Tuesday, 1 July 2025
WORLD

เวียดนามชิงประกาศลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ของ ‘ทรัมป์’

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เวียดนาม ประกาศลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายประเภทในความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีใหม่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2568 นี้

ตามแถลงการณ์จากเว็บไซต์รัฐบาล การลดภาษีครั้งนี้รวมถึงการปรับลดภาษีรถยนต์บางประเภทจากเดิมที่สูงถึง 64% ลงมาเหลือ 32% และลดภาษีก๊าซ LNG จาก 5% เหลือเพียง 2% ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เวียดนามแก้ไขปัญหาการเกินดุลการค้า และเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดีขึ้น 

นอกเหนือจากรถยนต์และ LNG แล้ว เวียดนามยังได้ปรับลดภาษีเอทานอลจาก 10% เหลือ 5% และลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิด เช่น แอปเปิลสด ไก่แช่แข็ง อัลมอนด์ และเชอร์รี่

การลดภาษีครั้งนี้ของเวียดนามดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองล่วงหน้าต่อแผนการเก็บภาษีที่สหรัฐฯ อาจใช้กับสินค้าเวียดนาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้เริ่มตรวจสอบการนำเข้าของเวียดนาม โดยเฉพาะสินค้าบางประเภทที่สหรัฐฯ มองว่ามีการค้ากับเวียดนามในลักษณะไม่เป็นธรรม

เวียดนามจึงพยายามลดภาษีในบางสินค้าหวังที่จะป้องกันไม่ให้มาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนในระดับสากล

การลดภาษีของเวียดนามอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีที่อาจกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและยานยนต์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเวียดนามในปัจจุบัน

ตามข้อมูลจากสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีช่องว่างการค้ากับสหรัฐฯ ใหญ่ที่สุด โดย เวียดนาม ครองอันดับที่ 3 ของประเทศที่มีดุลการค้าส่วนเกินกับสหรัฐฯ รองจาก จีน และ เม็กซิโก ซึ่งปัญหานี้ทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งหวังลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

สำหรับการลดภาษีในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของเวียดนามในการรักษาสมดุลในการค้าระหว่างประเทศและรับมือกับความท้าทายจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยรัฐบาลเวียดนามจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนการรับมือหากเกิดการตอบโต้จากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

WBC ปฏิเสธการรับรอง!! หลังรองประธานฯ มวยกัมพูชา แห่เข็มขัด 'WBCKUNKHMER' โพสต์อวดโซเชียล

(2 เม.ย. 68) เมื่อไม่นานมานี้ 'สเร จันทร' รองประธานกิตติมศักดิ์สหพันธ์มวยกัมพูชา ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กของตนเอง พร้อมเข็มขัดศิลปะการต่อสู้ กุน ขแมร์ ซึ่งได้รับการกล่าวอ้างว่าได้รับการรับรองจาก WBC (สภามวยโลก) โดยเข็มขัดดังกล่าวมีการออกแบบด้วยสีของธงชาติกัมพูชาและรูปภาพของนครวัด เพื่อเฉลิมฉลองศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ของประเทศ และเชิญชวนชาวกัมพูชามาร่วมต้อนรับขบวนพาเหรดเข็มขัดเส้นนี้

หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์และเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ทางสภามวยโลก (WBC) ออกมาชี้แจงว่า ไม่มีการรับรองเข็มขัดกุนขแมร์จากทางสภามวยโลกแต่อย่างใด โดยเข็มขัด 'WBC Kun Khmer' เป็นแค่ ของที่ระลึก ที่ทาง WBC จัดทำขึ้น เพื่อเป็นเกียรติแก่รัฐบาลกัมพูชา ที่ให้ทุนสนับสนุนการแข่งขัน WBC Silver ที่จะจัดขึ้นวันที่ 14 เม.ย. นี้

WBC ยืนยันว่าการจัดทำเข็มขัดที่ใช้ในกีฬามวยนั้นต้องผ่านกระบวนการและการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด และเข็มขัดที่แสดงในโพสต์ของ 'สเร จันทร' ไม่ได้อยู่ในข่ายที่ได้รับการรับรองจาก WBC นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ภาพที่ถูกโพสต์อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับสาธารณะและผู้ที่สนใจศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ได้ เพราะเข็มขัดดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรของ WBC ทั้งสิ้น

“ถึงเพื่อนกัมพูชา ไม่มีการพัฒนา WBC กุน ขแมร์ เลย ไม่มีแชมป์โลก WBC กุน ขแมร์
เข็มขัดเส้นนี้เป็นของขวัญพิเศษจากประธาน WBC ในเม็กซิโกสำหรับงานมวยสากลระดับตะวันตกในกัมพูชาในวันที่ 14 เมษายน ขอบคุณ” WBC คอมเมนต์ใต้รูปของนายสเร จันทร

ด้าน สเร จันทร ยังไม่ได้มีการชี้แจงหรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการปฏิเสธจาก WBC แต่เชื่อว่าเขาจะยังคงเดินหน้าผลักดันให้ศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ได้รับการยอมรับและยกระดับในเวทีโลกต่อไป

มาตรการภาษีใหม่ของ ‘ทรัมป์’ อาจทำ GDP โลกหดตัว 7 แสนล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์เตือนสหรัฐฯ เสี่ยงเจ็บหนักสุดจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า มีการคาดการณ์ว่ามาตรการภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมประกาศในวันนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก หากมีการบังคับใช้ทั่วโลก โดยนักวิเคราะห์เตือนสหรัฐฯ เองอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

ตามการรายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดกับทำเนียบขาว มาตรการภาษีดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า การดำเนินมาตรการนี้อาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก

“การขึ้นภาษีศุลกากรจะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้น ส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ และอาจกระทบไปถึงผู้บริโภคในที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จากวอชิงตันกล่าว

โดยภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก สถาบันเศรษฐกิจกำลังพัฒนาแห่งองค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ประเมินว่าภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันทั่วโลก รวมถึงภาษีรถยนต์และภาษีสินค้าจีนที่เรียกเก็บก่อนหน้านี้ 20% จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของโลกลดลง 0.6% ในปี 2027

การลดลงดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าถึง 763 พันล้านดอลลาร์ (ราว 26.06 ล้านล้านบาท) โดยอ้างอิงจากการคาดการณ์ GDP โลกในปี 2027 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ 127 ล้านล้านดอลลาร์

สำหรับสหรัฐฯ นั้นคาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดย JETRO ประเมินว่า GDP ของประเทศจะลดลงถึง 2.7% ภายในปี 2027 นักวิเคราะห์ชี้ว่าต้นทุนสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน ซึ่งอาจทำให้กำไรของธุรกิจในสหรัฐฯ ลดลง

หลายประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ อาจตอบโต้ด้วยการกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับภาคการค้าระหว่างประเทศ นักวิเคราะห์เตือนว่าหากเกิดสงครามการค้าครั้งใหญ่ขึ้น เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ผู้นำในภาคธุรกิจของสหรัฐฯ หลายคนได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายนี้ โดยระบุว่า การขึ้นภาษีศุลกากรอาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในตลาดโลก

ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ได้กล่าวถึงมาตรการภาษีดังกล่าวว่าเป็น “วันปลดปล่อย” โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะหยุดยั้งไม่ให้ประเทศอื่น ๆ “แย่งงานของเรา แย่งทรัพย์สินของเรา และแย่งสิ่งของต่าง ๆ มากมายที่พวกเขาเคยแย่งกันมาตลอดหลายปี” 

ทั้งนี้ ทรัมป์และทีมที่ปรึกษาของเขาอ้างว่าการนำภาษีศุลกากรแบบตอบแทนมาใช้ จะช่วยให้สามารถแทนที่ภาษีเงินได้ด้วยภาษีนำเข้าเป็นแหล่งรายได้หลัก

ขณะที่ ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและการผลิตของทรัมป์กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงภาษีศุลกากรแบบตอบแทน จะสามารถสร้างรายได้ถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษหน้า

ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศรายละเอียดของมาตรการภาษีศุลกากรดังกล่าวในลักษณะใด และจะมีการเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงหรือไม่

‘หวัง อี้’ ประกาศกลางมอสโก ย้ำสัมพันธ์จีน-รัสเซีย คือมิตรแท้ตลอดกาล ไม่มีวันเป็นศัตรู

(1 เม.ย. 68) หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA ของรัสเซีย ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงมอสโก โดยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและรัสเซีย พร้อมกล่าวว่า “จีนและรัสเซียเป็นมิตรแท้ตลอดกาล ไม่มีวันเป็นศัตรู”

หวัง อี้ ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างสองประเทศตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ความไว้วางใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน โดยจีนให้ความสำคัญกับความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซีย และเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์นี้จะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพในระดับโลก

การเยือนรัสเซียของหวัง อี้ ครั้งนี้ เป็นเวลา 3 วัน เพื่อหารือความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ โดยการเดินทางครั้งนี้ถูกบดบังด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อบรรลุการหยุดยิงในยูเครน และการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำรัสเซียและยูเครน รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ 

จีนและรัสเซียประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์แบบไม่มีข้อจำกัดเพียงไม่กี่วันก่อนที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน จะส่งทหารหลายหมื่นนายเข้าไปในยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022

เป็นที่ทราบกันว่าประธานาธิบดีจีน สีจิ้นผิง ได้พบกับปูตินมากกว่า 40 ครั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และทั้งสองผู้นำก็ตกลงที่จะกระชับความสัมพันธ์และร่วมมือกันในประเด็นต่างๆ เช่น ไต้หวัน ยูเครน และคู่แข่งร่วมกันอย่างสหรัฐอเมริกา

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เคียร์มลินกล่าวว่ารัสเซียและสหรัฐฯ กำลังหารือกันเกี่ยวกับแนวคิดสำหรับการยุติสันติภาพในยูเครน และเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี และนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม เขาก็ได้เปลี่ยนท่าทีของสหรัฐฯ ให้มีท่าทีปรองดองกับรัสเซียมากขึ้น 

“นี่เป็นผลดีต่อการรักษาสมดุลของอำนาจระหว่างมหาอำนาจ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความหวังในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่น่าผิดหวัง” หวัง อี้ กล่าว

นอกจากนี้ หวัง อี้ ได้ปฏิเสธสมมุติฐานที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพยายามสนับสนุนรัสเซีย เพื่อให้ฝ่ายหลังวางตัวอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับจีน โดยระบุว่าแนวคิดดังกล่าวเป็น “อาการกำเริบของโรคอยากเผชิญหน้าที่ล้าสมัยและเป็นความคิดแบบปิดกั้น”

ญี่ปุ่นทุ่มงบ 20 ล้านล้านเยน เสริมโครงสร้างสู้ภัยพิบัติใหญ่ใน 5 ปี พร้อมรับมือภัยเงียบใต้ดิน ‘รอยเลื่อนนังไก’ ที่อาจรุนแรงถึง 9 แมกนิจูด

(1 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 4.564 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough Earthquake)

ตามรายงานของสำนักข่าวท้องถิ่น มาตรการที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการประกอบด้วย การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงตึกสูง โรงพยาบาล และสะพานให้มีความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่แม่นยำและสามารถอพยพได้ทันเวลา เสริมศักยภาพหน่วยกู้ภัยและเครือข่ายฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ เน้นย้ำความสำคัญของมาตรการลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระหว่างการประชุมของสำนักงานส่งเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติแห่งชาติ โดยกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง”

นายอิชิบะยังกล่าวถึง ความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough) ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับ โครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมสภาพ โดยเฉพาะระบบท่อระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ หลุมยุบในเมืองยะชิโอ จังหวัดไซตามะ ที่ทำให้รถบรรทุกพร้อมคนขับตกลงไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับ รอยเลื่อนนังไกถือเป็นหนึ่งในเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสึนามิรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเมืองชายฝั่งของญี่ปุ่น โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูด ในบริเวณนี้ อาจมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติเป็นลำดับแรก และหวังว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน พร้อมทั้งลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย และความห่วงใยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังแผ่นดินไหวในประเทศไทย

(1 เม.ย. 68) สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรทรงส่งพระราชสาส์นถึงพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เมียนมา และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในพระราชสาส์น พระราชเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ฝ่าพระบาท หม่อมฉันและพระราชินีรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศเมียนมา ประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค หม่อมฉันรับทราบถึงความโศกเศร้าและความสูญเสียที่ประชาชนในประเทศไทยกำลังประสบอยู่ อันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก”

พระราชสาส์นยังทรงกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งพระองค์และพระราชินีขอแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้งและร่วมปวดร้าวไปกับประชาชนไทยที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ยังทรงยืนยันความพร้อมในการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางการบรรเทาภัยพิบัติแก่ประเทศไทยในทุกด้าน

พระราชสาส์นฉบับนี้เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและการแสดงออกถึงความห่วงใยระหว่างพระราชวงศ์แห่งสหราชอาณาจักรและราชวงศ์ไทยในยามที่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้น

ทีมกู้ภัยจากจีน 15 คน เดินทางถึงมัณฑะเลย์แล้ว พร้อมเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือภัยพิบัติแผ่นดินไหวในเมียนมา

(1 เม.ย. 68) สมาชิกจากหน่วยรับมือเหตุฉุกเฉินระหว่างประเทศของสภากาชาดจีนจำนวน 15 คน เดินทางถึงเมืองมัณฑะเลย์ของเมียนมาเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเริ่มปฏิบัติการบรรเทาภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่

การเดินทางของทีมกู้ภัยครั้งนี้ได้รับการประสานงานจากกระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินของจีน และสภากาชาดจีน โดยทีมงานจะทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมกับประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้

เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ทีมกู้ภัยจากจีนจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

“ด้วยความร่วมมือกับสภากาชาดเมียนมา เราเตรียมให้การสนับสนุนฉุกเฉินในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่พักพิง อาหาร และน้ำ การช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับผู้บาดเจ็บ การสนับสนุนการจัดการศพอย่างปลอดภัย การช่วยให้สมาชิกในครอบครัวที่พลัดพรากจากกัน หรือไม่ทราบชะตากรรมและที่อยู่ของคนที่พวกเขารัก ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง” เดอ แบ็ก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ประจำประเทศเมียนมา กล่าว

ทั้งนี้ ทีมกู้ภัยจีนถือเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ พร้อมทั้งแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว
 

เกิดเหตุไฟไหม้ท่อก๊าซปิโตรนาสในเมืองปุตราจายา ไฮท์ส ประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้บ้านเรือนพังเสียหายหนัก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งช่วยเหลือ-ค้นหาผู้ติดอยู่ใต้ซาก

(1 เม.ย. 68) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่ท่อส่งก๊าซในเมือง ปุตราจายา ไฮท์ส (Putra Heights) รัฐสลังงอร์ ของประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้บ้านเรือนหลายหลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ใต้ซากอาคาร

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุเมื่อช่วงค่ำ และระดมกำลังเข้าควบคุมเพลิง ขณะที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้แน่ชัด เนื่องจากเพลิงไหม้กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างและทำให้โครงสร้างอาคารบางส่วนพังถล่ม

อาห์มัด มุกห์ลิส มุกห์ตาร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของหน่วยงานดับเพลิงและกู้ภัยประจำรัฐสลังงอร์ เผยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นใกล้กับย่านที่พักอาศัยของประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพร้อมกับหน่วยงานอื่นๆ ได้อพยพผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยส่วนของท่อก๊าซที่มีไฟลุกไหม้นั้นยาวราว 500 เมตร

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ที่เกิดเหตุได้ปิดวาล์วแล้วและกำลังรอให้แก๊สหมดจึงจะสามารถดับไฟได้ ตามรายงานของศูนย์ปฏิบัติการ SMART Selangor (SSOC) และรายงานอีกว่ามีคนจำนวนหนึ่งติดอยู่ในบ้านที่ถูกไฟไหม้ใกล้ ปุตราจายา ไฮท์ส หลังจากท่อส่งก๊าซในบริเวณนั้นเกิดไฟไหม้

ตามรายงานของศูนย์ปฏิบัติการ SMART Selangor ระบุว่าบ้านที่ได้รับผลกระทบคือบ้านที่อยู่ใน กัมปง ซุงไก บารู (Kampung Sungai Baru) และสาเหตุของเพลิงไหม้นั้น เกิดจากท่อส่งก๊าซแห่งหนึ่งของปิโตรนาส (Petronas) รั่ว ตามที่ JBPM สลังงอร์ระบุในแถลงการณ์

ทั้งนี้ ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงถูกสั่งให้อพยพออกจากจุดเสี่ยง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการระเบิดซ้ำจากแรงดันก๊าซที่ยังคงค้างอยู่ในระบบ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้

หน่วยฉุกเฉินและทีมกู้ภัยยังคงปฏิบัติภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต ขณะที่เจ้าหน้าที่เตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย

ไต้หวันถอนทีมกู้ภัยที่เตรียมเดินทางไปเมียนมา เหตุวิกฤติการเมืองภายในยังคงรุนแรง กองทัพกบฏยังทิ้งระเบิดไม่เลิก

(1 เม.ย. 68) สำนักข่าว Focus Taowan รายงานว่า นายหลิว ซื่อ ฟาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไต้หวัน แถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 ว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจยุบทีมกู้ภัยที่เตรียมเดินทางไปยังเมียนมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา

นายหลิวระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงมหาดไทยไต้หวันได้พิจารณาสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะความขัดแย้งทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มกบฏในพื้นที่ ทำให้การส่งทีมกู้ภัยเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัยอาจเป็นอันตรายอย่างมาก

“แม้เราต้องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ทำให้เราต้องตัดสินใจเช่นนี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่” นายหลิวกล่าว

ขณะที่ รายงานของสื่อระหว่างประเทศระบุว่า กองทัพเมียนมายังคงโจมตีพื้นที่บางส่วนในประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศ จนถึงขณะนี้มีรายงานว่าคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 1,700 ราย โดยสหประชาชาติได้กล่าวถึงการโจมตีครั้งนี้ว่า “เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง”

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายพื้นที่ของเมียนมา โดยมีรายงานความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศกำลังเร่งพิจารณาวิธีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลไต้หวันยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมให้การสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร

สื่อนอกตีข่าว ยูเครนเปลี่ยนแผนกะทันหันโดยไม่แจ้งพันธมิตร ทำให้การโจมตีโต้กลับรัสเซีย ในปี 2023 พังตั้งแต่ต้นเกม

(31 มี.ค. 68) สำนักข่าว The New York Times (NYT) รายงานว่า รัฐบาลยูเครนและพันธมิตรตะวันตกเคยคาดหวังว่าการโต้กลับครั้งใหญ่ในปี 2023 จะเป็นจุดจบของสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ไม่ว่าจะนำไปสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของเคียฟ หรืออย่างน้อยก็ผลักดันให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ต้องยอมเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพ

แผนการและความคาดหวัง ในช่วงต้นปี 2023 ยูเครนได้เตรียมปฏิบัติการโต้กลับครั้งสำคัญโดยได้รับการสนับสนุนจากอาวุธยุทโธปกรณ์และข้อมูลข่าวกรองจากประเทศพันธมิตรตะวันตก

โดยมีเป้าหมายคือการโจมตี “เมลิโตโปล” ทางตอนใต้เพื่อพยายามตัดเส้นทางไปยังแหลมไครเมีย แต่ในนาทีสุดท้าย ผู้นำยูเครนกลับเปลี่ยนแผนโดยพลการและเลือกเปิดการบุกพร้อมกันถึง 3 แนวรบ โดยไม่ได้แจ้งให้พันธมิตรรับทราบ 

ผลที่ตามมาคือ กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ถูกฝึกมาเพื่อใช้ในแนวรบทางใต้กลับถูกส่งไปที่เมืองบัคมุตแทนซึ่งทำให้การโต้กลับหลักล้มเหลวตั้งแต่ช่วงแรก 

เมื่อผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด และสถานการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ กองกำลังยูเครนต้องเผชิญกับแนวป้องกันที่แข็งแกร่งของรัสเซีย รวมถึงกับระเบิดจำนวนมหาศาล โดรนโจมตี และกำลังเสริมของมอสโกที่สามารถต้านทานการบุกของยูเครนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่ากองทัพยูเครนจะสามารถรุกคืบบางพื้นที่ได้ แต่ก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักและไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่วางไว้

เจ้าหน้าที่ยูเครนคนหนึ่งกล่าวกับ The New York Times ว่า การเห็นการตัดสินใจที่จะโจมตีบัคมุตนั้น “เหมือนกับการดูการล่มสลายของการโจมตีเมลิโตโปลก่อนที่จะเริ่มการโจมตีเสียอีก” และเจ้าหน้าที่อเมริกันอาวุโสคนหนึ่งกล่าวว่า สหรัฐฯ “ควรจะถอยห่าง” จากการให้คำแนะนำแก่ยูเครนหลังจากการเปลี่ยนแผน

นอกจากนี้ การขาดแคลนกำลังพลและอาวุธสำคัญ เช่น ระบบป้องกันภัยทางอากาศและกระสุนปืนใหญ่ ทำให้ยูเครนไม่สามารถเดินหน้าการรุกได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน รัสเซียก็สามารถปรับตัวและเสริมกำลังแนวรบของตนได้อย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบและทิศทางของสงคราม ความล้มเหลวของการโต้กลับในปี 2023 ทำให้สงครามยืดเยื้อออกไปโดยไม่มีสัญญาณของการเจรจาสันติภาพที่ชัดเจน ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไปในปี 2024 โดยทั้งสองฝ่ายยังคงพยายามรักษาพื้นที่และเพิ่มอำนาจต่อรองของตนในการเจรจาในอนาคต

รายงานของ NYT สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ยูเครนต้องเผชิญ และชี้ให้เห็นว่าปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความช่วยเหลือจากตะวันตก สถานการณ์ในรัสเซีย และความแข็งแกร่งของกองทัพยูเครนเอง จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของสงครามในระยะต่อไป

สงครามกลางเมืองปะทะภัยธรรมชาติ ประชาชนเผชิญความสิ้นหวัง หายนะที่ยังไร้จุดจบ

(30 มี.ค. 68) เมียนมาเผชิญกับอนาคตที่มืดมนยิ่งขึ้น หลังจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง และส่งผลกระทบไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ตามรายงานของ เดลิเมล สื่ออังกฤษ

ขอบเขตของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ยังไม่แน่ชัด โดยเฉพาะในเมียนมา ซึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองและการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,600 ราย ในเมียนมา และอีกอย่างน้อย 10 รายในกรุงเทพฯ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายอดผู้เสียชีวิตสุดท้ายอาจแตะระดับหลายพันคน

ก่อนเกิดแผ่นดินไหว สถานการณ์ในเมียนมาก็เลวร้ายอยู่แล้ว ประชาชนมากกว่า 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน และอีกหลายแสนคนถูกตัดขาดจากโครงการช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุข ผลจากสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมานานกว่า 4 ปี โดยองค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าวหารัฐบาลทหารว่าใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้า

เมียนมาตกอยู่ในความวุ่นวายตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ อองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านทั่วประเทศ การประท้วงที่เริ่มต้นอย่างสันติถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องจับอาวุธต่อต้าน ส่งผลให้ความขัดแย้งกระจายไปทั่วประเทศ

หลังเกิดแผ่นดินไหว รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ขอรับความช่วยเหลือจากนานาชาติ โดยระบุว่าต้องการโลหิตเป็นจำนวนมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก

เทเลกราฟ รายงานโดยอ้างแพทย์คนหนึ่งในเมียนมาว่า ระบบสาธารณสุขในประเทศอ่อนแออยู่แล้ว และไม่มีทรัพยากรหรือบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ ขณะที่ ทอม แอนดรูว์ ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ให้สัมภาษณ์กับ ไทม์เรดิโอ ว่า

“นี่อาจเป็นหายนะซ้อนหายนะ ประชาชน 20 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตั้งแต่ก่อนแผ่นดินไหวแล้ว มีผู้พลัดถิ่น 3 ล้านคน และมากกว่าครึ่งของประชากรเมียนมาดำดิ่งสู่ความยากจนขั้นรุนแรง”

โจ ฟรีแลนด์ นักวิจัยด้านเมียนมาของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเมียนมา ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงอยู่แล้ว”

แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อไทย โดยมีรายงานว่ากรุงเทพฯได้รับแรงสั่นสะเทือนและมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่ามาตรการตัดลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศระงับโครงการช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง โดยเฉพาะในแคมป์ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในไทยที่มีผู้พักพิงมากกว่า 100,000 คน

โครงการอาหารโลก (WFP) รายงานว่าการปันส่วนอาหารในเมียนมาจะถูกตัดขาดเกือบทั้งหมดในเดือนเมษายน แม้ว่าประเทศกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารรุนแรง

ปัจจุบัน มีประชากร 15.2 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ไม่มีอาหารเพียงพอ และราว 2.3 ล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะหิวโหยระดับฉุกเฉิน

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) คาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 10,000 - 100,000 ราย พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์เมียนมาว่า “ยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่านี้”

รัฐบาลทหารประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน 5 ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ มัณฑะเลย์, สะกาย, มะกเว, ฉาน และบะโก ด้านองค์การสหประชาชาติจัดสรรงบประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ สำหรับความช่วยเหลือเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากพื้นที่ภัยพิบัติแสดงให้เห็นถนนแตกร้าว สะพานถล่ม และเขื่อนแตก สร้างความกังวลว่าทีมกู้ภัยจะเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ยาก ในประเทศที่กำลังจมดิ่งสู่ภาวะวิกฤติอยู่แล้ว

หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar รายงานว่า เมืองและหมู่บ้าน 5 แห่ง พบเห็นอาคารพังถล่ม และมีสะพานพัง 2 แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นสะพานหลักที่เชื่อมไปยัง มัณฑะเลย์ โดย โมฮัมเหมด ริยาส ผู้อำนวยการด้านเมียนมาของ คณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (IRC) ระบุว่า

"อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะทราบถึงขอบเขตความเสียหายที่แท้จริง และอาจมีผลกระทบร้ายแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้"

จากสงครามกลางเมืองที่ยังไม่มีจุดจบ สู่ภัยธรรมชาติร้ายแรงที่ซ้ำเติม เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งขึ้น ความช่วยเหลือจากนานาชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในประเทศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ประกาศหยุดสู้รบ 2 สัปดาห์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กู้ภัยช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหว

(30 มี.ค. 68) กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ประกาศหยุดยิงเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยและองค์กรด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตเนปิดอว์ ภาคซะไกง์ และภาคมัณฑะเลย์

แถลงการณ์จากแนวร่วมกลุ่มติดอาวุธระบุว่า การหยุดยิงชั่วคราวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคจากสถานการณ์สู้รบ และป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้นจากทั้งภัยพิบัติและความขัดแย้งทางทหาร

“กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) จะหยุดดำเนินการปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ยกเว้นปฏิบัติการเชิงป้องกัน ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. 2568” รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่เป็นรัฐบาลเงาระบุในคำแถลง

ด้านองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างจริงจัง และเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าถึงทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการเมืองไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน

ขณะที่รัฐบาลทหารเมียนมายังไม่มีท่าทีตอบสนองต่อแถลงการณ์หยุดยิงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าองค์กรกาชาดสากล และศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) กำลังเร่งประสานงานกับทั้งสองฝ่ายเพื่อส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ภัยพิบัติโดยเร็วที่สุด

ญี่ปุ่นออกคำเตือน ภูเขาไฟเกาะคิวชูส่งสัญญาณปะทุ ประกาศห้ามประชาชนเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยงภูเขาไฟ

(30 มี.ค. 68) เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นได้ออกคำเตือนระดับกลางเกี่ยวกับภูเขาไฟแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะคิวชู โดยแนะนำให้ประชาชนอย่าเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยง เนื่องจากมีสัญญาณว่าอาจเกิดการปะทุขึ้นในเร็วๆ นี้

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น (JMA) รายงานว่ามีการตรวจพบแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้นบริเวณภูเขาไฟ พร้อมทั้งพบควันพวยพุ่งจากปล่องภูเขาไฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเคลื่อนตัวของแมกมาใต้พื้นดิน เจ้าหน้าที่จึงได้ประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงเพิ่มความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณที่อาจได้รับผลกระทบจากเถ้าภูเขาไฟและหินร้อน

นอกจากนี้ หน่วยงานด้านภัยพิบัติของญี่ปุ่นยังเตรียมมาตรการฉุกเฉินเพื่อรับมือหากมีการปะทุเกิดขึ้น รวมถึงการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภูเขาไฟจำนวนมาก และมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ

รัสเซีย-จีน-อินเดีย-มาเลเซีย ส่งทีมช่วยเหลือเมียนมา กองทัพว้า มอบเงินช่วยเหลือ 200 ล้านจั๊ต ขณะยอดเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้น

(30 มี.ค. 68) นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ทางการเมียนมาได้รายงานยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 1,644 คน ผู้บาดเจ็บ 3,408 คน และสูญหาย 139 คน ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางซากปรักหักพังและอาคารที่ยังคงถล่มในบางพื้นที่

ผลกระทบจากแผ่นดินไหวในพื้นที่สำคัญ ในพื้นที่เขตเนปยีดอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินไหว มีผู้เสียชีวิตจำนวน 96 คน และได้รับบาดเจ็บ 432 คน ส่วนในภาคสะกายมีผู้เสียชีวิต 18 คน และบาดเจ็บ 300 คน ขณะที่ภาคมัณฑะเลย์ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน โดยมีผู้เสียชีวิต 30 คน อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอาจเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากปฏิบัติการช่วยเหลือยังไม่สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ได้

การช่วยเหลือจากนานาชาติ จากสถานการณ์ที่รุนแรง รัฐบาลเมียนมาได้เปิดรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยขณะนี้ รัสเซีย จีน อินเดีย และมาเลเซียได้ส่งทีมกู้ภัยเข้าช่วยเหลือแล้ว ขณะที่ศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) ก็ได้เสนอความช่วยเหลือเพิ่มเติมเช่นกัน นอกจากนี้ กองทัพสหรัฐพันธรัฐว้า (UWSA) ได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 200 ล้านจั๊ต หรือประมาณ 15.3 ล้านบาท เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากภูมิภาค เมื่อวันที่ 9 มีนาคม มีรายงานว่า ทีมบรรเทาสาธารณภัยจากมณฑลยูนาน ประเทศจีน จำนวน 16 คน จะเดินทางเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่เมืองหมูแจ่ รัฐฉานตอนเหนือ ในขณะที่ทีมกู้ภัยจากประเทศสิงคโปร์ก็กำลังมุ่งหน้าไปยังภาคมัณฑะเลย์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว

บทบาทของไทยและอเมริกา ประเทศไทยได้เตรียมส่งทีมกู้ภัยและค้นหาพร้อมทีมแพทย์และเวชภัณฑ์จากกองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 49 นาย เดินทางด้วยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ เพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และสำรวจความต้องการของรัฐบาลเมียนมาเพื่อส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความจำเป็น

ในขณะที่สหรัฐอเมริกาได้พยายามติดต่อเมียนมาเพื่อให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอุปสรรคบางประการ เนื่องจากในอดีต เมียนมาเคยมีสำนักงานของ USAID แต่ได้ถูกปิดไป ส่งผลให้การเข้าถึงความช่วยเหลือยังไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำว่าภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นเป็นปัญหาสากลที่ควรได้รับการช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงความขัดแย้งทางการเมือง

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียให้กับชาวเมียนมา แต่ยังเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง บางประเทศได้แสดงออกถึงความเป็นมิตรอย่างชัดเจน ขณะที่บางประเทศอาจยังมีท่าทีที่ไม่แน่ชัด ท่ามกลางความขัดแย้งที่มีอยู่ ภัยพิบัติในครั้งนี้อาจเป็นบททดสอบที่แสดงให้เห็นว่าใครคือพันธมิตรที่แท้จริงของเมียนมา

‘เอเชีย’ จ่อขึ้นแท่น ‘ผู้นำโลก’ ด้านเทคโนโลยีสีเขียวเกิดใหม่ หลายประเทศมุ่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

(29 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานจากการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว ปี 2025 ในมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน ระบุว่าเอเชียกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีใหม่อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีศักยภาพเป็นผู้นำด้านวัสดุแบตเตอรี่ขั้นสูง พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และอื่น ๆ ด้วยกำลังการผลิตทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนทางนโยบาย

รายงาน ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน : รายงานเอเชียและโลกประจำปี 2025-การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : เอเชียก้าวสู่เส้นทางสีเขียว’ (Sustainable Development: Asia and the World Annual Report 2025 -Addressing Climate Change: Asia Going Green) ของการประชุมฯ ได้เน้นย้ำความก้าวหน้าด้านพลังงานหมุนเวียนของภูมิภาคเอเชีย

ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตพลังงานใหม่จากพลังงานหมุนเวียนสูงถึงร้อยละ 85 ส่วนอินโดนีเซียและสิงคโปร์กำลังพยายามพัฒนาการดักจับและกักเก็บคาร์บอน ขณะเดียวกันจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขนส่ง

จีนยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไฮโดรเจนอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังเติบโตของเอเชีย โดยเอเชียครองส่วนแบ่งเกือบร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตพลังงานไฮโดรเจนทั่วโลก ส่วนกลุ่มปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย ต่างกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

ขณะประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนได้พัฒนายุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติที่มีความครอบคลุมรอบด้าน เพื่อดำเนินการตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) และแผนการปรับตัวระดับประเทศ (NAP)

อย่างไรก็ดี แม้มีความก้าวหน้าอย่างมากและบางประเทศแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจสร้างความยั่งยืน แต่อีกหลายประเทศยังคงต้องดำเนินงานอีกมากเพื่อบรรลุเป้าหมาย

บทบาทของเอเชียในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเอเชียเป็นบ้านหลังใหญ่ของประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ราวครึ่งหนึ่งของโลก และครองส่วนแบ่งการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top