Sunday, 24 September 2023
WORLD

'UNFPA' ชี้!! ประชากรอินเดียใกล้จะแซงหน้าจีนแล้ว แต่นี่จะเป็นโอกาสหรือวิกฤตที่นำไปสู่หายนะกันแน่?

กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) เปิดเผยในวันนี้ (19 เม.ย.) ว่า อินเดียกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีน ด้วยการมีประชากรมากกว่าจีนเกือบ 3 ล้านคนในช่วงกลางปีนี้

รายงานสถานการณ์ประชากรโลกปี 2566 (State of World Population Report, 2023) ของ UNFPA ได้ประมาณการจำนวนประชากรของอินเดียไว้ที่ 1.4286 พันล้านคน มากกว่าจีนที่มีประชากรจำนวน 1.4257 พันล้านคน ขณะที่สหรัฐอเมริกาตามมาเป็นอันดับที่ 3 แบบห่าง ๆ ด้วยตัวเลขประชากรประมาณ 340 ล้านคน โดยรายงานฉบับนี้สะท้อนข้อมูลที่มีอยู่ ณ เดือนก.พ. 2566

ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรที่ใช้ข้อมูลก่อนหน้านี้ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า จำนวนประชากรอินเดียจะแซงหน้าจีนในเดือนนี้ แต่ในรายงานฉบับล่าสุดของ UNFPA ไม่ได้ระบุแบบเฉพาะเจาะจงว่า จำนวนประชากรของอินเดียจะแซงหน้าจีนเมื่อใด

เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นของอินเดีย ด้าน มาเฮช วิยาส หัวหน้าผู้บริหารของศูนย์สังเกตการณ์เศรษฐกิจอินเดีย (CMIE) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยข้อมูลในมุมไบ กล่าวว่า ประชากรวัยหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในวัยทำงาน (15-64 ปี) และนี่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจต่อไป

จากข้อมูลของวิยาส สภาวะดังกล่าวได้ช่วยให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียตั้งแต่ปี 1990 “ในทศวรรษที่ 1990 อินเดียประสบความสำเร็จค่อนข้างดีในการเคลื่อนย้ายแรงงานจากฟาร์มไปยังโรงงาน ... นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการแทรกแซงนโยบายและได้รับความช่วยเหลือจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร”

วิยาสเสริมว่า นอกจากแรงงานจำนวนมากแล้ว ในทางทฤษฎี ประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากสามารถกลายเป็นแหล่งการลงทุนในอนาคตได้เช่นกันหากพวกเขามีรายได้ดีและเก็บออมเงินได้

แต่การที่แรงงานรุ่นใหม่จะมีรายได้และเก็บออมเงินได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีงานที่ให้ผลตอบแทนดีเพียงพอซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับเศรษฐกิจสมัยใหม่

ข้อมูลจากทางการอินเดียระบุว่า อัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการของอินเดียแตะระดับสูงสุดในรอบ 45 ปีที่ 6.1% ในปี 2017-2018 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 2.7% ของเมื่อช่วงปี 2011-2012 ส่วนเมื่อปี 2021-2022 ระดับการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1%

แต่ข้อมูลบางชิ้นบ่งชี้ว่า จำนวนผู้ว่างงานของอินเดียกำลังสูงขึ้นมาก จากข้อมูลของ CMIE พบว่า อัตราการว่างงานของอินเดียในเดือนมีนาคม 2023 อยู่ที่ 7.8% และสูงขึ้นไปอีกถึง 8.5% ในหลายเมืองของอินเดีย

ตามการวิเคราะห์ของทางการ แต่ละปีมีแรงงานเกือบ 5 ล้านคนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอินเดีย แม้จะมีโครงการสนับสนุนที่เชื่อมโยงกับการผลิตของรัฐบาลซึ่งคาดว่าจะสร้างงานได้ 6 ล้านตำแหน่งใน 5 ปี ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับตลาดแรงงานที่กำลังเติบโตของอินเดีย

ฮิมานชู รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยยาวาฮาร์ลาล เนห์รู กล่าวว่า “การว่างงานเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจอินเดียในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และมันไม่มีสัญญาณของการพัฒนาที่ดีขึ้นเลย”

ในขณะเดียวกัน ตามรายงานของธนาคารโลก การเติบโตของการลงทุนในอินเดียลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากค่าเฉลี่ยรายปีที่ 10.5% ระหว่างปี 2000-2010 เหลือ 5.7% ระหว่างปี 2011-2021

รายงานระบุปัจจัยหลายประการที่ทำให้การเติบโตของการลงทุนลดลง ตั้งแต่ความกังวลเกี่ยวกับแหล่งจ่ายไฟและโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มถนนและทางรถไฟ

นอกจากนี้ การล็อกดาวน์จากโควิด-19 ยังส่งผลให้แรงงาน 40 ล้านคนจากชนบทของอินเดียที่ทำงานในเมือง อพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่กลับไปยังหมู่บ้านของตน เมื่อตลาดงานฟื้นตัวหลังจากการระบาดลดลง ก็ส่งผลให้สัดส่วนแรงงานในฟาร์มเพิ่มขึ้น ในขณะที่สัดส่วนของงานภาคโรงงานการผลิตลดลง

จับตา 'ไช่อิงเหวิน' สตรีผู้อาจพา 'ไต้หวัน' เป็นยูเครน 2 หลังตามซบลุงแซมเป็นซีรีส์ เย้ย 'สีจิ้นผิง' จนกัดกราม

ดูทรงแล้วประธานาธิบดีหญิงแห่งไต้หวัน ไม่หวั่นอาเฮียแผ่นดินใหญ่ เพราะหันไปซบอกเหี่ยวๆ ของลุงแซมเต็มที่ 

นางเคยให้สัมภาษณ์สื่ออเมริกันว่า ถึงจีนแผ่นดินใหญ่จะย้ำแล้วย้ำอีก ว่าจะรวมชาติไต้หวันด้วยสันติวิธี แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าอาเฮียจะเปรี้ยวตีนขึ้นมาถึงขั้นหักหาญด้วยกำลัง ไต้หวันเลยพุ่งไปขอความช่วยเหลือจากอเมริกา แถมบอกต่อด้วยว่าไต้หวันจะไม่รีรอที่จะมองหาความช่วยเหลือจากตะวันตก แบบเดียวกับเคียฟ หากว่ามีขัดแย้งปะทุขึ้น 

คือ...น่าจะอยากเป็นยูเครน 2 ว่าซั่น!!

ตอนนั้นอังเคิลแซมฟังแล้วรีบเบ่งกล้ามอวดโลก พลางยืดอกเหี่ยวๆ โชว์ซิกแพ็กที่ไม่ค่อยมี เพราะฉุบวมทั้งน้ำอัดลมและเบียร์ เด้งรับคำอวยของไต้หวันทันที พลางป้อนยาหอมเพียบ แถมเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งกองทัพสหรัฐฯ รับปากสนับสนุนด้านการทหารแก่ไต้หวัน

พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ ย้ำว่าอเมริกามีพันธสัญญาผ่านกฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน แถมประธานาธิบดีไบเดนเคยบอกหลายวาระเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า อเมริกาจะเดินหน้าให้การสนับสนุนด้านการทหารและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ไต้หวัน

ความขุ่นเคืองของสองจีนประทุขึ้นจนถึงจุดเดือด เมื่อป้าแนนซี่ เพโลซี่ปากแจ๋วไปไต้หวัน อาเฮียสีที่นั่งเจี๊ยะเต้อยู่บนเหล่าเต๊งถึงกับสั่งเลี๊ยะพะ ด้วยการซ้อมรบด้วยอาวุธจริงรอบเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ป้าแนนซี่เห็นท่าไม่ดี กลัวออกจากเกาะไม่ได้เลยเผ่นไปก่อน ไม่ได้อยู่นาน แต่เหมือนกวนติงกันเห็นๆ คณะตัวแทนจากอเมริกาคณะนั้นคณะนี้แห่แหนไปไต้หวันรัวๆ เล่นเอาเฮียสีขบกรามกรอดๆ 

เท่านั้นยังไม่พอ 'ไช่ อิงเหวิน' เดินสายไปเยือนประเทศแถบละตินอเมริกา นางไม่แคร์ใดๆ ทั้งที่จีนแผ่นดินใหญ่ทั้งปลอบทั้งขู่ แต่หนูก็จะไป โดยมีเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อ้าแขนรอรับอยู่ในแคลิฟอร์เนีย   

พญามังกรหนวดกระดิก ขู่ฟ่อทันทีว่า ลื้อทำตัวแบบนี้ เดี๋ยวเจอจัดหนักจากอั๊วแน่นอน ฆ่าได้หยามไม่ได้ ทำนองนั้น แล้วเฮียสีสั่งซ้อมรบรัวๆ ล้อมเกาะไต้หวันอีกรอบ ซึ่งอเมริกาก็แล่นเรือไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่แถวไต้หวันทันทีที่จีนแผ่นดินใหญ่ซ้อมเสร็จ 

กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวันปี 1979 กำหนดให้สหรัฐฯ รับประกันกับเกาะปกครองตนเองแห่งนี้ในด้านทรัพยากรต่างๆ สำหรับปกป้องตนเอง และปกป้องการเปลี่ยนแปลงสถานะแต่เพียงฝ่ายเดียวของปักกิ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กำหนดให้สหรัฐฯ มอบการปกป้องด้านการทหารแก่เกาะแห่งนี้

ระหว่างการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนตุลาคม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่าปักกิ่งจะทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ แต่สงวนสิทธิใช้กำลังแก้ไขปัญหาถ้ามีความจำเป็น...แปลแบบชาวบ้านว่า ทางจีนแผ่นดินใหญ่จะไม่หักหาญน้ำใจ คือจะไม่ปล้ำด้วยกำลัง จะค่อยๆ โอ้โลมจนกว่าไต้หวันจะใจอ่อน หากไม่ยอมขึ้นมา ก็จำเป็นต้องฟาดกันแรงๆ 

ที่สำคัญเฮียสีบอกตรงๆ ว่า จะต้องให้กองทัพจีนเป็นเจ้าโลกทางการทหารด้วยการชนะทุกสมรภูมิให้ได้ (อเมริกาเองมองว่าจีนต้องการบรรลุเป้าหมายเป็นเจ้าโลกในด้านการทหารในอีกราวๆ 50 ปีข้างหน้า และเป็นเจ้าในระดับภูมิภาคภายในปี 2027)

ไต้หวันปกครองตนเองมาตั้งแต่กองกำลังชาตินิยมที่นำโดย เจียง ไคเช็ก หลบหนีไปยังเกาะแห่งนี้ในปี 1949 หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่คอมมิวนิสต์ กลายเป็นหนามยอกอกตำใจจีนแผ่นดินใหญ่นับแต่นั้นมา เพราะจีนแผ่นดินใหญ่วางนโยบาย 'จีนเดียว' เพราะฉะนั้นการรวมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  

ในสมุดปกขาวที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมเน้นย้ำว่าปักกิ่งมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายรวมชาติอย่างสันติ แต่เมื่อกองทัพจีนใหญ่โตมโหฬารกว่าไต้หวันหลายเท่า  ประธานาธิบดีไช่ จึงเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมถึง 13% และจะทุ่มงบประมาณ 19,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านการทหารในปี 2023 แล้วขู่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ฟ่อๆ ว่า ถ้าอยากรุกรานไต้หวัน ก็ต้องจ่ายแพงอย่างแน่นอน

เช็กแถวทหารในเขตยึดครอง 'เคอร์ชอน-ลูฮันส์ค' หลังกองทัพยูเครนประกาศเตรียมบุกตีเมือง

(19 เม.ย.66) รัฐบาลเครมลินเผยแพร่คลิปวิดีโอ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ขณะเดินทางเยี่ยมผู้บังคับบัญชา และกองทหารรัสเซีย ในเขตยึดครองที่เคอร์ชอน และ ลูฮันส์ค เมื่อวันอังคาร (18 เมษายน 66) ที่ผ่านมา แต่ไม่ยืนยันว่าผู้นำรัสเซียได้เดินทางไปเขตด่านหน้าจริงๆ ในวันใด

โดยปูตินเดินทางมาถึงพื้นที่ในเขต เคอร์ชอน และ ลูฮันส์ค ด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อฟังรายงานสถานการณ์สู้รบของกองทัพรัสเซียในยูเครน และเยี่ยมเยียนกองทหารเนื่องในโอกาสฉลองเทศกาลอีสเตอร์ของนิกายออร์โธดอกซ์ 

ปูตินกล่าวว่า - เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับตัวเขาที่ต้องมาฟังความเห็น และแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรงกันคนที่ประจำอยู่แถวหน้าด้วยตัวเอง 

แม้ปูตินจะแทบไม่เคยเดินทางออกจากรัสเซียเลยตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน โดยเฉพาะ พื้นที่ เมืองเคอร์ชอน ลูฮันส์ค โดเนสค์ ซาโปริซเซีย ที่รัสเซียเพิ่งประกาศผนวกดินแดนในเดือนกันยายน 2565 ที่ทำให้รัสเซียถูกประณามว่าเป็นการยึดครองดินแดนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

แต่เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ผู้นำรัสเซียได้เดินทางไปเยือนไครเมีย ตามด้วย มาริอูโปล และเป็นครั้งแรกที่ปูตินมาเยือนเมืองในเขตยึดครองยูเครนถึง 2 เมือง และเกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพยูเครนประกาศเตรียมพร้อมที่จะโจมตีครั้งใหม่เพื่อยึดคืนดินแดน

3 แบงก์ใหญ่ เงินไหลออก กว่า 2 ล้านล้านบาท  สวนทาง Apple เสนอเงินฝากดอกเบี้ย 4.15%

ถึงยุคที่ธนาคารทั่วโลกกำลังจะถูก Disrupt แล้วหรือไม่ ?!? เพราะหลังจากเกิดวิกฤต Bank Run ขึ้นมา Apple บริษัท Smartphone ยักษ์ใหญ่ของโลกก็ได้ประกาศเสนอบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ซึ่งผู้บริโภคสามารถฝากเงินผ่าน Saving Account ของบริษัทได้ทันทีเพียงแค่เป็นลูกค้าของ Apple เท่านั้น !!! (ตอนนี้ยังเปิดใช้แค่ลูกค้าที่มีบัตร Apple Card ในสหรัฐฯ)

(18 เม.ย.66) World Maker เผยว่า บัญชีดังกล่าวเป็นการร่วมมือกับ Big Bank แห่ง Wall Street อย่าง Goldman Sachs โดยไม่มีการกำหนดเงินฝากขั้นต่ำ แต่มีการกำหนดเงินฝากสูงสุดที่ 250,000 ดอลลาร์ซึ่งหมายความว่าจะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่จาก Federal Deposit Insurance Corp. อีกด้วย !!

ระดับดอกเบี้ยที่ 4.15% นั้นถือว่าสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารขนาดเล็ก-กลางหลายแห่งในตอนนี้เลยทีเดียว ! ซึ่งแน่นอนว่าหากธนาคารใหญ่เริ่มจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่มากขึ้นเช่นนี้ จะถือเป็นการ Disrupt โดยตรงต่อธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่สามารถเสนอดอกเบี้ยได้สูงในระดับนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการบริหารงบไม่ดี

มีรายงานว่าแม้แต่ธนาคารขนาดใหญ่ 3 แห่งคือ Charles Schwab, State Street และ M&T ก็ได้เผชิญเงินไหลออกสูงถึง -6 หมื่นล้านดอลลาร์หรือกว่า -2 ล้านล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และแนวโน้มดังกล่าวอาจดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ สำหรับธนาคารหลายแห่ง หากพวกเขายังไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากให้กับผู้บริโภค

นอกจากบัญชีดอกเบี้ย 4.15% แล้ว นักลงทุนและผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังถอนเงินออกจากธนาคารหลายแห่งเพื่อไปพักเงินใน Money Market Funds แทน เนื่องจากกองทุนเหล่านี้ให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ประมาณ 4.65% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับดอกเบี้ยของ FED ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแรงกดดันต่อธนาคารที่เสนอดอกเบี้ยต่ำจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ดอกเบี้ยหลัก ๆ ในตลาดการเงินยังคงสูงเช่นนี้

มีเพียงธนาคารยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังสามารถแข่งขันในตลาดได้ ซึ่งนอกจาก Goldman Sachs แล้วก็จะมี Big Bank อย่างเช่น JPMorgan, Wells Fargo, Morgan Stanley, Citigroup และ Bank of America ที่ถือเป็นเสาหลักอยู่ในตอนนี้ แต่ทั้ง 6 ยักษ์ใหญ่ต่างก็ต้องแข่งขันกันเองด้วย ดังนั้นจะเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่ากันมากนักไม่ได้

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ Apple ถือเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์แปลง iPhone ให้กลายเป็น “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าทุกคนสามารถเชื่อมโยงการเงินของตัวเองและวิถีชีวิตประจำต่าง ๆ ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว (ซึ่งในอนาคตอาจไม่ใช่แค่ iphone แต่ยังรวมถึง Product ใหม่ ๆ ด้วย)

แม้ว่าจะไม่สามารถใช้เงินในบัญชีออมทรัพย์ได้โดยตรง แต่ลูกค้า Apple Card จะสามารถโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวมายังบัญชีกระแสเงินสด Apple Cash ก่อนจะใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งก็แทบไม่ต่างกัน !

ที่น่าสนใจมาก ๆ คือความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่เท่าที่เราเห็น แต่อาจเป็นการเตรียมยกระดับระบบต่าง ๆ ไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นเพื่อก้าวสู่โลกอนาคต เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ทาง Apple ยังได้ร่วมมือกับบางรัฐในสหรัฐฯ เพื่อให้บริการออกใบขับขี่เวอร์ชั่นดิจิทัล ขณะเดียวกันก็มีการเจรจากับ Alphabet เพื่อที่จะใช้ Google เป็น Browser เริ่มต้นของ Safari ใน iPhone

อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า Apple จะไม่มีคู่แข่ง เพราะปัจจุบันธนาคารบางแห่งก็เสนอดอกเบี้ยเงินฝากออนไลน์มากถึง 5% แต่ถึงกระนั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภาคธนาคารกำลังถูก Disrupt ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่บริหารงบไม่ดี ไม่มีความสามารถในการทำกำไร และไม่สามารถเสนอดอกเบี้ยที่สูงตามอัตราหลักของตลาดได้

‘Apple’ เปิดตัวบริการบัญชีเงินฝาก ให้กับผู้ใช้ไอโฟน ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ต่อปี ไม่มีขั้นต่ำ-ปลอดค่าธรรมเนียม

(18 เม.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท แอปเปิล อิงค์ เปิดตัวบริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ให้กับผู้ใช้ไอโฟน สามารถฝากถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ และ ค่าธรรมเนียมบริการ โดยเริ่มให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ ก่อนเท่านั้น รายงานแจ้งว่า Apple Card บัตรเครดิตของบริษัทแอปเปิล ออกโดยธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดทางเลือกให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จาก Goldman Sachs ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 4.15% ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับเงื่อนไขการให้บริการเมื่อมีการเปิดบัญชีแล้ว Daily Cash หรือ cash back จากการซื้อผลิตภัณฑ์แอปเปิลจะถูกโอนเข้าสู่บัญชีเงินฝากโดยอัตโนมัติ รวมถึงการโอนเงินจากบัญชีธนาคารเพิ่มเติมเข้าสู่บัญชีเงินฝากก็เป็นอีกช่องทางในการใช้บริการ

นอกจากนี้ การบริการดังกล่าวจะไม่มีค่าธรรมเนียม และไม่มีข้อกำหนดยอดเงินขั้นต่ำ ผู้ใช้สามารถตั้งค่าและจัดการบัญชีออมทรัพย์ได้โดยตรงจาก Apple Card ใน Wallet อย่างไรก็ตาม การบริการ Apple Pay บนอุปกรณ์แอปเปิล iPhone, iPad หรือ Mac และผู้สนใจสามารถเปิดบัญชีดังกล่าวจากแอปพลิเคชัน Wallet บนเครื่อง iPhone ที่มีระบบปฏิบัติการตั้งแต่ iOS 16.3 ขึ้นไป และจะเริ่มบริการเฉพาะในสหรัฐฯ ก่อนเท่านั้น

เมื่อตั้งค่าบัญชีออมทรัพย์แล้ว เงินสดในอนาคตทั้งหมด ที่ผู้ใช้ได้รับจะถูกฝากเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ ปลายทางของ Daily Cash สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และไม่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้ Daily Cash สามารถรับรายได้เท่าใด เพื่อเพิ่มเงินออมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใช้สามารถฝากเงินเพิ่มเติมในบัญชีออมทรัพย์ผ่านบัญชีธนาคารที่เชื่อมโยง หรือจากยอดคงเหลือ Apple Cashผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงแดชบอร์ดการออมที่ใช้งานง่ายใน Wallet ซึ่งสามารถติดตามยอดเงินในบัญชีและดอกเบี้ยที่ได้รับเมื่อเวลาผ่านไปได้อย่างสะดวก ผู้ใช้ยังสามารถถอนเงินได้ตลอดเวลาผ่านแดชบอร์ด Savings โดยโอนไปยังบัญชีธนาคารที่เชื่อมโยงหรือไปยังบัตร Apple Cash โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

สถาบันประกันเงินฝากแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เผยว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก APY สำหรับบัญชีเงินฝากทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเฉลี่ยอยู่ที่ 0.35% ดังนั้น แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น จ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ระดับ 4.15% จึงถึงได้ว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ย โดยธนาคารพาณิชย์ในระบบการเงินของสหรัฐอเมริกามีการแข่งขันที่สูงมากกับบัญชีเงินฝาก


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/725193

‘ฟินแลนด์’ ยึดสมัยที่ 6 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ส่วน ‘ไทย’ รั้งที่ 60 ผลงานขยับ ก้าวขึ้นมา 1 อันดับ

พอนึกถึงประเทศที่คาดว่าจะมีความสุขที่สุดในโลก หลายคนมักนึกถึง ‘ฟินแลนด์’ และแน่นอนว่า จากสถิติที่ผ่านๆ มา จวบจนล่าสุด ฟินแลนด์ก็ยังไม่แผ่ว และครองหัวตารางมาอย่างสม่ำเสมอ ตอกย้ำด้วยการจัดอันดับ ‘ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก 2023’ ผ่าน World Happiness Report ซึ่งปีนี้ ‘ฟินแลนด์’ ก็ครองตำแหน่งนี้เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว

สำหรับรายงานชิ้นนี้ จัดทำโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ถูกเผยแพร่ผ่าน UN Sustainable Development Solutions Network ที่ทำการสำรวจด้วยการประเมินระดับความสุขของประชาชนหลายล้านคนจากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก โดยจะมีตัวแปรหลักๆ ด้วยกัน 6 อย่าง ได้แก่…

1. รายได้ (GDP ต่อหัว)
2. การสนับสนุนทางสังคม 
3. สุขภาพชีวิตที่ดีทั้งกายใจ (ช่วงอายุขัย)
4. เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิต
5. ความเอื้ออาทร / เห็นอกเห็นใจ
6. การตระหนักรู้ถึงคอร์รัปชัน

ยิ่งไปกว่านั้น กว่าจะมาเป็นการจัดอันดับได้ การสำรวจก็ได้ถูกลากยาวครอบคลุมกว่า 3 ปี เช่นในรายงานชิ้นนี้ จะถูกสำรวจตั้งแต่ปี 2020 - 2022 และออกมาเป็นรีพอร์ตประจำปี 2023

สำหรับ ‘ฟินแลนด์’ ที่ยังคงเป็นนัมเบอร์วันแล้ว ในส่วนของประเทศที่ประชากรมีความสุขที่สุดในโลก ตามการรายงานของ World Happiness Report ในลำดับถัดมา จะประกอบไปด้วย

‘ไต้หวัน’ จ่อซื้อ ‘ฮาร์พูน’ ขีปนาวุธของสหรัฐฯ กว่า 400 ลูก มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านบาท เตรียมพร้อมรับภัยคุกคามจากจีน

ไต้หวันจะซื้อ ‘ฮาร์พูน’ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นของสหรัฐฯ สูงสุด 400 ลูก ในยามที่ต้องเผชิญภัยคุกคามจากจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพตากอน) เคยแถลงเกี่ยวกับสัญญามูลค่า 1,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับขายขีปนาวุธต่อต้านเรือ 400 ลูก เมื่อวันที่ 7 เมษายน แต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้ซื้อ โดยบอกแต่เพียงว่าคาดหมายว่าการผลิตจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2029 อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กรายงานล่าสุด บอกว่าผู้ซื้อรายดังกล่าวได้แก่ไต้หวัน

‘ทางรถไฟจีน-ลาว’ หนุนธุรกิจ ‘หนองคาย’ คึกคัก ขนส่งร่นเวลา-จ้างงานสะพัด-นักท่องเที่ยวหนาตา

เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า จังหวัดหนองคายของไทยได้ร่วมแบ่งปันความสุขช่วงเทศกาลสงกรานต์กับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงอย่างลาว นับตั้งแต่ทางรถไฟจีน-ลาว เปิดให้บริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนเมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) อันเป็นวันเทศกาลที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับไทยและลาว

จิรนันท์ สกุลตั้งไพศาล ที่ปรึกษาสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย กล่าวว่าผู้ประกอบการจำนวนมากในภาคการท่องเที่ยวท้องถิ่นเริ่มได้รับการสอบถามจากนักท่องเที่ยวชาวไทยเกี่ยวกับบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนของทางรถไฟจีน-ลาว

ความสนใจใคร่รู้นี้ไม่ได้สร้างความแปลกใจแก่จิรนันท์ ผู้บริหารโรงแรมในหนองคาย เนื่องจากเธอพบเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยหลั่งไหลข้ามพรมแดนช่วงวันหยุด เพื่อสัมผัสประสบการณ์ทางรถไฟจีน-ลาว นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม 2021

“ชาวไทยจะเดินทางมาหนองคายเพื่อสอบถามวิธีขึ้นรถไฟจีน-ลาว บางครั้งเรามีลูกค้าเยอะเกินกว่าจะให้บริการได้” จิรนันท์ระบุ

นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะพักค้างคืนในหนองคายก่อนเดินทางไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวที่อยู่ห่างราว 20 กิโลเมตร โดยแผนการเดินทางนี้ช่วยกระตุ้นธุรกิจโรงแรมของจิรนันท์และภาคการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ต้องการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

ด้าน มนนิภา โกวิทศิริกุล ประธานหอการค้าจังหวัดหนองคาย แสดงความหวังว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาลาวจะเดินทางมาท่องเที่ยวต่อในหนองคายและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยหนองคายกำลังเตรียมพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงจัดเตรียมการขนส่งและพนักงานที่พูดภาษาจีนเพิ่มขึ้น

วิเคราะห์ ‘การเงิน-เทคโนโลยี-พลังงานโลก’ วิวัฒนาการพาสังคมโลกเพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่

(17 เม.ย.66) รายงานว่า ล่าสุด Elon Musk เริ่มเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่!!! หลังจากเขาประกาศจัดตั้งบริษัท ‘X’ เพื่อพัฒนา AI ขั้นสูงมาแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI, Microsoft และ Bard AI ของ Google โดยตรง ! แม้ก่อนหน้านี้พึ่งออกมาเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้อย่างน้อย 6 เดือนเพราะโดยอ้างเหตุผลว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก ทำให้ชาวโลกเกิดคำถามว่าที่ออกมา Discredit อยู่นี้เป็นเพราะแค่กลัวตามคนอื่นไม่ทันหรือไม่? เพราะปากบอกให้โลกหยุด แต่ตัวเองกลับจัดตั้งบริษัทพัฒนา AI ซะเอง!?

เขาก่อตั้งบริษัท X และพึ่งรวมถึง Twitter เข้าไปด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาในการสร้าง ‘Everything App’ หรือกล่าวคือแอปพลิเคชั่นอเนกประสงค์ตัวเดียวที่ตอบสนองได้แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ตของมนุษย์

ตอนนี้เจ้าพ่อ Tesla กำลังสรรหาวิศวกรจากแล็บ AI ชั้นนำของโลกมาร่วมงาน ซึ่งรวมถึง DeepMind ของ Alphabet (บริษัทแม้ของ Google) ในขณะที่เขาสำรวจแนวคิดและแผนการของบริษัทคู่แข่งที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือ OpenAI ที่ Microsoft เข้าไปลงทุน และแน่นอนว่า Elon Musk นั้นไม่ถูกกับ Bill Gates เลย (เท่าที่สื่อรายงานออกมาตลอดหลายปี)

Musk เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในยุคแรก แต่สุดท้ายก็ลาออกเนื่องจากมีความขัดแย้งกับแนวทางของผู้บริหารคนอื่น ๆ โดยหลังจากเขาลาออกมา OpenAI ก็ได้เปลี่ยนแนวทางและเริ่มหาทางเพิ่มผลกำไร พร้อมกับได้รับเงินระดมทุนจาก Microsoft มา 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่จะเพิ่มทุนอีก 10x เท่าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อดูฉากหลังที่ Elon Musk กับ Bill Gates ไม่ถูกคอกันแล้ว ก็น่าสนใจว่า X จะพัฒนา AI มาแข่งขันกับ OpenAI และ Microsoft ได้ดีแค่ไหน? และจะสามารถตามกลุ่มผู้นำได้ทันหรือไม่? เพราะการที่ Musk เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงชั่วคราวนี้ แต่ตัวเขาเองก็เร่งพัฒนา AI อยู่ซะงั้น (มีรายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สั่งซื้อ Chip ขั้นสูงของ Nvdia ราว 10,000 ตัวเพื่อนำไปพัฒนา AI)

ดูเหมือน Elon Musk จะเคยด่าว่า ChatGPT นั้นมีอคติทางการเมืองและเป็นอันตราย ขณะที่เขากล่าวว่าต้องการพัฒนา AI ที่มีความสมจริงมากขึ้น ย้อนแย้งกับที่เขาเรียกร้องให้คนอื่นหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงอย่างสิ้นเชิงแบบตรงข้าม 180 องศา!

ขณะเดียวกัน เขาพึ่งเจรจากับบริษัท Etoro ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ชื่อดังของโลก เพื่อทำให้ Twitter สามารถเชื่อมต่อกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในอนาคต โดยคาดว่าจะเปิดให้ซื้อ-ขายหุ้นและเหรียญต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าการสร้าง Everything App ของเขาจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?

สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือในอนาคต AI เหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่นั่นก็จะเป็นไปพร้อมกับการที่ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงในระยะยาว และมนุษย์ก็จะต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานในอนาคตไปอีกมาก เพื่อให้เชื่อมโยงกับความฉลาดของ AI ที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 อย่างที่ World Maker เคยรายงานไปแล้วว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Goldman Sachs ระบุว่า AI อาจแทนที่งานมนุษย์ในปัจจุบันได้ถึง 300 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และทุกวันนี้งานต่าง ๆ ก็เริ่มใช้ AI เข้ามาคุมเป็นแบบระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่จะฉลาดล้ำกว่า AI ยุคเก่า ๆ อีกหลายเท่าตัว ตามที่ Bill Gates กล่าวว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการกำเนิดของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

และพร้อม ๆ กันนี้ ทางด้านฮ่องกงก็กำลังเร่งให้ธนาคารต่าง ๆ มีการรับลูกค้าที่เป็นบริษัท Crypto มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากออกมาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตโลก ซึ่งเป็นการกลับลำ 180 องศาเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีว่าไม่เอา Crypto และถึงกับสั่งห้ามไม่ให้คนในประเทศไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากเกิดวิกฤตหายนะเช่น LUNA และ FTX ที่ทำให้ผู้บริโภคสูญเงินไปมหาศาล จีนก็เริ่มเปลี่ยนหน้ามาสนับสนุนคริปโตโดยทันที

ซึ่งในอนาคต ฮ่องกงจะสนับสนุน Crypto โดยมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการให้บริษัทสามารถ List เหรียญได้และให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าไปลงทุนได้อย่างสะดวกง่ายดาย หน่วยงานในฮ่องกงของ Bank of Communications ของจีนกำลังทำงานร่วมกับบริษัท Crypto หลายแห่งที่ได้รับอนุญาตในเมือง และกำลังเจรจากับบริษัทที่ได้รับการควบคุมอื่น ๆ เกี่ยวกับการเปิดบัญชี

เหรียญหลัก ๆ ที่ถูกพูดถึงในฮ่งอกงตอนนี้ก็คือ Bitcoin, Ether และ Tether ซึ่ง 2 เหรียญแรกเคยเป็นกระแสก่อนหน้านี้ และเคยมีสื่อไทยบางแห่งออกมาหลอกเงินชาวบ้านเชียร์ซื้อ Bitcoin ที่ยอดดอยก่อนราคาร่วงยับ -80% ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฮ่องกงเป็นไปเพื่อที่จะพยายามรักษาตำแหน่งจุดศูนย์กลางการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลจีนแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยึดอำนาจ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบต่าง ๆ ก็ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดฮ่องกงไป

พูดง่าย ๆ ว่าความเคลื่อนไหวเชิงผ่อนคลายของฮ่องกงต่อตลาด Crypto ในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกหลายชาติที่กำลังปราบปรามคริปโตอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทางรัสเซียเองก็เพึ่งประกาศเชื่อม Metamask และ Ethereum Blockchain เข้ากับระบบการเงินของ Sberbank ทำให้เราพอจะเห็นภาพฉายได้ว่าตลอดที่ผ่านมาจีน-รัสเซียมีส่วนชักใยอยู่เบื้องหลังคริปโตเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันว่าความพยายามของจีน-รัสเซียในการดัน Crypto (รวมถึงทองคำและหยวน) ขึ้นมาเพื่อทุบอำนาจของดอลลาร์ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ? ซึ่งหากดูจากทรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ คริปโตเหมือนจะมาแรงแต่สุดท้ายก็พังยับ และแม้ว่าในปัจจุบันจะฟื้นตัวมาเล็กน้อย แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นก็อาจต้องรอดูว่าจะมั่นคงในระยะยาวได้ไหม ? โดยปู่ Warren Buffet เป็นนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งที่ออกมาด่าว่า Bitcoin และ Crypto นั้นไร้ค่าและจะพบจุดจบไม่สวยงาม ในขณะที่บางคนก็เชียร์ว่า Bitcoin และ Crypto จะสามารถล้มดอลลาร์ได้

(**ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ CBDC ที่จะเข้ามามีบทบาทอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ Crypto ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นเผชิญข่าวกระหน่ำว่าจะกลายเป็นแบงก์กงเต็ก แต่หากดูตามสภาพจริงตอนนี้ดอลลาร์ยังครองการค้าโลกอยู่ถึง 88%**)

⚠️ กลับมาทางด้านสหรัฐฯ...ท่ามกลางฉากที่ดุเดือดในแง่ของ AI และการเงินโลกตอนนี้ พบว่ามหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมีการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นถึง 20x เท่าเมื่อเทียบจากปี 2019 ! ซึ่งเป็นการแสดงให้เห้นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเอาจริงในการยกระดับเทคโนโลยีของตัวเองไปอีกขั้น จากที่เป็นผู้นำโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะรวมไปถึง AI, คอมพิวเตอร์, ควอนตัม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ! และยังเป็นการปรับเปลี่ยน Supply Chain เพื่อลดการพึ่งพาจีนลงอีกด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 ขั้วอำนาจโลก

ทางกลุ่มประเทศ G7 เองก็พึ่งออกมาให้คำมั่นว่าจะเร่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยจะยกระดับความจริงจังในการลด ละ เลิก การใช้พลังงานเก่าและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาทดแทน

ตัวเลขคร่าว ๆ ที่เปิดเผยออกมาคือจะเพิ่มการผลิตพลังงานจาก Solar Cells ขึ้นอย่างน้อย 3x เท่าและเพิ่มการผลิตพลังงานจากลมอย่างน้อย 7x เท่าภายในปี 2030 (เทียบจากระดับในปี 2021) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการปล่อยคาร์บอนให้ใกล้เคียงกับ 0 ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบ ถ่านหิน และพลังงานเก่าอื่น ๆ จะลดลงเร็วขึ้นเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งเมื่อเรานำมารวมกับภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(**เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ก่อนยุคอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศชั้นนำทั่วโลกกำลังหาทางป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส**)

📌 แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมหากาพย์เช่นนี้จะต้องมีผลกระทบในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะไปสู่ยุคใหม่ แปลว่าตลาดการเงินโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจและภาคเศรษฐกิจ Real Sectors จะต้องเผชิญความผันผวนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน’ โอกาสใหม่เศรษฐกิจ ‘จีน-แอฟริกา’ ช่วยกลุ่มธุรกิจเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ลดต้นทุนรอบด้าน

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า หนังสือพิมพ์ข้อมูลเศรษฐกิจรายวัน (Economic Information Daily) สังกัดสำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อไม่นานนี้ว่า ‘อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน’ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วระหว่างจีนและแอฟริกา โดยทำให้มีสินค้าจากแอฟริกาเข้าสู่ตลาดจีนเป็นจำนวนมาก

ผู้ขายกาแฟจากเอธิโอเปีย ซอสพริกจากรวันดา ชาดำจากเคนยา ช็อกโกแลตจากกานา เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากแทนซาเนีย ฯลฯ เข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

มีสินค้ามากกว่า 200 ชนิดจากกว่า 20 ประเทศในทวีปแอฟริกา ที่ได้รับการแนะนำสู่สายตาผู้บริโภคชาวจีนผ่านการสตรีมมิง หรือ ไลฟ์สด บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ ที่จัดขึ้นโดยจีนตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.- 12 พ.ค. ปี 2022 เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าจากแอฟริกา โดยข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ชี้ว่ายอดขายชาดำของเคนยาและยอดขายกาแฟเอธิโอเปียในช่วงเทศกาลดังกล่าว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 409 และร้อยละ 143.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยอดในปี 2021

ขณะที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน เช่น คิลิมอลล์ (Kilimall) อาลีบาบา (Alibaba) คิคู (Kikuu) และ ชีอิน (Shein) ก็พยายามที่จะเจาะเข้าสู่ตลาดแอฟริกาเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น คิลิมอลล์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ก่อตั้งในเคนยาเมื่อปี 2014 และมีห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในจีน ได้เปิดบริการธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ บริการชำระเงินผ่านมือถือ และบริการขนส่งข้ามพรมแดน แก่ผู้ใช้งานในแอฟริกากว่า 10 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเคนยา ยูกันดา และไนจีเรีย เกิดการสร้างงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่งให้กับคนในท้องถิ่น

นักวิทย์จีน’ ยืนยัน รอยบุ๋มที่พบในร้านอาหารทางตอนใต้ของจีน อาจเป็น ‘รอยเท้า’ ของ ‘ไดโนเสาร์ซอโรพอด’ อายุนับ 100 ล้านปี

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า ฟอสซิลรอยเท้าไดโนเสาร์ที่พบในร้านอาหารแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เป็นของไดโนเสาร์คอยาวที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 100 ล้านปีก่อน

การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วโดยลูกค้าร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นไวรัลทั่วโลกเนื่องจากเป็นการพบรอยเท้าในสถานที่ที่แปลกไปจากเดิม ปัจจุบัน ทีมนักบรรพชีวินวิทยานานาชาติได้เผยแพร่การค้นพบนี้ในวารสารครีเทเชียส รีเสิร์ช (Cretaceous Research) ฉบับล่าสุด หลังจากพวกเขาใช้เครื่องสแกนสามมิติเพื่อวิเคราะห์ ‘รอยเท้า’ ที่พบในร้านอาหารเหล่านี้

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า กลุ่มรอยเท้า ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 50-60 เซนติเมตรเหล่านี้ อาจเป็นของไดโนเสาร์ซอโรพอดที่มีความยาว 8-10 เมตร จำนวนหนึ่ง ซอโรพอดมีหัวเล็ก คอยาว หางยาว และถูกกล่าวขานว่า ‘เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยอาศัยอยู่บนบก’ เท่าที่มีข้อมูลจวบจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้มีย่างก้าวที่สั้นมาก พวกมันเดินทางได้ไกล 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

วันที่ 10 ก.ค. 2022 โอวหงเทา ลูกค้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเล่อซานของมณฑลเสฉวน สังเกตเห็นรอยยุบที่แปลกตาบนพื้นของร้าน ด้วยความที่เขาสนใจศึกษาความรู้ด้านบรรพชีวินวิทยา จึงสันนิษฐานว่า รอยดังกล่าวน่าจะเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ ก่อนจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง รองศาสตราจารย์สิงลี่ต๋า จากมหาวิทยาลัยธรณีศาสตร์แห่งประเทศจีน (China University of Geosciences) ให้มาตรวจสอบ

6 วันถัดมา รองศาสตราจารย์สิงได้นำทีมนักวิจัยเข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากองค์พระใหญ่เล่อซาน พระพุทธรูปหินสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจีน ไปเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น

'บ.ยานยนต์จีน' เตรียมตั้งฐานการผลิตใน 'ประเทศไทย' ทุ่มเงินลงทุนกว่า 885 ลบ. สะท้อนความเชื่อมั่น ศก. ไทย

(16 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 66 ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัล หนังสือพิมพ์หลักทรัพย์ในสังกัดสำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า บริษัทฉางสู ทงรุ่น ออโต แอกเซสซอรี จำกัด (Changshu Tongrun Auto Accessory Co., Ltd.) มีแผนสร้างฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยวงเงินลงทุนไม่เกิน 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 885 ล้านบาท)
         
แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า ฐานการผลิตใหม่นี้จะผลิตแม่แรงยกรถยนต์ แม่แรงไฮดรอลิก ตู้เครื่องมือช่าง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และโดยหลักแล้วจะส่งขายในตลาดสหรัฐ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
         
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการฐานการผลิตในไทยแห่งนี้จะเริ่มก่อสร้างในเดือนส.ค. 66 และมีระยะเวลาก่อสร้างตามแผนงานนาน 12 เดือน โดยจะก่อสร้างทั้งโรงงานใหม่ คลังสินค้า อาคารสำนักงานเพื่อการวิจัยและพัฒนาและเพื่อการซื้ออุปกรณ์

บริษัทฉางสู ทงรุ่น ออโต แอกเซสซอรี กล่าวว่า การลงทุนในฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศไทยนั้นจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และเอื้อต่อการบูรณาการทรัพยากรของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงโดยรวม


ที่มา : https://news.ch7.com/detail/637421?fbclid=IwAR1kyrJIwxvahDAPL3Ky5uRGezEGlb7MHeNqsXqnSqV9UwzMTjmEWJg1AO8

'สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา' ยุทธศาสตร์เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ สร้างมูลค่าการค้ามหาศาลต่อไทย ใต้รัฐบาลที่ถูกตราหน้าว่า 'เผด็จการ'

ไม่รู้ว่าคนไทยจะทราบกันหรือไม่ว่า 'สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา' แห่งที่ 2 ถือเป็นโครงการที่สร้างมูลค่าการระหว่างประเทศระหว่างไทยกับเมียนมา ผ่านด่านชายแดนถาวรแม่สอดให้กับประเทศไทยในปีที่ผ่านมาสูงถึง 105,426 ล้านบาทนั้น ซึ่งถูกผลักดันมาจากรัฐบาลที่ตอนนั้นใครๆ เรียกว่า 'เผด็จการ' 

เอย่าจำได้ว่า ตอนนั้นรัฐบาลเผด็จการมีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ โดยหวังให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมทั้งทางบก, น้ำ และอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียในอนาคต ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้มีการเชื่อมโยงด้านระบบโลจิสติกส์ทั้งระบบเป็นแบบ 'ไร้รอยต่อ' หรือที่เรียกว่า Seamless Connectivity

แต่ก่อนอื่น เอย่าขอเล่าถึงปฐมบทของเรื่องราวนี้ก่อน โดยขอย้อนกลับไปในสมัยยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งในช่วงเวลานั้น 'นายอลงกรณ์ พลบุตร' ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ และมีการลงพื้นที่สำรวจและประชุมร่วมกันกับ หอการค้าจังหวัดตาก และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 2 อยู่หลายรอบ เพื่อการริเริ่มโครงการสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เป็นผลสำเร็จ อันเนื่องมาจากมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา ณ ชายแดนแม่สอด -เมียวดี เจริญเติบโตขึ้นทุกๆ ปี อาจส่งผลทำให้เกิดความหนาแน่นจากรถบรรทุกที่ข้ามสะพานแห่งที่ 1 ได้ จนทำให้การจอดรอของรถบรรทุกต่างๆเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรในตัวเมืองแม่สอด ที่ทำให้เกิดปัญหาการจราจรในตัวเมืองแม่สอด

อย่างไรก็ตาม โครงการการก่อสร้างสะพานฯ และ ถนนเลี่ยงเมือง ก็ได้หยุดชะงักลง พร้อมกับการยุบสภาของ 'นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ในตอนนั้น กลับกันตลอด 3 ปีที่ได้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็น 'พรรคเพื่อไทย' ก็ไม่ได้มีการพัฒนาโครงการนี้ต่อ ด้วยสาเหตุทางการเมือง เพราะพื้นที่จังหวัดตากไม่ใช่พื้นที่คะแนนเสียงหรือฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งมาถึงวันเกิดรัฐประหารขึ้น โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ทว่า หลังจาก 2 เดือนของการรัฐประหาร รัฐบาล คสช.ในขณะนั้น ได้มีการส่งทีมเศรษฐกิจของ คสช. เข้ามาลงพื้นที่สำรวจและพูดคุย จึงได้เริ่มมีการปัดฝุ่นโครงการสะพานมิตรภาพ ไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้จากการร่วมผลักดันของหอการค้าจังหวัดตากและจังหวัดตาก รวมถึงการใช้ ม.44 ในเวลานั้น ทำให้รัฐบาล คสช. ได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อเริ่มโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 นี้ขึ้นมาใหมา โดยได้เริ่มก่อสร้างในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 และแล้วเสร็จเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562

‘ไทย’ รุกคว้าโอกาสธุรกิจ หลัง ‘รถไฟจีน-ลาว’ เปิดให้บริการ หวังเพิ่มทางลัดส่งออกสินค้าไทย จากหนองคายสู่ตลาดจีน

(15 เม.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, หนองคาย ประเทศไทย รายงานว่า นายธนภัทร ยุทธเกษมสันต์ ผู้ประกอบการไทยวัย 43 ปี ซึ่งทำธุรกิจเอ็สเอ็มอี (SMEs) ด้านไอทีในจังหวัดหนองคาย บอกเล่าความรู้สึกของการเดินทางด้วยทางรถไฟจีน-ลาวครั้งแรก ซึ่งน่าประทับใจ สะดวกสบาย และสะอาดมาก ยกเว้นเพียงการซื้อบัตรโดยสารที่ค่อนข้างยาก เพราะมีคนอยากซื้อเยอะมากเช่นกัน

ทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2021 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟสายนี้ในช่วงวันหยุด เช่นเดียวกับนายธนภัทรที่ขึ้นรถไฟไปยังบ่อเต็น จุดเชื่อมต่อข้ามไปยังมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน สวนกระแสชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่เลือกนั่งรถไฟไปพักผ่อนหย่อนใจในแขวงหลวงพระบาง

นายธนภัทร ตระหนักถึงโอกาสสำคัญที่เพิ่มขึ้นหลังจากทางรถไฟจีน-ลาว เปิดบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดน เมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) เพราะกลายเป็นช่องทางลัดสู่ตลาดจีนสำหรับผู้ประกอบการในจังหวัดหนองคาย ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพมหานคร

นายธนภัทร ชี้ว่า คนหนองคายไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปจีนอีกแล้ว ซึ่งช่วยลดระยะทางระหว่างชุมชนธุรกิจและตลาดจีน โดยเขากำลังจับตามองพื้นที่บางส่วนของอวิ๋นหนาน ที่อาจเป็นตลาดส่งออกชั้นดีสำหรับสินค้าไทยจากหนองคาย เช่น แคว้นปกครองตนเองสิบสองปันนา กลุ่มชาติพันธุ์ไท ซึ่งมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

เมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) นายธนภัทร เผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า เขาหวังขยายตลาดสำหรับสินค้าไทย เพราะตลาดจีนมีขนาดใหญ่มาก และหวังว่าทางรถไฟสายนี้จะเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะทำให้สามารถส่งออกสินค้าไปยังภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หรือแม้แต่กรุงปักกิ่ง

นอกจากนี้ การบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนของทางรถไฟจีน-ลาว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนได้มากขึ้น นายธนภัทรจึงหวังว่า บริการนี้จะช่วยเปิดโอกาสสำหรับการร่วมงานกับธุรกิจจีนด้วย โดยเขาหวังว่าผู้ประกอบการจากจีนจะมาที่หนองคาย เพราะตัวเลขผู้ประกอบการที่มีมากขึ้นหมายถึงโอกาสที่เพิ่มมากตามไปด้วย

‘ชาวอียิปต์’ เดือด!! รัฐบาลแนะกิน ‘ตีนไก่-กีบเท้าวัว’ บรรเทาจน ขัดวัฒนธรรมผู้คนที่มองเป็นเศษอาหารเหลือทิ้งให้หมาแมวกิน

ไอเดียบรรเจิดหรือไม่...ไม่รู้? แต่ไอเดียแก้ปัญหาของรัฐบาลอียิปต์ ด้วยการออกคำแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค ‘ตีนไก่-กีบเท้าวัว’ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ดูจะสร้างความไม่พอใจต่อประชาชนในประเทศอย่างมากเลยทีเดียว

ปัญหาความยากจนและภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนในหลายประเทศต้องแบกรับ หนึ่งในนั้น ก็รวมถึงในประเทศอียิปต์ ที่เงินเฟ้อทะยานขึ้นแตะ 30% จนทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท พุ่งขึ้น 2-3 เท่า

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์อียิปต์ร่วงลงกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศลดค่าเงินหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการนำเข้าสินค้า

ราคาอาหารคนและอาหารสัตว์ ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวไม่สามารถซื้อ แม้แต่วัตถุดิบง่าย ๆ อย่างน้ำมันพืช หรือชีสได้

ปีที่แล้ว วีแดด (Wedad) คุณแม่วัยเกษียณชาวอียิปต์ ใช้ชีวิตอย่างไม่ขัดสนแบบคนชนชั้นกลาง อาศัยเงินบำนาญประมาณ 5,500 บาท ที่ได้รับทุกเดือน แต่ปัจจุบัน เธอเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับทุก ๆ คน คือ ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน

วีแดด บอกว่า เธอต้องลดการกินเนื้อ เหลือแค่เดือนละครั้ง บางเดือนก็ไม่กินเลย แต่ก็ยังซื้อไก่กินอาทิตย์ละครั้ง โดยราคาไก่ทั้งตัว ปัจจุบันอยู่ที่ กก.ละเกือบ 78 บาท จากเดิมอยู่ที่ กก.ละ 33 บาทในปี 2021 ส่วนราคาไข่ไก่ทุกวันนี้ พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ฟองละเกือบ 6 บาทแล้ว

***จากสภาวะความยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้รัฐบาลอียิปต์ผุดไอเดียออกคำแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค ‘ตีนไก่’ และ ‘กีบเท้าวัว’ ที่มีราคาถูก ในช่วงที่ภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 

พลันที่รัฐบาลบอกแบบนี้ ก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะแม้ ‘ตีนไก่’ จะเป็นวัตถุดิบที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ หลายประเทศนิยมรับประทานโดยนำมาต้มหรือตุ๋นในน้ำซุป แต่ในบางวัฒนธรรม เช่น อียิปต์ มองว่าตีนไก่ไม่ใช่วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารได้ เป็นแค่เศษอาหารเหลือทิ้ง ที่มักให้สุนัขหรือแมวกินเท่านั้น คนจำนวนมากจึงรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำนี้ เพราะมองว่ารัฐบาลควรพยายามหาทางแก้วิกฤตนี้ให้ได้ แทนที่จะขอให้ประชาชนหันไปกินอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ของความยากจน

สำหรับอียิปต์เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาหรับ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจเหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรัฐบาลชี้ว่า ประชากรในประเทศราว 30% มีรายได้อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ขณะที่ธนาคารโลกประเมินในปี 2019 ว่า ชาวอียิปต์ประมาณ 60% มีฐานะยากจนหรืออยู่ในกลุ่มเปราะบาง

ด้านประธานาธิบดีอับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจของอียิปต์เริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมอาหรับสปริงในปี 2011 ประกอบกับจำนวนประชากรในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแตะ 109 ล้านคน ยิ่งซ้ำเติมปัญหาด้านทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังมีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งวิกฤตโรคระบาด ซึ่งทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกจากอียิปต์ในปี 2020 นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตสงครามในยูเครนด้วย

แต่ละปี จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากรัสเซียและยูเครนเดินทางมาที่อียิปต์ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปมากนับตั้งแต่เกิดสงคราม จนทำให้รายได้ในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 5% ของ GDP ติดลบอย่างหนัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top