Tuesday, 14 January 2025
WORLD

เจาะเบื้องลึกหลังม่านแคมเปญเลือกตั้งสหรัฐฯ กับ ‘วินท์ สุธีรชัย‘ การป้ายสีให้ทรัมป์เป็นปิศาจ vs นโยบายแก้ปัญหาพื้นฐานสหรัฐฯ

(13 พ.ย. 67) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผ่านพ้นไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นที่แน่นอนว่า ‘โดนัลด์ เจ ทรัมป์’ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ท่ามกลางความโกลาหลของโลก

THE STATES TIMES ได้รับโอกาสนั่งจิบกาแฟพร้อมกับคุยถึงสถานการณ์การเมืองของสหรัฐอเมริกา รวมถึงผลกระทบต่อโลก และไทย ภายหลังการรับตำแหน่งของทรัมป์กับ ‘วินท์ สุธีรชัย‘ หนึ่งในนักการเมืองไฟแรง ความสามารถสูงโดยเฉพาะในส่วนของด้านเศรษฐกิจ 

บทสนทนาแรกเริ่มต้นจากการที่วินท์ได้เริ่มอธิบายภาพรวมการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา ผ่านวิธีคิดของพรรคการเมืองทั้ง 2 ขั้วบนเวทีการเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้นับว่าเป็นความประสบสำเร็จเป็นอย่างสูงของทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน เพราะสามารถชนะได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผู้แทนรัฐสำหรับเลือกประธานาธิบดี(Electoral College) คะแนนรวม(Popular Vote) สว. และ สส. 

เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ที่พรรครีพับลิกันสามารถเอาชนะได้ทั้งการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสำหรับเลือกประธานาธิบดี(Electoral College) คะแนนรวม(Popular Vote)

ก่อนวินท์จะเริ่มเล่าถึงกลยุทธ์ในการทำแคมเปญหาเสียง

พรรคเดโมแครตพยายามใช้กลยุทธ์คล้าย ๆ กับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คือสร้างภาพทรัมป์ให้เป็นเผด็จการที่จะมาทำลายระบอบประชาธิปไตยในอเมริกา เป็นคนบ้า เป็นคนเลวร้าย เป็นปิศาจ การสร้างแคมเปญแบบนี้ในการเลือกตั้งคือการสร้างภาพว่าทรัมป์คือ อดอร์ฟ ฮตเลอร์คนที่สอง และพยายามให้ภาพแบบนี้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 

จนกระทั่งวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ทรัมป์ถูกลอบสังหารระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนน์ซิลเวเนีย

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เดโมแครตต้องลดโทนการหาเสียงลง เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น 

ทำให้คนเริ่มสงสัยว่าหากทรัมป์เป็นปีศาจเผด็จการจริง ต้องฆ่าให้ตายสิ แต่นี่มาปกป้อง แสดงว่าทรัมป์ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เขาไม่ใช่ปิศาจเผด็จการ เป็นคนธรรมดาที่มีความดีความชั่วปน ๆ กันไม่ต่างจากประชาชนทั่ว ๆ ไป

การใช้แนวคิดหาเสียงแบบนี้ของเดโมแครตไม่ต่างอะไรกับการสร้าง ‘ปิศาจที่ไม่มีจริง’

พรรคเดโมแครตยังมีข้อครหาเรื่อง ‘กมลา แฮร์ริส’ ที่มาแทนที่ ‘โจ ไบเดน’ เพราะแม้ไบเดนจะชนะการเลือกตั้งไพรมารี่ภายในพรรคด้วยเสียงถึง 14 ล้านเสียง แต่พอการดีเบตออกมาไม่ดี ก็มีนายทุนพรรคไม่กี่คนมาบีบให้ลาออกและชูแฮร์ริสขึ้นมาแทนโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งภายในพรรค

ที่ไบเดนต้องยอมถอยก็เพราะว่า แค่มีคำขู่ว่าถ้าไม่ยอมถอยออกไป เม็ดเงินในการเลือกตั้งจะหายไป 

นอกจากนี้แนวคิดในการหาเสียงของทีมกมลา แฮริส ยังมุ่งไปที่พยายามจะชูอัตลักษณ์ของตนเอง ที่เป็นผู้หญิงผิวสี มีเชื้อสายชนพื้นเมือง แต่ไม่ได้บอกอะไรเลยว่าจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวสหรัฐอย่างไร 

กมาลา แฮริส ไม่ได้โชว์ศักยภาพว่านโยบายของตัวเองดีอย่างไร หรือตัวเองที่เป็นตัวแทนของอัตลักษณ์จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขายังไง ดังนั้นไม่แปลกเลยที่แฮริสจะได้คะแนนน้อยทั้งในสัดส่วนผู้หญิง และอัตลักษณ์ต่าง ๆ

กลับกันการหาเสียงของทรัมป์ถึงจะดูรุนแรง แต่ยังไงก็ตามล้วนแต่จี้เข้าไปที่ปัญหาพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่มีสวัสดิการดูแลอย่างดี แต่ประชาชนอเมริกันแท้ ๆ กลับมีหลายคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก 

ดังนั้นนโยบายการผลักดันผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายออกนอกประเทศอาจจะถูกโจมตีบ้าง แต่คนอเมริกันล้วนแต่ต้องการ เพราะตรงกับความรู้สึกที่ว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมตลอดเวลา ซึ่งนโยบายนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากแม้แต่กับชาวต่าชาติที่ได้รับสิทธิพลเมืองสหรัฐแล้ว 

นอกจากนี้ ‘วินท์’ ยังได้ยกตัวอย่างอีก 1 ปัญหาสำคัญของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ ปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงอย่างต่อเนื่อง 

นโยบายของทรัมป์จี้ไปที่เรื่องนี้ผ่าน 2 เรื่อง คือ การสร้างกำแพงภาษีจากสินค้านำเข้า เพื่อดึงโรงงาน ดึงธุรกิจ กลับมาบนแผ่นดินอเมริกา เพื่อสร้างงานให้กับพลเมืองอเมริกา 

ไม่ใช่การอุดหนุนสวัสดิการอย่างเดียว ข้อความ(Message)หลักของทรัมป์คิดว่า บนแผ่นดินของอเมริกาคนสามารถหางานดี ๆ มีเงินเดือนดี ๆ และศักดิ์ศรีในหน้าที่การงาน ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้

กาแฟแก้วแรกหมดลงไปสำหรับการได้รับคะแนนเสียงถล่มทลายของทรัมป์ สำหรับกาแฟแก้วต่อไปจะเป็นการพูดคุยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลังการดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์

สวนทางต่างชาติสนใจย้ายมาไทย ชอบคุณภาพชีวิต-ค่าครองชีพไม่สูง

(13 พ.ย. 67) คนไทยสมองไหล? Gen Z 79% อยากย้ายประเทศเพื่อโอกาสงานที่ดีขึ้น

ปรากฏการณ์ “สมองไหล” ในไทยกำลังทวีความรุนแรง ล่าสุดรายงานจาก Jobsdb by Seek เผยว่า 66% ของคนไทยสนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศเพื่อหางานที่มีเงินเดือนสูงขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่มีถึง 79% อยากหาประสบการณ์ทำงานระดับนานาชาติ

รายงาน Global Talent Survey 2024 จาก Jobsdb เผยว่าแรงงานไทยมากถึง 66% สนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ให้ความสนใจสูงถึง 79% ความต้องการย้ายประเทศนี้มีสาเหตุจากความต้องการก้าวหน้าในอาชีพ รายได้ที่สูงขึ้น และประสบการณ์ทำงานระดับโลก 

แม้จะยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดของผู้ต้องการย้าย แต่แนวโน้มนี้มีการเติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด โดยหลังจากการระบาด ความสนใจย้ายประเทศเพื่อหางานของคนไทยพุ่งสูงขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณถึงปรากฏการณ์สมองไหลที่เพิ่มขึ้น

ประเทศปลายทางที่แรงงานไทยต้องการย้ายไป ได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งการเลือกเหล่านี้อาจมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม 60% ของผู้ที่ได้ไปทำงานในต่างประเทศมีแผนจะกลับมาทำงานในไทยในอนาคต ส่วนอีก 18% ต้องการอยู่ต่างประเทศอย่างไม่มีกำหนด อาชีพยอดนิยมที่แรงงานไทยสนใจไปทำในต่างประเทศ ได้แก่: การศึกษาและการฝึกอบรม (85%): ผู้สอนต้องการขยายประสบการณ์ในสายการสอนระหว่างประเทศ, กฎหมาย (73%): นักกฎหมายไทยมองหาบทบาทระดับนานาชาติ, การจัดการธุรกิจ (73%): ผู้จัดการธุรกิจต้องการโอกาสด้านการตลาด สื่อดิจิทัล และ AI โดยเฉพาะในสิงคโปร์และฮ่องกง, ไอที (72%): ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมุ่งหวังทำงานในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรรมและเทคนิค (69%): วิศวกรไทยมุ่งหวังทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ครบวงจร

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแรงงานไทยแห่ไปทำงานต่างแดน แต่สวนทางแรงงานต่างชาติที่ให้ความสนใจเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น โดยไทยขึ้นจากอันดับ 39 เป็นอันดับ 31 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของแรงงานต่างชาติในปี 2023 แรงงานเหล่านี้ชื่นชอบคุณภาพชีวิต ค่าครองชีพที่ไม่สูง และวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและครอบคลุม โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานเผยว่า ไทยมีแรงงานต่างชาติ 2.7 ล้านคน คิดเป็น 7% ของแรงงานในประเทศ

ย้ายประเทศหลังทรัมป์คัมแบ็ก ยกย่อง 'วัฒนธรรม-การแพทย์' โดดเด่น

(13 พ.ย. 67) หลังการเลือกตั้ง สหรัฐฯ พบกระแสการย้ายถิ่นฐานในกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกันที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน 10 ประเทศยอดนิยมที่พวกเขาต้องการย้ายไปมากที่สุด

บริษัท Henley & Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อขอพลเมืองและถิ่นพำนักในต่างประเทศ สำหรับบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals) รายงานว่า ความต้องการหนังสือเดินทางที่สองหรือการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยในครั้งนี้หลายคนได้เริ่มดำเนินการจริง

Dominic Volek หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners เผยว่า ขณะนี้ชาวอเมริกันที่มีฐานะมั่งคั่งได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วน 20% ของธุรกิจบริษัท และเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน

David Lesperance ผู้บริหาร Lesperance and Associates ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ติดต่อเขาเพื่อเตรียมโยกย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

การสำรวจจาก Arton Capital พบว่า 53% ของเศรษฐีชาวอเมริกันมีแนวโน้มย้ายออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง โดยเศรษฐีวัยหนุ่มสาวสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่ง 64% สนใจโปรแกรมถิ่นพำนักผ่านการลงทุนในต่างประเทศ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศน่าลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยข้อมูลจาก Henley & Partners ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนเพื่อขอวีซ่าผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นประมาณ 900,000 บาท หรือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าระยะยาว

ในกลุ่มประเทศยอดนิยมที่เศรษฐีอเมริกันสนใจย้ายไป ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส โดยใน 25 อันดับแรกยังมีประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (อันดับ 21), ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22), ไทย (อันดับ 23), สิงคโปร์ (อันดับ 28), เวียดนาม (อันดับ 29) และอินโดนีเซีย (อันดับ 33)

เหตุผลหลักในการเลือกประเทศใหม่ คือ "วัฒนธรรม" ตามด้วย "โอกาสการทำงาน" และ "ระบบเฮลท์แคร์" โดยมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ภาษี" และ "ระบบการศึกษา" อยู่ที่ประมาณ 3%

วัยรุ่นจีนนับหมื่น ปั่นจักรยานข้ามเมือง ชิมเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังยามราตรี

(12 พ.ย.67) กลายเป็นไวรัลฮิตในจีนหลังจากที่มีการแชร์เรื่องราวว่า มีนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งได้ปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 48 กิโลเมตร จากเมืองเจิ้งโจวไปเมืองไคเฟิง เพื่อลิ้มรสร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดัง จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียจีน 

ส่งผลให้นักปั่นชาวจีนจำนวนมากรวมตัวกันเมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน ทำให้เกิดการจราจรในเมืองไคเฟิงติดขัดเป็นอย่างมาก เพื่อไปชิมเกี๊ยวซุปร้านดัง จนทำให้ถนนหนาแน่นไปด้วยจักรยาน และบริษัทร้านเช่าจักรยานบางแห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพราะขาดแคลนจักรยาน

การปั่นจักรยานกลางคืนนี้ยังสะท้อนถึงเทรนด์การท่องเที่ยวแบบประหยัดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีน โดยสื่อของรัฐยกย่องกิจกรรมนี้ว่าเป็นการแสดงออกถึง 'ความกระตือรือร้นของคนรุ่นใหม่' และยังมองว่าเป็นโอกาสในการโปรโมทการท่องเที่ยว โดยในวันที่จัดกิจกรรมดังกล่าวทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พยาบาลมาคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง

จ.ส.อ.รอด อาสนพรรณ แห่งกองพันพยัคฆ์น้อย เกาหลีใต้บรรจุอัฐิในสุสานเมืองปูซาน

(12 พ.ย.67) เกาหลีใต้จัดพิธีบรรจุอัฐิทหารผ่านศึกเกาหลีชาวไทยให้แก่ จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกเกาหลีชาวไทยคนแรกที่ได้รับการบรรจุอัฐิในสุสานอนุสรณ์สถานแห่งสหประชาชาติในเมืองปูซาน

ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีในประเทศไทยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. สำนักงานบริหารสุสานอนุสรณ์สหประชาชาติในเกาหลี ได้จัดพิธีบรรจุอัฐิทหารผ่านศึกสงครามเกาหลีชาวไทย จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีรำลึกถึงทหารผ่านศึกเกาหลีที่ชื่อว่า 'Turn Toward Busan' โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 100 คน รวมทั้งลูกสาวและหลานสาวของท่าน (นางสมทรง และ นางสาวจิรัชญา เจริญพงศ์อนันต์) รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกเกาหลีใต้ นางคัง จองเอ เอกอัครราชทูตไทยประจำเกาหลี นายธานี แสงรัตน์ และทหารผ่านศึก พร้อมด้วยครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการเยือนเกาหลี รวมถึงนักศึกษาจากโครงการอาสาสมัครสันติภาพสหประชาชาติ

จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ เป็นทหารผ่านศึกชาวไทยที่เข้าร่วมสงครามเกาหลีระหว่างวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ถึง 28 ตุลาคม พ.ศ. 2496 โดยประจำการในกองพัน 'พยัคฆ์น้อย' ที่โดดเด่นด้านความกล้าหาญและความรวดเร็ว รัฐบาลไทยมอบเหรียญชัยสมรภูมิให้เป็นเกียรติและเพื่อยกย่องคุณงามความดีของท่าน การบรรจุอัฐิครั้งนี้ทำให้สุสานอนุสรณ์สหประชาชาติมีทหารผ่านศึกจำนวนทั้งสิ้น 2,330 นายจาก 14 ประเทศทั่วโลก

จ.ส.อ. รอด เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2465 และเสียชีวิตอย่างสงบในวัย 100 ปี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ก่อนวันเกิดครบ 101 ปีเพียง 2 เดือน ท่านเคยเดินทางไปเกาหลีอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วในโครงการเยี่ยมเยียนทหารผ่านศึกเกาหลี และแสดงความปรารถนาที่จะบรรจุอัฐิของตนไว้ที่สุสานแห่งนี้ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจัดการสุสานนานาชาติในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ครอบครัวของ จ.ส.อ. รอด เปิดเผยว่ารู้สึกภาคภูมิใจในท่านอย่างยิ่ง ท่านเคยเล่าเรื่องราวความยากลำบากในช่วงสงครามให้ครอบครัวฟังอยู่เสมอ ซึ่งทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่าน จ.ส.อ. รอดยังยึดมั่นในระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และเป็นผู้ที่มุ่งมั่นแบ่งปันความสุขให้ครอบครัวและผู้คนรอบข้าง

กองทัพจีนโชว์ 'เฮลิคอปเตอร์ Z-20' นักวิเคราะห์เชื่อศักยภาพเหนือกว่าสหรัฐ

(12 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า ที่งานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติแห่งประเทศจีน หรือ Airshow China ในเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ท่ามกลางการโชว์อากาศยานและเทคโนโลยีการบินระดับนานาชาติของจีนนั้น หนึ่งในไฮไลต์ที่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ให้ความสนใจคือ การโชว์ของเฮลิคอปเตอร์  Z-20 ที่กองทัพอากาศจีนนำมาโชว์ภายในงาน

จากข้อมูลระบุว่า กองทัพจีนได้พัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 เพื่อเข้ามาอุดช่องว่างด้านความสามารถในการระบบป้องกันภัยต่อต้านเรือดำน้ำ ซึ่งเฮลิคอปเตอร์นี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมระดับภูมิภาค และนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่างมาก 

สำหรับข้อมูลพื้นฐานของเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Harbin Z-20 ได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยานฮาร์บิน เริ่มเข้าประจำการในกองทัพจีนตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2019 และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาในหลายซีรีส์ โดยเฮลิคอปเตอร์รุ่นพื้นฐานนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 12-15 คน ความยาว 20 เมตร ความสูง 5.3 เมตร น้ำหนักเปล่าไร้การบรรทุก  5,000 ก.ก. ขับเคลื่อนด้วยโรเตอร์เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ WZ-10 จำนวน 2 ตัว ให้กำลังที่ 2,100–2,700 แรงม้า ต่อเครื่องยนต์ ทำความเร็วสูงสุดได้ 360 km/h พิสัยการบินไกล 560 km เพดานบินสูงสุด 20,000 ft 

สำหรับรุ่นที่โชว์ในงานจะเป็น Z-20J ซึ่งจากรายงานล่าสุดของเพนตากอนระบุว่า จีนยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20F ที่คล้ายกับ SH-60 Black Hawk ของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งเทคโนโลยียังตามหลังเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk แต่ทว่าภายในงานการบินล่าสุดนี้ จีนได้นำต้นแบบของรุ่น  Z-20J ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกพัฒนาต่อจาก Z-20F มาโชว์ภายในงานแล้ว ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างระบบต่อต้านเรือดำน้ำอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งสะท้อนว่ารายงานด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่ได้อัปเดตข้อมูลเท่าที่ควร

เฮลิคอปเตอร์ Z-20 กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และว่ารุ่น Z-20F ที่คล้ายกับ SH-60 Black Hawk ของกองทัพเรือสหรัฐ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านเรือดำน้ำได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กที่ PLAN ใช้งานในปัจจุบัน

คอลลิน โกห์ นักวิชาการด้านความมั่นคงจาก S. Rajaratnam School of International Studies ในสิงคโปร์ กล่าวว่า Z-20 จะกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์มาตรฐานของกองทัพเรือและการต่อต้านเรือดำน้ำของจีน เนื่องจากมีความสามารถลงจอดบนเรือได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่เรือคอร์เวตต์และเรือพิฆาต ไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน ก่อนหน้านี้จีนมีเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-8 และ Z-9 ซึ่งหนักเกินไปและเบาเกินไปตามลำดับ ที่จะทำให้จำกัดเรือที่จะร่วมปฏิบัติการ รวมถึงจำกัดพิสัยการบินและน้ำหนักของอาวุธและเซ็นเซอร์ในการต่อต้านเรือดำน้ำของฝ่ายตรงข้าม Z-20 จึงเป็นคำตอบ

สอดคล้องกับ Navy Professional Journal สื่อวิชาการของกองทัพเรือไต้หวัน เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือดำน้ำของจีนเมื่อเดือน ธ.ค. 2565 โดยระบุว่า ความสามารถของ Z-20 ล้ำหน้ากว่าเฮลิคอปเตอร์แบบ MH-60R Black Hawk ของสหรัฐ

ทั้งนี้ ยุทธวิธีต่อต้านเรือดำน้ำสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเฮลิคอปเตอร์ที่ปฏิบัติการไกลจากเรือหลัก คือการทำหน้าที่ล่า และติดตามศัตรูด้วยเซ็นเซอร์หลายรูปแบบ ทั้งยังประสานงานกับเรือและเครื่องบินลำอื่นๆ ด้วย โดยเฮลิคอปเตอร์ส่วนใหญ่มักติดตั้งอาวุธน้ำหนักเบา เช่น ระเบิดใต้น้ำ และตอร์ปิโด

ในการประเมินของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษากลยุทธ์ในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับการจัดการกำลังทหารระหว่างประเทศ พบว่า จีนได้ส่งเฮลิคอปเตอร์รุ่น Z-20 ราว 15 ลำ ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยมานานแล้ว

จีนออกกฎเด็กเล็กเลิกสอบเข้าเรียน ลดภาระทางวิชาการ มีผล 1 มิ.ย. ปีหน้า

(12 พ.ย.67) กระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้เด็กก่อนวัยเรียน (preschool-aged) ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นอนุบาลทำการสอบหรือการทดสอบก่อนเข้าเรียนไม่ว่าในรูปแบบใด

ระหว่างการแถลงข่าวประเด็นกฎหมายการศึกษาก่อนวัยเรียน ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติจีนได้รับรองร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) ที่ผ่านมา จางเหวินปิน เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงฯ กล่าวว่าโรงเรียนอนุบาลของรัฐควรรับเด็กที่มีความพิการเข้าเรียนด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรงเรียนอนุบาลได้ ท่ามกลางความพยายามปกป้องสิทธิในการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2025 กำหนดให้การศึกษาก่อนวัยเรียนเป็นบริการการดูแลและการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลและสถาบันอื่นๆ จัดให้สำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปก่อนเข้าเรียนในชั้นประถม อีกทั้งระบุว่าการศึกษาก่อนวัยเรียนถือเป็นส่วนสำคัญของระบบการเรียนระดับชาติและสวัสดิการสังคม 

จีนพัฒนาการศึกษาก่อนวัยเรียนอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีเด็กเล็กเกือบ 40.93 ล้านคนเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลทั่วประเทศเมื่อปี 2023 ครองสัดส่วนร้อยละ 91.1 ของเด็กเล็กก่อนวัยเรียนทั้งหมด

ทั้งนี้ การยกเลิกการสอบและการทดสอบก่อนเข้าเรียน ยังถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการลดภาระทางวิชาการให้กับเด็กและนักเรียนชาวจีน โดยจีนได้ออกเอกสารสนับสนุนนโยบาย 'ลดสองเท่า' (double reduction) ซึ่งมุ่งลดการบ้านและชั่วโมงเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนที่มากเกินไปของนักเรียนระดับประถมและมัธยมต้นเมื่อปี 2021

ยูเอ็น เผยยอดเสียชีวิตในกาซาเกือบ 70% เป็นผู้หญิง-เด็ก ชี้ ส่วนใหญ่เกิดจากอิสราเอลโจมตีเขตคนอยู่อาศัยหนาแน่น

(12 พ.ย.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รายงานวิเคราะห์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ได้วิเคราะห์ตัวเลขผู้เสียชีวิต 8,119 คน ในฉนวนกาซาระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2023 ถึงเมษายน 2024 หรือเป็นเวลา 6 เดือน โดยพบว่าเกือบ 70% ของผู้เสียชีวิตดังกล่าวเป็นเด็กและผู้หญิง

รายงานดังกล่าวพบว่า ผู้เสียชีวิต 8,119 คนในช่วงดังกล่าวราว 44% เป็นเด็กในช่วงอายุมากที่สุดอยู่ระหว่าง 5-9 ขวบ และอีก 26% เป็นผู้หญิง ราว 80% ของผู้เสียชีวิตถูกสังหารในอาคารที่อยู่อาศัยหรือบ้านเรือน OHCHR บอกว่าสาเหตุที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในกาซาพุ่งสูงนั้นส่วนใหญ่มาจากการที่อิสราเอลใช้อาวุธโจมตีพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นในฉนวนกาซา แต่ผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งมาจากการยิงจรวดที่ผิดพลาดของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์

นายโฟลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็นระบุในแถลงการณ์ว่า ระดับการเสียชีวิตและบาดเจ็บของพลเรือนที่มากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนถือเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากการไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เติร์กยังเรียกร้องให้มีการพิจารณาอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

รายงานฉบับดังกล่าวยังได้บอกว่า แนวทางที่ทั้งกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสใช้ทำสงครามในฉนวนกาซาได้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแสนสาหัสแก่มนุษยชาติ เพราะกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ทำสงครามในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นและมีการยิงจรวด ขีปนาวุธ และกองทัพอิสราเอลได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนทำให้ผู้คนบาดเจ็บ เสียชีวิต และผู้ที่รอดชีวิตต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น พบกับความหิวโหย และไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาด อาหาร และการรักษาสุขภาพ

กระทรวงสาธารณสุขในฉนวนกาซารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซานับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้รวมทั้งสิ้นแล้วกว่า 43,300 คน และเชื่อว่าอีกหลายศพยังติดอยู่ใต้ซากอาคารที่ถูกโจมตีเสียหาย

ล่าสุด กองทัพอิสราเอลได้ทำการโจมตีหลายพื้นที่ทั่วฉนวนกาซาในวันที่ 10 พฤศจิกายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้นอย่างน้อย 40 ราย กองทัพอิสราเอลยังได้โจมตีอาคารบ้านเรือนสูง 3 ชั้น ในค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียในทางตอนเหนือของกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 ราย และมีผู้บาดเจ็บที่อาศัยอยู่ในบ้านใกล้เคียงอีก 30 ราย โดยกองทัพอิสราเอลอ้างว่าทำการโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียเพราะมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นภัยต่อกองทัพอิสราเอลในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่

ผู้นำเกาหลีใต้ซุ่มฝึกวงสวิง ไว้ออกรอบกับปธน.ทรัมป์

(12 พ.ย.67) ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ของเกาหลีใต้เริ่มฝึกซ้อมเล่นกอล์ฟอีกครั้งในช่วงไม่นานนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพบปะในอนาคตกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า ประธานาธิบดียุนได้เดินทางไปสนามกอล์ฟเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำเนียบประธานาธิบดีระบุว่า เขาไม่ได้จับไม้กอล์ฟมาตั้งแต่ปี 2016 ทั้งนี้ นายทรัมป์เป็นผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟอย่างมาก และมีสนามกอล์ฟเป็นของตัวเองหลายแห่งทั่วโลก 

ในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีหลังจากที่ได้โทรศัพท์แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ ยุนกล่าวว่า มีผู้ใกล้ชิดหลายคนบอกเขาว่า เขาและทรัมป์น่าจะเข้ากันได้ดี นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานกับทรัมป์และสมาชิกพรรครีพับลิกันที่พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองผู้นำ

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้กำลังเร่งวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น โดยประธานาธิบดียุนได้เรียกร้องให้รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมร่วมปรึกษาหารือกันเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบที่จะมาพร้อมกับการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายทรัมป์

เกาหลีเหนือ-รัสเซีย ลงนามสัญญา หากอีกฝ่ายถูกโจมตี ต้องส่งทหารมาช่วย

(12 พ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เกาหลีเหนือได้ให้สัตยาบันสนธิสัญญาความร่วมมือด้านการป้องกันกับรัสเซีย ซึ่งผู้นำสองประเทศได้ลงนามไปตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สนธิสัญญาฉบับนี้กำหนดให้แต่ละฝ่ายต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารทันทีหากอีกฝ่ายถูกโจมตีด้วยอาวุธ คล้ายกับสนธิสัญญาของกลุ่มประเทศนาโต้

ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมนานาชาติ เนื่องจากมีรายงานว่าทหารเกาหลีเหนือได้ถูกส่งไปรัสเซียเพื่อเข้าร่วมในสงครามยูเครน

สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (KCNA) เปิดเผยว่า 'คิม จองอึน' ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ได้ลงนามในกฤษฎีกาให้สัตยาบันสนธิสัญญานี้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน และสนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนหนังสือสัตยาบันกันครบถ้วน

'วลาดิมีร์ ปูติน' ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ลงนามสนธิสัญญาเพื่อให้มีผลเป็นกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้รัสเซียและเกาหลีเหนือส่งความช่วยเหลือทางทหารทันทีหากอีกฝ่ายเข้าสู่ภาวะสงคราม โดยใช้ทรัพยากรทุกประเภทที่มี

ทั้งนี้ 'คิม จองอึน' และ 'ปูติน' ได้บรรลุข้อตกลงสนธิสัญญาฉบับนี้ในการประชุมสุดยอดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยถือว่าเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เสมือนเป็นพันธมิตรอย่างแท้จริง

ในขณะที่เกาหลีใต้ สหรัฐ และยูเครนเปิดเผยว่า มีทหารเกาหลีเหนือมากกว่า 10,000 นายอยู่ในรัสเซีย และอาจมีบางส่วนเข้าร่วมในการสู้รบในแคว้นเคิร์สก์ ซึ่งอยู่ใกล้พรมแดนยูเครน ตามรายงานของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครน

ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทหารเกาหลีเหนือหลายคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการสู้รบกับกองกำลังยูเครน และย้ำว่าการมีส่วนร่วมของเกาหลีเหนือในสงครามนี้ทำให้สถานการณ์โลกเผชิญกับความไม่แน่นอนและไร้เสถียรภาพในระดับใหม่

สิงคโปร์เล็งออกกม. ให้ตร.ยึดบัญชีเหยื่อแทน ป้องกันก่อนถูกตุ๋น หากไม่เชื่อว่าเป็นมิจ

(12 พ.ย.67) รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมใช้มาตรการใหม่เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางการเงิน หลังพบว่ามีคนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก แม้ว่ามาตรการใหม่นี้อาจกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล แต่รัฐบาลมีเป้าหมายในการป้องกันชาวสิงคโปร์ไม่ให้เสียเงินจำนวนมากแก่มิจฉาชีพ

ร่างกฎหมาย 'คุ้มครองจากการหลอกลวง' (Protection from Scams Bill) ที่เสนอเข้าสู่รัฐสภาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน อาจทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในโลกที่ให้สิทธิตำรวจในการควบคุมบัญชีธนาคารของเหยื่อที่ไม่ยอมรับว่าตนเองถูกหลอก แม้จะมีหลักฐานชัดเจน

กฎหมายใหม่นี้จะเปิดทางให้ตำรวจสามารถออกคำสั่งเพื่อจำกัดธุรกรรมทางการเงิน เช่น การโอนเงิน การใช้ ATM และการเข้าถึงวงเงินสินเชื่อ ซึ่งจะกระทบถึงการทำธุรกรรมของบุคคลในบัญชีธนาคารของตนเอง ทั้งที่ทำผ่านธนาคารโดยตรงหรือบริการชำระเงินยอดนิยมอย่าง PayNow

หากร่างกฎหมายผ่านการพิจารณา ตำรวจจะสามารถออกคำสั่ง RO เพื่อหยุดการโอนเงินได้ หากพบว่าเหยื่ออาจตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง หรือเห็นว่าจำเป็นต้องปกป้องเหยื่อจากการเสียทรัพย์

รายงานเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ชาวสิงคโปร์สูญเงินให้แก่มิจฉาชีพสูงถึง 385.6 ล้านดอลลาร์ จากคดีหลอกลวงรวมกว่า 26,587 คดี ซึ่งนับเป็นสถิติใหม่ของประเทศ

หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านญี่ปุ่น รับ คบชู้นางแบบสาว หลังถูกมือดีแอบถ่ายภาพขณะออกจากบาร์

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ (11 พ.ย.67) นายยูอิจิโร ทามากิ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (ดีพีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมายอมรับข่าวฉาวที่ว่าเขามีความสัมพันธ์นอกสมรสกับนางแบบคนหนึ่งเป็นเรื่องจริง

ก่อนหน้านี้ SmartFlash แท็บลอยด์ของประเทศญี่ปุ่นได้รายงานในวันเดียวกันว่า ทามากิวัย 55 ปีและนางแบบสาววัย 39 ปีมีความสัมพันธ์นอกสมรสกันในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม โดยมีภาพถ่ายขณะที่ทามากิสวมเสื้อฮู้ดสีเทาเดินออกมาจากบาร์แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีผู้หญิงคนดังกล่าวเดินตามออกมา 20 นาทีให้หลัง

ทามากิ กล่าวยอมรับว่า ผมขอโทษกับปัญหาที่เกิดขึ้นและข่าวที่เปิดเผยเมื่อเช้าวันนี้เป็นเรื่องจริง ภรรยาของผมบอกว่าคุณปกป้องประเทศไม่ได้ถ้าคุณยังปกป้องคนใกล้ตัวไม่ได้ ผมจะจำคำนี้ไว้อีกครั้งและพิจารณาการกระทำของตัวเอง และผมจะทำงานอย่างสุดความสามารถในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศเพื่อให้เกิดผลสำเร็จตามนโยบาย

อย่างไรก็ตาม ทามากิยังคงได้รับการหนุนหลังจากสมาชิกพรรคดีพีพีให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไป โดยพรรคดีพีพีถือเป็นพรรคที่มีความสำคัญต่อการประชุมสภาญี่ปุ่นเพื่อตัดสินว่านายชิเงรุ อิชิบะของพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่อไปหรือไม่ โดยทามากิเคยกล่าวว่าสมาชิกพรรคดีพีพีของเขาจะไม่โหวตให้กับนายอิชิบะ แต่อาจสนับสนุนพรรคแอลดีพีเป็นรายนโยบาย อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าอิชิบะจะยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่อไปแต่อาจเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย

จีนปล่อยจรวด 'ลี่เจี้ยน-1 วาย5' ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในครั้งเดียว

(12 พ.ย.67) จีนปล่อยจรวดขนส่งเชิงพาณิชย์ลี่เจี้ยน-1 วาย5 (Lijian-1 Y5) ตอน 12.03 น. ของวันจันทร์ (11 พ.ย.) ตามเวลาปักกิ่ง จากเขตนำร่องนวัตกรรมการบินและอวกาศเชิงพาณิชย์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน พร้อมส่งดาวเทียม 15 ดวง อาทิ ดาวเทียมจากตระกูลจี๋หลิน-1 เกาเฟิน (Jilin-1 Gaofen) ตระกูลอวิ๋นเหยา-1 (Yunyao-1) และตระกูลซีกวง-1 (Xiguang-1) รวมทั้งดาวเทียมสำรวจระยะไกลสำหรับโอมาน ขึ้นสู่วงโคจรที่กำหนดไว้

ซีเอเอส สเปซ (CAS Space) บริษัทการบินอวกาศเชิงพาณิชย์ที่จัดตั้งโดยสถาบันเครื่องกล สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ได้พัฒนาจรวดขนส่งลี่เจี้ยน-1 โดยจรวดรุ่นนี้ขึ้นบินเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2022 และปัจจุบันปล่อยดาวเทียมรวม 57 ดวงในภารกิจการบิน 5 ครั้ง

จรวดลี่เจี้ยน-1 มีความยาว 30 เมตร มีน้ำหนักตอนออกตัว 135 ตัน และมีแรงขับขณะออกตัว 200 ตัน สามารถขนส่งอุปกรณ์บรรทุก (payload) หนัก 1.5 ตันไปยังวงโคจรสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ระยะทาง 500 กิโลเมตร หรือขนส่งอุปกรณ์บรรทุก 2 ตันสู่วงโคจรต่ำของโลกได้

จรวดขนส่งลี่เจี้ยน-1 วาย5 ใช้เพย์โหลด แฟริง (payload fairing) หรือฝาครอบส่วนปลายแหลมด้านหน้าจรวดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.35 เมตร เพื่อใช้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับรองรับดาวเทียม อีกทั้งสามารถปรับการกำหนดค่าเพย์โหลด แฟริงได้ตามความจุอุปกรณ์บรรทุก และข้อกำหนดด้านพื้นที่ของดาวเทียมในภารกิจในอนาคต

ไบเดนอัดงบช่วยยูเครน ก่อนหน้าทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง

(12 พ.ย.67) นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ระบุว่า ทำเนียบขาวจะเร่งใช้เงิน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 205,920 ล้านบาท ที่เหลืออยู่เพื่อสนับสนุนยูเครน ก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนมกราคมปีหน้า พร้อมกับเตือนถึงความเสี่ยงที่สหรัฐอาจจะยุติการให้การสนับสนุนยูเครน

ซัลลิแวนกล่าวว่า คาดว่าประธานาธิบดีไบเดนจะหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับประเด็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญเมื่อเขาพบกับทรัมป์ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว ในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายนนี้ เพื่ออธิบายให้ประธานาธิบดีทรัมป์ทราบว่าเขามองสิ่งต่าง ๆ อย่างไร และประธานาธิบดีทรัมป์คิดอย่างไรเกี่ยวกับการจัดการประเด็นเหล่านี้เมื่อเข้ารับตำแหน่ง

ซัลลิแวนยังกล่าวอีกว่า เขาคาดหวังถึงความคืบหน้าในความพยายามในการยุติการสู้รบในฉนวนกาซาและเลบานอนตอนใต้ และปล่อยตัวตัวประกันชาวอิสราเอลที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไว้

“ในบางจุด รัฐบาลอิสราเอลต้องการทำข้อตกลงเพื่อให้พลเมืองของตนกลับบ้าน” เขากล่าว “ผมไม่คิดว่าอิสราเอลจะทำข้อตกลงนั้นเพื่อตอบสนองต่อการเมืองของอเมริกัน แต่เป็นไปเพื่อพยายามรักษาความปลอดภัยให้กับอิสราเอล และผมคาดหวังว่าเราจะเห็นความคืบหน้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า”

เมื่อถูกถามถึงการตอบสนองของอิสราเอลต่อจดหมายร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐที่เรียกร้องให้อิสราเอลปรับปรุงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา ซัลลิแวนกล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ เราจะตัดสินใจว่าพวกเขาทำความคืบหน้าไปมากเพียงใด และเราจะตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างไร

ทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ซึ่งกล่าวว่าชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรครีพับลิกันเป็น “ชัยชนะครั้งใหญ่” และกล่าวว่า เขาได้พูดคุยกับทรัมป์ 3 ครั้ง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

จีนเกินดุลการค้า 170 ประเทศ!! มูลค่าพุ่ง 7.85 แสนล้านดอลล์ จ่อแตะ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้ จับตาทรัมป์ตอบโต้แน่

(11 พ.ย.67) บลูมเบิร์กรายงานว่าดุลการค้าของจีนกำลังจะทำลายสถิติใหม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักมากขึ้น โดยความไม่สมดุลทางการค้านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับโดนัลด์ ทรัมป์  

รายงานระบุว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 จีนมียอดเกินดุลการค้ากว่า 785,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26.9 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่าจีนอาจเกินดุลแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34.32 ล้านล้านบาท) หากแนวโน้มยังคงเติบโตไปจนถึงสิ้นปีนี้

แบรด เซ็ตเซอร์ นักวิชาการอาวุโสจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า แม้ว่าราคาสินค้าส่งออกของจีนจะลดลง แต่ปริมาณการส่งออกกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จีนจึงสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการส่งออกอย่างแข็งแกร่ง

ภาวะเกินดุลการค้าของจีนที่เพิ่มขึ้นนี้ก่อให้เกิดแรงกดดันจากนานาประเทศ เช่น สหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่อาจขึ้นกำแพงภาษีเพื่อลดการนำเข้าสินค้าจากจีน นอกจากนี้ หลายประเทศทั้งในอเมริกาใต้และยุโรปยังเริ่มกำหนดภาษีสินค้าจีน เช่น เหล็กและรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แล้วเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติต่างถอนการลงทุนจากจีนตามข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนลดลงต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนแรกของปี และหากยังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็จะนับเป็นปีแรกที่เงินทุนไหลออกมากกว่าทุกปีนับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 1990

รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนเพิ่มเติมแก่บริษัทต่าง ๆ โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน คณะมนตรีรัฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศแผนสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน รวมถึงการส่งเสริมการค้า

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา บริษัทจีนได้เพิ่มศักยภาพในการส่งออก แม้ภายในประเทศเศรษฐกิจจะชะลอตัว และมีการใช้สินค้าภายในประเทศทดแทนการนำเข้ามากขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้อุปสงค์ต่อการนำเข้าลดลง

ดุลการค้าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาถือเป็นการเกินดุลมากเป็นอันดับสาม โดยดุลการค้าสูงสุดเคยเกิดขึ้นในปี 2015 และเมื่อคำนวณในสกุลเงินหยวน จีนมีดุลการค้าเกินดุลที่ 5.2% ของ GDP ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

ตั้งแต่ต้นปี 2024 จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.4% จากปีก่อนหน้า เกินดุลกับสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 9.6% และเกินดุลกับชาติอาเซียนเพิ่มขึ้นเกือบ 36% 

ปัจจุบัน จีนเกินดุลการค้ากับประเทศเกือบ 170 ประเทศ ซึ่งสูงสุดตั้งแต่ปี 2021 และแนวโน้มยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สงครามสกุลเงินอาจปะทุขึ้นได้ ธนาคารกลางอินเดียเผยว่าจะพร้อมอ่อนค่าเงินรูปีหากจีนเลือกตอบโต้สหรัฐด้วยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลง

หากเงินหยวนอ่อนลงต่อไปจะทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกลง ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างจีนกับอินเดียอาจเกินดุลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยปีนี้จีนเกินดุลการค้ากับอินเดียกว่า 85,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.92 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top