Sunday, 5 May 2024
WORLD

‘ค่าย UMG’ สั่งถอนเพลงออกจาก ‘TikTok’ แล้ว หลังไม่สามารถตกลงเรื่องค่าตอบแทนกันได้

(2 ก.พ.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์, อารีอานา กรานเด, จัสติน บีเบอร์, เดอะบีทเทิลส์ และศิลปินอื่นๆ อีกจำนวนมาก จะไม่ปรากฏให้ได้ยินกันในติ๊กต็อกอีกต่อไป หลังจากที่ติ๊กต็อก กับ ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป หรือยูเอ็มจี (UMG) ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ที่มีเพลง 1 ใน 3 ของโลกอยู่ในมือ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องค่าตอบแทนได้

ข่าวระบุว่า เพลงของยูเอ็มจีทั้งหมดได้ถูกถอดออกจากคลังเพลงของติ๊กต็อก ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ และวิดีโอที่มีเพลงของยูเอ็มจีทั้งหมด จะถูกปิดเสียงเอาไว้

ทั้งนี้ สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (licensing agreement) ระหว่างยูเอ็มจี กับติ๊กต็อก ได้หมดไปเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา

รายงานแจ้งว่า หลังการเจรจาเพื่อต่อสัญญาพังลงระหว่างสองบริษัท เมื่อวันที่ 30 มกราคม ทางยูเอ็มจี ได้กล่าวหาติ๊กต็อกว่า พยายามที่จะสร้างธุรกิจเกี่ยวกับเพลง โดยไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรมให้กับเพลง

ยูเอ็มจี ระบุด้วยว่า หนึ่งในประเด็นของการเจรจา คือเรื่องของการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมใหักับศิลปิน และนักเขียนเพลง รวมถึงเรื่องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ของผู้ใช้ และการปกป้องศิลปินจากอันตรายที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)

ด้านติ๊กต็อก ซึ่งเป็นของบริษัท ไบท์แดนซ์ จากจีน ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าผิดหวัง ที่ยูเอ็มจี ได้เอาความโลภของตัวเองอยู่เหนือผลประโยชน์ของศิลปินในบริษัท

ทั้งนี้ แม้ว่าติ๊กต็อกจะมีผู้ใช้งานจำนวนมากคือกว่า 1,000 ล้านบัญชี แต่ก็สร้างรายได้ให้ยูเอ็มจีได้แค่ราว 1 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของยูเอ็มจี

Woman with a Parasol - Madame Monet and Her Son ภาพสีนํ้ามันบนผ้าใบที่จิตรกรชื่อก้อง 'Claude Monet’ รังสรรค์ไว้

(2 ก.พ.67) จากเพจ 'Sompob Pordi' ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ระบุว่า...

ภาพวาดที่เป็นที่รู้จักของคนแทบทั้งโลกภาพนี้ชื่อ

Woman with a Parasol - Madame Monet and Her Son หรือบางครั้งคนในวงการเรียกสั้นๆเป็นภาษาอังกฤษว่า The Stroll 

หรือเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า La Femme à l'ombrelle - Madame Monet et son fils

เป็นภาพสีนํ้ามันบนผ้าใบที่จิตรกรแนว Impressionism ชื่อก้อง Claude Monet วาดขึ้นในปีค.ศ. 1875 โดยผู้หญิงและเด็กในภาพก็คือ Camille ภรรยา และ Jean บุตรชายของตน

ปัจจุบัน ภาพเขียนอันโด่งดังนี้ถูกแสดงอยู่ที่ แกลอรี่แห่งชาติที่กรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา

และก็เป็นธรรมดาด้วยหากจะมีการทำวาดภาพปลอมหรือภาพลอกเลียนแบบขึ้นมาหลอกขายผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เช่นเดียวกับภาพเขียนชื่อดังอื่นๆ โดยไม่เปิดเผยว่าใครเป็นคนทำภาพปลอมขึ้นมา เพราะส่วนใหญ่แล้ว เขาจะอายกันทั้งคนวาดและคนซื้อ

แต่หากไม่อายกันเลย ก็นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ 😁

‘รมว.ความมั่นคงสาธารณะจีน’ พบปะ ‘รมว.ยุติธรรมไทย’ เดินหน้ากระชับความร่วมมือปราบปราม ‘ยาเสพติด’

(1 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หวังเสี่ยวหง มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน พบปะกับทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและสมาชิกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของไทย ณ กรุงปักกิ่งของจีน

โดย หวังเสี่ยวหง ระบุว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรที่ดี ญาติที่ดี และหุ้นส่วนที่ดีต่อกัน โดยเขาหวังว่าจีนและไทยจะดำเนินการตามฉันทามติสำคัญที่บรรลุโดยผู้นำของสองประเทศ กระชับความร่วมมือด้านการควบคุมยาเสพติดให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพแนวทางความร่วมมือเกี่ยวกับผู้หลบหนีและการติดตามทรัพย์สินคืน ดำเนินปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน ปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ อย่างสอดคล้องตามกฎหมาย อาทิ การผลิตและการค้ายาเสพติด การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและทางอินเทอร์เน็ต และการพนันออนไลน์ เสริมสร้างความร่วมมือเชิงปฏิบัติด้านการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคง รวมถึงส่งเสริมการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน

ด้าน ทวี สอดส่อง แสดงความเต็มใจของไทยในการรักษาการแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดกับจีน พร้อมกระชับความร่วมมือการบังคับใช้กฎหมายในด้านการควบคุมยาเสพติดและอื่นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

‘มาร์ค’ ขอโทษพ่อแม่เหยื่อ ‘เฟซบุ๊ก-อินสตาแกรม’ ลั่น!! ทำดีที่สุดแล้วในการเพิ่มมาตรการป้องกัน

(1 ก.พ. 67) นสพ.USA Today สหรัฐอเมริกา เสนอข่าวในหัวข้อ ‘TikTok, Snap, X and Meta CEOs grilled at tense Senate hearing on social media and kids’ ระบุว่า ในการพิจารณาประเด็นผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ต่อสังคม ทั้งภาพลามกอนาจารของเด็กที่ถูกเผยแพร่บนอินสตาแกรม, เรื่องการเสียชีวิตจากยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ‘มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก’ (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ เมตา และผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ซึ่งถูกเชิญมาชี้แจง ได้หันไปกล่าวขอโทษประชาชนที่มาฟังการอภิปราย โดยประชาชนเหล่านั้นเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองที่กล่าวหาว่าเฟซบุ๊ก รวมถึงอินสตาแกรม ทำร้ายบุตรหลานของพวกเขา

“ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้รับ ไม่มีใครควรประสบกับสิ่งที่ครอบครัวของคุณต้องทนทุกข์ทรมาน และนี่คือ เหตุผลที่เราลงทุนมากมาย และเราจะดำเนินการตามความพยายามระดับชั้นนำของอุตสาหกรรมต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครต้องเจอกับสิ่งที่ครอบครัวของคุณต้องทนทุกข์ทรมานอีก” ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าว

คำขอโทษต่อสาธารณะที่หาได้ยากนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายนิติบัญญัติและผู้สนับสนุนเด็กที่มองว่า อุตสาหกรรมนี้ล้มเหลวในการปกป้องผู้ใช้ที่อ่อนแอที่สุดจากการละเมิดและการแสวงหาผลประโยชน์มาหลายปีแล้ว ซึ่งในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา ได้ตำหนิผู้นำของบริษัทโซเชียลมีเดียชั้นนำของประเทศหลายแห่งพร้อมเพรียงกัน และเรียกร้องให้ผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้ดำเนินการทันทีเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนทางออนไลน์

ลินซีย์ เกรแฮม (Lindsey Graham) สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า เราทุกคนใช้สื่อสังคมออนไลน์ แม้จะมีข้อดีแต่ด้านมืดยังไม่ถูกจัดการ และตอนนี้ถึงเวลาแล้วเพราะผู้คนยึดเอาความคิดของคุณไป และพวกเขาก็ทำให้มันกลายเป็นฝันร้ายสำหรับชาวอเมริกัน 

ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อเยาวชนในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยมีคำแนะนำจากแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ เมื่อปี 2566 ระบุว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ทำให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน และเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีดำเนินการทันที

ฝ่ายนิติบัญญัติใช้การพิจารณาเพื่อผลักดันร่างกฎหมายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยหยุดการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กทางออนไลน์ รวมถึงกฎหมาย STOP CSAM ซึ่งจะอนุญาตให้เหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กฟ้องร้องแพลตฟอร์มเทคโนโลยีได้ และแม้ว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก รวมถึงผู้บริหารแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ จะอ้างว่าไม่ได้นิ่งนอนใจและพัฒนามาตรการป้องกันผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เพียงพอ

ด้าน จอห์น เคนเนดี (John Kennedy) สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า สภาครองเกรสจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วย และการปฏิรูปที่ผู้บริหารแพลตฟอร์มพูดถึง ในระดับหนึ่งจะเหมือนกับการทาสีบนไม้ที่เน่าเสีย 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ยอมรับว่าตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเช่นกัน โดยยกตัวอย่างห้วงเวลาในรอบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา มีการผ่านกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กเพียงฉบับเดียวเท่านั้น

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ผู้บริหารแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกเชิญมาชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภาสหรัฐฯ นอกจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จากเมตา-เฟซบุ๊ก ยังมี ลินดา ยัคคาริโน (Linda Yaccarino) ซีอีโอของเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์), โซวซีอชิว (Shou Zi Chew) ซีอีโอของติ๊กต็อก, อีวาน สปีเกล (Evan Spiegel) ซีอีโอของสแน็ป และ เจสัน ซิตรอง (Jason Citron) ซีอีโอของดิสคอร์ด โดยซัคเคอร์เบิร์กมาที่นี่เป็นครั้งที่ 8 ขณะที่ ยัคคาริโน สปีเกลและซิตรอง เพิ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรก

ซิตรอง กล่าวว่า ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับปรุงความปลอดภัยทางออนไลน์อย่างแท้จริง ขณะที่ ดิค เดอร์บิน (Dick Durbin) สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ซิตรองยอมรับเฉพาะบริการของหมายเรียกนี้หลังจากที่ US Marshals ถูกส่งไปยังสำนักงานใหญ่ของดิสคอร์ด ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เสียภาษี

ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ยังมีเอกสารบันทึกการสื่อสารภายในองค์กรของเมตามาเปิดเผย ว่าด้วยการที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ปฏิเสธคำขอในปี 2564 ที่จะเพิ่มพนักงานหลายสิบคนเพื่อมุ่งเน้นไปที่ความเป็นอยู่และความปลอดภัยของเด็ก ซึ่ง ริชาร์ด บลูเมนธัล (Richard Blumenthal) สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าไม่อาจไว้วางใจเมตาดีอีกต่อไป ขณะที่ผู้บริหารแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็จะต้องประเมินการบ้านของตนเองด้วย

ด้าน จอร์จ ฮาวลีย์ (Josh Hawley) สมาชิกวุฒิสภา เรียกร้องให้ ซัคเคอร์เบิร์ก ขอโทษครอบครัวของเหยื่อ และให้จัดตั้งกองทุนเยียวยา แต่ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กไม่ยอมรับแนวคิดนี้ในระหว่างกระบวนการพิจารณา โดย ซัคเคอร์เบิร์ก ได้ยื่นเอกสารชี้แจงว่า เมตาได้เปิดตัวฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อช่วยผู้ปกครองและเยาวชน รวมถึงการควบคุมที่ให้ผู้ปกครองกำหนดเวลาและระยะเวลาที่บุตรหลานสามารถใช้บริการได้ การตั้งค่าที่ซ่อนเนื้อหาที่อาจละเอียดอ่อน และเครื่องมือสะกิดที่เตือนวัยรุ่นเมื่อพวกเขา ใช้อินสตาแกรมนานเกินไปหรือสายเกินไปในตอนกลางคืน

ขณะที่แพลตฟอร์มติ๊กต๊อก เนื่องจากมีเจ้าของคือ ไบท์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทสัญชาติจีน จึงมีข้อกังวลในประเด็นความมั่นคง ว่าด้วยแพลตฟอร์มอาจส่งข้อมูลผู้ใช้งานให้กับรัฐบาลจีน แต่ โซวซีอชิว ซีอีโอของติ๊กต๊อก ชี้แจงว่า บริษัทได้ใช้เงินหลายพันล้านในโครงการที่มุ่งปกป้องข้อมูลผู้ใช้ชาวอเมริกัน อีกทั้งไม่เคยได้รับการร้องขอจากรัฐบาลจีนเรื่องให้ส่งข้อมูลผู้ใช้งาน และติ๊กต๊อกก็ไม่ได้ส่งข้อมูลดังกล่าวไปด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีการปิดใช้งานการส่งข้อความโดยตรงสำหรับบัญชีที่เป็นของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี และทำให้บัญชีของพวกเขาเป็นส่วนตัวโดยอัตโนมัติอีกด้วย

ฟาก ยัคคาริโน จากเอ็กซ์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสร้างศูนย์ควบคุมเนื้อหาในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และบริษัทสนับสนุนกฎหมาย STOP CSAM รวมถึงกฎหมาย Kids Online Safety Act ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีที่แนะนำเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้รุ่นเยาว์มากขึ้น (นักวิจารณ์บางคนกังวลว่าเนื้อหาดังกล่าวอาจนำไปสู่การเซ็นเซอร์เนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลข้ามเพศทางออนไลน์ด้วย) โดย สแน็ป บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสแน็ปแชท เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่มีท่าทีสนับสนุนกฎหมาย Kids Online Safety Act

เจสัน ซิตรอง ซีอีโอของดิสคอร์ด กล่าวว่า เช่นเดียวกับเทคโนโลยีและเครื่องมืออื่นๆ มีผู้คนที่ใช้ประโยชน์และใช้แพลตฟอร์มของเราในทางที่ผิดเพื่อวัตถุประสงค์ที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย พวกเราทุกคนที่นี่ในวันนี้และทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มีความรับผิดชอบอันเคร่งขรึมและเร่งด่วนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนที่ใช้แพลตฟอร์มของเราได้รับการปกป้องจากอาชญากรเหล่านี้ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ฝ่ายนิติบัญญัติตั้งข้อสังเกตว่ามีการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยจำนวนหนึ่ง รวมถึงศูนย์ควบคุมเนื้อหาใหม่ของเอ็กซ์ และการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับวัยรุ่นบนแพลตฟอร์มของเมตา ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการพิจารณาของวุฒิสภา ขณะที่สวัสดิภาพของเด็กในสื่อสังคมออนไลน์เป็นเพียงไม่กี่ประเด็นที่อยู่เหนือการแบ่งฝักฝ่ายทางการเมือง โดย สว.ลินซีย์ เกรแฮม กล่าวว่า ทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเห็นพ้องต้องกันว่าบริษัทเทคโนโลยีจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบมากขึ้น

ยังมีการเปรียบเทียบกับปัญหาของเครื่องบินโดยสารที่ผลิตโดยบริษัทโบอิง โดย 2 สว. คือ เอมี โคลบูชาร์ (Amy Klobuchar) กับ คริส คูนส์ (Chris Coons) มีความเห็นขัดแย้งกันกฎระเบียบในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสายการบิน แต่เน้นการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ในกรณีเครื่องบินโบอิงเกิดเหตุประตูหลุดกลางอากาศเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค. 2567 ซึ่ง โคลบูชาร์ กล่าวว่า ไม่มีใครตั้งคำถามเรื่องการสั่งระงับการใช้งานเครื่องบินรุ่นดังกล่าว แล้วเหตุใดเราไม่ดำเนินการเด็ดขาดแบบเดียวกันกับอันตรายของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ในเมื่อเรารู้ว่าเด็ก ๆ กำลังจะตาย 

‘สตาร์บัคส์’ พลาดเป้า!! กำไร-รายได้ Q1/67 ต่ำกว่าที่คาด หลังถูกบอยคอตอย่างหนักในสหรัฐฯ-การตัดราคาของจีน

เมื่อวานนี้ (31 ม.ค. 67) สตาร์บัคส์ (Starbucks) ธุรกิจร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ รายงานผลกำไรและรายได้ในไตรมาส 1/2567 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เนื่องจากทำยอดขายทั้งในสหรัฐและต่างประเทศต่ำกว่าคาด

โดยสตาร์บัคส์ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรต่อหุ้น 90 เซนต์ในไตรมาส 1/2567 ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 93 เซนต์ ส่วนรายได้อยู่ที่ 9.43 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 9.59 พันล้านดอลลาร์

นายลักษมัน นรสีหาญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ กล่าวในการประชุมทางโทรศัพท์ว่า กิจการของบริษัทกำลังเผชิญกับ ‘แรงต้าน’ ซึ่งรวมถึงการถูกบอยคอตอย่างหนักในสหรัฐและการตัดราคาโดยบรรดาคู่แข่งในจีน

“ยอดขายในสหรัฐเริ่มชะงักตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว เนื่องจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับจุดยืนของบริษัทในสงครามอิสราเอล-ฮามาส อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากลูกค้าขาจร” นรสีหาญ กล่าว

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสหภาพแรงงานสตาร์บัคส์ (Starbucks Workers United) โพสต์ข้อความสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ผ่านเอ็กซ์ (X) โดยมีการใช้สัญลักษณ์ของสตาร์บัคส์ ทางบริษัทสตาร์บัคส์จึงฟ้องร้องสหภาพแรงงานฐานละเมิดเครื่องหมายการค้า ซึ่งทำให้คนจำนวนมากรู้สึกว่าสตาร์บัคส์มีจุดยืนฝักใฝ่อิสราเอล

‘3 คนข่าวดัง’ ขอยก 3 ผู้นำ ‘อินเดีย-จีน-ญี่ปุ่น’ ต้องฉายานี้ ‘มาหาภารตะ - จิ๋นสีฮ่องเต้ - เห็นเงียบๆ แต่งานเพียบ’

(1 ก.พ. 67) วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย), ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) และดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้พูดถึงผลงานของผู้นำ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน และญี่ปุ่นในปี 2023 ที่ผ่านมา รวมถึงผลงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 พร้อมตั้งฉายาให้ผู้นำแต่ละประเทศ

ด้าน วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย) ได้ให้ฉายา ‘นเรนทรา โมที’ ประธานาธิบดีอินเดียว่า ‘มาหาภารตะ’ โดยอธิบายว่า มหาภารตะคือคัมภีร์ที่ชาวอินเดียและชาวโลกรู้จักกันอยู่แล้ว สำหรับ ‘นเรนทรา โมที’ กับย่างก้าวของอินเดียในปีที่ผ่านมา ก็อยากเติมสระอาไว้ให้ กลายเป็น ‘มาหาภารตะ’

สำหรับอินเดีย เป็นประเทศที่คบค้าได้กับทุกชาติ แต่ ‘นเรนทรา โมที’ จะยึดผลประโยชน์ของอินเดียไว้เป็นอันดับแรกเสมอ และเขาใช้คำว่า ‘ภารตะ’ เป็นคำแทนประเทศอินเดียอยู่บ่อย ๆ ด้วย ส่วนการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ เชื่อว่าไม่มีใครโค่นเขาลงได้แน่นอน

ทางด้าน ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) ได้ให้ฉายา ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีนว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’ โดยอธิบายว่า ชื่อของสี จิ้นผิง ไปสอดคล้องพ้องเสียงกับจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนในอดีตผู้ที่เคยรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกมาเป็นแผ่นดินใหญ่ได้ ซึ่งก็ตรงกับปณิธานของสี จิ้นผิง ที่ต้องการรวบรวมฮ่องกง ไต้หวัน และน่านน้ำต่างๆ มาให้ได้ภายในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ จึงเป็นเหมือนการสถาปนาแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหม่ขึ้นมา จึงให้ฉายาว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’

ปิดท้ายด้วย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้ให้ฉายา ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่า ‘เห็นเงียบ ๆ แต่งานเพียบ’ โดยอธิบายว่า งานเพียบก็คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องในมุ้งการเมือง ทั้งเรื่องการปรับ ครม. เรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะดูนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา บวกกับบุคลิกของนายกรัฐมนตรีที่นิ่งเงียบด้วย แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาและงานให้ต้องแก้ไขเยอะมาก ก็ต้องมาตามดูกันว่าจะสามารถอยู่ต่อในสมัยที่ 2 ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ก็ต้องไล่แก้ปัญหามากมาย อาจจะต้องใช้ความนิ่งสงบสยบความวุ่นวายและปัญหา

‘ปักกิ่ง’ ตั้งเป้า!! เพิ่ม ‘พื้นที่สีเขียว’ ภายในปีนี้ ลุยสร้างสวนสาธารณะ-ปลูกป่าในเมือง 15 แห่ง

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประชุมงานของสำนักป่าไม้และสวนสาธารณะเทศบาลกรุงปักกิ่งของจีน ซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อไม่นานนี้ รายงานว่าปักกิ่งจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวในปี 2024 โดยมีเป้าหมายว่าร้อยละ 91 ของผู้อยู่อาศัยจะเข้าถึงสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กภายในรัศมี 500 เมตร

เกาต้าเหว่ย หัวหน้าสำนักฯ เผยว่า ปักกิ่งวางแผนปลูกป่า 10,000 หมู่ (ราว 4,166 ไร่) และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองอีก 200 เฮกตาร์ (ราว 1,250 ไร่) ในปี 2024 รวมถึงมุ่งหน้าสู่การเป็น ‘เมืองแห่งสวน’ ใต้ร่มเงาป่าไม้ โดยปักกิ่งจะเพิ่มสวนสาธารณะและป่าในเมือง 15 แห่ง ควบคู่กับสวนสาธารณะขนาดย่อมและพื้นที่สีเขียวขนาดเล็ก 50 แห่ง

ทั้งนี้ กรุงปักกิ่งมีสวนสาธารณะรูปแบบต่างๆ รวม 1,065 แห่ง พร้อมอัตราความครอบคลุมของพื้นที่สีเขียวต่อหัวอยู่ที่ 16.9 ตารางเมตร โดยปักกิ่งมีความครอบคลุมของป่าไม้สูงแตะร้อยละ 44.9 และความครอบคลุมของป่าไม้ในเมืองสูงแตะร้อยละ 49.8 เมื่อนับถึงสิ้นปีก่อน รวมถึงการกักเก็บคาร์บอนของป่าไม้และพื้นที่สีเขียวในเมืองรายปีสูงแตะ 9.2 ล้านตัน

‘Icon of the Seas’ เรือสำราญหรู 7 หมื่นล้าน ออกท่องทะเลแล้ว ราคา 61,000-94,000 บาท ส่วนไฮซีซั่นเหยียบ 2 แสน

(31 ม.ค.67) เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า ไอคอน ออฟ เดอะซีส์ (Icon of the Seas) เรือสำราญใหญ่ที่สุดในโลกได้แล่นออกจากท่าเรือในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา สหรัฐ เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อออกเดินทางครั้งแรกไปท่องเที่ยวเกาะต่างๆ ในทะเลแคริบเบียนเป็นเวลา 7 วัน

เรือสำราญหรูลำดังกล่าวเป็นของบริษัท รอยัล แคริบเบียน กรุ๊ป มีขนาดความยาวของตัวเรือ 365 เมตร มีน้ำหนัก 250,800 ตัน หรือใหญ่กว่าเรือไททานิคราว 5 เท่า สามารถจุผู้โดยสารได้สูงสุด 7,600 คน และพนักงานบนเรืออีกกว่า 2,000 คน มูลค่าการลงทุนสร้าง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 72,000 ล้านบาท

สำหรับภายในเรือสำราญมีจำนวน 20 ชั้น มีร้านอาหาร บาร์ และเลาจน์บนเรือมากกว่า 40 แห่ง มีสระว่ายน้ำ 7 สระและสไลเดอร์น้ำ 6 แห่ง เรือลำนี้ถูกต่อที่อู่ต่อเรือในประเทศฟินแลนด์และติดธงบาฮามาส

อีกทั้ง พิธีตั้งชื่อเรือลำนี้ ยังมีลีโอเนล เมสซี่ กองหน้ากัปตันทีมชาติอาร์เจนตินาของสโมสรอินเตอร์ ไมอามี เข้าร่วมในพิธีในครั้งนี้ด้วย

ในส่วนของราคาตั๋วล่องเรือสำราญบนเรือไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ มีราคาตั้งแต่ 1,723 -2,639 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 61,000-94,000 บาท ขณะที่ราคาตั๋วในช่วงไฮซีซั่นอย่างคริสต์มาสจะอยู่ที่ราว 5,124 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 182,158 บาท

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการล่องเรือสำราญถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วที่สุด สมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศ (Cruise Lines International Association : CLIA) ระบุว่า คนวัยหนุ่มสาวให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวพักผ่อนบนเรือสำราญเป็นพิเศษ

โดยอุตสาหกรรมล่องเรือสำราญสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจโลกในปี 2564 รวมมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.66 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้เตือนว่าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนเรือลำดังกล่าวจะปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นไปในอากาศ ถึงแม้ว่าแอลเอ็นจีจะมีการเผาไหม้ที่สะอาดกว่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในเรือเดินสมุทรในอดีต

อาทิ น้ำมันเตา แต่ทางบริษัทรอยัล แคริบเบียน กล่าวว่า เรือไอคอน ออฟ เดอะซีส์ ประหยัดพลังงานมากกว่าที่ทางองค์การทางทะเลระหว่างประเทศกำหนดไว้สำหรับเรือรุ่นใหม่ถึงร้อยละ 24

‘สาวญี่ปุ่น’ ได้รับจดหมายจากคุณแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว  ส่งมาบอกรัก-ให้กำลังใจในวันเกิดทุกปี ตลอด 15 ปี

(31 ม.ค.67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ japansansan หรือ ญี่ปุ่นๆสั้นกับพิชา ได้เผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นชื่อ ‘รินะ’ ที่ได้รับจดหมายจากคุณแม่ที่จากไปแล้วทุกๆ ปี จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี โดยระบุว่า…

คุณแม่ของรินะ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนที่รินะเพิ่งอายุ 5 ขวบ ส่วนคุณพ่อก็ได้หย้าร้างกับคุณแม่ไปแล้ว ทำให้รินะต้องไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ในเวลาต่อมารินะได้รับอุปถัมภ์เลี้ยงดูจากครัวครอบหนึ่ง จนกระทั่งเมื่ออายุ 6 ขวบ รินะได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากคุณแม่ที่เสียไปแล้ว จดหมายฉบับนี้ส่งมาสุขสันต์วันเกิด และบอกรักรินะ “แม่รักรินนะตลอดไป และจะเฝ้ามองรินะจากบนฟ้าตลอดไปเลย”

หลังจากนั้นรินะก็ได้รับจดหมายจากคุณแม่มาตลอดทุกปี ราวกับว่าคุณแม่กำลังเฝ้ามองและให้กำลังใจเธออยู่ตลอด 

รินะมารู้ความจริงในภายหลังว่า คุณแม่ของเธอเขียนจดหมายเตรียมไว้ 15 ฉบับ และฝากให้ทนายส่งให้รินะจนอายุครบ 20 ปี โดยในจดหมายแต่ละฉบับจะมีตัวอักษรเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นของรินะ ซึ่งจะมีตัวอักษรในบางฉบับที่เลือนลาง เลอะเทอะ ก็เพราะเปื้อนน้ำตาของคุณแม่

เมื่อเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา รินะมีอายุครบ 20 ปี เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และเตรียมเป็นเจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็ก และเธอก็ได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายจากคุณแม่ โดยในจดหมายฉบับสุดท้ายนี้ คุณแม่ได้เขียนข้อความถึงเธอว่า “แม่คิดว่ารินะมีจิตใจที่เข็มแข็ง แม่เชื่ออย่างนั้น แม่รักลูกสุดหัวใจ แม่เฝ้าดูลูกจากบนสวรรค์เสมอ”

เรื่องราวของรินะและคุณแม่ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เรียกน้ำตาแห่งความซาบซึ้งจากผู้คนที่ได้รับรู้ และเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าความรักของแม่ช่างยิ่งใหญ่ แม้จะลาจากกันแบบไม่มีวันหวนกลับมา แต่ความเป็นแม่ก็ยังอยู่เคียงข้างลูกสาวในทุกช่วงวัย คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจ จนกระทั่งลูกเติบโต และพร้อมใช้ชีวิตเองได้บนโลกที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้

'คอมมานโดอิสราเอล' ปลอมตัวเป็น 'หมอ' บุกจู่โจม รพ.ปาเลสไตน์ สังหาร 'ฮามาส'

(31 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ากองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์ ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ หรือ หน่วยคอมมานโด แต่งกายเป็นบุคลากรการแพทย์บุกโรงพยาบาลอิบนุ ซินา ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเจนิน ในเขตเวสต์แบงก์เพื่อทลายรังก่อการร้ายของกลุ่มฮามาส

กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ออกแถลงการณ์ว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย ในเหตุการณ์ดังกล่าว และประณามปฏิบัติการของทหารอิสราเอล เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ด้านนพ.นาจิ นาสซาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอิบนุ ซินา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลมีทั้งชายและหญิง ใช้อาวุธปืนเก็บเสียงสังหารเป้าหมายอย่างเจาะจง ซึ่งเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลใช้เวลาอยู่ภายในโรงพยาบาลประมาณ 10 นาทีเท่านั้น

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' วิเคราะห์!! สหรัฐฯ ผงกำลังเข้าตา หลัง 'รัสเซีย-จีน' พร้อมรับรอง 'เท็กซัส' เป็นประเทศ

(31 ม.ค.67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และอดีตเลขานุการรมว.ต่างประเทศ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เรื่อง ผงเข้าตา มีเนื้อหาดังนี้

สหรัฐเคยแต่สนับสนุนให้แยกประเทศ เวลานี้ ผงกำลังเข้าตาตนเอง รัฐเท็กซัสกำลังเผชิญหน้ารัฐบาลกลาง ไม่รับคำสั่งจากไบเดนให้เปิดพรมแดน อ้าแขนรับผู้อพยพจากเม็กซิโก เท็กซัสอ้างว่าผู้อพยพเข้ามามากไปแล้ว พร้อมเผชิญหน้ากำลังจากรัฐบาลกลาง แถมมีอีกหลายรัฐสนับสนุนเท็กซัส

ซ้ำร้ายทั้งรัสเซียและจีนพร้อมรับรองเท็กซัส ให้เป็นประเทศเกิดใหม่ รัสเซียแซวเมกา ว่า ไบเดนควรให้การยอมรับ การแยกตัวของเท็กซัส เหมือนที่เคยทำกับประเทศอื่น

เรื่องจะจบลงอย่างไรยังไม่ชัดเจน แต่เท็กซัสเคยขู่แยกตัวมาหลายปีแล้ว เท็กซัสมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับสองของเมกา หากเกิดเหตุจริง เมกาถึงทรุด ไบเดนต้องดึงเรื่องให้ผ่านการเลือกตั้ง ไม่เปิดศึกในประเทศขึ้นอีก แค่ศึกยูเครน กาซา และทะเลแดง ชื่อเสียงเงินทองก็หมดไปมากแล้ว หากไบเดนไม่ได้รับเลือกตั้งรอบใหม่ปัญหาจะถาโถมเข้าใส่มากมาย ใครก็ได้ช่วยที

‘จีน-ไทย’ เตรียมก้าวสู่ ‘ยุคปลอดวีซ่า’ 1 มีนาคมนี้ เดินหน้าสนับสนุน ‘ตลาดท่องเที่ยว’ สองประเทศเต็มที่

เมื่อวานนี้ (29 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนและไทยเตรียมดำเนินนโยบายฟรีวีซ่าให้แก่กันตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. นี้ หลังจากคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกัน ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) โดยความคืบหน้านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของสองประเทศยิ่งขึ้น

จูหงอิง จากบริษัท อวิ๋นหนาน จิ่นอ้าย ทัวริซึม กรุ๊ป จำกัด ในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มองว่าตอนนี้จีนและไทยเตรียมเข้าสู่ ‘ยุคปลอดวีซ่า’ อันเกื้อหนุนนักท่องเที่ยวของสองประเทศเดินทางไปมาหาสู่กันได้ตามต้องการทุกเมื่ออย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ต่อตลาดการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

หากอ้างอิงข้อมูลการท่องเที่ยวแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ของบริษัทฯ จูกล่าวว่ากรุ๊ปทัวร์เพื่อท่องเที่ยวไทยช่วงหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 10-14 ก.พ. ถูกจับจองจนเต็มแล้ว โดยจุดหมายท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกรุ๊ปทัวร์แต่ละวันอยู่ที่ 60-70 คน และส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดียวกัน

วังเทา จากบริษัท เอเจนซีการท่องเที่ยวต่างประเทศ อวิ๋นหนาน เหม่ยถู จำกัด เผยว่านโยบายฟรีวีซ่าไม่เพียงเกื้อหนุนการเดินทางของนักท่องเที่ยว แต่ยังสะท้อนให้เห็นมิตรภาพอันดีระหว่างประชาชนชาวจีนและชาวไทย ซึ่งจะส่งเสริมการพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวของสองประเทศ

ไทยนั้นเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีลูกค้าสอบถามถึงมากที่สุดของบริษัทฯ เสมอมา โดยวังเสริมว่าหากพิจารณาจากกระแสตอบรับของนักท่องเที่ยว นโยบายฟรีวีซ่ามีผลต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะไม่ใช่เพียงเรื่องประหยัดค่าธรรมเนียมวีซ่า แต่ยังเกี่ยวพันกับการยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

ปัจจุบันอวิ๋นหนานมีเที่ยวบินโดยสารสู่หลายเมืองของไทย เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต จำนวน 54 เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยข้อมูลจากสถานีตรวจสอบการเข้า-ออกเมืองของนครคุนหมิงระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2024 จำนวนนักเดินทางจากอวิ๋นหนานไปยังไทยสูงเกิน 30,000 คนแล้ว

ด้านข้อมูลจากสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส ในอวิ๋นหนาน ระบุว่าตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ (1 ม.ค.) จนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ สายการบินฯ ให้บริการเที่ยวบินโดยสารสู่ไทยเฉลี่ย 8 เที่ยวต่อวัน ส่วนช่วงวันที่ 9-17 ก.พ. มีผู้โดยสารจองการเดินทางสูงถึง 11,000 คนแล้ว

อนึ่ง ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปี 2023 สูงเกิน 28 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 151 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยจีนเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทยด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 3.51 ล้านคน

'ชาวญี่ปุ่น' ถกสนั่น หลัง 'ชิอิโนะ คาโรลินา' คว้ามงนางงามญี่ปุ่น แม้ถือสัญชาติญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่แคล้วเหมือนสาวยุโรป 100%

ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง อีกทั้งยังมีความภูมิใจในวัฒนธรรม ความงดงามตามแนววิถีญี่ปุ่นมาก แต่ทว่า แนวความคิดนี้เริ่มถูกท้าทายจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากกระแสการเคลื่อนที่ ลื่นไหล หลอมรวมของผู้คนต่างสังคม ตามวัฒนธรรมที่หลากหลายจากทั่วโลก

และล่าสุด สังคมญี่ปุ่นถูกท้าทายด้วยคำถามอีกครั้ง จากเวทีประกวดสาวงามประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ปรากฏว่า สาวงามที่สามารถคว้ามงกุฎจากเวที Miss Nippon Grand Prix ในปีนี้ไปได้ คือ 'ชิอิโนะ คาโรลินา' สาวสวยเชื้อสายยูเครน ที่เกิดในเมืองเทอร์โนพิล ประเทศยูเครน ก่อนจะย้ายตามแม่มาใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ 5 ขวบ 

ถึงแม้ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา จะสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างไร้ที่ติ มีรูปร่าง หน้าตางดงามสมตำแหน่งเป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอคือสาวยุโรป 100% ไม่มีเค้าโครงความงามแบบพิมพ์นิยมของชาวญี่ปุ่นอยู่เลย 

จากประวัติศาสตร์เวทีประกวดสาวงามญี่ปุ่น ก็เคยมีสาวงามลูกครึ่งมาคว้ามงกุฎ Miss Japan มาก่อนในปี 2015 โดย มิยาโมโตะ อาเรียนา สาวลูกครึ่งผิวสี แอฟริกัน - ญี่ปุ่น ที่ก็เคยสร้างประเด็นร้อนแรงในสังคมญี่ปุ่นมาก่อนว่า หญิงสาวลูกครึ่งควรมีสิทธิ์ประกวดนางงามญี่ปุ่นได้หรือไม่ 

แต่กรณีของ ชิอิโนะ คาโรลินา ดูเหมือนจะหนักกว่า มิยาโมโตะ อาเรียนา เสียอีก เนื่องจากเธอย้ายตามแม่ของเธอมาอยู่เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ 5 ขวบ หลังจากที่ได้หย่ากับพ่อชาวยูเครนของเธอ มาแต่งงานใหม่กับชาวญี่ปุ่น คาโรลินา จึงได้เปลี่ยนนามสกุล และ ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นตั้งแต่นั้น แต่เพิ่งมาได้สัญชาติญี่ปุ่นเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมานี้เอง หลังเกิดเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

จึงเป็นเหตุให้คุณสมบัติของเธอกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างมากว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีสิทธิ์ลงสมัครประกวดนางงามญี่ปุ่นได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่ได้มีเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่เลย แต่ทั้งนี้กองประกวดไม่ได้กำหนดว่า ผู้เข้าประกวดต้องมีเชื้อสายญี่ปุ่น หรือ เกิดในญี่ปุ่น ขอแค่ถือสัญชาติญี่ปุ่นก็มีสิทธิ์เข้าประกวดได้

ชิอิโนะ คาโรลินา กล่าวขอบคุณที่มอบตำแหน่งชนะเลิศนี้ให้กับเธอ ที่เธอยังนึกว่าฝันไปเมื่อได้ยินชื่อของเธอได้รับตำแหน่งนางงามญี่ปุ่น เธอยอมรับว่ากำแพงเชื้อชาติเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของเธอในญี่ปุ่นเสมอมา ที่สังคมญี่ปุ่นมักมองเธอเป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่คนญี่ปุ่น โดยเป้าหมายในชีวิตของเธอคือ ต้องการสร้างสังคมที่ผู้คนเปิดใจอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ตัดสินผู้อื่นจากภาพลักษณ์ภายนอก 

แต่ถึงแม้งานประกวดจะจบไปแล้ว แต่ดูเหมือนสังคมญี่ปุ่นยังไม่จบกับประเด็นนี้ ที่ต้องยอมรับว่ายังมีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติต่อต้านชาวต่างชาติ และมองว่า ชิโนะ คาโรลินา ไม่เหมาะที่จะได้รับเลือกเป็นตัวแทน ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่แท้จริงได้ บางคนมองถึงประเด็นการเมือง และตั้งข้อสงสัยว่า หาก คาโรลินา มีเชื้อสายรัสเซีย ไม่ใช่ยูเครน เธอคงไม่มีสิทธิ์ชนะการประกวดในครั้งนี้อย่างแน่นอน 

ในขณะเดียวกัน ชาวญี่ปุ่นในยุคสมัยใหม่เริ่มเปิดใจรับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการสำรวจของ Pew Research Centre พบว่า 59% ของกลุ่มสำรวจชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการย้ายถิ่นฐานของชาวต่างชาติจะช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุของญี่ปุ่นในอนาคต

ดังนั้น ชาวญี่ปุ่นกลุ่มนี้มองว่า คาโรลินา ได้ถือสัญชาติญี่ปุ่นตามกฎหมายแล้ว ก็ถือว่าเธอเป็นพลเมืองญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศได้ไม่ต่างจากคนญี่ปุ่นทั่วไปเช่นกัน แทนที่จะมองว่าการคว้ามงกุฎบนเวทีประกวดความงามญี่ปุ่นของ ชิโนะ คาโรลินา เป็นการท้าทายสังคมญี่ปุ่น ควรมองว่าเป็นสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยมากกว่า 

เช่นเดียวกับการพยายามกล่าวย้ำบนเวทีของคาโรลินา ว่า "ใคร ๆ ก็บอกฉันตลอดว่า ฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ฉันนี่แหละ 'คนญี่ปุ่น' เพราะความเชื่อมั่นนั้น ได้พาฉันมายังเวทีแห่งนี้ ซึ่งวันนี้ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่พวกคุณยอมรับในตัวฉันแล้ว" 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ชาวญี่ปุ่นก็ได้นางงามคนใหม่แล้ว ถึงภายนอกจะเป็นฝรั่ง แต่หัวใจเป็นญี่ปุ่น 100% เดส!!

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'นิวรัลลิงก์' ฝังชิปในสมองของมนุษย์คนแรก ด้าน 'อีลอน' ฟุ้ง!! การทดสอบเป็นที่น่าพอใจ

(30 ม.ค.67) บริษัทนิวรัลลิงก์ (Neuralink) บริษัทด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระบบประสาทของสหรัฐ ที่ก่อตั้งโดยอีลอน มัสก์ เปิดเผยว่า นิวรัลลิงก์ ได้ทำการปลูกถ่ายฝังไมโครชิปในสมองคนไข้มนุษย์รายแรกแล้วและคนไข้ฟื้นตัวเป็นอย่างดีเยี่ยม 

อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัทนิวรัลลิงก์ ได้โพสต์ข้อความลงใน X ส่วนตัว ข้อความว่า การทดสอบในเบื้องต้นพบการทำงานของเซลล์ประสาทในระดับที่น่าพอใจ ผลิตภัณฑ์แรกของพวกเขาชื่อว่า Telepathy จะทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ความคิด โดยเริ่มต้นจะใช้กับผู้ที่ไม่สามารถใช้แขนและขาได้ อีลอน มัสก์ หวังว่ามันจะช่วยให้พวกเขาสื่อสารได้เร็วเท่ากับการพิมพ์จากมืออาชีพ

โดยเมื่อปีที่แล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้อนุมัติ ให้ทางนิวรัลลิงก์ (Neuralink) สามารถดำเนินการการทดลองทางคลินิกในมนุษย์เป็นครั้งแรก ซึ่งแสดงถึงก้าวแรกที่สำคัญ ที่จะทำให้เทคโนโลยีของเราสามารถช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากได้ในอนาคต ซึ่งนิวรัลลิงก์ ดำเนินการใช้หุ่นยนต์ฝังชิปเข้าไปที่สมองส่วนที่ใช้ควบคุมการเคลื่อนไหว โดยเป้าหมายในเบื้องต้นคือการทำให้คนสามารถควบคุมเคอร์เซอร์ของคอมพิวเตอร์ หรือแป้นพิมพ์ คีย์บอร์ด ด้วยการใช้ความคิดเพียงอย่างเดียว

‘BYD’ เฮ!! กำไรสุทธิปี 2023 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเพิ่งแซง ‘เทสลา’ ครองยอดขายอีวีเบอร์ 1 ของโลก

(30 ม.ค.67) BYD ยักษ์ใหญ่รถไฟฟ้าสัญชาติจีน ผู้นำโลกในภาคอุตสาหกรรมนี้ เปิดเผยว่าทางบริษัทมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้นในปี 2023 และคาดหมายว่าตัวเลขในขั้นท้ายที่สุดจะสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ จากรายงานผลประกอบการเบื้องต้นที่เผยแพร่ออกมาในวันจันทร์ (29 ม.ค.)

โดยบริษัท BYD คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิสำหรับปีที่แล้ว จนถึงฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่าง 29,000 ล้านหยวนถึง 31,000 ล้านหยวน (4,100 ล้านถึง 4,4000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นราวๆ 74.5% ถึง 86.5% เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้านั้น

คาดหมายว่า BYD จะเผยแพร่ตัวเลขขั้นท้ายสุดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองเซินเจิ้น เพิ่งแซงหน้า เทสลา ของอีลอน มัสก์ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2023 ผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทที่มียอดขายรถไฟฟ้าสูงสุดในโลก

อย่างไรก็ตาม แม้สูญเสียบัลลังก์ยอดขายสูงสุดรายไตรมาส แต่ เทสลา ยังคงครองอันดับ 1 ในแง่ของรายปี โดยได้ส่งมอบรถอีวีแก่ลูกค้ามากกว่า 1.8 ล้านคัน ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 38%

กระนั้นแม้ตัวเลขดังกล่าวจะอยู่เหนือกว่ายอดขายระดับไม่ถึง 1.6 ล้านคันของ BYD แต่สำหรับ BYD นั้น พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 73% เมื่อเทียบเป็นรายปี

BYD วางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขาในเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป เมื่อปีที่แล้ว พวกเขากลายเป็นบริษัทแรกที่ก้าวผ่านหลักหมายเชิงสัญลักษณ์ในการผลิตรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทะลุ 5 ล้านคัน

นอกจากนี้แล้ว BYD ยังเป็นผู้จัดหาแบตเตอรีป้อนแก่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ในนั้นรวมถึงเทสลา, บีเอ็มดับเบิลยู, เมอร์เซเดสและออดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top