่ตม.ก็ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ เนื่องด้วยหวั่นว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย จนนำมาซึ่งกระแสแบนเที่ยวเกาหลี จนทำให้ตัวเลขของนักท่องเที่ยวไทย ที่เดินทางเข้าเกาหลีลดต่ำลงติดต่อกันหลายเดือน

โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ลงในกรุ๊ป เที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง ระบุว่า "ล่าสุดโดน ส่งกลับ 10 กว่าคน เราไม่ได้ไปเกาหลีมาก็ 5-6 ปีที่แล้วค่ะ กะว่าจะไปหาเพื่อน เมื่อวาน เราติด ตม. เรียบร้อยคะ ตอบได้ทุกคำถาม ยกเว้น ถามว่า ต้นไม้ที่ โรงแรมที่พัก มีกี่ต้น สีห้องพัก สีอะไร เรา ตอบไม่ได้ โดนส่งกลับ โดยแจ้งว่า ตอบคำถามไม่ชัดเจน มันอยู่ที่ดวงด้วยจริง ๆ ค่ะ"

นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ด้วยว่า ตม.ให้เซ็นยินยอม พร้อมให้เช็กโทรศัพท์มือถืออีกด้วย ทำให้นักเดินทางหวาดกลัวไม่น้อย จนเกิดเป็นกระแส แฮชแท็ก #แบนเกาหลี

ดรามาระอุข้ามวันข้ามคืน เหตุเพราะมีนักข่าวสาวสวยชาวเกาหลีใต้ ออกมาทำคอนเทนต์ที่เรียกได้ว่าทั้งเหยียด และทั้งแซะ ด้อยค่าคนไทยถึงกระแส #แบนเกาหลี อีกทั้งตัวเธอเองก็เป็นสื่อ แต่กลับไม่มีความเป็นกลางเลยสักนิด

'จีน' กระตุ้น!! สหรัฐฯ ยกเลิก 'ภาษีนำเข้าเพิ่มเติม' สินค้าจีนทั้งหมด เพราะขัดต่อกฎของ WTO และอาจทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม

(6 ก.ย.67) สำนักข่าวซินหัว เผย กระทรวงพาณิชย์ของจีน ระบุว่า สหรัฐฯ ควรแก้ไขข้อผิดพลาดของตนและยกเลิกภาษีนำเข้าเพิ่มเติมต่อสินค้าจีนทั้งหมดทันที

เหอหย่งเฉียน โฆษกกระทรวงฯ กล่าวระหว่างตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นที่สหรัฐฯ เลื่อนการประกาศตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนภายใต้มาตรา 301 ออกไปอีกครั้ง

ทั้งนี้องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ตัดสินแล้วว่า ภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 นั้นขัดต่อกฎระเบียบขององค์การฯ ซึ่งเหอระบุว่า การที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ หน่วยงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ขอความเห็นจากสาธารณชนเกี่ยวกับผลการพิจารณาภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 ซึ่งเสียงส่วนใหญ่คัดค้านต่อการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมหรือขอยกเว้นภาษีในวงกว้างขึ้น โดยเหอระบุว่า ความเห็นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการขึ้นภาษีภายใต้มาตรา 301 ไม่เป็นที่นิยมในหมู่สาธารณชนในสหรัฐฯ

'สื่ออังกฤษ' แฉ!! พันธมิตรด้านการตลาดของ 'เฟซบุ๊ก-กูเกิล-อเมซอน' ใช้เอไอดักฟังคนใช้โทรศัพท์ เพื่อยิงโฆษณาตรงตามที่ผู้ใช้กำลังพูดถึง

(6 ก.ย.67) เดลีเมลล์ สื่ออังกฤษรายงานว่า ได้มีข้อมูลของ บริษัท 'ค็อกซ์ มีเดีย กรุ๊ป' หรือ 'ซีเอ็มจี'  (Cox Media Group (CMG) ซึ่งเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์การตลาดของ เฟซบุ๊ก, กูเกิล และ อเมซอน รั่วไหลไปถึงมือขององค์กรสื่อออนไลน์ชื่อว่า '404 มีเดีย' (404 Media) ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า บริษัท ซีเอ็มจี ได้ใช้ซอฟต์แวร์ดักฟังเสียง ชื่อว่า 'แอค-ทีฟ ลิสเซนนิ่ง' (Active Listening) ดักฟังเสียงผู้ใช้โทรศัพท์ เพื่อที่จะยิงโฆษณาได้ตรงจุดที่สุด

โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าว จะดักฟังเนื้อหาจากไมโครโฟนในเครื่องของผู้ใช้โทรศัพท์ และใช้เอไอประมวลผล เพื่อให้สามารถยิงโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และทำอย่างถูกกฎหมายด้วย ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวได้คลายความสงสัยของผู้คนนับล้าน ที่สงสัยมานานแล้วว่า ทำไมโทรศัพท์รู้ถึงความต้องการและโชว์โฆษณาในสิ่งที่เราได้พูดถึงได้อย่างไร ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏออกมานั้นยืนยันว่า โทรศัพท์ของเรากำลังฟังเราอยู่จริงๆ

ข้อมูลระบุว่า ซอฟต์แวร์ 'Active-Listening' ของบริษัท ซีเอ็มจี จะใช้ AI เพื่อรวบรวม วิเคราะห์  และประมวล 'ข้อมูลเจตนาแบบเรียลไทม์' โดยการฟังสิ่งที่พูดผ่านโทรศัพท์ แล็ปท็อป หรือไมโครโฟนของอุปกรณ์ผู้ช่วยต่างๆ ในบ้าน จากนั้นผู้โฆษณาก็จะใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ เพื่อกำหนดเป้าหมาย ผลิตภัณฑ์หรือบริการบางอย่าง โดยเฉพาะที่ผู้ใช้โทรศัพท์กำลังพูดถึงอยู่ 

ถ้าหากเสียงหรือข้อมูลพฤติกรรมของคุณ บ่งชี้ว่าคุณกำลังพิจารณาซื้อสินค้าบางอย่าง ก็จะมีโฆษณาสำหรับสินค้าชิ้นนั้นขึ้นมาในมือถือทันที ตัวอย่างเช่น หากมีการพูดคุยกันถึง 'รถยนต์โตโยต้า' ระบบก็จะยิงโฆษณา รถยนต์โตโยต้ารุ่นใหม่ขึ้นมาให้เห็นทันที 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เรื่องนี้รั่วไหลออกมา ทางด้านกูเกิล ก็ได้ลบกลุ่มสื่อ '404 มีเดีย' ออกจากโครงการ 'โปรแกรมพันธมิตร' ของกูเกิลทันที ขณะที่ โฆษกของเมต้า (Meta) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ปฏิเสธว่า “บริษัทไม่ได้ใช้ไมโครโฟนของโทรศัพท์ของผู้ใช้สำหรับการโฆษณา และได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะมาหลายปีแล้ว เรากำลังติดต่อซีเอ็มจี เพื่อให้พวกเขาชี้แจงว่าโปรแกรมของพวกเขาไม่ได้กระทำดังกล่าว"

ทางด้านอเมซอน ระบุว่า แผนกโฆษณาของบริษัท "ไม่เคยร่วมงานกับ ซีเอ็มจี ในโปรแกรมนี้ และจะไม่มีแผนจะทำเช่นนั้น"

รายงานข่าวระบุว่า นอกจากนั้น การใช้ซอฟต์แวร์ 'แอคทีฟ ลิสเซนนิ่ง' ยังถูกกฎหมายด้วย เพื่อเมื่อผู้ใช้ ดาวน์โหลด หรืออัปเดต แอปพลิเคชันใหม่ ก็จะมีการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงข้อตกลงเงื่อนไขการใช้งานหลายหน้าในข้อความขนาดเล็กๆ ซึ่งจะรวมถึงการอนุญาตใช้ซอฟต์แวร์ แอคทีฟ ลิสเซนนิ่ง Active Listening ไว้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมการดักฟังเช่นนั้นถึงไม่ผิดกฎหมายในรัฐของสหรัฐฯ ที่มีกฎหมายห้ามบันทึกเสียงใครก็ตามโดยที่บุคคลนั้นไม่ทราบ เช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้ ซีเอ็มจี เป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย บริษัทให้บริการสื่อกระจายเสียง สื่อดิจิทัล โฆษณา และบริการทางการตลาด และสร้างรายได้ 22,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.59 แสนล้านบาท) ในปี 2022

'ไต้หวัน' โวย!! จีนแย่ง 'วิศวกรด้านชิป-ความลับทางการค้า' ทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมไฮเทค

(6 ก.ย.67) เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยีของจีน 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ผลิตชิปอย่าง ‘นอราเทคโนโลยีกรุ๊ป’ (Naura Technology Group Co.) ถูกทางการไต้หวันกล่าวหา แย่งชิงคนเก่งที่มีความสามารถไปอย่างผิดกฎหมาย นอกจากนั้น ยังขโมยความลับด้านการค้าของไต้หวันไปอีกด้วย

สำนักงานสืบสวนในสังกัดกระทรวงยุติธรรมไต้หวัน ได้มีการแถลงทางเว็บไซต์เมื่อวันพุธ (4 ก.ย. 67) ที่ผ่านมาว่า ได้บุกตรวจค้นสถานที่ 30 แห่ง และสอบสวนบุคคล 65 คนใน 4 เมือง รวมถึงไทเปและซินจู๋ โดยบริษัทจีนตกเป็นผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่ง ‘ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไต้หวันในด้านอุตสาหกรรมไฮเทค’

โดยบริษัทอีก 7 แห่งได้แก่ ไอคอมม์เซมิ (iCommsemi), เซี่ยงไฮ้นิววิชั่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Shanghai New Vision Microelectronics), หนันจิง เอเวียคอมม์ เซมิคอนดักเตอร์ (Nanjing Aviacomm Semiconductor), อีโมติบอต (Emotibot), ทงฟาง (Tongfang), เฉิงตูอะนาล็อกเซอร์กิตเทคโนโลยี (Chengdu Analog Circuit Technology) และเฮสเทียเพาเวอร์ (Hestia Power)

ทั้งนี้ ‘นอรา’ ซึ่งมีฐานในกรุงปักกิ่ง เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน เช่น SMIC YMTC และหัวหงเซมิคอนดักเตอร์กรุ๊ป (Hua Hong Semiconductor Group) โดย นอรา ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ตามล่าวิศวกรด้านอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ แต่ทางบริษัทยืนยันว่า สำนักงานในไต้หวันดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบและข้อกฎหมายของท้องถิ่น

หลายบริษัทที่ถูกกล่าวหา รวมถึงไอคอมม์เซมิ และเซี่ยงไฮ้นิววิชั่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์นั้น เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชิป ส่วนอีโมติบอตเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์อัตโนมัติ โดยอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ และการเรียนรู้เชิงลึก

สำนักงานสืบสวนระบุอีกว่า หลายบริษัทที่ถูกกล่าวหา เช่น ‘เฮสเทียเพาเวอร์’ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัสดุชิปในเซี่ยงไฮ้ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ผ่านกองทุนสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ที่เรียกกันว่า ‘Big Fund’

ส่วนบริษัททงฟาง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ มีผู้ก่อตั้งคือ ‘มหาวิทยาลัยชิงหวา’ ในปี 2540 บริษัทรู้จักกันในชื่อเดิมว่า ‘ชิงหวาทงฟาง’ แต่ปัจจุบันอยู่ในความควบคุมของบริษัทนิวเคลียร์แห่งชาติจีน โดยดำเนินธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค พลังงาน และสิ่งแวดล้อม

สำนักงานสืบสวนกล่าวหา บริษัททงฟางแย่งตัวพนักงานด้านการวิจัยและพัฒนาเกือบหนึ่งร้อยคนผ่านบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในไต้หวัน

ข้อกล่าวหาของไต้หวันมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลจีนทุ่มเทความพยายามเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์ท่ามกลางมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของสหรัฐอเมริกาให้แก่จีน

ด้าน แพลตฟอร์ม ‘Qichacha’ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทต่างๆ ของจีนระบุว่า เมื่อเดือนที่แล้วเทศบาลกรุงปักกิ่งได้เปิดตัวกองทุนเพื่อการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ด้วยทุนจดทะเบียน 8,500 ล้านหยวน ซึ่งเกิดขึ้น 3 เดือน หลังจากที่จีนจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนด้านชิปก้อนใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเป็น ‘Big Fund’ เฟสที่ 3 ด้วยทุนจดทะเบียน 344,000 ล้านหยวน

เปิด 30 รายชื่อ ผู้เข้าชิงรางวัล 'บัลลงดอร์ 2024' ไร้ชื่อ 'โรนัลโด - เมสซี่' เป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี

(5 ก.ย. 67) ‘ฟรองซ์ ฟุตบอล’ นิตยสารลูกหนังชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส ประกาศ 30 รายชื่อผู้ท้าชิงรางวัลประจำปี ‘บัลลงดอร์ 2024’ หรือ ครั้งที่ 68 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี นับตั้งแต่ปี 2023 ที่ไม่มีชื่อคู่สตาร์ระดับโลกอย่าง ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ แข้งจาก ‘อัล นาสเซอร์’ เจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย และ ‘ลิโอเนล เมสซี่’ จาก ‘อินเตอร์ ไมอามี่’ เจ้าของรางวัล 8 สมัย

โดยสำหรับครั้งล่าสุดที่ไม่มี ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ ติดโผรายชื่อ 30 นักเตะนั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 2003 ก่อนปีถัดมา 2004 ‘โรนัลโด’ ติดชื่อครั้งแรก สมัยค้าแข้งกับ ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ และได้อันดับ 12 ร่วม ขณะที่ ‘ลิโอเนล เมสซี่’ ที่เวลานั้นอยู่กับ ‘บาร์เซโลน่า’ ติดโผตั้งแต่ปี 2006 

ทั้งนี้ ‘บัลลงดอร์ 2024’ เป็นแข้งจาก ศึก ‘พรีเมียร์ลีก’ ที่มีชื่อลุ้นรางวัลมากที่สุดถึง 9 ราย ประกอบด้วย โรดรี, รูเบน ดิอาส, ฟิล โฟเดน, เออร์ลิง ฮาลันด์, มาร์ติน โอเดการ์ด, โคล พาลเมอร์, เดแคลน ไรซ์, บูคาโย ซากา และ วิลเลียมส์ ซาลิบา

สำหรับรายชื่อ 30 นักเตะ ลุ้นรางวัล ‘บัลลงดอร์ 2024’ มีดังนี้

1. จู๊ด เบลลิงแฮม (เรอัล มาดริด)
2. มาร์ติน โอเดการ์ด (อาร์เซน่อล)
3. ฮาคาน คาลฮาโนกลู (อินเตอร์ มิลาน)
4. โคล พาล์มเมอร์ (เชลซี)
5. ดานี โอลโม่ (บาร์เซโลน่า)

6. ดานี คาร์บาฆาล (เรอัล มาดริด)
7. รูเบน ดิอาส (แมนซิตี้)
8. เดแคลน ไรซ์ (อาร์เซน่อล)
9. อาร์เต็ม ดอบบิก (โรม่า)
10. โรดรี้ (แมนซิตี้)

11. ฟิล โฟเด้น (แมนซิตี้)
12. อันโตนิโอ รูดิเกอร์ (เรอัล มาดริด)
13. เลฮานโดร กริมัลโด้ (เลเวอร์คูเซ่น)
14. บูกาโย่ ซาก้า (อาร์เซน่อล)
15. เออร์ลิง ฮาแลนด์ (แมนซิตี้)

16. วิลเลียม ซาลิบา (อาร์เซน่อล)
17. มัตส์ ฮุมเมลส์ (โรม่า)
18. เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ (เรอัล มาดริด)
19. แฮร์รี่ เคน (บาร์เยิร์น มิวนิค)
20. วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด)

21. โทนี โครส (เรอัล มาดริด แขวนสตั๊ด)
22. วิตินญ่า (เปแอสเช)
23. อเดโมลา ลุคแมน (อตาลันต้า)
24. นิโก้ วิลเลียมส์ (แอตเลติก บิลเบา)
25. เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ (แอสตัน วิลล่า)

26. ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ (เลเวอร์คูเซ่น)
27. เลาตาโร่ มาร์ติเนซ (อินเตอร์ มิลาน)
28. กรานิต ชาก้า (อาร์เซน่อล)
29. คีเลียน เอ็บบัปเป้ (เรอัล มาดริด)
30. ลามีน ยามาล (บาร์เซโลน่า)

อย่างไรก็ตาม พิธีประกาศรางวัลบัลลงดอร์ 2024 จะมีขึ้นในวันที่ 28 ต.ค. 67 นี้ ที่ ’เตียเตอ ดู ซาเตอเลต์’ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top