Wednesday, 1 May 2024
WORLD

ศึกชิงประธานาธิบดีบราซิล สองสิงห์ชิงตั่งนั่ง อาจซ้ำรอยประธานาธิบดีผมเป๋แห่งสหรัฐฯ

อย่าเพิ่งมองบน คิดว่าแอดมินเอาข่าวเก่ามาเสนอ เรื่องนี้ยังไม่จบนะ ช่วยจำชื่อแบบบราซิลหน่อย ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจอมเบียว ชอบทำเก่ง ไม่ใส่หน้ากากอนามัยช่วงโควิดระบาด จนติดโควิดเองนี่ชื่อ 'ฌาอีร์ โบลโซนารู'

ส่วนคนที่เข้ามาชกชิงแชมป์เข็มขัดประธานาธิบดีคนใหม่ที่คะแนนสูสีนี้ชื่อ 'ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา' จำง่าย ๆ ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันมี “รู” เดียว ส่วนผู้ท้าชิงนั้นมีดีกรีเป็นอดีตประธานาธิบดีมีสอง “ลู” 

ผลการเลือกตั้งคือ พี่สองลู อดีตประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวาได้คะแนน 48.4% แต่ยังไม่ถึงครึ่ง จนสามารถคว่ำพี่รูเดียว ฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  

จะว่าไปไม่รู้ว่าคนไหนดีกว่ากัน เพราะอดีตประธานาธิบดีสองลู ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ถูกจำคุกในข้อหาคอร์รัปชัน

ส่วนพี่รูเดียวก็ใช่ย่อย ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือโบลโซนารูถูกกล่าวหาว่าทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและจัดการวิกฤตโควิด-19 ผิดพลาดขั้นร้ายแรง จนคนบราซิลตายเป็นเบือถึง 700,000 คน  เพราะ ขัดขวางโครงการวัคซีนโควิด-19 

รัฐประหารเงียบในพรรครัฐบาลอังกฤษ เมื่อ 'ลิซ ทรัสส์' กำลังจะโดนยึดอำนาจ

ดูเหมือนว่า รัฐบาลอังกฤษจะยังอยู่ในสภาพง่อนแง่น หาหลักยึดยังไม่ได้จริง ๆ เมื่อมีกระแสข่าวลือที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ภายในพรรคอนุรักษ์ แกนหลักของรัฐบาลอังกฤษว่า ลูกพรรคอนุรักษ์เริ่มจับกลุ่มกดดัน ลิซ ทรัสส์ หัวหน้าพรรคหญิงคนใหม่ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในแผ่นดินพระเจ้าชาลส์ที่ 3 จนถึงขั้นวางแผนยึดอำนาจของเธอ หากจำเป็น!!

สาเหตุเกิดจากความไม่ลงรอยกันในนโยบายของลิซ ทรัสส์ ที่เธอเคยสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งภายในพรรค หนึ่งในนั้นคือนโยบาย "45p rate" หรือการลดอัตราภาษี 45% ในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งนโยบายนี้ของเธอกลับถูกต่อต้านจากทีมรัฐบาลของเธอเองจนเสียงแตก ที่อาจขั้นจะโหวตคว่ำในสภาเลยทีเดียว 

ข่าวการแตกแยกของรัฐบาลลิซ ทรัสส์ ที่ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานอะไรเลย ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก หลังงานประชุมพรรคอนุรักษ์ที่เมืองเบอร์มิงแฮม เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ข่าววงในบอกว่าเสียงแตกหนักมาก จน ซูเอลลา เบรฟเวอแมน รัฐมนตรีมหาดไทยหญิง พันธมิตรคนสนิทของลิซ ทรัสส์ ถึงกับออกมาบ่นว่า เธอผิดหวังมาก ๆ ที่ทีมรัฐบาลบางคนมากลับลำกับนโยบายที่คุยกันไว้แล้ว และยังบอกด้วยว่า มีกลุ่ม สส.ของพรรคอนุรักษ์หลายคน วางแผนจะโค่น ลิซ ทรัสส์ ให้ได้

และยังบอกถึงลูกพรรคอนุรักษ์ ที่คิดจะก่อหวอดเพื่อล้มนโยบาย 45p rate นั้นไม่ต่างจากการก่อรัฐประหารเงียบภายในรัฐบาล ซึ่งนโยบายเจ้าปัญหาที่อาจกลายเป็นประเด็นรัฐนาวาแตก คือ 45p Rate หรืองดภาษี 45% สำหรับบุคคล หรือองค์กรที่มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี 

โดยปกติ อังกฤษจะมีอัตราภาษีระดับขั้นบันได โดยคำนวนจากรายได้ต่อปี ในอัตราเรทดังนี้...

- รายได้ต่ำกว่า 12,570 ปอนด์/ปี ไม่ต้องเสียภาษี
- รายได้ตั้งแต่ 12,571 - 50,270 ปอนด์ต่อปี จะเริ่มเก็บภาษีที่ 20%
- รายได้ตั้งแต่ 50,271 - 15,000 ปอนด์ต่อปี เก็บภาษีที่ 40%

แต่ถ้ามีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี เมื่อไหร่ จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 45% ซึ่งเป็นเรทสูงสุด

สื่ออังกฤษได้ไปหาข้อมูลพบว่ามีชาวอังกฤษราวๆ 5 แสนคนทั่วประเทศที่มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี คิดเป็น 1% ของประชากรอังกฤษทั้งประเทศ

และหากรัฐบาลอังกฤษตัดสินใจไม่เก็บภาษีเพิ่ม 45% จากรายได้ที่เกินมาของคนกลุ่มนี้ เท่ากับรัฐจะเสียรายได้จากภาษีถึง 6 พันล้านปอนด์ต่อปี และเมื่อรายได้หายไป หมายถึงต้องการลดรายจ่ายของภาครัฐลงด้วย ซึ่งก็คือแผนค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการสังคมบางส่วนอาจต้องถูกตัดไป 

แต่ทั้งนี้ ลิซ ทรัสส์ มองว่า นโยบายการลดภาษี 45p Rate จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของกลุ่มคนที่มีศักยภาพในสังคม ที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ และการแก้ปัญหาด้วยการแจก จ่าย ในรูปแบบสวัสดิการก็ไม่ใช่คำตอบเสมอไป ซ้ำยังเป็นเหมือนกับดักประชานิยม ที่ทำให้ผู้คนคาดหวังแต่สวัสดิการช่วยเหลือจากรัฐ

ซึ่งลิซ ทรัสส์ เคยบอกว่านโยบายนี้ อาจเป็นเหมือนยาขม และเป็นหนทางที่ยาก แต่อังกฤษต้องลองหาทางแก้ปัญหาที่ต่างไปจากเดิม ถ้าต้องการที่จะ "change" เธอเชื่อว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน 

แต่ต่อมา นโยบายนี้ของเธอ ถูกโจมตีอย่างหนักจากพรรคฝ่ายค้าน ว่าเป็นการอุ้มคนรวยเพียงแค่ 1% ของประเทศ แต่กลับรีดเลือดกับปูจากประชาชนส่วนใหญ่อีก 99% ที่ยังต้องจ่ายภาษีในอัตราเกือบเท่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มคนเกือบจะรวย ในระดับฐานรายได้ 50,271 - 150,000 ปอนด์ คือโดนเต็มๆ 40% โดยไม่มีการลดหย่อน

หนี้สหรัฐฯ พุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนทางศก.

หนักหนา!! หนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อัตราดอกเบี้ยระดับสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่ง

ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (4ต.ค.) ที่ผ่านมา พบว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ไต่ระดับอยู่ใกล้ ๆ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์

รายงานข่าวของซีเอ็นเอ็น ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งกู้เงินในช่วงการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 เพื่อพยุงเศรษฐกิจประเทศ ในขณะที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ตลาดแรงงานและห่วงโซ่อุปทาน หนี้ค้างชำระของสหรัฐฯพุ่งเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี 2020 และพุ่งขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเพียง 8 เดือน

การกู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริหารประเทศ และในระยะแรกๆ ของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายระลอกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

คณะกรรมการฝ่ายบริหารงบประมาณแผ่นดินสหรัฐฯ (CRFB) ประมาณการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า นโยบายต่างของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจทำให้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในระหว่างปี 2021 - 2031

“การกู้ยืมเงินมากจนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อแบบต่อเนื่อง จะผลักให้หนี้สาธารณะพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อย่างเร็วที่สุดในปี 2030 และทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเป็นสามเท่าตัวในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรืออาจเร็วกว่านั้น หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วขึ้น หรือมากว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้” CRFB ระบุ

โลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย หนักกว่า '2008 และ โควิด19' หวั่น!! ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียกระทบรุนแรง

สำนักข่าว CNBC ได้เผยแพร่รายงาน Trade and Development Report 2022 ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า นโยบายการเงินและการคลังในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะผลักดันให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยและหยุดชะงัก

ทั้งนี้ UN เตือนว่า การชะลอตัวทั่วโลกอาจสร้างความเสียหายที่เลวร้ายยิ่งกว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 และวิกฤตของโรคโควิด-19 ในปี 2020 

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ทุกภูมิภาคจะได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง แต่ประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยหลายประเทศในกลุ่มนี้ใกล้จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะในเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกที่มีปัญหาหนี้มีเพิ่มขึ้น เช่น ศรีลังกา, อัฟกานิสถาน, ตุรกี และปากีสถาน

ทั้งนี้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกกำลังเดินหน้าเต็มที่สู่ภาวะถดถอย หากธนาคารกลางยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่คำนึงถึงการใช้เครื่องมืออื่น ๆ และไม่ได้พิจารณาเศรษฐกิจในฝั่งอุปทาน พร้อมกับเตือนว่า ไม่มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อีลอน มัสก์ เตรียมซื้อ Twitter ครั้งใหม่ในราคาเดิม พร้อมขอให้ยุติการดำเนินคดีทางกฎหมาย

'อีลอน มัสก์' ตัดสินใจเดินหน้าซื้อ Twitter อีกครั้ง หลังเคยประกาศยกเลิกแผนการซื้อกิจการก่อนหน้านี้ โดยอ้างว่าบริษัทไม่เปิดเผยจำนวนที่แท้จริงของผู้ใช้งานปลอมและสแปม จนเกิดการฟ้องร้อง

เมื่อวันที่ (4 ต.ค. 2565) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า อีลอน มัสก์ ส่งจดหมายถึงบริษัท Twitter โดยระบุว่า มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์เทสลา บริษัท สเปซเอ็กซ์ และอีกหลายกิจการคนนี้ ตัดสินใจจะซื้อกิจการทวิตเตอร์อีกครั้งตามข้อตกลงเดิม ในราคาที่เคยเสนอไปครั้งแรก

ในจดหมายฉบับนี้ ทนายความของมัสก์ ระบุว่า มัสก์ตั้งใจที่จะดำเนินธุรกรรมนี้ให้เสร็จสิ้น และขอให้ยุติการดำเนินคดีทางกฎหมาย หลังจากก่อนหน้านี้มัสก์ระบุว่าจะยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้อง

ทั้งนี้โฆษกบริษัท Twitter เปิดเผยว่า มัสก์ตั้งใจที่จะควบรวมกิจการที่หุ้นละ 54.20 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา

เกาหลีเหนือ ห้าวจัด!! ยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นอีกลูก ทางการญี่ปุ่นแจ้งเตือนปชช. หลบเข้าที่ปลอดภัย

สัญญาณอันตราย หลังเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธข้ามดินแดนญี่ปุ่นบริเวณเกาะฮอกไกโดและจังหวัดอาโอโมริ เมื่อเวลา 05.46 น. ตามเวลาประเทศไทย ทางการญี่ปุ่นเตือนประชาชนในพื้นที่หลบภัยทันที

มีรายงานข่าวว่า เมื่อเวลา 07.46 น. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น (05.46 น. ตามเวลาประเทศไทย) เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นตอนเหนือ บริเวณเกาะฮอกไกโดและจังหวัดอาโอโมริ ส่งผลให้รัฐบาลต้องประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้หลบอยู่ในที่ปลอดภัย

แหล่งข่าวในกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นกล่าวว่า ขีปนาวุธที่ยิงมาในวันนี้ได้บินจากทะเลตะวันออกของเกาหลี ข้ามเหนือดินแดนญี่ปุ่น มุ่งไปทางตะวันออกเหนือทะเลญี่ปุ่น แล้วตกลงในทะเลนอกน่านน้ำญี่ปุ่นแล้ว และยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ขีปนาวุธที่ถูกยิงมาเป็นประเภทใด บินได้สูงและไกลแค่ไหน เป็นครั้งแรกที่ในรอบ 5 ปีที่เกาหลีเหนือส่งขีปนาวุธข้ามแผ่นดินของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ปี 2017

เสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) ยืนยันว่าเกาหลีเหนืยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นจริง โดยกล่าวว่า ขีปนาวุธดังกล่าวถูกยิงมาจากเมืองมูเปียงรีในจังหวัดชากังของเกาหลีเหนือเมื่อเวลาประมาณ 07:23 น. ตามเวลาท้องถิ่น แล้วเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเหนือประเทศญี่ปุ่น

หัวหน้าเลขาธิการรัฐสภาญี่ปุ่น มัตสึโนะ ฮิโรคาซึ กล่าวว่า เกาหลีเหนือดูเหมือนจะยิงขีปนาวุธไปในทิศทางของฮอกไกโดซึ่งเป็นเกาะหลักที่อยู่เหนือสุดของประเทศ

ขีปนาวุธดังกล่าวได้บินผ่านจังหวัดอาโอโมริ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และร่อนลงนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่น

มัตสึโนะ กล่าวเสริมว่า เขาถือว่าการยิงขีปนาวุธครั้งนี้เป็น “ภัยคุกคามต่อสาธารณชน” และกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไปและทำงานอย่างใกล้ชิดกับประชาคมระหว่างประเทศ

ในช่วงเวลา 10 วันที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงทดสอบขีปนาวุธถึง 5 ครั้ง ขณะที่ในปี 2022 นี้ เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธไปแล้วถึง 23 ครั้ง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความคุกรุ่นในคาบสมุทรเกาหลีที่เพิ่มขึ้นจากการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซึ่งพันธมิตรยืนกรานว่าเป็นการซ้อมรบเพื่อการป้องกันดินแดน แต่เกาหลีเหนือออกมาประณามว่า เป็นการซ้อมรบสำหรับการรุกรานเกาหลีเหนือ

ด้านนักวิเคราะห์ประเมินว่า การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้ อาจเป็นแค่จุดตั้งต้นในการทดสอบขีปนาวุธที่ใหญ่กว่านี้ และอาจเป็นการประกาศการยั่วยุที่รุนแรงขึ้นของเกาหลีเหนือ

ลีฟ-เอริก อีสลีย์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยอีฮวาในกรุงโซล กล่าวว่า “จนถึงตอนนี้ การทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ของเกาหลีเหนือได้รับผลตอบแทนที่ลดลงในแง่ของความก้าวหน้าทางเทคนิค คุณค่าทางการเมืองภายในประเทศ และการส่งสัญญาณระหว่างประเทศ การทูตยังไม่ตาย แต่การเจรจาก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน”

เขาเสริมว่า “เกาหลีเหนือยังอยู่ท่ามกลางวงจรของการยั่วยุและการทดสอบขีปนาวุธ และน่าจะรอผลการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วงกลางเดือน ต.ค. เพื่อเตรียมดำเนินการทดสอบที่มีนัยสำคัญทางการทหารมากขึ้น”

Tim Cook ฟาด Mark Zuckerberg อย่ามโนว่าทุกคนจะอินกับโลกในจินตนาการ

กลายเป็นกระแสเขม่น จุดชนวนความขัดแย้งเป็นระเบิดขนาดย่อม ๆ ระหว่างผู้บริหาร Apple ที่ออกมาเผยมุมมองที่มีต่อธุรกิจของ meta ภายใต้ความพยายามผลักดันของ Mark Zuckerberg ที่จะนำทุกคนเข้าสู่โลกของ metaverse ซึ่ง Tim Cook CEO ของ Apple ถึงกับออกมาโต้แย้งแนวคิดดังกล่าวนั้นว่าใช่ว่าทุกคนจะอินกับโลกเสมือนที่อยู่ในจินตนาการซึ่งจับต้องไม่ได้

จากการเปิดเผยของ businessinsider สื่อเจาะลึกการลงทุนระดับโลก ได้เปิดเผยมุมมองของ Tim Cook CEO ของ Apple ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bright Media สื่อจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ว่าทำไม Apple ถึงมีความลังเลใจในการเข้าร่วม metaverse ซึ่งเป็นอีกหนึ่งด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเป็นความตั้งใจอย่างมากในการผลักดันของ meta

“ผมคิดเสมอว่ามันสำคัญที่ผู้คนจะเข้าใจว่าบางสิ่งคืออะไร ขณะเดียวกันผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าคนทั่วไปสามารถบอกคุณได้ว่า metaverse คืออะไร” Cook กล่าวกับทาง Bright Media

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทาง Apple จะไม่ให้ความสำคัญใด ๆ กับทาง meta โดยดูจากสถิติย้อนหลังในการพยายามเข้าร่วมกับ meta โดยคำว่า 'metaverse' ที่ถูกกล่าวถึงโดยฝั่ง Apple นั้นมีเพียงครั้งเดียว ในการโทรหารายได้ของ Apple จนถึงปีนี้ เมื่อเทียบกับ 36 การกล่าวถึงการแสวงหารายได้ของ Meta แม้จะมีการใช้คำศัพท์ที่แพร่หลายทั่วทั้งอุตสาหกรรม ผู้บริหารก็ถูกแบ่งแยกว่า metaverse แสดงถึงผลิตภัณฑ์จริงหรือไม่ เช่น Virtual Reality หรือเป็นเพียงแนวคิดสำหรับโลกเสมือนจริงที่อาจไม่เคยมีอยู่จริง

ขณะที่ทางฝั่งของ Mark Zuckerberg ได้แถลงนโยบายเชิงรุกในการผลักดัน metaverse เพื่อการเข้าถึงและมีส่วนร่วมเชิงสาธารณะ โดยบอกพนักงานในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า Meta เรากำลังอยู่ในสงครามธุรกิจที่ต้องต่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Apple เพื่อสร้าง metaverse

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในช่วงไตรมาส 4/2564 หลังจากการเปลี่ยนชื่อและการประกาศของ Facebook โดยได้ทุ่มงบลงทุนไปกว่า 10 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง metaverse เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดในความเป็นจริงเข้าสู่โลกเสมือน เพื่อหวังกอบกู้รายได้จากธุรกิจโซเชียลมีเดีย และช่วงชิงส่วนแบ่งรายได้ในอุตสาหกรรมใหม่ หรือนัยยะหนึ่งเพื่อต้องการทวงความเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการและมูลค่าบริษัทสูงที่สุดในโลก หลังจากที่ Apple นั่งแท่นครองอันดับบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุดในโลก และการปรับโครงสร้างความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อุปกรณ์ไอทีในกลุ่มสินค้าของ Apple เช่น iPhone ที่เน้นย้ำความสำคัญของสิทธิส่วนบุคคลและข้อมูลส่วนตัว ซึ่งปิดกั้นการเก็บข้อมูลทางการตลาดที่จะเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการที่พึ่งพิงธุรกิจจากทางฝั่งของ Facebook และ Google ทำให้ Mark Zuckerberg เจ็บแค้นอย่างมากเนื่องจากนโยบายดังกล่าวของ Apple เพราะทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ ซึ่งกระทบรายได้โดยตรงต่อธุรกิจโฆษณาของ Facebook สูญเสียรายได้หลายพันล้านดอลล่าร์จากที่เคยได้ ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สื่อสารการตลาดโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย และท้ายที่สุดผู้ประกอบการเหล่านั้นต้องทยอยยกเลิกการซื้อสื่อโฆษณากับทาง Facebook ไป เพราะสูญเงินเปล่า โฆษณาไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ขณะที่การออกมาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโลกเสมือน metaverse ของ Mark Zuckerberg กลายเป็นการตอกย้ำรอยแผลที่ร้าวบาดลึกของทั้ง 2 ธุรกิจที่มีต่อกัน แม้ว่าทาง Apple จะเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่โดยเฉพาะกับ Augmented Reality ก็ตาม

'ผู้ว่า กกท.' ยก สนามหลักกัมพูชาจัดฟุตบอลโลกสบาย ยอมรับตอนนี้หลายประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาไปไกล

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะเดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อดูความพร้อมจัดการเเข่งขันซีเกมส์ 2023 โดยมี นายออน ซาราเดน ตัวแทนของ พระคุณเจ้าวาร์เหิง ดาวุธ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการสนามกีฬาแห่งชาติ 'มรดก เตโช' สนามหลักในการเเข่งขันครั้งนี้

“เราเห็นเเล้วมั่นใจว่าซีเกมส์ที่จะเกิดขึ้น สนามกีฬาได้มาตรฐานเเน่ สิ่งต่าง ๆ ที่กัมพูชาได้เเสดงให้เห็นคือความมุ่งมั่น เพื่อจะยกระดับให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำในอาเซียน ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน เราคงเดินหน้าพัฒนาในทุกมิติร่วม ๆ กัน วันนี้สนามกีฬาของกัมพูชาอาจจะล้ำหน้ากว่าไทยด้วยซ้ำ เราก็จะขอเรียนรู้จากกัมพูชา จากประสบการณ์การต่าง ๆ ส่วนในเรื่องของกีฬาที่ไทยก้าวหน้ากว่าเราก็ยินดีในการถ่ายทอดเเลกเปลี่ยน นี้คือความสัมพันธ์ที่สวยงามของ 2 ประเทศที่มีมายาวนาน”

“หลาย ๆ อย่างคือสิ่งที่เราจะเอาไปปรับปรุงสนามของเราได้ ต้องยอมรับว่าสนามของเราเคยยิ่งใหญ่ เราเคยเป็นที่ 1 ในอาเซียน แต่ตอนนี้หลายประเทศพัฒนาก้าวหน้าไปไกล ที่กัมพูชาผมคิดว่าเป็นสนามที่ทันสมัยเเละดีที่สุดเเห่งหนึ่งในอาเซียน สิ่งที่เขาเน้นคือระบบความปลอดภัย สามารถระบายคน 6 หมื่นคนใน 7 นาที เพราะฉะนั้นไม่ใช่เเค่ขนาดใหญ่ แต่เขานึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐานสากล สิ่งที่เป็นความประทับใจคือสนามเเห่งนี้สามารถผ่านมาตรฐานฟีฟ่า สามารถแข่งระดับบอลโลกได้ แม้ความจุจะยังไม่ถึงรองรับพิธีเปิดปิดฟุตบอลโลกได้ แต่สามารถจัดการเเข่งขันแมตช์อื่น ๆ ในฟุตบอลโลกได้เลย”

มหาวิทยาลัยญี่ปุ่น เตรียมอาหารฮาลาลให้นักศึกษามุสลิม สร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้คนเคารพวัฒนธรรมของกันและกัน

สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์ เผย มหาวิทยาลัยมิยาซากิ บริการอาหาร 5 มื้อ ที่เตรียมโดยกระบวนการฮาลาลทั้งหมด ให้แก่นักศึกษาทั้งที่เป็นมุสลิม และศาสนิกชนอื่น

โดยอาหารที่จัดบริการในคาเฟ่ทีเรียของมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับให้แก่นักศึกษาที่มาจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และประเทศมุสลิมอื่นๆ ในขณะที่นักศึกษาชาวญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป ก็กระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลาม ผ่านเมนูอาหารต่าง ๆ ที่บริการในห้องอาหาร

โยอิชิโร โยชินากะ ผู้จัดการโรงอาหารสำหรับนักศึกษา กล่าวว่า ไม่เฉพาะนักศึกษาจากประเทศมุสลิม แต่นักศึกษาชาวญี่ปุ่นที่อยากรู้อยากเห็น และก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศได้

“ในโรงอาหาร ฉันต้องการให้พวกเขาสนใจในวัฒนธรรมการทำอาหารของกันและกัน”

ในบรรดาอาหารฮาลาลจานพิเศษที่หมดเร็วมาก ได้แก่ เรนดังไก่, แกงกะหรี่ใส่กะทิเข้มข้น, ขนมถั่วอะซูกิ และขนมปัง 2 แบบ ที่ยังเหลือมักจะเป็นแกงไก่ ที่ทำมาเพิ่มรอบสอง

เมนูอาหารเหล่านี้ผ่านการรับรองฮาลาล จากฝ่ายพัฒนาอิสลามแห่งมาเลเซีย (Jakim) รวมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาหาร และเครื่องปรุง ตลอดจนวัสดุต่าง ๆ

งานวิจัย ชี้ ดื่มกาแฟทุกวันช่วยให้อายุยาวขึ้น ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

ดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยเรื่องสุขภาพ และทำให้อายุยาวขึ้นได้จริงหรือ? 

จากผลการวิจัยล่าสุดโดย ศาตราจารย์ ปีเตอร์ คิสเลอร์ แห่งสถาบัน Baker Heart and Diabetes Research Institute ในประเทศออสเตรเลีย ได้สำรวจข้อมูลเปรียบเทียบกันระหว่าง กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ และกลุ่มที่ไม่ดื่ม กับความสัมพันธ์ของจังหวะการเต้นของหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิต โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมโดย UK Biobank ของกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 40 - 69 ปี จำนวนเกือบ 5 แสนคน

ซึ่งพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวันมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม และนั่นก็มีผลกับช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นของกลุ่มคนที่ดื่มกาแฟ 

กาแฟที่ว่านี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นกาแฟคั่วบด กาแฟสด กาแฟสำเร็จรูป หรือกาแฟปลอดคาเฟอีน  เนื่องจากงานวิจัยชี้ว่า กาแฟทุกประเภทที่ว่านี้ ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน คือช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจได้ดี และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการหัวใจทำงานบกพร่อง หรือ หลอดเลือดหัวใจตีบได้ 

ดังนั้น คาเฟอีน จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อคุณประโยชน์ของการดื่มกาแฟ ศาตราจารย์ คิสเลอร์ เจ้าของผลงานวิจัยชี้ว่า นอกเหนือจากคาเฟอีน ที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเวลาดื่มกาแฟ แต่ในเมล็ดกาแฟนั้นมีสารประกอบที่สำคัญมากกว่า 100 ชนิด ที่มีผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้ดื่่ม

คนอังกฤษ ทนวิกฤตค่าครองชีพไม่ไหว นัดรวมตัวประท้วงกดดันลดค่าก๊าซ-ไฟฟ้า

ชาวอังกฤษหลายพันคน ทนไม่ไหว ลุกฮือเดินขบวนประท้วงในหลายสิบเมืองทั่วประเทศ แสดงความไม่พอใจในการปรับขึ้นค่าก๊าซและค่าไฟฟ้า 

ประชาชนหลายพันคนรวมตัวตามเมืองต่าง ๆ หลายสิบแห่งทั่วราชอาณาจักรเมื่อวันเสาร์ (1 ต.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความขุ่นแค้นต่อวิฤตค่าครองชีพ ในสิ่งที่แกนนำระบุว่าเป็นการประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกันครั้งใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรในรอบหลายปี พร้อมกับเปิดแคมเปญไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าจนกว่าจะลดราคาในระดับที่สามารถจ่ายได้

ไล่ตั้งแต่อีสบอร์นไปจนถึงเอดินบะระ นิวคาสเซิล ไปจนถึงนอริช มีผู้คนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงทั่วสหราชอาณาจักร สอดคล้องกับช่วงเวลาที่จะมีการปรับขึ้นค่าก๊าซและค่าไฟ ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนพุ่งสูงตามไปด้วย

ในกรุงลอนดอน ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่จัตุรัสคิงส์ครอส และชูป้ายที่มีข้อความว่า “ไม่จ่ายให้สหราชอาณาจักร” และ “พอแล้ว” รวมถึง “แช่แข็งราคา ไม่ใช่ประชาชน” เพื่อระบายความไม่พอใจต่อความทุกข์ยาก และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาค่าครองชีพแพง

ฟาร์ซานา คานอม ผู้ช่วยครูวัย 23 ปีรายหนึ่ง เผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เธอจำเป็นต้องเลือกระหว่างจ่ายค่าพลังงานที่พุ่งสูงกับการลงทุนในอาชีพการงานของเธอ "แต่ถ้าเราออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงของเราให้ได้ยินไปทั่ว เมื่อนั้นบางทีเราอาจสร้างความแตกต่าง"

บรรดาผู้ชุมนุมยังได้ร่วมลงนามในหนังสืออุทธรณ์ฉบับหนึ่ง เรียกร้องให้ยุบสภาจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อยุติความยุ่งเหยิงจากรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเบื้องต้นมีผู้ร่วมลงนามแล้วกว่า 300,000 คน

นอกจากนี้ แกนนำการประท้วงยังได้ทำการรณรงค์ให้ประชาชนไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าจนกว่าจะลดราคาในระดับที่สามารถจ่ายได้

มีรายงานว่าหลายครัวเรือนทั่วสหราชอาณาจักรพากันเผาบิลค่าสาธารณูปโภค ในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์สนับสนุนการรณรงค์ไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าของกลุ่ม Don’t Pay UK ในขณะที่ล่าสุดขบวนการเคลื่อนไหวรากหญ้าแห่งนี้ได้รับเสียงตอบรับจากครัวเรือนต่างๆ เกือบ 200,000 ครัวเรือน ที่เตรียมยกเลิกบริการหักบัญชีอัตโนมัติ หากว่าชาวสหราชอาณาจักร 1 ล้านคนสัญญาว่าจะไม่จ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค

ฮ่องกงจัดหนัก!! เตรียมแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ หวังดึงดูดนักท่องเที่ยว รับเปิดประเทศ

สื่อฮ่องกงรายงานว่า ฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ เพื่อดึงดูดนักเดินทางให้กลับมาท่องเที่ยวในฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมดในกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ ซิง เตา (Sing Tao) ของฮ่องกง รายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เผยนามที่ใกล้ชิดแวดวงการเมืองและภาคธุรกิจฮ่องกงว่า ฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ เพื่อดึงดูดนักเดินทางให้กลับมาท่องเที่ยวฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมดในกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศ 

ทั้งยังระบุว่า นายจอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง อาจจะประกาศแผนการให้ประชาชนกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติในเดือนตุลาคม ยกเว้นในกรณีที่การระบาดของโรคโควิดในฮ่องกงย่ำแย่ลงจากสถานการณ์ระบาดในปัจจุบัน

เกิดเหตุการณ์สุดสลดในประเทศอินโดนีเซีย ในเกมฟุตบอลลีกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา คู่ระหว่าง อาเรมา เอฟซี พบ เปอร์ซิบายา สุราบายา ที่คันจูรูฮัน สเตเดียม เมื่อแฟนบอลของทั้งสองทีมปะทะกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 127 ราย

เกมดังกล่าวจบลงที่ชัยชนะของทีมเยือนที่บุกไปเก็บชัยเหนือเจ้าถิ่น 3-2 แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฟนบอลทั้งสองทีมก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันอย่างดุเดือด มีการวิ่งลงมาในสนาม จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 127 ราย โดย 2 ใน 127 คนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย

ตามการรายงานจากสื่อในประเทศอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า การก่อเหตุดังกล่าวเริ่มต้นจากแฟนบอลเจ้าถิ่นที่ไม่พอใจผลการแข่งขันในเกมนี้ โดยเริ่มจากแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ด้านตะวันออกของสนามที่วิ่งไปหาเรื่องแฟนทีมเยือน ก่อนที่แฟนบอลจากฝั่งใต้จะเข้ามาร่วมด้วย ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะมีการยิงแก๊สน้ำตา แต่ยิ่งทำให้แฟนบอลตื่นตกใจหนักกว่าเดิม

จากเหตุชุลมุนดังกล่าวทำให้แฟนบอลต้องหนีเอาตัวรอด บางคนถึงขั้นถูกเหยียบ และถูกเบียดจนหายใจไม่ออก โดยมีการเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 34 ราย ส่วนที่เหลือไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 

อินโดนีเซีย ไฟเขียวใช้วัคซีน mRNA ของ ‘จีน’ นับเป็นชาติแรกในโลก ทั้งที่จีนเองยังไม่อนุมัติใช้ในปท.

วัคซีนโควิด-19 ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA ของจีนผ่านการอนุมัติใช้งานฉุกเฉินใน 'อินโดนีเซีย' เป็นประเทศแรกในโลก นำหน้าแม้กระทั่ง 'จีน' เองที่ยังไม่ได้ให้ไฟเขียวกับวัคซีนตัวนี้

องค์การอาหารและยาแห่งอินโดนีเซียได้ประกาศอนุมัติฉุกเฉินใช้งานวัคซีน AWCorna ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่บริษัท วอลแวกซ์ ไบโอเทคโนโลยี (Walvax Biotechnology) ของจีนใช้เวลาในการคิดค้นพัฒนานานกว่า 2 ปี และมุ่งจัดการกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม

อย่างไรก็ดี วอลแวกซ์ยังไม่เคยเปิดเผยประสิทธิภาพของวัคซีน AWCorna ในกลุ่มอาสาสมัครทดลองขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถลดโอกาสในการป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้มากน้อยเพียงใด

จีนมีวัคซีน mRNA หลายตัวที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ทว่าวัคซีนของวอลแวกซ์ถือเป็นชนิดแรกที่เข้าสู่กระบวนการทดลองทางคลินิกในคนกลุ่มใหญ่

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าวัคซีนดังกล่าวจะถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายแค่ไหนในอินโดนีเซีย ซึ่งประชากรราว 63% ฉีดวัคซีนครบแล้ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ที่เน้นรับมือสายพันธุ์ 'โอมิครอน' จะดีกว่า

ทางการเผยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ‘ควีนเอลิซาเบธ’ แจ้งเพียงพระชราภาพเท่านั้น - ไร้ข้อมูลเพิ่มเติม

เรื่อง : อนุดี เซียสกุล

เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ สิ้นพระชนม์ลงในวันที่ ๘ กันยายนที่ผ่านมาไม่มีการเปิดเผยสาเหตุของการสิ้นพระชนม์แต่อย่างใดแม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าสองวันก่อนที่จะสิ้นพระชนม์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถฯยังเสด็จออกให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้าเฝ้า

หรือแม้แต่ในวันที่จะสวรรคตแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังที่ออกมาเมื่อตอนเที่ยง : ๑๒.๓๒ น. บอกเพียงแต่ว่าคณะแพทย์มีความกังวลกับพระอาการประชวรแต่ก็บอกว่าสมเด็จพระราชินีนาถฯยังคงสบายดีอยู่ หากแต่หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงกว่าก็สิ้นพระชนม์

ในที่สุดสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ก็เป็นที่เปิดเผยออกมาในเวลาบ่ายห้าโมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นในกรุงลอนดอน ของวันที่ ๒๙ กันยายนโดยผู้สื่อข่าวสายพระราชวังของบีบีซีก็อ้างถึงข้อมูลของ National Records of Scotland ที่เผยแพร่ในมรณะบัตรของสมเด็จพระราชินีนาถฯว่าสิ้นพระชนม์ด้วยอายุขัย cause of death: old age, ในเวลา ๑๕.๑๐ น. ณ ปราสาทบัลมอรัลและผู้ที่แจ้งการสิ้นพระชนม์คือเจ้าหญิงแอนพระราชธิดา

ฝ่ายทะเบียนท้องถิ่นของเขตอาเบอดีนเชียร์ ในสก็อตแลนด์ ที่ปราสาทบัลมอรัลตั้งอยู่รับแจ้งและลงบันทึกในวันที่ ๑๖ กันยายน โดยในบันทึกของใบมรณะบัตรนี้ทำให้รู้ว่า สมเด็จฯเสด็จสวรรคตในตอนบ่าย ๓ โมง ๑๐ นาที และนายกรัฐมนตรี เอลิซาเบธ ทรัสส์ได้รับแจ้งให้ทราบเป็นการส่วนตัวตอนบ่าย ๔ โมงครึ่ง ต่อจากนั้นสำนักพระราชวังบัคกิ้งแฮมได้ออกประกาศการสิ้นพระชนม์อย่างเป็นทางการเมื่อ ๖ โมงครึ่ง

แสดงให้เห็นว่ามีเพียงเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนเท่านั้นที่ประทับอยู่ในบัลมอรัล ส่วนเจ้าชายแอนดรู,เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายวิลเลี่ยมเสด็จไปถึงหลังจากที่สิ้นพระชนม์แล้วคือเวลาบ่ายห้าโมงเย็น

อยากจะกล่าว่าในใบมรณะบัตรที่เผยแพร่ออกมานี้เป็นการบันทึกข้อมูลเหมือนเฉกเช่นคนทั่วไป เช่นพระนาม, นามสกุล, อาชีพมีการลงบันทึกว่า Her Majesty The Queen, วันประสูติ, สถานภาพ หม้าย สิ้นพระชนม์ วันเวลา สถานที่ บ้านหรือสถานที่ประทับถาวรบันทึกว่า พระราชวังวินด์เซอร์ สาเหตุของการสิ้นพระชนม์ คืออายุขัย และมีชื่อแพทย์ยืนยันการสิ้นพระชนม์โดยสำนักพระราชวังระบุชื่อนายแพทย์ ดักราส กร้าส ซึ่งเป็นเภสัชกร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top