Thursday, 28 March 2024
IDOL

ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ นามปากกาจาก 2 นักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่น ผู้มีแนวความคิดของโลกอนาคตบวกความสร้างสรรค์ ถ่ายทอดผลงานการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างเรื่อง "โดราเอมอน"

“การ์ตูนโดราเอมอน” ถือว่าเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีความนิยมอย่างมาก แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักกับนักเขียนทีมีนามปากกาอย่าง ฟูจิโอะ เอฟ ฟูจิโกะ THE STUDY TIMES จะขอเล่าถึงประวัติและความสำเร็จของนักเขียนผู้นี้กัน  

ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ จริง ๆ แล้วเป็นนามปากกาของศิลปิน 2 ท่าน นั้นคือ ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ (ผู้แต่ง) และ อาบิโกะ โมโตโอะ (ผู้วาด)

ฮิโรชิ เกิดวันที่ 1 ธ.ค. ค.ศ.1933 ที่ เมืองทาคาโอกะ จังหวัดโทยาม่า ส่วน โมโตโอะ เกิดวันที่ 10 มี.ค. ค.ศ.1934 ที่เมืองทาคาโอกะ จังหวัด โทยาม่า เช่นเดียวกัน

ทั้ง ฮิโรชิ และ โมโตโอะ เจอกันครั้งแรก ในช่วงสมัยเรียนชั้นประถมปีที่ 5 และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะต่างมีความชอบในการวาดการ์ตูน โดยทั้งคู่ได้ลงมือวาดการ์ตูน เขียนเรื่องราวด้วยกัน และได้ลองส่งสำนักพิมพ์ โดยเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์คือเรื่อง นางฟ้าทามะจัง (Tenshi no Tama-chan) ลงตีพิมพ์เป็นประจำในนิตยสาร "ไมนิจิ โชกักเซ"

หลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบในชั้นมัธยมปลาย ฮิโรชิได้เข้าไปทำงานในโรงงานลูกกวาด ส่วนโมโตโอะทำงานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่หลังจากทำงานได้ไม่นานฮิโรชิได้รับอุบัติเหตุระหว่างทำงาน จึงตัดสินใจลาออกจากงานและเขียนการ์ตูนอย่างจริงจังอยู่ที่บ้าน โดยมีโมโตโอะคอยมาช่วยเหลืออยู่ตลอดหลังจากเวลาว่างหลังเลิกงาน และได้ออกผลงานเรื่อง ล่องลอย 4 หมื่นปี  และมีผลงานการ์ตูนพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกในนามปากการ่วมกันว่า "อาชิซึกะ ฟูจิโอะ" เรื่อง สงครามโลกครั้งสุดท้าย (UTOPIA—最後の世界大戦 หรือ Utopia: The Last World War) 



หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจจะเขียนการ์ตูนกันต่อไป และได้ย้ายมาอยู่ที่โตเกียว ทั้งคู่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนนามปากกาเป็น "ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ" และได้มีการเขียนการ์ตูนส่งสำนักพิมพ์อย่างมากมาย แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ทั้งคู่เผลอลืมส่งต้นฉบับให้กับทางสำนักพิมพ์ ทำให้ชื่อเสียงของทั้งคู่ลดลงอย่างมาก แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมแพ้ลงทุนจัดตั้งบริษัท "สตูดิโอซีโร" และได้มีผลงานทำภาพยนตร์เรื่องยาวอย่างเรื่อง “เจ้าหนูอะตอม” และเริ่มประสบความสำเร็จขึ้นจากการเขียนการ์ตูนเรื่อง “ผีน้อยคิวทาโร่”  ได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูน ซึ่งมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ผีน้อยคิวทาโร่ได้ผลิตเป็นการ์ตูนแอนิเมชันฉายทางโทรทัศน์ ส่งผลให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเป็นอย่างมาก 



หลังจากนั้น ปี ค.ศ.1969 ทั้งคู่เริ่มหาแนวทางสำหรับการ์ตูนเรื่องใหม่โดย ฮิโรชิ ก็ไปสะดุดกับกองของเล่นพวกตุ๊กตาของลูกสาวที่วางเกะกะบนพื้น ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่แมวข้างบ้านกำลังกัดกัน และเมื่อรวมกับจินตนาการส่วนตัวที่อยากได้เครื่องมือช่วยย้อนเวลาไปหาไอเดียใหม่ๆ เชิงวิทยาศาสตร์ จึงเป็นที่มาของหุ่นยนต์แมวสีน้ำเงินที่มาพร้อมสารพัดอุปกรณ์สำหรับแก้ปัญหาจากโลกอนาคต เลยเป็นแนวความคิดในการเขียนการ์ตูน โดราเอมอน โดยเริ่มแรกเป็นการตีพิมพ์ลงในหนังสือการ์ตูนยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก จนเมื่อค.ศ.1973 การ์ตูนโดราเอมอนได้ผลิตเป็นการ์ตูนแอนิเมชันฉายทางโทรทัศน์ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนทั้งคู่ได้รับรางวัล จากสมาคมนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น (Nihon Mangaka Association) และได้รับความนิยมอย่างมากจนได้ไปเผยแพร่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก 



หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทำผลงานอีกมากมาย แต่ด้วยความเห็นที่ไม่ค่อยตรงกันทำให้ตัดสินใจเลิกใช้นามปากการ่วมกันและแยกไปมีงานเขียนของตัวเอง ฮิโรชิใช้นามปากกาเป็น "ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ" ส่วนของอาบิโกะเป็น "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ (เอ.)" และฮิโรชิก็ยังสร้างสรรค์ผลงานโดราเอมอนและผลงานอื่น ๆ อีกต่อไป จนกลายเป็นตำนานการ์ตูนญี่ปุ่นที่ทุกคนชื่นชอบจนมาถึงปัจจุบัน

ทาง THE STUDY TIMES ความพยายาม รักและชื่นชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ละทิ้งความฝันและความพยายามจะเป็นทางที่สู่ความประสบความสำเร็จได้ เหมือนกับนักเขียนการ์ตูน 2 ท่านนี้นะคะ 


ที่มา 
https://th.wikipedia.org/wiki/ ฟูจิโอะฟูจิโกะ 
https://www.kartoon-discovery.com/history/fujio.html
https://ahead.asia/2019/09/05/fujiko-fujio-doraemon-creators/

นาวิน ตาร์ จากเด็กที่ไม่สนใจการเรียนสู่อาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย

หลาย ๆ คนในช่วงมัธยมอาจจะเป็นถูกสังคมหล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่ไม่สนใจ เกเร และไม่ชื่นชอบการเรียนไปเลย แต่ก็มีอีกหลาย ๆ คนที่กลับตัวกลับใจ หันมาสนใจในด้านการศึกษาจนประสบความสำเร็จ อย่าง “นาวิน ตาร์” ดารานักแสดงที่มีดีกรีเป็นถึงอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย ! 

นาวิน เยาวพลกุล หรือ นาวิน ตาร์ การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาที่สาธิตปทุมวันและสาธิตประสานมิตรนั้น นาวิน ตาร์ เป็นเด็กที่เกเร ไม่สนใจการเรียนถึงขนาดตัวเขาเองมีปัญหากับโรงเรียน จนถูกไล่ออกจากโรงเรียนถึงสองครั้งจากโรงเรียนทั้งสองที่ !

แต่ด้วยความตั้งใจและหันกลับมาศึกษาเล่าเรียนใหม่อีกครั้ง จึงทำให้สามารถเอ็นทรานซ์ได้และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเลยทีเดียว จากนั้นตัวนาวิน ตาร์ก็ได้รับทุนอานันทมหิดลศึกษาต่อที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาโทที่ Oregon State University และได้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก ที่ University of California, Davis อีกด้วย 

นอกจากนี้ นาวิน ต้าร์ ได้รับโอกาสได้เป็นอาจารย์จากโควตาของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ให้แก่นิสิตที่สำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของรุ่น และได้ร่วมสอนวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาคและคณิตศาสตร์สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ (Mathematics for Economists) ทั้งในภาคปกติและหลักสูตรนานาชาติด้วย

เรียกได้ว่านอกจากความสามารถในการแสดงแล้ว ความรู้และความสามารถทางด้านการศึกษาก็ไม่เป็นรองใคร นับได้ว่าเป็น Idol ของใครหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ 


ที่มา : https://www.sanook.com/campus/1393269/

Oprah Winfrey หญิงผู้ทรงอิทธิพล อุปสรรคและความอดทน ทำให้มีจุดยืน

หลาย ๆ ครั้งที่ทุกคนมักจะประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก บางคนขอยอมแพ้กับอุปสรรค ยอมลดค่าของตัวเองลง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ลุกขึ้นสู้รวมไปถึง “Oprah Winfrey” เจ้าของรายการและพิธีกร The Oprah Winfrey Show ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในอเมริกา THE STUDY TIMES ขอมาเล่าถึงประวัติและความสำเร็จในชีวิตของเธอที่กว่าจะถึงจุดสูงสุด เธอได้ผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตมาแล้ว

Oprah Gail Winfrey เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน Oprah ได้ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 29 มกราคม ปี 1954 ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi โดยตัวเธอนั้นเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก พ่อของ Oprah เป็นคนงานเหมืองแร่และช่างตัดผม ส่วนแม่ของ Oprah ทำอาชีพแม่บ้าน ซึ่งครอบครัวของ Oprah นั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร พ่อกับแม่ของเธอหย่ากัน ทำให้ Oprah อยู่กับแม่และยาย แต่เธอก็มักจะถูกแม่ตีและด่าทออยู่ประจำ 

ด้วยความฉลาดของ Oprah ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่ชอบเรียนหนังสือและสามารถอ่านหนังสือออกได้ตั้งแต่ 2 ขวบและ Oprah สามารถสอบเลื่อนขั้นจากชั้นอนุบาลมาอยู่ประถมได้ด้วยคะแนนที่ดีมาก ๆ ในช่วงนั้นเองคุณครูประจำชั้นก็ได้ เห็นแววความเก่งและขยันขันแข็งในการศึกษาเล่าเรียนของเธอ คุณครูจึงได้มอบทุนการศึกษาให้เธอได้เข้าเรียนระดับชั้นมัธยมต่อ

แต่โชคชะตาก็เหมือนจะไม่เป็นใจ Oprah ในอายุ 9 ขวบเธอโดนลูกพี่ลูกน้องข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศจนเธออายุ 14 ปีเธอได้ตั้งครรถ์ ทำให้แม่ของเธอโกรธมากและนำเธอไปที่สถานการณ์กักกันเยาวชน แต่เหมือนโชคก็ยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อพ่อของ Oprah ทราบว่าเธออยู่ที่นั้นจึงได้นำเธอกลับมาเลี้ยงดู และได้อยู่กับแม่เลี้ยง ถึงแม่เลี้ยงจะดุแต่ก็ทำให้ Oprah มีวินัยในตัวเองมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น  หลังจากนั้นเธอก็ได้คลอดลูกชาย เคราะห์ร้ายที่ลูกชายของเธอเสียชีวิตหลังจากนั้น 2 สัปดาห์เนื่องจากการคลอดก่อนกำหนด

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น Oprah ก็ได้กลับไปเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่ East Nashville High School และในระหว่างที่เรียนที่นี่ ตอนที่เธออายุได้ 16 ปี ได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุ ฯ แถมเธอยังได้รับรางวัลจากการประกวดกล่าวสุนทรพจน์และเรียนจบด้วยเกียรตินิยม จึงทำให้ Oprah ได้รับทุนการศึกษา เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่ Tennessee State University เป็นเวลา 4 ปี 

ในระหว่างเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก เธอได้เข้าเรียนในสาขา Speech Communications and Performing Arts ได้มีโอกาสเข้าร่วมขบวนการประกวด Miss Black America และได้รับตำแหน่ง Miss Black Tennessee และ Miss Black Nashville อีกด้วย ซึ่งทำให้สถานีโทรทัศน์ CBS ยื่นข้อเสนอให้เข้าร่วมทำงานที่สถานีวิทยุท้องถิ่น WVOL โดย Oprah นั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ประกาศข่าวหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และยังมีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 19 ปี เท่านั้น และเมื่อพอขึ้นเรียนในชั้นปีที่ 2 Oprah ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง Nashville ซึ่งได้กลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน คนแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งนี้ด้วยความสามารถและความฉลาดของเธอ 

แต่แล้วชีวิตก็พลิกล็อกเมื่อ Oprah ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดทำให้เธอโดนปลดจากตำแหน่ง ผู้ประกาศข่าว เป็นเพียงแค่พิธีกร แต่นั้นก็เหมือนจะเป็นโชคชะตาของเธอเพราะทำให้รู้ว่าตัวเธอเองชอบและสนุกกับการเป็นพิธีกรมากกว่าการเป็นผู้ประกาศข่าว เธอเลยตัดสินใจย้ายตัวเองไปอยู่ที่เมือง Chicago และได้เข้าทำงานเป็นพิธีกรรายการ AM Chicago ที่ WLS-TV เพียงแค่เดือนเดียวก็ทุบสถิติเรตติ้งรายการทอล์คโชว์ได้ และ หลังจากนั้นทางทีมงานได้เปลี่ยนชื่อรายการเป็น “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 1986 ซึ่งถูกถ่ายทอดไปมากกว่า 120 ช่อง 126 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นรายการที่มีเรทติ้งทีวีสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีวีสหรัฐฯ

โดยเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในรายการอย่าง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1993 วันที่ Oprah ได้สัมภาษณ์ “Michael Jackson” ซึ่งตัวของ Michael เองนั้นไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใด ๆ มาเป็นเวลานานกว่า 14 ปี กลายเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ชมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา โดยมีผู้ชมมากกว่า 90 ล้านคนภายในวันเดียว

นอกจากนี้ Oprah ยังได้จัดตั้งกองทุนการกุศล The Oprah Winfrey Foundation ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลในด้านของการศึกษาให้กับเด็กหญิงชาวอเมริกาใต้ เป็นจำนวนกว่า 51 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1,700 ล้านบาท เพราะตัวของ Oprah คิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดดังคำที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า

“Education is the key to unlocking the world, a passport to freedom.”
"การศึกษาคือกุญแจสู่โลก คือพาสปอร์ตสู่อิสระเสรี"

ปัจจุบัน Oprah ดำรงตำแหน่ง Chairman และ CEO ของรายการที่ออกอากาศมา 25 ปีอย่าง The Oprah Winfrey Show ประสบความสำเร็จกับช่องเคเบิล OWN หรือ Oprah Winfrey Network และเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร O หรือ The Oprah Magazine และบริษัทโปรดักชัน Harpo Films

และนี้คือความสำเร็จในชีวิตที่กว่าจะมีทุกวันนี้ได้ Oprah ก็ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายที่ทำร้ายจิตใจของเธอมานับไม่ถ้วน ทั้งโดนล่วงละเมิดทางเพศ คำดูถูกเหยียดหยามมามากมาย แต่สุดท้ายเธอก็ผ่านพ้นมาได้ ด้วยความตั้งใจและความจริงใจของเธอ ทำให้ Oprah ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ 


แหล่งที่มา : 
https://www.blueoclock.com/oprah-winfrey-story/
https://thestandard.co/oprah-winfrey-powerful-woman-in-the-world/

ดีกรีนักกีฬาไอซ์สเก็ตลีลาทีมชาติคว้าเหรียญทองมามากมาย แถมการเรียนยังเริ่ดคว้าปริญญาถึง 3 ใบ มากความสามารถต้องเธอคนนี้ “ทับทิม อัญรินทร์”

“ทับทิม อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์” ดารานักแสดงหญิงที่มากความสามารถในวงการบันเทิงเป็นทั้งดารานักแสดง พิธีกร รวมไปถึงนักร้อง และยังไม่พอด้านกีฬาของสาวทับทิมยังเคยไปแข่งไอซ์สเก็ตเอเชียถึงต่างประเทศได้เหรียญทองมาครอบ และยังเรียนจนได้ปริญญาถึง 3 ใบกันเลยทีเดียว 

ทางด้านการศึกษา สาวทับทิมนั้นเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนอุดมศึกษา หลังจากนั้นสาวทับทิมได้ระดับปริญญาตรี 2 หลักสูตร ศิลปศาสตรบัณฑิตจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (เอกภาษาอังกฤษ) บริหารบัณฑิตจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หลังจากที่เรียนคว้าปริญญาได้ 2 ใบแล้ว ทับทิมก็ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง อีกด้วย 

ทางด้านกีฬา สาวทับทิมนั้นมีความชื่นชอบในกีฬาไอซ์สเก็ตอย่างมาก โดยได้ฝึกฝน พัฒนาตนเองจนได้กลายมาเป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตลีลาทีมชาติไทยและได้ไปแข่งขันในรายการ Skate Asia 2016 คว้าเหรียญทองมาได้ถึง 5 เหรียญ 1 ในนั้นคือการนำศิลปะวัฒนธรรมอย่างมโนราห์มาผสานกับกีฬาไอซ์สเก็ตลีลาจนทำให้ชนะใจกรรมการได้เหรียญทองกลับมานั้นเอง 

เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงไทยที่มีความสามารถจริง ๆ การเรียนก็ดีแถมกีฬาก็ยังเริ่ดขนาดนี้ นับได้ว่าคงเป็นแบบอย่าง Idol ของใครหลาย ๆ คนกันเลยทีเดียวค่ะ 


แหล่งที่มา : 
https://www.sanook.com/campus/1404967/
https://www.tomasverner.com/ทับทิม-อัญรินทร์/

Marie Curie นักเคมี ผู้ช่วยชีวิตมนุษยชาติพ้นจากมะเร็งร้าย

ถ้าจะพูดถึงโรคร้ายที่ใครหลาย ๆ คนไม่คิดไม่ฝันที่อยากจะเป็นนอกจาก โควิด-19 แล้วโรคมะเร็งก็ถือว่าเป็นโรคอันดับหนึ่งที่ผู้คนไม่อยากจะเป็น แต่กลับกันโรคมะเร็งในปัจจุบันได้คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อย้อนกลับไปโรคมะเร็งถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา จน “Marie Curie” นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คิดและค้นพบตัวธาตุที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้สำเร็จ วันนี้ THE STUDY TIMES จะขอกล่าวถึงประวัติและผลงานที่สำคัญของ Marie Curie ที่ได้ช่วยชีวิตผู้คนจากโรคมะเร็งได้กันค่ะ 

ชื่อเดิมของ Marie Curie คือ Marie Sklodowska เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ณ เมืองวอร์ซอ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 5 คน โดยพ่อของ Marie เป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ และแม่เป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ทำให้ Marie นั้นได้มีความชื่นชอบและสนใจในด้านของวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก หลังจบการศึกษาระดับมัธยม 

ด้วยสถานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดีทำให้ Marie กับพี่สาว ทำงานเป็นอาจารย์สอนในระดับอนุบาลเพื่อหาเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัย จน Marie สามารถเรียนจบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1893 และได้เริ่มทำงานในห้องปฏิบัติการทางอุตสาหกรรมของศาสตราจารย์ Abriel Lippmann และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีสจนจบปริญญาโทในปี ค.ศ. 1894

ในขณะที่ Marie ทำงานเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมี ทำให้ Marie พบกับ Pierre Curie เป็นนักฟิสิกส์ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกับ Marie โดยทั้งสองเริ่มสนิทกันจากความสนใจในด้านแม่เหล็ก แร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันและมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ก็ยังไม่ทิ้งในเรื่องของวิทยาศาสตร์ทั้งตัว Marie และ Pierre ร่วมศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแผ่รังสีของแร่ด้วยกันต่อจากนั้น

ในช่วงเวลานั้น ที่ประเทศฝรั่งเศสมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สนใจในเรื่องของรังสี แร่ธาตุต่าง ๆ โดยหนึ่งในผู้คนพบรังสีชนิดใหม่ คือ Antoine Henri Becquerel นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส เพื่อนสนิทของ Pierre ผู้ค้นพบปรากฏการณ์การแผ่รังสีจากแร่ยูเรเนียม (Uranium) ทำให้ทั้ง Marie และ Pierre จึงศึกษาค้นคว้าต่อไปจนถึงแหล่งพลังงาน พวกเขาสืบเสาะไปจนพบว่าแหล่งที่มาของพลังงานที่แผ่ออกมาคือ แร่พิตช์เบลนด์ (Pitchblende) ซึ่งเป็นออกไซด์ชนิดหนึ่งของแร่ยูเรเนียม โดยหลังจากพยายามสกัดแร่พิตช์เบลด์ออกมา Marie และ Pierre ก็ได้ค้นพบธาตุชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อว่า โปโลเนียม (Polonium) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศโปแลนด์ บ้านเกิดของ Marie

และในปี ค.ศ. 1898 Marie และ Pierre จึงได้ศึกษาต่อเพิ่มเติม โดยทั้งคู่ได้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะยังมีสารประกอบที่อยู่ในแร่พิตช์เบลด์อีกมาก หลังจากพยายามมานานกว่า 5 เดือนหลังทั้งคู่ก็ได้พบกับธาตุชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อธาตุนี้ว่า เรเดียม (Radium) ในภาษากรีกแปลว่าแสง ซึ่งธาตุเรเดียมนี้สามารถแผ่รังสีออกมาได้มากกว่ายูเรเนียมหลายเท่า และธาตุเรเดียมยังสามารถส่องผ่านเนื้อหนังของมนุษย์ได้

ทั้งคู่ได้สังเกตเห็นว่า ธาตุเรเดียมสามารถแผ่รังสีพลังงานลึกถึงภายในของเนื้อเยื่อ จนส่งผลให้มือของ Marie แห้งกร้าน และลอกเป็นชั้นสีดำเหมือนโดนไฟไหม้ ในขณะที่ Pierre เก็บธาตุเรเดียมเพียงไม่กี่มิลลิกรัมในกระเป๋าเสื้อ ตัวแร่ธาตุก็ทำให้เสื้อของ Pierre ไหม้และทำให้เกิดรอบแผลเป็นบริเวณหน้าอก 

จึงทำให้ทั้งคู่ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นทั้ง Marie และ Pierre ได้ร่วมมือกับ Antoine ในการคิดค้นและวิจัย ทำให้ทั้ง 3 คนได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในฐานะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) 

และจากการที่ Marie และ Pierre ได้ค้นพบธาตุเรเดียมทำให้ Marie ได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีสซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกของประเทศฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจคือ Pierre ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้ Marie โศกเศร้าเสียใจแต่ก็ยังศึกษาในเรื่องของแร่ธาตุต่อไป 

และในปี ค.ศ. 1911 Marie ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยปารีส ในการตั้งสถาบันเรเดียม เพื่อค้นคว้าการใช้ประโยชน์จากธาตุเรเดียม ทําให้ Marie รวมถึงทีมนักวิจัยค้นพบว่าเรเดียมมีคุณสมบัติทางการแพทย์ที่สามารถนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องมือรักษาโรคมะเร็งบางอวัยวะได้โดยการใช้ธาตุเรเดียมยิงไปที่เซลล์มะเร็งด้วยอนุภาคกัมมันตรังสี

จากผลงานนี้เองทำให้ Marie ได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง ในสาขาเคมีจากการค้นพบธาตุพอโลเนียมและเรเดียม ซึ่งการรับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งของมารีทำให้มารีกลายเป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล 2 สาขาเพียงคนเดียวในโลก

ด้วยความสำเร็จของ Marie ในปี ค.ศ. 1933 ได้ทำการจัดตั้งมูลนิธิ Curie Foundation เพื่อทำหน้าที่ในการสนับสนุนการวิจัยด้านงานวิทยาศาสตร์และสนับสนุนทางการแพทย์ และในปี ค.ศ. 1953 สถาบันแห่งนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของสถาบันวิจัยมะเร็งในหลายประเทศ และเริ่มใช้งานด้านวิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมมากขึ้น

และช่วง Marie อายุ 58 ปี สุขภาพเริ่มทรุดโทรมหนักมากขึ้น เริ่มมีอาการหูหนวก ตาบอด และมีรอยไหม้ที่ตามมือ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เวลาทำการทดลองรังสีต่าง ๆ ทำให้ถูกรังสีจากสารกัมมันตภาพรังสีเผาตามอวัยวะ ในเวลาต่อมา Marie ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโอตซาวัว (Haute Savoie) และเสียชีวิตในวัย 67 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934

นับได้ว่า Marie Curie คือบุคคลที่เสียสละและสร้างประโยชน์หลายอย่าง เป็นสิ่งที่เกิดจากความรักในการทดลอง ความสนใจ ความชอบในวิชาชีพของตัวเองถึงแม้อาจจะทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บแต่ผลลัพธ์หรือสิ่งที่เธอได้จากการค้นคว้าและวิจัยนี้สามารถต่อชีวิต และ ลมหายใจให้กับผู้คนอีกหลายล้านคน ถึงแม้เธอจะจากไป แต่คุณงามความดีและบทเรียนที่ได้จากการทดลองของ Marie สามารถต่อยอดและทำให้มีการวิจัยพัฒนาทางการแพทย์จนถึงปัจจุบัน 


แหล่งข้อมูล 
https://thepeople.co/marie-curie-radioactivity/
https://www.scimath.org/article-science/item/11461-19-marie-curie
https://www.takieng.com/stories/8714

หนุ่มหล่อสุดฮอต “มิว ศุภศิษฏ์” นักร้องและนักแสดงมากความสามารถ ทั้งยังพกดีกรี ว่าที่ ดร. จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย !!

มิว ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ นักแสดงมากความสามารถ ที่ใคร ๆ ที่ได้ชมผลงานต่างชื่นชอบและตกเป็นแฟนคลับของเจ้าตัวกันไปหมด แต่นอกจากความสามารถในด้านวงการบันเทิง ที่เป็นทั้งสายแสดงและสายนักร้อง มิว ศุภศิษฏ์ ก็มีดีกรีทางด้านการเรียนที่ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน 

โดยหนุ่มมิวนั้นจบชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แผนการเรียนวิทย์-คณิต หลังจากเรียนจบได้เข้าศึกษาต่อในภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองอีกด้วย 

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี หนุ่มมิวก็ไม่รอช้าศึกษาต่อทางด้านปริญญาโท ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตอนที่มิวศึกษาระดับปริญญาโทอยู่นั้น ทางอาจารย์ก็ให้มิวได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนแทนอาจารย์อยู่ช่วงหนึ่ง โดยสอนวิชาสถิติ (Statistics) ให้กับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

หลังจากคว้าปริญญาโทมาได้สมดั่งใจแล้ว หนุ่มมิวก็สอบเข้าไปศึกษาต่อปริญญาเอกทันทีโดยศึกษาที่ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

นอกจากงานในวงการบันเทิงจะเก่งแล้ว เรื่องการเรียนก็ยังไม่แพ้กัน นับได้ว่าหนุ่มมิวนั้นครบเครื่องทั้งหน้าตา ความสามารถ และ เรื่องการเรียนจริง ๆ 


ที่มา : https://www.sanook.com/campus/1400748/

https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/87343/-newenttha-newent-new-enttv-ent-musoth-mus-
 

‘ฟาง FFK’ สวยเก่งครบสูตร!! นอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว เรื่องการเรียนของเธอก็เก่งไม่แพ้ใคร

ฟาง ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ อดีตนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังจากวง “เฟย์ ฟาง แก้ว” ที่นอกจากจะร้องเพลงเพราะแล้ว ประวัติการศึกษาของเธอก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา

ฟางจบการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย และได้เข้าศึกษาต่อที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (การธนาคารและการเงิน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดยได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อปี พ.ศ. 2557 พร้อมทั้งยังคว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาได้อีกด้วย 

ไม่เพียงเท่านี้ ฟางยังสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท จาก Imperial College London สาขา Master of Science ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ถูกจัดอันดับอยู่ใน Top 5 ของอังกฤษ และยังถูกจัดอันดับให้อยู่ใน Top 10 ของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกอีกด้วย


ที่มา: https://campus.campus-star.com/variety/70695.html

คิดแปลกแหวกแนว! หนุ่มจบการศึกษาแค่ ม.6 ลูกชาวสวนมะนาว ลงทุนปลูกแคคตัสไลฟ์สดขาย ได้เงินล้าน!!

อาชีพปลูกแคคตัสไม้ประดับของคนมีตังค์ที่กำลังเป็นกระแสนิยมมาแรง หนุ่มเมืองชาละวัน จบการศึกษาแค่ ม.6 พ่อแม่เป็นชาวสวนปลูกมะนาว แต่ลูกชายคิดแปลกแหวกแนวปลูกแคคตัสขาย ในขณะที่พ่อ-แม่ คนรุ่นเก่าไม่เห็นด้วย ลูกชายตัดสินใจขายสร้อยคอทองคำของตนเองเพื่อลงทุนใช้เวลา 3 ปี ปัจจุบันนี้มีต้นแคคตัสจำนวนนับหมื่นต้นมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท 

เผยวิธีขายไลฟ์สดผ่านโลกออนไลน์ มีผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ แถมมีแอดมินเพจจากประเทศจีนจับเสือมือเปล่ามานั่งไลฟ์สดขายแคคตัสของตนไปยังตลาดจีน

เส้นทางการทำมาหากินในยุค New Normal วันนี้ผู้สื่อข่าวขอพาไปที่ CP CACTUS ซึ่งเป็นของ นายธนารัตน์ เมืองฤทธิ์ “แชมป์” อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 140 หมู่ 9 บ้านท่าช้าง ต.ท่าบัว อ.โพทะเล จ.พิจิตร ซึ่งเป็นลูกชายของ นายสมชาย เมืองฤทธิ์ อายุ 51 ปี  อาชีพทำสวนมะนาว 70 ไร่ 

โดย นายธนารัตน์  “แชมป์” เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ตนเองจะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการ CP CACTUS ตนเองจบการศึกษาแค่ ม.6 จะไปเรียนต่อปริญญาตรี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียน จึงกลับมาอยู่บ้านช่วยพ่อทำสวนมะนาวและปลูกกล้วยขาย ทำอยู่ 2-3 ปี จากนั้นก็ลงทุนไปซื้อโดรนมารับจ้างพ่นสารเคมีในนาข้าวของเพื่อนบ้านในแถบนั้นอยู่ระยะหนึ่งก็เซ้งกิจการให้ผู้อื่นทำต่อ เพราะไม่ใช่แนวของตนเองที่ถนัดหรือชื่นชอบ

จึงเริ่มค้นหาความเป็นตัวตนว่าตนเองชอบอาชีพอะไรแน่ จากนั้นเริ่มลองผิดลองถูก จนกระทั่งราว พ.ศ.2560 เริ่มสนใจศึกษาเรื่องการปลูกแคคตัสจากโลกออนไลน์ แม่เห็นว่าตนเองชอบก็เลยไปซื้อต้นแคคตัสมาให้เลี้ยง 10 ต้น ตนเองก็เริ่มขยายพันธุ์เลี้ยงต้นแคคตัสจนโตและขายบนโลกออนไลน์ได้เงินหลักพัน หลักหมื่น จนมั่นใจว่า แคคตัสปลูกแล้วขายได้ จึงอ้อนวอนขอเงินพ่อ-แม่ จะเอามาลงทุนแค่พ่อกับแม่ ซึ่งเป็นคนรุ่นเก่าไม่เห็นด้วยบอกว่าเอาเงินไปลงทุนปลูกกล้วยขายดูจะทำง่ายและได้กำไรดีกว่า

นายธนารัตน์ “แชมป์” จึงตัดสินใจเอาเงินที่สะสมและเอาสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ไปขายได้เงินรวม 3 หมื่นบาทเศษ มาเป็นทุนตั้งต้นในการลงทุนปลูกแคคตัสขายแบบลองผิดลองถูก ค้นคว้าหาความรู้จากเพื่อนๆ ในกลุ่มเฟซบุ๊ก ใช้เวลาจากวันนั้นถึงวันนี้รวม 3 ปี ปัจจุบันมีโรงเรือนเพาะเลี้ยงแคคตัสอยู่ในเรือนเพาะชำขนาดต่างๆ 4 หลัง ใช้ชื่อ CP CACTUS ซึ่งมีแคคตัสเกือบ 20 สายพันธุ์ โดยตนเองคิดวิธีผสมข้ามสายพันธุ์ จนได้ต้นแคคตัสที่มีสีสันแปลกแหวกแนวและสวยงามไม่เหมือนกับที่อื่น โดยทุกวันนี้มีจำนวนกว่า 1 หมื่นต้น ถ้าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท  

นายธนารัตน์  “แชมป์” บอกถึงเรื่องการตลาดว่าตนเองใช้ชื่อเฟซบุ๊ก Champ Tanarat ทำการไลฟ์สดขายต้นแคคตัส ซึ่งก็ได้รับความนิยมมียอดสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ บางวันเคยมีรายได้หลักแสนก็ยังมี นอกจากนี้ก็ยังมีพ่อค้าคนกลางชาวจีนมาตั้งโต๊ะไลฟ์สดแบบจับเสือมือเปล่าเอาสินค้าจาก CP CACTUS ไลฟ์สดขายสินค้าไปยังกลุ่มชาวจีนที่นิยมชื่นชอบแคคตัสอีกด้วย 

นายธนารัตน์  “แชมป์” กล่าวปิดท้ายว่าทุกวันนี้ประสบความสำเร็จมีรายได้เป็นกอบเป็นกำและยังเชื่อมั่นว่าตลาดของแคคตัสยังคงไปได้ต่ออีกนาน

สำหรับท่านใดที่สนใจอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดูงานสามารถติดต่อได้ที่ เฟซบุ๊ก Champ Tanarat หรือโทร 098-6989698 , 064-5644665

สิทธิพจน์  พิจิตร 

เก่งหยุดไม่อยู่!! นักเรียนมัธยมเมทนีดล จังหวัดขอนแก่น สร้างผลงานชิ้นที่สอง “โรบอทใบหม่อน” ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ปราบโควิด-19

มัธยมเมทนีดลเรียนล้ำหน้าเกินห้องเรียน หลังสร้างนวัตกรรมสุดล้ำ “โรบอทใบหม่อน” ผลงานชิ้นที่สอง หุ่นยนต์เคลื่อนที่ส่งของพร้อมปราบโควิด-19 ด้วยรังสี UVC ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เคลื่อนที่เสถียร 360 องศา บังคับด้วยรีโมทผ่านจอทันสมัย ปลอดภัยต่อผู้ใช้ มีประสิทธิภาพฉายรังสี UVC Sterilizer ลดการแพร่กระจายเชื้อด้วย UVC light disinfection robot ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค เชื้อจุลชีพ แบคทีเรียในห้องปฏิบัติการ และไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมบริการส่งของและดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ลดความเสี่ยงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

โดยผู้อำนวยการโรงเรียนเมทนีดลผู้นำพลังปัญญาเชิงบวก ดร.อรทัย สันติเมทนีดล พร้อมคณะคุณครูต่างชาติ-ไทย นักเรียนและบุคลากร รายงานว่า โรงเรียนเมทนีดลมองการณ์ไกลไปมาก และเรามีวิสัยทัศน์ชัดเจน ต้องการมุ่งสร้างนักเรียนที่ดี เก่ง ทั้งคนและงาน เป็นพลโลกที่สมบูรณ์ทั้งกายใจ

โดยนำวิชา AI : Artificial Intelligence หรือวิชาปัญญาประดิษฐ์ และวิชา Health and Medical Education หรือสุขอาชีวะอนามัยศึกษาและการแพทย์เบื้องต้น เข้าสู่กระบวนการจัดการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษา เพื่อให้นักเรียนได้แสดงศักยภาพและสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับความรู้ในศาสตร์อื่นๆ ได้ หรือการช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต หรือต่อยอดสู่สังคมและโลกของเราได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดว่า ไม่นานนักเรียนต้องเรียนรู้ด้านการเเพทย์ เเละยังช่วยเหลือบุคลากรทางการเเพทย์ได้อีก ทั้งวิชาปัญญาประดิษฐ์ที่เมทนีดลดำเนินงานหลายปีก่อนหน้าการเเพร่ระบาดนั้น ทั้งงาน AI สิ่งประดิษฐ์และงานวิจัยที่เผยแพร่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนมาเสมอ และความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญของเรา

ในสถานการณ์และวิกฤตการณ์โลกการแพร่ระบาดโคโรน่าไวรัส-19 นี้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้อย่างตั้งใจขึ้นอีกครั้ง และโรงเรียนเมทนีดลได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือที่เข้มแข็งด้วยดีเสมอมา จากอาจารย์คเณศ ถุงออด ประธานหลักสูตรภาควิชาเมคาทรอนิกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ ผศ.ดร.เกสร วงศ์เกษม อาจารย์ประจำภาควิชาเมคาทรอนิกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสารคาม ที่ได้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิและสอนการสร้างหุ่นยนต์ แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในวิชา AI : ปัญญาประดิษฐ์

และโรงเรียนเมทนีดลพร้อมแบ่งปันน้ำใจแด่องค์กรที่รักเราและดูแลเราด้วยดีเสมอมา คุณหมอเเละบุคลากรทางการเเพทย์ต้องปลอดภัย เพื่อได้ดูแลพลเมืองของเราต่อไป โรงเรียนเมทนีดลเคียงข้างเสมอ ดร.อรทัย กล่าว

ด้านเด็กชายณัฎฐ์ นาคบรรพต จิตร์โต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตัวแทนนักเรียนกล่าว่า สำหรับการสร้างโรบอทใบหม่อน เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในครั้งนี้ผมภูมิใจมากๆ เพราะว่านอกจากผมได้เรียนรู้และสนุกไปด้วย ผมได้ช่วยคุณหมอที่โรงพยาบาลและช่วยผู้ป่ายโควิดที่ต้องการกำลังใจมากๆ ครับ และผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือในสถานการณ์วิกฤตโลกนี้ด้วย และผมจะตั้งใจศึกษาเรียนรู้ต่อยอดงานด้าน AI ต่อไป เพื่อได้ช่วยเหลือผู้คนต่อไปครับ

‘คิม นัมจุน’ หรือ RM แร็ปเปอร์หนุ่มจากวง BTS ถือเป็นศิลปินที่มีความสามารถเป็นเลิศแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการร้องเพลง ทักษะภาษา รวมทั้งการเรียน!

‘คิม นัมจุน’ หรือที่แฟนๆ เรียกกันว่า RM แร็ปเปอร์หนุ่มจากวง BTS บอยกรุ๊ปที่โด่งดังทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ นัมจุนถือเป็นศิลปินที่มีความสามารถเป็นเลิศแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน ภาษา และการร้องพลง

สมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายอัพกูจอง นัมจุนถือว่าเป็นตัวท็อปในเรื่องการเรียน เพราะมักสอบได้คะแนนระดับต้นๆ ของโรงเรียนอยู่เสมอ ซึ่งในช่วงมัธยม นัมจุนมีคะแนนสอบ PSAT หรือคะแนนสอบเพื่อเตรียมความพร้อมสอบ SAT ใช้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่สูงมาก และติดอันดับในกลุ่มคนที่ได้คะแนนท็อประดับ 1.3% ของประเทศ ในหลายๆ วิชา เช่น วิชาภาษาเกาหลี คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ และสังคมศึกษา เรียกว่าคะแนนที่ได้ในตอนนั้นสามารถใช้ยื่นเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ได้เลย

ย้อนไปสมัยชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นัมจุนยังเคยสอบภาษาอังกฤษ TOEIC ได้ถึง 850 คะแนนอีกด้วย

นัมจุนมีความสามารถด้านภาษาขั้นเทพ เพราะพูดได้ถึง 4 ภาษา คือ เกาหลี อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น 

นอกจากนี้ คิมนัมจุน ยังเป็นตัวแทนวง BTS กล่าวสุนทรพจน์ในฐานะทูตสันถวไมตรีแคมเปญ Love Myself ของ UNICEF (ยูนิเซฟ หรือองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ) บนเวทีการประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (UN) 2018


ที่มา: https://www.dek-d.com/studyabroad/50411/
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top