Thursday, 2 May 2024
WORLD

งานวิจัย ชี้ ดื่มกาแฟทุกวันช่วยให้อายุยาวขึ้น ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

ดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยเรื่องสุขภาพ และทำให้อายุยาวขึ้นได้จริงหรือ? 

จากผลการวิจัยล่าสุดโดย ศาตราจารย์ ปีเตอร์ คิสเลอร์ แห่งสถาบัน Baker Heart and Diabetes Research Institute ในประเทศออสเตรเลีย ได้สำรวจข้อมูลเปรียบเทียบกันระหว่าง กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ และกลุ่มที่ไม่ดื่ม กับความสัมพันธ์ของจังหวะการเต้นของหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิต โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมโดย UK Biobank ของกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 40 - 69 ปี จำนวนเกือบ 5 แสนคน

ซึ่งพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวันมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม และนั่นก็มีผลกับช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นของกลุ่มคนที่ดื่มกาแฟ 

กาแฟที่ว่านี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นกาแฟคั่วบด กาแฟสด กาแฟสำเร็จรูป หรือกาแฟปลอดคาเฟอีน  เนื่องจากงานวิจัยชี้ว่า กาแฟทุกประเภทที่ว่านี้ ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน คือช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจได้ดี และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการหัวใจทำงานบกพร่อง หรือ หลอดเลือดหัวใจตีบได้ 

ดังนั้น คาเฟอีน จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อคุณประโยชน์ของการดื่มกาแฟ ศาตราจารย์ คิสเลอร์ เจ้าของผลงานวิจัยชี้ว่า นอกเหนือจากคาเฟอีน ที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเวลาดื่มกาแฟ แต่ในเมล็ดกาแฟนั้นมีสารประกอบที่สำคัญมากกว่า 100 ชนิด ที่มีผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้ดื่่ม

คนอังกฤษ ทนวิกฤตค่าครองชีพไม่ไหว นัดรวมตัวประท้วงกดดันลดค่าก๊าซ-ไฟฟ้า

ชาวอังกฤษหลายพันคน ทนไม่ไหว ลุกฮือเดินขบวนประท้วงในหลายสิบเมืองทั่วประเทศ แสดงความไม่พอใจในการปรับขึ้นค่าก๊าซและค่าไฟฟ้า 

ประชาชนหลายพันคนรวมตัวตามเมืองต่าง ๆ หลายสิบแห่งทั่วราชอาณาจักรเมื่อวันเสาร์ (1 ต.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความขุ่นแค้นต่อวิฤตค่าครองชีพ ในสิ่งที่แกนนำระบุว่าเป็นการประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกันครั้งใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรในรอบหลายปี พร้อมกับเปิดแคมเปญไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าจนกว่าจะลดราคาในระดับที่สามารถจ่ายได้

ไล่ตั้งแต่อีสบอร์นไปจนถึงเอดินบะระ นิวคาสเซิล ไปจนถึงนอริช มีผู้คนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงทั่วสหราชอาณาจักร สอดคล้องกับช่วงเวลาที่จะมีการปรับขึ้นค่าก๊าซและค่าไฟ ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนพุ่งสูงตามไปด้วย

ในกรุงลอนดอน ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่จัตุรัสคิงส์ครอส และชูป้ายที่มีข้อความว่า “ไม่จ่ายให้สหราชอาณาจักร” และ “พอแล้ว” รวมถึง “แช่แข็งราคา ไม่ใช่ประชาชน” เพื่อระบายความไม่พอใจต่อความทุกข์ยาก และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาค่าครองชีพแพง

ฟาร์ซานา คานอม ผู้ช่วยครูวัย 23 ปีรายหนึ่ง เผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เธอจำเป็นต้องเลือกระหว่างจ่ายค่าพลังงานที่พุ่งสูงกับการลงทุนในอาชีพการงานของเธอ "แต่ถ้าเราออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงของเราให้ได้ยินไปทั่ว เมื่อนั้นบางทีเราอาจสร้างความแตกต่าง"

บรรดาผู้ชุมนุมยังได้ร่วมลงนามในหนังสืออุทธรณ์ฉบับหนึ่ง เรียกร้องให้ยุบสภาจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อยุติความยุ่งเหยิงจากรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเบื้องต้นมีผู้ร่วมลงนามแล้วกว่า 300,000 คน

นอกจากนี้ แกนนำการประท้วงยังได้ทำการรณรงค์ให้ประชาชนไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าจนกว่าจะลดราคาในระดับที่สามารถจ่ายได้

มีรายงานว่าหลายครัวเรือนทั่วสหราชอาณาจักรพากันเผาบิลค่าสาธารณูปโภค ในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์สนับสนุนการรณรงค์ไม่จ่ายค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าของกลุ่ม Don’t Pay UK ในขณะที่ล่าสุดขบวนการเคลื่อนไหวรากหญ้าแห่งนี้ได้รับเสียงตอบรับจากครัวเรือนต่างๆ เกือบ 200,000 ครัวเรือน ที่เตรียมยกเลิกบริการหักบัญชีอัตโนมัติ หากว่าชาวสหราชอาณาจักร 1 ล้านคนสัญญาว่าจะไม่จ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค

ฮ่องกงจัดหนัก!! เตรียมแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ หวังดึงดูดนักท่องเที่ยว รับเปิดประเทศ

สื่อฮ่องกงรายงานว่า ฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ เพื่อดึงดูดนักเดินทางให้กลับมาท่องเที่ยวในฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมดในกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ ซิง เตา (Sing Tao) ของฮ่องกง รายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เผยนามที่ใกล้ชิดแวดวงการเมืองและภาคธุรกิจฮ่องกงว่า ฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ เพื่อดึงดูดนักเดินทางให้กลับมาท่องเที่ยวฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมดในกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศ 

ทั้งยังระบุว่า นายจอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง อาจจะประกาศแผนการให้ประชาชนกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติในเดือนตุลาคม ยกเว้นในกรณีที่การระบาดของโรคโควิดในฮ่องกงย่ำแย่ลงจากสถานการณ์ระบาดในปัจจุบัน

เกิดเหตุการณ์สุดสลดในประเทศอินโดนีเซีย ในเกมฟุตบอลลีกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา คู่ระหว่าง อาเรมา เอฟซี พบ เปอร์ซิบายา สุราบายา ที่คันจูรูฮัน สเตเดียม เมื่อแฟนบอลของทั้งสองทีมปะทะกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 127 ราย

เกมดังกล่าวจบลงที่ชัยชนะของทีมเยือนที่บุกไปเก็บชัยเหนือเจ้าถิ่น 3-2 แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฟนบอลทั้งสองทีมก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันอย่างดุเดือด มีการวิ่งลงมาในสนาม จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 127 ราย โดย 2 ใน 127 คนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย

ตามการรายงานจากสื่อในประเทศอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า การก่อเหตุดังกล่าวเริ่มต้นจากแฟนบอลเจ้าถิ่นที่ไม่พอใจผลการแข่งขันในเกมนี้ โดยเริ่มจากแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ด้านตะวันออกของสนามที่วิ่งไปหาเรื่องแฟนทีมเยือน ก่อนที่แฟนบอลจากฝั่งใต้จะเข้ามาร่วมด้วย ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะมีการยิงแก๊สน้ำตา แต่ยิ่งทำให้แฟนบอลตื่นตกใจหนักกว่าเดิม

จากเหตุชุลมุนดังกล่าวทำให้แฟนบอลต้องหนีเอาตัวรอด บางคนถึงขั้นถูกเหยียบ และถูกเบียดจนหายใจไม่ออก โดยมีการเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 34 ราย ส่วนที่เหลือไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 

อินโดนีเซีย ไฟเขียวใช้วัคซีน mRNA ของ ‘จีน’ นับเป็นชาติแรกในโลก ทั้งที่จีนเองยังไม่อนุมัติใช้ในปท.

วัคซีนโควิด-19 ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA ของจีนผ่านการอนุมัติใช้งานฉุกเฉินใน 'อินโดนีเซีย' เป็นประเทศแรกในโลก นำหน้าแม้กระทั่ง 'จีน' เองที่ยังไม่ได้ให้ไฟเขียวกับวัคซีนตัวนี้

องค์การอาหารและยาแห่งอินโดนีเซียได้ประกาศอนุมัติฉุกเฉินใช้งานวัคซีน AWCorna ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่บริษัท วอลแวกซ์ ไบโอเทคโนโลยี (Walvax Biotechnology) ของจีนใช้เวลาในการคิดค้นพัฒนานานกว่า 2 ปี และมุ่งจัดการกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม

อย่างไรก็ดี วอลแวกซ์ยังไม่เคยเปิดเผยประสิทธิภาพของวัคซีน AWCorna ในกลุ่มอาสาสมัครทดลองขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถลดโอกาสในการป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้มากน้อยเพียงใด

จีนมีวัคซีน mRNA หลายตัวที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ทว่าวัคซีนของวอลแวกซ์ถือเป็นชนิดแรกที่เข้าสู่กระบวนการทดลองทางคลินิกในคนกลุ่มใหญ่

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าวัคซีนดังกล่าวจะถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายแค่ไหนในอินโดนีเซีย ซึ่งประชากรราว 63% ฉีดวัคซีนครบแล้ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ที่เน้นรับมือสายพันธุ์ 'โอมิครอน' จะดีกว่า

ทางการเผยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ‘ควีนเอลิซาเบธ’ แจ้งเพียงพระชราภาพเท่านั้น - ไร้ข้อมูลเพิ่มเติม

เรื่อง : อนุดี เซียสกุล

เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ สิ้นพระชนม์ลงในวันที่ ๘ กันยายนที่ผ่านมาไม่มีการเปิดเผยสาเหตุของการสิ้นพระชนม์แต่อย่างใดแม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าสองวันก่อนที่จะสิ้นพระชนม์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถฯยังเสด็จออกให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้าเฝ้า

หรือแม้แต่ในวันที่จะสวรรคตแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังที่ออกมาเมื่อตอนเที่ยง : ๑๒.๓๒ น. บอกเพียงแต่ว่าคณะแพทย์มีความกังวลกับพระอาการประชวรแต่ก็บอกว่าสมเด็จพระราชินีนาถฯยังคงสบายดีอยู่ หากแต่หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงกว่าก็สิ้นพระชนม์

ในที่สุดสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ก็เป็นที่เปิดเผยออกมาในเวลาบ่ายห้าโมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นในกรุงลอนดอน ของวันที่ ๒๙ กันยายนโดยผู้สื่อข่าวสายพระราชวังของบีบีซีก็อ้างถึงข้อมูลของ National Records of Scotland ที่เผยแพร่ในมรณะบัตรของสมเด็จพระราชินีนาถฯว่าสิ้นพระชนม์ด้วยอายุขัย cause of death: old age, ในเวลา ๑๕.๑๐ น. ณ ปราสาทบัลมอรัลและผู้ที่แจ้งการสิ้นพระชนม์คือเจ้าหญิงแอนพระราชธิดา

ฝ่ายทะเบียนท้องถิ่นของเขตอาเบอดีนเชียร์ ในสก็อตแลนด์ ที่ปราสาทบัลมอรัลตั้งอยู่รับแจ้งและลงบันทึกในวันที่ ๑๖ กันยายน โดยในบันทึกของใบมรณะบัตรนี้ทำให้รู้ว่า สมเด็จฯเสด็จสวรรคตในตอนบ่าย ๓ โมง ๑๐ นาที และนายกรัฐมนตรี เอลิซาเบธ ทรัสส์ได้รับแจ้งให้ทราบเป็นการส่วนตัวตอนบ่าย ๔ โมงครึ่ง ต่อจากนั้นสำนักพระราชวังบัคกิ้งแฮมได้ออกประกาศการสิ้นพระชนม์อย่างเป็นทางการเมื่อ ๖ โมงครึ่ง

แสดงให้เห็นว่ามีเพียงเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนเท่านั้นที่ประทับอยู่ในบัลมอรัล ส่วนเจ้าชายแอนดรู,เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายวิลเลี่ยมเสด็จไปถึงหลังจากที่สิ้นพระชนม์แล้วคือเวลาบ่ายห้าโมงเย็น

อยากจะกล่าว่าในใบมรณะบัตรที่เผยแพร่ออกมานี้เป็นการบันทึกข้อมูลเหมือนเฉกเช่นคนทั่วไป เช่นพระนาม, นามสกุล, อาชีพมีการลงบันทึกว่า Her Majesty The Queen, วันประสูติ, สถานภาพ หม้าย สิ้นพระชนม์ วันเวลา สถานที่ บ้านหรือสถานที่ประทับถาวรบันทึกว่า พระราชวังวินด์เซอร์ สาเหตุของการสิ้นพระชนม์ คืออายุขัย และมีชื่อแพทย์ยืนยันการสิ้นพระชนม์โดยสำนักพระราชวังระบุชื่อนายแพทย์ ดักราส กร้าส ซึ่งเป็นเภสัชกร

‘นิการากัว’ ฮึก!! สั่งเนรเทศ ‘ทูตสภาพยุโรป’ หลังสำนักงานใหญ่อียูจุ้นการเมืองในประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมานากัว ประเทศนิการากัว เมื่อวันที่ (29 ก.ย. 65) ว่า กระทรวงการต่างประเทศของนิการากัวออกแถลงการณ์ เมื่อวันพุธ ว่านางเบตตินา มูไชดต์ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ( อียู ) มีสถานะเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” และต้องเดินทางออกนอกประเทศ แต่ยังไม่มีการระบุอย่างชัดเจน ว่าเธอต้องเดินทางออกไปภายในเมื่อใด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาลนิการากัวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังสำนักงานใหญ่ของอียูที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) เรียกร้องประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตกา ผู้นำนิการากัว “ฟื้นฟูประชาธิปไตย” ที่รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษการเมือง และเคารพหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ด้านกระทรวงการต่างประเทศนิการากัวเรียกร้อง ให้ตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

ทั้งนี้ นิการากัวจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว และออร์เตกา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคสังคมนิยม ที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย “ชนะอย่างง่ายดาย” รักษาตำแหน่งผู้นำนิการากัวได้เป็นสมัยที่ 4 ต่อเนื่องกัน หรือนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2550 และถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดในกลุ่มประเทศภูมิภาคอเมริกาทั้งหมด

แอมเนสตี้ฯ จี้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายชดเชยชาวโรฮิงญา ฐานไม่ควบคุมเนื้อหา ‘ปลุกปั่นความเกลียดชัง’

องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ออกมาเรียกร้องให้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนที่ต้องพลัดถิ่นฐานจากเมียนมา กรณีปล่อยให้มีการเผยแพร่เนื้อหาปลุกปั่นความเกลียดชัง (hate speech) จนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนกลุ่มนี้

ชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นมุสลิมกลุ่มน้อยตกเป็นเหยื่อปฏิบัติการกวาดล้างของรัฐบาลทหารพม่าเมื่อช่วงปี 2017 ซึ่งทำให้พวกเขาต้องละทิ้งบ้านเรือนหนีตายไปยังบังกลาเทศ และยังคงต้องอาศัยอยู่ตามแคมป์ผู้ลี้ภัยมาจนถึงทุกวันนี้

สมาคมเหยื่อชาวโรฮิงญาและนักสิทธิมนุษยชน ชี้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งมาจาก ‘ระบบอัลกอริทึม’ ของเฟซบุ๊กที่แสดงเนื้อหาความรุนแรง ข้อมูลบิดเบือน และถ้อยคำที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อคนกลุ่มน้อยเหล่านี้

“ชาวโรฮิงญาหลายคนพยายามแจ้งรายงานเนื้อหาที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังผ่านช่องทาง report ของเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่เป็นผล เฟซบุ๊กยังคงปล่อยให้ถ้อยคำรุนแรงเหล่านี้แพร่กระจายออกไปจนถึงกลุ่มผู้ฟังในพม่าที่ไม่เคยรับรู้มันมาก่อน” แอมเนสตี้ฯ ระบุในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ (29 ก.ย.)

องค์กรสิทธิมนุษยชนดังกล่าวยังอ้างถึงชุดเอกสาร ‘Facebook Papers’ ซึ่งมีผู้นำมาเปิดโปงเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2021 โดยเอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า ผู้บริหารของเฟซบุ๊ก ‘ทราบดี’ ว่าแพลตฟอร์มกำลังถูกใช้เป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหาโจมตีชาติพันธุ์กลุ่มน้อยและกลุ่มคนชายขอบอื่น ๆ

ตร.มะกัน แพร่คลิปม็อบวัยรุ่นยกพลปล้นร้านสะดวกซื้อ ลั่น!! ประชาชนไม่ควรมาเจอกับเรื่องแบบนี้

กรมตำรวจฟิลาเดลเฟีย ในสหรัฐฯ เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ฝูงม็อบกำลังลงมือปล้นสะดมร้านสะดวกซื้อ Wawa สาขาหนึ่ง ในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนหลบหนีไปอย่างลอยนวล ตามรายงานของฟ็อกซ์นิวส์ ในวันอังคาร (27 ก.ย.)

ภาพในวิดีโอพบเห็นกลุ่มคนจำนวนมากไหลบ่าเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ขโมยอาหาร เครื่องดื่มและข้าวของอื่น ๆ ส่วนอีกคลิปเป็นภาพของกลุ่มคนกำลังกระโดดอยู่บนหลังคารถที่จอดอยู่บริเวณด้านนอกร้าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนราว ๆ 20.15 น. ของวันเสาร์ 24 ก.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น) และตำรวจกำลังตามล่าผู้ต้องสงสัยประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

"เรารู้ว่าผู้ปกครองหลายท่านจะได้ดูคลิปนี้และบอกว่า นั่นไม่ใช่แนวทางที่ฉันเลี้ยงดูลูก ๆ มันเป็นที่เข้าใจได้ แต่มันเป็นความรับผิดชอบของพวกคุณเช่นกันที่ต้องชี้ตัวลูกๆ ของพวกคุณให้เรา" จอห์น สแตนฟอร์ด รองผู้บัญชาการตำรวจกล่าวระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (26 ก.ย.)

"สิ่งสำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ เราไม่อาจปล่อยให้มีรูปแบบพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ ประชาคมภาคธุรกิจไม่ควรต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ประชาชนไม่ควรมาเจอกับเรื่องแบบนี้" สแตนฟอร์ด กล่าว

กษัตริย์ซาอุฯ ทรงปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ ตั้ง มกุฎราชกุมาร ‘MBS’ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนพระองค์

พระราชกฤษฎีกาซึ่งเผยแพร่ผ่านสำนักข่าว SPA ของรัฐบาลซาอุฯ เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) ยังระบุให้เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน ซัลมาน รั้งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานตามเดิม เช่นเดียวกับเจ้าชายไฟซอล บิน ฟาร์ฮาน อัล-สะอูด, โมฮัมเหม็ด อัล-จาดาน และคอลิด อัล-ฟาลิห์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ, รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีกระทรวงการลงทุน ตามลำดับ

มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด หรือที่หลายคนเรียกว่าเจ้าชาย MBS ทรงได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากรัฐมนตรีกลาโหมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเท่ากับว่าทรงเป็น “ผู้ปกครองโดยพฤตินัย” ของราชอาณาจักรที่ส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง

บทบาทใหม่ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด นับว่าสอดคล้องกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ได้ทรงปฏิบัติแทนพระองค์มาในอดีต เช่น การเป็นผู้แทนรัฐบาลซาอุฯ ไปเยือนต่างประเทศ หรือเป็นประธานการประชุมสุดยอดต่าง ๆ ที่ริยาดเป็นเจ้าภาพ

“มกุฎราชกุมารทรงกำกับดูแลกิจการประจำวันของฝ่ายบริหาร ตามที่สมเด็จพระราชาธิบดีได้ทรงมีพระบรมราชโองการมอบหมายไว้ ดังนั้น บทบาทใหม่ของพระองค์ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงถือว่าเข้ากับบริบท” เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าว

สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ในวัย 86 พรรษาทรงประชวรด้วยหลายโรค และเสด็จฯ ไปประทับโรงพยาบาลหลายครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

สังคมซาอุดีอาระเบียพลิกโฉมไปอย่างมากนับตั้งแต่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงก้าวขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2017 โดยทรงมุ่งมั่นที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจซาอุฯ ให้ลดการพึ่งพาน้ำมัน และยังทรงดำเนินการปฏิรูปด้านต่าง ๆ เช่น อนุญาตให้สตรีขับรถ และจำกัดอำนาจของพวกผู้นำทางศาสนา เป็นต้น

เวียดนามเตือนประชาชนออกนอกพื้นที่เสี่ยง หลัง 'พายุโนรู' ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการเวียดนามออกประกาศเตือนให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณตอนกลางอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากไต้ฝุ่นโนรูกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาและจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไปทางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากสร้างความเสียหายไม่น้อยในฟิลิปปินส์ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของเวียดนาม กล่าวว่า พายุไต้ฝุ่นโนรูจะรุนแรงขึ้นในคืนวันอังคาร (27 ก.ย. 65) ระหว่างที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งเวียดนามตอนกลางมากขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์กลางของพายุอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่เกาะพาราเซล มีความเร็วลมสูงสุด 183 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจาก 149 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในคืนก่อนหน้า (26 ก.ย.)

นอกจากนี้ เวียดนามต้องปิดสนามบินหลายแห่งทำให้เที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศถูกยกเลิกหลายร้อยเที่ยว การจราจรปั่นป่วน อีกทั้งประชาชนหลายหมื่นคนจำเป็นต้องอพยพออกจากบ้านเรือนกะทันหันอีกด้วย

หนุ่มจีนเซ็ง!! ตั้งใจช่วยชีวิตเด็ก แต่กลับโดนทัวร์รุมจวกยับ หลังชาวเน็ตโฟกัสเรื่องอื่นมากกว่า 'การช่วยชีวิต'

ภาพจากกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน เซี่ยงไฮ้ ที่จับภาพวินาทีชีวิต เด็กหญิงคนหนึ่งโหนเกาะอยู่กับราวบันไดเลื่อน ขณะที่ลำตัวตัวห้อยอยู่ด้านนอก จนคนที่เห็นก็รู้ว่า เด็กอาจจะร่วงลงสู่ด้านล่างได้ตลอดเวลา

ขณะที่เด็กผู้ชายอีกคนที่อยู่บนบันไดเลื่อน น่าจะเป็นครอบครัวของเด็กหญิง รีบวิ่งไปตะโกนเรียกให้คนมาช่วยเด็ก และแล้วก็ได้มีชายสองคน วิ่งเข้ามาช่วยดึงร่างเด็กหญิงขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย

เรื่องราวดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ของประเทศจีนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงชื่นชมพลเมืองดีชายสองคนที่ช่วยชีวิตเด็กหญิงไว้ได้ทันท่วงที 

>> แต่ก็ไม่พ้นที่จะต้องมีอีกด้านที่แสดงความคิดเห็นจวกยับ จับผิดการกระทำ !!

โดยคนกลุ่มนี้ไปจับจ้องว่า ตอนที่ดึงร่างของเด็กขึ้นมา ชายพลเมืองดีใช้มือจับตรงบั้นท้ายและอาจจะถูกที่ลับของเด็กหญิง จนมีคนกล่าวหาว่าเขาเจตนาจะล่วงเกินเด็กหรือไม่ และกล่าวอีกด้วยว่านี่ไม่เหมาะสมอย่างมากต่อการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหายของตัวเด็กหญิงแบบนี้

‘ปูติน’ ออกกฎหมายลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี สำหรับทหารที่ ‘จงใจยอมแพ้’ ในสงครามยูเครน

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียลงนามบังคับใช้กฎหมายอาญาซึ่งกำหนดบทลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี สำหรับทหารรัสเซียที่ 'จงใจยอมแพ้' ให้แก่ฝ่ายศัตรู ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในสงครามยูเครน

มาตรการดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นหลังจากที่ ปูติน ประกาศเรียกระดมพลบางส่วน (partial mobilization) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้าทำสงครามที่ยืดเยื้อมานาน 7 เดือน และไม่เป็นไปตาม 'สคริปต์' ที่มอสโกวางไว้

สำนักข่าว TASS ของรัสเซียอ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352.1 ซึ่งระบุว่า บรรดาทหารเกณฑ์เหล่านี้จะได้รับโทษจำคุกระหว่าง 3-10 ปี หากมีเจตนายอมแพ้ แต่หากเป็นผู้กระทำความผิดครั้งแรก และสามารถหลบหนีกลับมายังกรมกองได้โดยไม่ได้กระทำความผิดอื่นๆ ในระหว่างที่ตกเป็นเชลย ก็จะถือเป็นข้อยกเว้น

“นี่คือแผนการเล่นคลาสสิกของ ปูติน” รีเบกาห์ คอฟเลอร์ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลาโหมของสหรัฐฯ (DIA) ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือ ‘Putin’s Playbook: Russia’s Secret Plan to Defeat America’ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ดิจิทัล

“มันคือการตัดสินใจอันยากลำบากที่ชายชาวรัสเซียต้องเผชิญในวันนี้ คือเลือกว่าจะตายในสนามรบ หรือไม่ก็เน่าอยู่ในคุก”

'สตม.เซจู' ชี้!! นทท.ไทย หายตัวไปกว่า 76 รายจาก 437 ราย เกิดอะไรขึ้นกับนักท่องเที่ยวไทยกันแน่?

จากเพจเฟซบุ๊ก 'ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเชจู ระหว่างวันที่ 2-9 ส.ค. มีรายงานว่า ชาวไทย 76 คนจาก 437 คนที่เดินทางเข้าประเทศ โดยเที่ยวบินจากกรุงเทพ สายการบินเจจูแอร์ ได้หายตัวไป

ทำให้ตอนนี้ หลังจากมีนักท่องเที่ยวไทย 1,164 คนต้องการเข้าประเทศ ทางเกาหลีใต้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ให้เข้าไปแล้วสูงถึง 727 คน หลังมีการหายตัวของนักท่องเที่ยวไทยมาก

จากการสำรวจของรัฐบาลเกาหลีใต้พบว่า คนไทยส่วนใหญ่เข้ามาในประเทศไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว แต่เพื่อมาหางานทำ ในไทยมีนายหน้าหลายคนที่ใช้สื่อโซเชียล ไปพาคนมาทำงานในเกาหลีใต้ และอยู่อย่างผิดกฎหมาย ด้วยความช่วยเหลือของบริษัทเหล่านี้ 

โดยปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว และหนีออกจากกรุ๊ปทัวร์ กลายเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย และเกาะเชจูได้กลายเป็นประตูเข้าประเทศของ "นักท่องเที่ยวปลอม" ใช้เป็น "ช่องโหว่" เดียว ที่อนุญาตให้นักเดินทางจากประเทศไทยอยู่ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นเวลา 90 วัน 

'จีน' อวดโฉม 'รถไฟแมกเลฟ' สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 600 กม./ชม.

เมื่อ (24 ก.ย. 65) ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ว่า 'ซีอาร์อาร์ซี' ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถไฟชั้นนำของจีน เปิดตัวรถไฟพลังงานแม่เหล็กความเร็วสูง หรือแมกเลฟ ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ณ งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมรถไฟ 'อินโนทรานส์' (InnoTrans) ที่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี

ข้อมูลจากซีอาร์อาร์ซีระบุว่า รถไฟดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล่าสุดในด้านการขนส่งทางราง ซึ่งพัฒนาทุกขั้นตอนโดยจีน ทั้งนี้ ต้นแบบของรถไฟรุ่นนี้ประสบความสำเร็จในการวิ่งทดสอบในจีน เมื่อเดือน มิ.ย. 2563 

ทั้งนี้ นายหลิว เทียนถง ตัวแทนวิศวกรจากบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ต้าเหลียน จำกัด กล่าวว่า ซีอาร์อาร์ซีเข้าร่วมงานอินโนทรานส์ เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์อัจฉริยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังนำเสนอโซลูชันแบบครอบคลุมแก่ลูกค้า ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์


ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/1504622/ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top