Sunday, 6 July 2025
POLITICS

'นายกฯ' ถก 'ออท.ชิลี' หนุน ภาคเอกชน ขยายการลงทุนร่วม พร้อมให้ความร่วมมือ แก้โควิด-19 เร่ง ผลักดันแนวทางร่วมมือเศรษฐกิจ พร้อม ต้อนรับผู้แทน ชิลีร่วมเวทีเอเปคในไทย

ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอเล็กซ์ ไกเกอร์ ซอฟเฟีย (H.E. Mr. Alex Geiger Soffia) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตชิลีฯ ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ในประเทศไทย โดยไทยและชิลี มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมายาวนาน ซึ่งจะครบรอบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ หวังว่าเอกอัครราชทูตชิลีฯ จะสานต่อความร่วมมือระหว่างกันทุกมิติ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี ด้านการค้า การลงทุน ความร่วมมือทางสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความร่วมมือในกรอบพหุภาคีในเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยสามารถประสานมายังรัฐบาลผ่านกระทรวงการต่างประเทศได้เสมอ

นายธนกร กล่าวว่า เอกอัครราชทูตชิลีฯ รู้สึกยินดีที่ได้มาดำรงตำแหน่งประจำประเทศไทย และขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นจากนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยไทยและชิลีมีความร่วมมือกันในทุกมิติ ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่น ซึ่งจะครบรอบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ และชิลียังเห็นไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของชิลีในภูมิภาค เอกอัครราชทูตชิลีฯ ยืนยันสานต่อความร่วมมือทั้งทวิภาคีและพหุภาคีให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ทั้งทางการค้า การลงทุน ความมั่นคง และความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตชิลีฯ เห็นพ้องกันว่า ความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับชิลียังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก พร้อมยินดีสนับสนุนให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศขยายการลงทุนซึ่งกันและกัน พร้อมใช้ประโยชน์สูงสุดจาก FTA ไทย – ชิลี ซึ่งอัตราภาษีของสินค้าทุกรายการจะลดเป็นร้อยละศูนย์ในปีหน้า และจะช่วยเพิ่มพูนมูลค่าการค้ารวมระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีระบุว่า ภาคเอกชนไทยเล็งเห็นถึงศักยภาพของชิลี และสนใจเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในสาขาการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน ซึ่งเอกอัครราชทูตชิลีฯ ยินดีที่ภาคเอกชนไทยสนใจลงทุนในด้านนี้

นายธนกร กล่าวว่า ความร่วมมือทางวิชาการ ไทยและชิลีต่างยินดีที่ความร่วมมือทางวิชาการในกรอบไตรภาคีร่วมกับอาเซียน มีส่วนเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการพัฒนาและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ นายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันเผยแพร่องค์ความรู้ในสาขาที่ฝ่ายชิลีมีความเชี่ยวชาญ อาทิ การปลูกพืชควินัว การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

“หัวหน้าเศรษฐกิจใหม่” แจงหลัง “มิ่งขวัญ” ลาออกกลางสภาฯ เผย ร่วมรัฐบาล เหตุจุดยืนเรื่องปกป้องสถาบัน ยัน ไม่ได้รับกล้วย 

ที่รัฐสภา นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ แถลงกรณีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ประกาศลาออกกลางสภาฯ ว่า พรรคให้เกียรติสมาชิกพรรคและ ส.ส. ทุกคน การจะขับใครออกต้องมีความผิดชัดเจน ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาขอร้องให้ขับก็จะขับได้ แต่จะต้องมีการกระทำความผิด ดังนั้นเราจึงไม่ได้ขับออก ส่วนเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมพรรครัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมาก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ แต่พอดำเนินงานไปแล้วมีปัญหาเรื่องจุดยืนในการปกป้องสถาบัน จึงกลับมาพูดคุยกับสมาชิกพรรค ซึ่งจุดยืนของพรรคคือปกป้องสถาบัน ถ้าเราเพิกเฉยจะไม่ถูกต้อง กรรมการบริหารพรรคจึงมีมติมาร่วมรัฐบาลเพื่อปกป้องสถาบัน และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ การเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถเอานโยบายมาปฏิบัติจริงได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นนโยบายของพรรค เราจึงคิดว่าถ้ามาร่วมรัฐบาลก็จะสามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ของพรรคมาสู่การปฏิบัติจริงเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เรื่องรถยนต์ดัดแปลง เขตเศรษฐกิจพิเศษ และผู้ลี้ภัยสงคราม

นายมนูญ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนี้การทำงานของรัฐบาลจะมีปัญหามาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ การจัดเก็บภาษีลดลง รายได้ของประชาชนน้อยลง ผู้ประกอบการหลายรายปิดธุรกิจ ซึ่งตนได้ปรึกษากับนายกรัฐมนตรีว่า นโยบายเศรษฐกิจต้องได้รับการแก้ไข ต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง เราก็เยียวยาไม่ไหว จุดยืนของพรรคคือต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ด้วยข้อจำกัดในการเก็บรายได้ของภาครัฐที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ เราก็พยายามผลักดันให้รัฐนำเงินที่มีอยู่มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราพยายามประคับประคองเสถียรภาพของรัฐบาล ตอนนี้ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องประสบปัญหาเรื่องการจัดเก็บภาษีเหมือนกันหมด เราจึงพยายามผลักดันให้รัฐบาลส่งเสริมธุรกิจใหม่ๆ และพืชเศรษฐกิจ

“บิ๊กป้อม” ประชุมจัดทำแนวทางเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทางสังคม

ที่ห้องประชุม สมช. ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกระทรวงกลาโหม ในฐานะโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 1 / 65 ผ่านระบบ VTC 

โดยที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น ความคืบหน้าการจัดทำ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ( พ.ศ.2566 - 2570 ) การประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคงของไทย ปี 65 และการพัฒนาความรู้และความร่วมมือทางวิชาการความมั่นคง

จากนั้น ได้ร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ (ร่าง) แนวทางเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทางสังคม เพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ยึดมั่นทางสายกลาง ร่วมแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี  โดยแนวทางดังกล่าว นำไปสู่การระบุหาและลดปัจจัยเสี่ยงต่อการนำไปสู่แนวคิดที่ยึดหลักการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และเพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมมีความตระหนักรู้ และสามารถปรับตัว มีความยืดหยุ่น ให้อยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความแตกต่างที่หลากหลาย  ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการป้องกันและตอบสนองต่อปัญหาความรุนแรงในทุกรูปแบบที่เกิดขึ้น 

"สุชาติ"โพสต์อีกครั้ง เดือดหมาไม่เคยทิ้งเจ้าของ มีแต่เจ้าของขอบเอาหมาไปทิ้งปล่อยวัด ทำให้หลงทาง ถูกทำร้าย เล่านิทานให้เห็นภาพ "ขุนศึกคู่กาย กับแม่ทัพอัลไซเมอร์"

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ผอ.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก อีกครั้ง ระบุว่า “ครับ ที่ผ่านมาชีวิตจริง ผมไม่เคยเห็นหมาตัวไหนมันทิ้งเจ้าของ เห็นมีแต่เจ้าของนั้นแหละที่ชอบเอาหมาไปทิ้ง ไปปล่อยวัด มีเหตุผลไม่กี่ข้อที่หมาจะหายไปนั้นก็คือ "หลงทาง" กับการ "ถูกทำร้ายบาดเจ็บ" จนถูกบ้านหลังใหม่ เก็บเอาไปเลี้ยง

เช้านี้ ผมมี "นิทานพงศาวดาร" ฉบับย่อเรื่อง "ขุนศึกคู่กาย" เป็นข้อมูลที่ผมอยากจะให้ทุกๆท่านได้ฟังจากปากของผมเอง ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ เวลา 08.40 น. ทางช่อง 9  ฟังนิทานผมแล้ว ระวังเจ้าของหมาอาจจะ "เสียหมา" ซะเอง

นายสุชาติ ระบุด้วยว่า นิทานพงศาวดาร เรื่อง "ขุนศึกคู่กาย กับแม่ทัพอัลไซเมอร์"  เช้านี้ผมได้เล่านิทานผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย inside Thailand และนี่คือเนื้อหาข้อมูลทั้งหมด  นานมาแล้ว มีขุนศึกกับแม่ทัพ คู่นึง ขุนศึกรักเคารพ แม่ทัพเหมือนพี่คนนึง สั่งให้ไปรบไปที่ไหน ไม่เคยปฏิเสธ สู้ตายถวายหัวทุกสนามรบ แม้กระทั่งวันที่ไม่เหลือขุนศึกคนอื่นเลย ที่สำคัญส่วนใหญ่ขุนศึกคู่กายคนนี้ รบชนะทุกครั้ง วันนึงขุนศึกคู่กาย ขอกลับมาดูแลครอบครัว และเรือกสวนไร่นาที่ทิ้งไปนาน เลยบอกแม่ทัพว่า ขอวางมือ ปรากฎว่า 3 ปีที่แล้ว มีสงครามใหญ่ แม่ทัพเรียกขุนศึกคู่กาย มาพูดคุยด้วยว่า ขอให้มาช่วยกันถ้าแพ้ศึกครั้งนี้เค้าและครอบครัวจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ด้วยความรักและเคารพในตัวแม่ทัพ ขุนศึกคู่กายยอมทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งไร่นาสวน มาร่วมรบอีกครั้ง โดยการรบครั้งนี้ แม่ทัพให้ขุนศึกรับผิดชอบ 3 หัวเมืองหลัก ที่เหลือเป็นหน้าที่แม่ทัพรับผิดชอบ

นายสุชาติ ระบุต่อว่า  ก่อนออกรบ แม่ทัพรับปากว่า ถ้าชนะศึกจะปูนบำเหน็จให้ กระทั่งผลออกมา พอรบเสร็จ ขุนศึกรบชนะทั้ง 3 หัวเมือง ส่วนแม่ทัพแพ้ราบคาบทุกหัวเมืองหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ปรากฎว่าแม่ทัพเป็นอัลไซเมอร์ สิ่งที่รับปากไว้ลืมหมด รวมถึงเมื่อขุนศึกกลับบ้าน ไร่นา ครอบครัวเสียหาย แม่ทัพกลับไม่มีแม้แต่การเหลียวแล  ขุนศึกก็ต้องก้มหน้าดูแลตัวเองไป แต่เชื่อมั้ยว่า วันนึงสิ่งศักดิ์สิทธิมีจริง เจ้าเมือง มาเจอขุนศึกคนนี้ ซึ่งบาดแผลเพิ่งจะตกสะเก็ดจากการสู้รบ สืบทราบจากชาวบ้านว่าเป็นนักรบมีฝีมือ มีความซื่อสัตย์ สู้รบด้วยการไม่คิดถึงชีวิตตัวเองและครอบครัว จึงปูนบำเหน็จให้เป็น เสนาบดี เหตุนี้เอง ขุนศึกจึงทำงานตอบแทนเจ้าเมืองด้วยความซื่อสัตย์ ถวายหัว ผลงานเป็นที่ประจักษ์  ผมขอถามทุกท่านกลับไปว่า เป็นขุนศึกจะถวายหัวให้ เจ้าเมืองที่เห็นคุณค่าในตัวขุนศึก หรือ แม่ทัพอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นคุณค่า??? และที่สำคัญ ขุนศึกผู้นี้ปลูกข้าวกินเองมาตลอด ไม่ได้กินข้าวของแม่ทัพ เหมือนขุนศึกคนอื่นๆ

"นายกฯ"ผู้ว่าฯ แนะ ปชช.ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค หลังยอดโควิดนิวไฮ 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งสร้างการรับรู้ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการป้องกันการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้ติดเชื้อให้ได้โดยเร็วที่สุด และรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดโดยอาศัยกลไกในระดับพื้นที่อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำหมู่บ้านและชุมชน ในการสื่อสารทำความเข้าใจและติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 รวมถึงจัดเตรียมเผชิญเหตุกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  เพิ่มขึ้นสูงกว่า 18,000 ราย  

รวมทั้ง ดำเนินมาตรการควบคุมการลักลอบเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมายตามแนวชายแดน พื้นที่ตอนใน และหมู่บ้าน อย่างเคร่งครัด บูรณาการและประสานการปฏิบัติกับกองกำลังป้องกันชายแดน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ตรวจสอบบุคคลแปลกหน้าที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน ชุมชน และสถานประกอบการ โรงงานในพื้นที่ไม่ให้มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย  พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวด ในการขยายผลการจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าประเทศ โดยเฉพาะนายหน้าผู้นำพา และสถานประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เรียกรับผลประโยชน์และนำเข้าแรงงานต่างด้าวให้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด  

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 รายใหม่วันนี้ รวม 18,066 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 17,898 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 168 ราย ผู้ป่วยสะสม 451,042 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 หายป่วยกลับบ้าน 12,511 ราย หายป่วยสะสม 333,829 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 149,589 ราย เสียชีวิต 27 ราย ล่าสุดการให้บริการวัคซีน โควิด -19  สะสมอยู่ที่ 121,035,637  โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 52,985,894 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 49,362,891 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 17,274,877 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 1,411,975 โดส  ในขณะที่จากรายงานล่าสุดเมื่อวันที่  17 ก.พ. 65 ฉีดวัคซีนแล้ว 120,702,893 โดส และทั่วโลกแล้ว 10,460 ล้านโดส ใน 205 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 941.9 ล้านโดส โดยกรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนเข็ม 1 มากสุด (112.5%)

สภาเดือด!! ปมเหมืองทองอัครา’ หลัง ‘ผู้กองเบิร์ด’ ลุกตอบ!! ทำ ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ ประท้วงวุ่น อยากจี้ ‘บิ๊กตู่’ ให้ตอบเอง

ศึกซักฟอกวันที่สองระอุ! ส.ส. พปชร. ลุกขึ้นแจงปมเหมือนทองอัคราแทน “บิ๊กตู่” ด้าน ส.ส. เพื่อไทย-ก้าวไกลดาหน้าประท้วงวุ่น ชี้ ส.ส. อย่างจุ้น จี้ นายกฯ ตอบเอง

18 ก.พ. 65 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณา "ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี" วันที่สอง โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม

‘ผู้กองเบิร์ด’ ร.อ.จองชัย วงศ์สายทอง ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องการสั่งระงับการทำเหมืองทองคำชั่วคราวทั่วประเทศ รวมถึงเหมืองทองอัคราว่า มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายบางประการที่คลาดเคลื่อนตนจึงขอชี้แจงให้ที่ประชุมเข้าใจ เรื่องความชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งเพื่อระงับข้อพิพาทในการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบเหมืองแร่ทองคำ หากย้อนเวลากลับไปก่อนมีคำสั่งระงับชั่วคราวนั้น ข้อพิพาทเรื่องเหมืองทองคำถูกสะสมมายาวนาน หลายสมัยรัฐบาล มีปัญหาประท้วง การคัดค้านการทำเหมืองและปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยรอบ โดยเฉพาะกรณีเหมืองทองอัครา

ทั้งนี้น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้อภิปรายรัฐบาลในประเด็นคดีเหมืองทองอัคราลุกขึ้นประท้วงร.อ.จองชัยว่า ตนได้อภิปรายซักถามไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ตนไม่ได้ถามส.ส. ดังนั้นขอให้ประธานที่ประชุมวินิจฉัยการอภิปรายของร.อ.จองชัยด้วย จากนั้นนายศุภชัย กล่าวว่า ญัตตินี้สมาชิกทุกฝ่ายมีสิทธิ์เสนอแนะข้อเท็จจริง และเสนอปัญหาต่อรัฐมนตรี ซึ่งร.อ.จองชัยก็มีสิทธิ์เสนอข้อมูลที่อาจไม่ตรงกัน ก็ให้สภาฯ และประชาชนเป็นผู้พิจารณา

ด้านร.อ.จองชัย ได้อภิปรายต่อว่า มีคณะแพทย์กลุ่มหนึ่งไปตรวจพบปัญหาจากการสุ่มตรวจประชาชนรอบเหมือง โดยตรวจพบสารพิษในเลือดและโลหะหนักหลายร้อยคน ซึ่งข้อเท็จจริงก็ไม่ทราบว่าเป็นผลโดยตรงจากการทำเหมืองแร่หรือไม่ อย่างไรก็ตามหากเป็นท่านอาศัยบริเวณรอบเหมือง เละมีประชาชนเจ็บป่วยจะคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด หากท่านเป็นรัฐบาลและมีอำนาจสั่งการในตอนนั้นจะทำอย่างไร การที่พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจเลือกใช้มาตรา 44 เพื่อหยุดยั้งความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมถือว่าเหมาะสมแล้ว แสดงถึงความเป็นผู้นำ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วม และประชาชนเป็นสำคัญ และต้องเป็นการใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการใช้กฎหมายปกติก็ไม่ทราบว่าผลตรวจสอบจะเสร็จสิ้นเมื่อใด จึงต้องใช้กฎหมายพิเศษ มันเป็นเรื่องเร่งด่วน และการออกกฎหมายดังกล่าวก็ถูกต้องตามหลักนิติธรรม มีเหตุผลถูกต้อง ไม่ใช่ลุแก่อำนาจเพื่อรังแกบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) แต่ปฏิบัติต่อเหมืองแร่ทองคำทุกแห่งเท่าเทียมกัน เป็นการระงับการดำเนินการชั่วคราว ไม่ใช่การปิดเหมือง ส่วนหลักอนุญาโตตุลาการ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ดสามารถเรียกร้องค่าเสียหายเราได้ และเป็นสิทธิ์ของไทยตามปกติที่ต้องจ้างทนายความต่อสู้คดี และอนุญาโตตุลาการเป็นทางเลือกในการระงับข้อพิพาท ไม่ใช่การถูกฟ้องในศาลระหว่างประเทศ กระบวนการมุ่งให้มีการมีการเจรจาประนีประนอม หลายคดีก็ถอนฟ้องยอมความกัน ไม่ได้ระบุว่าใครแพ้ใครชนะ ยอมกันทั้งสองฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่ร.อ.จองชัย อภิปรายนั้น นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นประท้วงนายศุภชัยให้ควบคุมการประชุมว่าการที่ร.อ.จองชัยดำเนินการเป็นการชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้อยู่ในญัตติ โดยนายศุภชัยพยายามชี้แจงว่าสมาชิกแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์นำเสนอข้อมูลของตนเองในที่ประชุมได้ และเป็นสิทธิ์ของสมาชิกชี้แจงได้

ขณะที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า ตนอยากถามนายกฯ ว่า จะมอบหมายให้สมาชิกตอบแทนท่านหรือไม่ จริงๆ แล้วท่านต้องเป็นคนตอบเอง ท่านรับรองในคำพูดของสมาชิกหรือไม่ อยากให้นายกฯ ได้ตอบว่าจะอนุญาตให้เอาข้อมูลที่สมาชิกนำเสนอเป็นข้อมูลที่ท่านตอบหรือไม่ หรือว่าท่านจะตอบเองในเรื่องเหมืองทองอัคราที่เสียหายหลายแสนล้าน ทำให้นายศุภชัย กล่าวว่า นายพิเชษฐ์จะประท้วงก็ประท้วง ไม่ใช่การอภิปราย ก่อนนายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ตามข้อบังคับไม่มีใครขวางท่านประธานได้เลย ท่านประธานวินิจฉัยแต่คำเดิม ซึ่งท่านเบี่ยงเบนข้อบังคับของที่ประชุมมาหลายครั้งแล้ว ประธานต้องเป็นกลาง และต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของสภาฯ อย่างเคร่งครัด

จากนั้นนายกฯ กำลังจะลุกขึ้นชี้แจง แต่นายศุภชัย ได้ห้ามไว้ พร้อมระบุว่า “ร.อ.จองชัย ยังอภิปรายไม่จบ ท่านนายกฯ ใจเย็นๆ รอนะครับ เมื่อประธานวินิจฉัยแล้วถือว่าเป็นเด็ดขาด ซึ่งตามข้อบังคับสามารถอภิปรายสนับสนุนและคัดค้านได้ ดังนั้นร.อ.จองชัย จึงสามารถอภิปรายสนับสนุนหรือคัดค้านได้”

ร.อ.จองชัย กล่าวช่วงท้ายต่อว่า รัฐบาลทำถูกแล้ว เพราะการเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ในการนำข้อมูลลับในทางคดี มันขัดต่อหลักกฎหมายอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งส.ส.ฝ่ายค้านเคยอ้างอิงนำข้อมูลความลับมาเปิดเผย ตนขอตั้งคำถามว่าเป็นการสุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ อาจจะเสียหายต่อรูปคดีและนำไปสู่ประเทศชาติหรือไม่ ส่วนการเจรจาไกล่เกลี่ยเกิดการประนีประนอมควบคู่กับการดำเนินการตามอนุญาโตตุลาการนั้น ก็เป็นวิธีการปฏิบัติโดยปกติสากลทั่วโลกทำกัน ดังนั้นการที่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำอีก 44 แปลง ก็เป็นการอนุญาตตามคำขอเดิมที่เคยยื่นขอไว้แล้ว ไม่ใช่การนำประโยชน์หรือแผ่นดินของชาติไปยกให้แต่อย่างใด ตนจึงขอเรียนข้อมูลที่ถูกต้องให้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง 

'โฆษกรัฐบาล' เผย 'บิ๊กตู่' พอใจภาพรวม ครม. ชี้แจงสภาอภิปรายทั่วไป ย้ำ ไม่ต้องการสร้างความแตกแยก ห่วงใยทุกปัญหาที่ กระทบประชาชน 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม พอใจภาพรวมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี  ในวันแรก 17 ก.พ.ซึ่ง ครม. สามารถชี้แจงตอบคำถามของ ส.ส. ด้วยข้อมูลที่ชัดเจน พร้อมฝากขอบคุณทุกเสียงสะท้อนที่ชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่มีการเตรียมตัว เตรียมพร้อมข้อมูลชี้แจงในรัฐสภามาอย่างดี  ซึ่งนายกรัฐมนตรี ย้ำไม่ต้องการสร้างความแตกแยก  ซึ่งการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตร 152 ในวันที่ 17-18 ก.พ. 65 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี  ดังนั้น อะไรดีก็รับฟัง เมื่อไม่ดี ก็ตรวจสอบ  ขอให้มั่นใจว่า นายกรัฐมนตรีตั้งใจแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกเรื่อง ให้สอดคล้องกับการใช้จ่ายงบประมาณ  ตามกรอบวงเงินและกฏหมายที่มีอยู่

‘ชัยวุฒิ’ คลายปมแย้งบ้านใหญ่ชลบุรี เชื่อ!! ไม่กระทบ ‘พลังประชารัฐ’

18 ก.พ. 65 ที่รัฐสภา นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวถึงภาพรวมการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ว่า การอภิปรายผ่านไปได้ดี เป็นโอกาสดีที่ได้ชี้แจงกับประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีตอบคำถามได้ทุกเรื่อง ทั้งปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องที่ฝ่ายค้านร้องเรียนรัฐบาลก็ได้นำไปแก้ไข เพื่อดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งถือว่าช่วยกันทำงาน

ส่วนปัญหาบ้านใหญ่ชลบุรี ระหว่างนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มองว่า เป็นเรื่องปกติทางการเมือง และมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดการแข่งกัน จะได้ช่วยกันพัฒนาจังหวัดให้ดียิ่งขึ้น

‘จิราพร’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ยกทรัพยากรชาติ ‘คิงส์เกต’ จี้ เปิดเผยค่าโง่หากไทยแพ้คดีเหมืองทองอัครา

“จิราพร” ซัด “บิ๊กตู่” แร่เนื้อเถือแผ่นดินให้ “คิงส์เกต” จี้ เปิดเผยค่าโง่หากไทยแพ้คดี พร้อมแฉ 11 รายการไทยขอประนีประนอม หวั่นพื้นที่สำรวจแร่ทับซ้อนที่อุทยานฯ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันที่สอง โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงคดีเหมืองทองอัคราตอนหนึ่งว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการเลื่อนออกคำชี้ขาดไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ถามว่าการเลื่อนแต่ละครั้งใครขอเลื่อน เลื่อนเพราะอะไร ใครได้หรือเสียประโยชน์ เพราะมีข้อสังเกตว่าพอเลื่อนอ่านคำชี้ขาด ไม่นานประเทศไทยจะทยอยคืนสิทธิการทำเหมือง เพิ่มพื้นที่สำรวจแร่ทองคำ และให้สิทธิอื่นๆ เกือบทุกครั้ง และตั้งแต่ประเทศไทยถูกบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด หรือ “คิงส์เกต” ฟ้องร้อง รัฐบาลไทยไม่เคยชี้แจงต่อประชาชนเลยว่าคิงส์เกต ฟ้องร้องไทยประเด็นใดบ้าง และเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ จากการเทียบเคียงกรณีเหมืองทองในประเทศเวเนซุเอลา ที่มีความคล้ายคลึงกันประเมินได้ว่า ถ้าไทยแพ้คดีจะต้องจ่ายขั้นต่ำประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยบอกว่าเป็นตัวเลขที่คาดการณ์ไปเอง หากเป็นเช่นนั้นตนขอถามว่าทำไมไม่กล้าบอกความจริงกับประชาชนว่าคิงส์เกตเรียกว่าค่าเสียหายเท่าไหร่ 

“อย่าอ้างว่าตอบไม่ได้เพราะเป็นความลับที่อนุญาโตตุลาการไม่ให้เปิดเผย เพราะในแถลงการณ์ของคิงส์เกตที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 61 ระบุว่า อนุญาโตตุลาการให้กระบวนการพิจารณาเป็นความลับ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามการทำหน้าที่ตามกฎหมาย การตอบคำถามส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติ เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบไม่ได้ อีกทั้งกระบวนการตอนนี้อนุญาโตตุลาการพร้อมอ่านคำชี้ขาดแล้ว แต่มีการขอเลื่อนไปเรื่อยๆ” น.ส.จิราพร กล่าว 

น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า สรุปแล้วรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์กับคิงส์เกต จะขอยกเลิกกระบวนการอนุญาโตตุลาการหรือจะเดินหน้าเจรจากัน หรือเลือกที่จะไม่เจรจา แต่จะสู้คดีกันจนถึงที่สุด หากไทยเลือกสู้คดีจนถึงที่สุดก็มีโอกาสแพ้คดีสูงมาก และต้องจ่ายค่าโง่ในรูปแบบเงิน ทองคำ หรือทรัพยากรประเทศ ซึ่งตรงกับข้อมูลของคิงส์เกตที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 โดยระบุว่าคิงส์เกตมีโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่สำเร็จจากชั้นอนุญาโตตุลาการ หากการเจรจากับไทยไม่สามารถสรุปผลสำเร็จได้ หมายความว่าเขามั่นใจว่าถ้าตัดสินชี้ขาด เขาจะชนะคดีแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบคือพล.อ.ประยุทธ์หรือประเทศ พล.อ.ประยุทธ์จะควักเงินตัวเองจ่ายหรือเอางบประมาณแผ่นดินไปจ่าย

น.ส.จิราพร อภิปรายอีกว่า ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงตรงไปตรงมา ว่าการเปิดทางให้คิงส์เกตนำผงเงิน ผงทองคำ ที่ถูกอายัดไว้ไปขาย การให้สิทธิสำรวจแร่เกือบ 4 แสนไร่ การให้สิทธิประทานบัตร 4 แปลง เป็นส่วนหนึ่งของการประนีประนอมเจรจายอมความหรือไม่ คดียังไม่ถึงที่สุดรัฐบาลก็ให้สิทธิเปิดเหมืองทำต่อ และคาดว่าที่รออนุญาตเกือบ 6 แสนไร่ จะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่คดีพิพาทในเหมืองเดิมพื้นที่ 3 พันกว่าไร่ ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ตอนนี้นอกจากจะได้พื้นที่เดิมคืนยังได้สิทธิใหม่เพิ่มเติม เท่ากับต้องใช้สมบัติชาติเฉียด 1 ล้านไร่ เพื่อสังเวยค่าโง่จากการใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัครา

“รายการเหล่านั้นเป็นข้อแลกเปลี่ยน ในการเจรจาประนีประนอมยอมความกันหรือไม่ คำตอบอยู่ในแถลงการณ์ของคิงส์เกต ต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 ระบุว่า คิงส์เกตและรัฐบาลไทย ได้ร่วมกันร้องขอคณะอนุญาโตตุลาการ ชะลอคำชี้ขาดไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 64 เพื่อขยายเวลาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาหาข้อยุติข้อพิพาทร่วมกัน และคิงส์เกตได้เจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อพิจารณาข้อตกลง ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนมีทั้งหมด 11 รายการ ตรงนี้ชัดเจนว่ามีการเจรจาประนีประนอมยอมความกัน” น.ส.จิราพร กล่าว

'ไทยสร้างไทย' โว!! ชาวอีสาน ชู 'สุดารัตน์' เป็นนายกฯ มั่นใจในความสามารถ ไม่มีประวัติโกง

'พงศกร' โว ชาวอีสาน ชู 'สุดารัตน์' เป็นนายกฯ มั่นใจในความสามารถ ไม่มีประวัติโกง พร้อมกู้วิกฤติ ชี้ มีนโยบายปลดปล่อยประชาชน จากรัฐราชการรวมศูนย์

18 ก.พ. 65 - นายพงศกร อรรณนพพร ประธานคณะกรรมการบริหารพื้นที่พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า พรรคไทยสร้างไทยยังคงรับฟังความทุกข์ยากของประชาชนอย่างต่อเนื่อง คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย นำคาราวานสร้างไทย 77 จังหวัด ลงพื้นที่ยโสธรและอุบลราชธานี เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนถึงปัญหาในทุกมิติ ซึ่งพี่น้องประชาชนให้การตอบรับ และพร้อมสนับสนุนพรรคไทยสร้างไทยให้เข้าไปแก้วิกฤติชาติบ้านเมือง ที่สำคัญยังเห็นตรงกันว่าคุณหญิงสุดารัตน์ มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ให้กับพี่น้องชาวอีสาน และพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพราะเป็นคนเก่ง คิดเป็น ทำได้ และทำงานที่ยากๆ สำเร็จเป็นรูปธรรมมาแล้วหลายโครงการ เช่น เป็นผู้วางแผนแม่บทรถไฟฟ้าในกรุงเทพที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ตั้งแต่ปี 2538 ทำโครงการเครือข่ายทางด่วนใยแมงมุมเชื่อมโยงการเดินทางให้คนกรุงเทพ ตอนเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่อยู่สี่ปีเต็ม รับมอบหมายให้ทำนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค มาปฏิบัติจนสำเส็จ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องการทุจริต

‘สุรเชษฐ์ ก้าวไกล’ ชี้ รัฐอุ้มเจ้าสัวรถไฟฟ้าทำค่าโดยสารแพง ลั่น! ต้องกล้าชนทุนใหญ่คลอดตั๋วร่วม-ค่าโดยสารร่วม

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่อาคารรัฐสภา นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายเป็นการทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ต่อกรณีปัญหาค่าเดินทางของประชาชนที่สูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมันและราคาค่าโดยสารรถสาธารณะ

โดยนายสุรเชษฐ์ ระบุว่าหากไล่ดูสถิติตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศเมื่อปี 2562 จะเห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มาจนประมาณกลางปี 2563 ก็ขึ้นอีกครั้ง และสูงขึ้นเป็นพิเศษในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า

แม้จะกล่าวได้ว่ามีปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ต้องไม่ลืมว่าต้นทุนเนื้อน้ำมันคิดเป็นเพียง 40-60% ของราคาน้ำมันเท่านั้น และยังมีส่วนของภาษีและกองทุนต่างๆ และค่าการตลาด ที่เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งรัฐบาลบริหารจัดการราคาได้อย่างล้มเหลว จนราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันขึ้นมาจาก 17 เป็น 33 บาท หรือแพงขึ้นถึง 94%

นายสุรเชษฐ์ ยังอภิปรายต่อไปถึงกรณีของค่าทางด่วน ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน เหตุเพราะมีการคิดราคาโดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง และรัฐบาลยังเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใหญ่ โดยการเจรจาระงับข้อพิพาทที่ยังไม่สิ้นสุดคดีความ ภายใต้เงื่อนไขให้เอกชนเก็บเงินต่อไปอีก 15 ปี 8 เดือน ทั้งๆ ที่สิ้นสุดสัญญาสัมปทานไปแล้ว โดยล่าสุด เมื่อ 1 ธันวาคม 2564 ค่าทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ยังมีการขึ้นไปอีก 30%

นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบการเดินทางยังมีราคาที่สูงขึ้น จากผลสำรวจพบว่าค่าเดินทางของประชาชนแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในกรณีรถไฟฟ้า เฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 17% ของเงินเดือน 15,000 บาท รถตู้สาธารณะ คิดเป็น 14% เรือคลองแสนแสบคิดเป็น 11% รถเมล์ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่สุดก็ยังมีราคาที่สูง โดยรถเมล์ปรับอากาศคิดเป็น 11% รถเมล์ธรรมดาคิดเป็น 8% และเรือด่วนเจ้าพระยา คิดเป็น 8%

นอกจากนั้น บริการขั้นพื้นฐานอย่างรถเมล์ ยังมีราคาค่าโดยสารที่สูงกว่าคุณภาพการบริการ จากปี 2534 ที่ราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 3.5 บาท มาถึงปี 2564 ราคาค่าโดยสาร 8 บาทแล้ว แต่ 30 ปีผ่านไป คนไทยยังต้องใช้บริการรถเมล์แบบเดิมหรือกระทั่งคันเดิม เพราะรัฐบาลมัวแต่หากินกับการสร้างรถไฟฟ้า การขยายสัมปทาน แต่ละเลยรถเมล์

>> อัดรัฐบาลแบ่งเค้กหากินกับรถไฟฟ้า ทำค่าโดยสารพุ่ง-ซ้ำเติมความลำบากประชาชน

นายสุรเชษฐ์ ยังได้ยกตัวอย่างระหว่างการอภิปราย โดยระบุว่าในชีวิตของชนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีเงินเดือน 15,000 บาท อย่างเช่นเจ้าหน้าที่ ข้าราชการสภา หรือผู้ช่วย ส.ส. สมมุติว่ามีบ้านอยู่แถวอ่อนนุชและต้องมาทำงานที่สภา

คนๆ นั้นจะต้องตื่นตั้งแต่ 6:00 น. ออกจากบ้านก่อน 6:45 น. เริ่มต้นด้วยรถสองแถว เพราะรถเมล์น้อยและต้องรอนาน จากบ้านไป BTS อ่อนนุช 9 บาท ต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก BTS อ่อนนุช ไป BTS หมอชิต อีก 44 บาท ต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT สวนจตุจักร ไป MRT บางโพ อีก 24 บาท เมื่อใกล้ถึงสภาก็รอรถเมล์นานเดี๋ยวมาสาย ก็ต้องยอมจ่ายค่าขึ้นมอเตอร์ไซด์ บางวันเก็บ 20 บาท บางวันเก็บ 40 บาท แล้วแต่ดวงและตำแหน่งที่ลง รวมใช้เวลาเดินทาง 1.5-2 ชั่วโมง ใช้เงินทั้งสิ้น 107 บาท ในการเดินทางขามาอย่างเดียว

ส่วนขากลับ แม้จะเลิกงาน 16:30 น. แต่โดยมากก็จะได้กลับจริงประมาณ 18:00 น. เป็นช่วงที่สามารถเน้นการเดินทางราคาถูกกว่าได้เพราะไม่ต้องรีบแล้ว คนๆ นั้นต้องใช้เวลาเดินทาง 1.5-2.5 ชั่วโมง เริ่มที่รถเมล์สาย 3 จากสภา ไป BTS สะพานควาย 8 บาท ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก BTS สะพานควาย ไป BTS อ่อนนุช 44 บาท ตามด้วยรถสองแถว จาก BTS อ่อนนุชไปส่งแถวบ้าน อีก 9 บาท กว่าจะถึงบ้านก็ประมาณ 20.00 น. แล้ว ขากลับทั้งหมดรวมเป็น 61 บาท

ทั้งหมด รวมขาไปและขากลับ รวมเป็นค่าใช้จ่าย 168 บาท/วัน หรือคิดเป็น 56% ของค่าแรงขั้นต่ำ หรือหากคิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท ก็ยังถือว่าสูงมาก เป็นค่าใช้จ่ายถึง 22.4% ของเงินเดือน

“นี่ขนาดเงินเดือน 15,000 แล้วผู้มีรายได้น้อยหรือไม่มีรายได้ล่ะจะอยู่อย่างไร? ขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ถูกกว่านี้มากก็ขึ้นไม่ได้เพราะอยู่ไกลจากสถานี นอกจากแพง แล้วยังนานอีก ต้องเสียเวลาชีวิต 3-4 ชั่วโมง/วัน นี่ล่ะครับ ชีวิตคนกรุงเทพ เดินทางลำบาก ทั้งแพงและนาน ชีวิตจริงเป็นแบบนี้ ชนชั้นกลางหรือผู้มีรายได้น้อยส่วนมากไม่สามารถซื้อคอนโดติดสถานีรถไฟฟ้าได้ทุกคนนะ” นายสุรเชษฐ์กล่าว

นายสุรเชษฐ์ยังอภิปรายต่อไป ว่าสาเหตุที่รถไฟฟ้าราคาแพงเช่นนี้ เป็นเพราะมีค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน เสียค่าแรกเข้า 15 บาท และมีค่าระยะทางอีก 2 บาทกว่า ทั้งหมดเป็นผลมาจากการหากินกับรถไฟฟ้า เจรจาเป็นสายๆ แบ่งผลประโยชน์กันเป็นรายๆ โดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง

ทั้งที่การคิดราคา หากเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ต้องคิดจากจุด ‘ต้นทาง’ ไป ‘ปลายทาง’ ไม่ใช่แค่จากสถานีรถไฟฟ้าหนึ่งไปยังอีกสถานีรถไฟฟ้าหนึ่ง เช่น การขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 8 สถานี ค่าโดยสารควรคิดเหมือนกับการขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 4 สถานี แล้วต่อสายสีน้ำเงินอีก 4 สถานีเท่านั้น 

>> แนะอุดหนุนขนส่งสาธารณะเพิ่ม “อย่างมีเหตุผล” - อัดรัฐเน้นแต่สร้างรถไฟฟ้า ไม่เหลียวแลรถเมล์

นายสุรเชษฐ์ยังอภิปรายต่อไป ว่าสำหรับประชาชนหลายคน การมีรถยนต์เป็นของตัวเองจึงเป็นความฝันหนึ่งที่จะทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ด้วยความคิดว่าจะทำให้การเดินทางถึงไว ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน แต่ในชีวิตจริงไม่ง่ายเช่นนั้น

เพราะสำหรับผู้ใช้รถ การขึ้นทางด่วนหรือไม่ล้วนมีความต่างไม่มาก เพราะทั้งแพงกว่าและใช้เวลาไม่ต่างกันมาก และแม้จะด้านเทียบค่าใช้จ่ายกับเวลาแล้วการขับรถคุ้มค่ากว่าการเดินทางสาธารณะก็จริง แต่การมีรถก็ยังเป็นภาระอันหนักอึ้ง เมื่อเทียบกับเงินเดือน 15,000 บาท เพราะต่อให้มีเงินดาวน์เยอะหรือผ่อนได้นาน ค่าผ่อนรถอย่างถูกสุดก็เฉลี่ย 6,256 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 42% ของเงินเดือน

‘เพื่อไทย’ ซัด 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ล้มเหลว ทำการเมืองพัง - ศก.เหลว - ไร้คำตอบส่วนต่างวัคซีน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศว่า 8 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศล้มเหลว สร้างวิกฤตการเมือง นำพาแต่หายนะทางเศรษฐกิจ จนประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า พร้อมตั้งคำถาม ‘ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่พลเอกประยุทธ์จะลาออก-ยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน?’

>> เศรษฐกิจพัง ประชาธิปไตยหาย: ขโมยอำนาจไป แต่บริหารบ้านเมืองไม่เป็น 
จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วยอำนาจจากปลายกระบอกปืน ก่อนจะประกอบร่างสร้างอำนาจตนเองด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 จนนำมาสู่การสั่งสมอำนาจ ผ่านสมาชิกวุฒิสภาและองค์กรอิสระได้สำเร็จนั้น สะท้อนได้ว่ารัฐธรรมนูญไทยปัจจุบันนั้นกำลังขัดแย้งกับประชาธิปไตยสากลอย่างชัดเจน 

นั่นจึงหมายความว่า ประชาชนคนไทยต้องทุกข์ทนกับวิกฤตการเมืองมาตลอดตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศบ้านเมือง โดยประเสริฐระบุว่า “ในยุครัฐธรรมนูญ 2560 ของพลเอกประยุทธ์ถือเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองทำสัญญากับประชาชนผ่านนโยบายหาเสียง แต่เมื่อได้อำนาจแล้วกลับไม่ทำตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็น สัญญาให้ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท, เด็กจบใหม่ ป.ตรี ขั้นต่ำ 20,000 บาท อาชีวะ ขั้นต่ำ 18,000 บาท หรือ ลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดา 10%” 

8 ปีที่ผ่านมา การบริหารเศรษฐกิจของประเทศก็มีแต่ตกต่ำและถดถอยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 ขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์มุ่งทำคือ มีแต่ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนี้สาธารณะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ยอดหนี้สาธารณะก็ใกล้ชนกับเพดานที่กำหนดไว้ ดังนั้น วิธีแก้ของพลเอกประยุทธ์จึงเป็นการขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้สูงขึ้นแทน ซึ่งผลที่ตามมาคือ หนี้ครัวเรือนและหนี้ต่อหัวของประชากรสูงขึ้นตามไปด้วย 

โดยเฉพาะสัดส่วนความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน โดยตัวเลขจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลก กล่าวคือคนรวยเพียง 10% ถือครองทรัพย์สินมากถึง 77% 

“ตั้งแต่ที่ท่านเข้ามาบริหารประเทศเศรษฐกิจของประเทศก็ทรุดต่ำลงเรื่อยๆ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวยสูงขึ้นโดยลำดับ กลุ่มทุนขนาดใหญ่นับวันจะรวยขึ้น แต่ประชาชนระดับฐานรากกลับจนลงทุกวัน เมื่อมาเจอปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหวลงไปอีก ท่านไม่มีมาตรการหรือวิธีการใด ที่จะกอบกู้ระบบเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้เลย เพราะต้นตอของปัญหาของเรื่องนี้คือ การเอาผู้นำทหารที่ไม่มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ประเสริฐกล่าว

‘ก้าวไกล’ ชี้เป้า!! ‘ไอ้โม่ง’ ปกปิด ‘ASF - หมูแพง’ นั่งข้าง ‘ประยุทธ์’ หยัน ไม่มีน้ำยาปรับ ครม. ก็ออกไป

17 ก.พ. 65 ที่รัฐสภาในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตาม มาตรา 152 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล อภิปรายในประเด็นความล้มเหลวฉ้อฉลในการจัดการโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) และปัญหาหมูแพง โดยระบุว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงโรคระบาดเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และเพื่อไม่ให้เกิดการกินรวบอุตสาหกรรมสุกร 

>> ราคาหมูทะยานสูง-ลงเร็ว ไม่ใช่ความปกติ

“ราคาเนื้อหมูแพงขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ และลดลงอย่างผิดปกติหลังการประกาศเจอโรค ASF เหตุการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 หมูเนื้อแดงจาก 125 บาท ขยับขึ้นเป็น 136 บาท ในเดือนพ.ย. ต่อมาเป็น 165 บาท ในเดือน ธ.ค. และร้ายแรงที่สุดในเดือน ม.ค. 65 คือ 190-220 บาท สำหรับหมูเนื้อแดง และสาหัสที่สุดคือ 260-300 บาท สำหรับหมูสามชั้น สวนทางกับดัชนีราคาเนื้อสุกรของโลก หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ราคาเนื้อหมูหยุดปรับขึ้นและค่อยๆ ปรับตัวลดลง จุดตัดสำคัญอยู่ที่เดือนมกราคม 65 คือ วันที่การเปิดเผยว่ามีโรคระบาด ASF ในประเทศไทย นำมาสู่การตรวจสอบการกักตุนเนื้อสุกรในห้องเย็นตั้งแต่กลางเดือนมกราคมเป็นต้นมา จากการตรวจสอบพบหมูในห้องเย็น 1,366 แห่ง มีหมูเก็บหมู 24.66 ล้านกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย”

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลออกมาเคลมผลงานว่า แก้ไขปัญหาได้ถูกจุด แต่ต้องย้ำว่า การที่ราคาทะยานขึ้นสูงและลดลงอย่างรวดเร็วได้ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นความชั่วร้ายของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ที่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ปี 62-64 ท่องตามโพยอยู่อย่างเดียวว่า “ประเทศไทยไม่มี ASF” ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า “ไม่รู้ว่าหมูแพงได้อย่างไร” สั่งการขึงขัง ตรึงราคา ตั้ง War room ทุกจังหวัด ตรวจสอบห้องเย็น หลอกพี่น้องประชาชนว่าแก้ปัญหาได้แล้ว

“มันคือละครตบตาคนไทยทั้งประเทศ เพราะจริงๆ แล้วคณะรัฐมนตรีรู้มานานแล้วว่ามีโรคระบาด ASF และมีคนจำนวนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี จึงแสวงหาความร่ำรวย เหยียบย่ำพี่น้องประชาชนผู้บริโภคและเกษตรรายเล็กรายน้อย บางคนล้มละลาย หนี้สินท่วมหัว บางคนเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต ความเสียหายย่อยยับเกิดขึ้นในฟาร์มขนาดย่อย ขนาดกลาง และขนาดใหญ่บางที่ แต่ทุนใหญ่ไม่กระทบมากเพราะมีหมูขายไม่อั้น ทุกคนต้องวิ่งหาหมูจากทุนใหญ่ เพราะไม่มีหมูของรายย่อยเหลือแล้ว กินรวบ เบ็ดเสร็จ ฟาร์มขนาดใหญ่กำลังเพิ่มการผลิต ขึ้นฟาร์มใหม่กันเต็มไปหมด เพราะรู้มาตลอดว่ามีการระบาด และรู้ด้วยว่าจะทำกำไรได้มหาศาล ถ้าใครมีหมูในช่วงปลายปี 64 และสามารถกักตุนไว้ในห้องเย็นต่างๆ ได้”

>> ตั้งธงอย่าให้รู้ว่า ASF ระบาด 

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า ทั่วโลกมีองค์ความรู้และแนวปฏิบัติในการกำจัดของ ASF คือ การแจ้งเตือนสถานการณ์การระบาด (Alertness), ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ (Cooperation) และ ความโปร่งใสในการรายงาน (Transparency) แต่ประเทศไทยไม่มีสักอย่างและทำตรงข้ามกันหมด เพราะมีธงตั้งไว้อย่างเดียว ว่าทำยังไงก็ได้ ไม่ให้รู้ว่ามีการระบาด 

“ผมกล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร ผมจะแสดงให้ดูว่า รัฐบาลนี้ทำอะไรกับพวกเราบ้าง ปี 2562 รู้ว่ามี ASF และเสนอเป็นวาระแห่งชาติ แต่ไม่มีผลงาน ไร้น้ำยา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแจ้งในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ในหนังสือฉบับนี้ อ้างอิงถึง 3 คน คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรกรฯ และรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ทราบแล้ว ดังนั้น อย่ามาบอกไม่รู้  

“ปี 2563 เริ่มมีสุกรตาย มีการทำลายหมู สหกรณ์เชียงใหม่ ลำพูน พังย่อยยับ ตั้งแต่ปี 2563-2564 มีมติ ครม. ออกมาชดเชยค่าทำลายหมู 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท ทำลายหมูไปแล้ว 300,000 ตัว จะไม่เจอ ASF สักตัวเลยหรือ ที่อ้างว่า ทำลายเพราะโรค PRRS แต่โรค PRRS เป็นโรคประจำถิ่นที่มีวัคซีนใช้กันมานานแล้ว และก่อนหน้าประเทศไทยไม่เคยมีการทำลายหมูเพราะโรค PRRS นับแสนตัวมาก่อน แต่หลังปี 2562 ทำลายหมูจำนวนมากโดยบอกว่าเพราะ PRRS จึงเป็นเรื่องที่ฟังดูตลกมาก 

“จบปี หมูตายไป 300,000 ตัว แต่รัฐบาลตบตาเกษตรกรจัดงานเลี้ยงในปี 2563 เห็นรัฐมนตรีเกษตร เฉลิมชัย ศรีอ่อน ท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์ ไปยืนยิ้ม ประกาศว่า ประเทศไทย คือ ประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ยังไม่พบการระบาดของโรค ASF ในสุกร โดยในปีนั้นประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังประเทศกัมพูชาในปริมาณสูงกว่าปี 2562 อย่างก้าวกระโดดถึง 400% จะไม่ให้ตัวเลขการส่งออกเติบโตได้อย่างไร เพราะประเทศเพื่อนบ้านติดโรคกันหมด มีแต่บ้านเราที่หลอกขายคนอื่นไปทั่ว แถมปิดปีด้วยงานเลี้ยงฉลองยอดการส่งออก จนนึกว่าท่านอธิบดีนี่เป็นผู้จัดการบริษัท แต่พอ เข้าปี 2564 การระบาดลงมาที่ภาคตะวันออกและตะวันตก กลายเป็นเอาไม่อยู่แล้ว ฟาร์มขนาดใหญ่เสียหาย เพราะ ปี 2563 ปกปิดข้อมูลไว้จนหมูเสียหายย่อยยับ เกิดการหนีตาย ระบายหมูขายกันถูกๆ ตัวละ 300-500 พ่อค้าคนกลางกดราคาหน้าฟาร์มกันอย่างเต็มที่ แต่ราคาเนื้อแดงหน้าเขียงราคาเดิม รวยขึ้นกันมหาศาล ด่านกักสัตว์ก็ผ่านกันอย่างสบาย ช่วงเร่งๆ จ่ายกันถึงคันละ 10,000 บาท โดยไม่มีใครสนว่าจะกระจายโรคแค่ไหน เพราะรัฐมนตรีและอธิบดีกรมปศุสัตว์ท่องไว้อย่างเดียวว่า ไม่มี ASF” 

‘มิ่งขวัญ’ ประกาศลาออกจาก ส.ส. ระหว่างการอภิปรายซักฟอกรัฐบาล 

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ ประกาศลาออกกลางสภา โดยกล่าวในตอนท้ายของการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงคะแนนว่า “ผมขอลาออก หลังอภิปรายจะเดินไปยื่นหนังสือกับประธานสภาฯ ผมจะออกไปทำหน้าที่นอกสภา ออกไปพิสูจน์ว่าแม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขหรือไม่”

'แรมโบ้' ฟาด 'สุทิน  - หมอชลน่าน' อับจนปัญญา จนต้องคอยรับใช้นักโทษหนีคดี รู้ทั้งรู้ว่าเขาหลอกใช้ ระวังจะเสียคนตอนแก่ เหมือนรุ่นพี่ ๆ .

ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) กล่าวถึงกรณีทางด้านพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ทำการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามม.152 ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ. ซึ่งทางด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน ได้ให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า การอภิปรายในครั้งนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับประชาชน จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับการบริหาร เปลี่ยนแปลงในระดับรัฐมนตรี และอาจจะถึงขั้นเปลี่ยนแปลงผู้นำ เพราะเกิดวิกฤตศรัทธาขั้นรุนแรง หลังจากนี้มีอาฟเตอร์ช็อกแน่นอน

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่หนักใจ ไม่ให้ราคานั้น อาจเป็นเพราะไม่มีการลงมติ ท่านเลยเบาใจ ไม่ต้องเข็นกล้วยออกจากสวน แต่อย่าลืมว่ามือในสภาไม่เท่าศรัทธาของประชาชน ซึ่งการไม่ลงมติในครั้งนี้ถือว่าดีกับฝ่ายค้านมากกว่า เพราะถ้าลงมติมือเราก็แพ้พวกคุณ แต่ถ้าไม่ลงมติก็ไม่ได้มีข้อบ่งชี้ว่าใครแพ้ ใครชนะ แต่ทุกครั้งหลังการอภิปรายจะมีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งฝ่ายค้านจะได้คะแนนดีกว่ามาตลอด ส่วนรัฐบาลจะสอบตก” 

ดร.เสกสกล บอกว่าตนเองนั่งฟัง สิ่งที่นายสุทินให้สัมภาษณ์หลายรอบ และก็อ่านที่สื่อมวลชนเขียนข่าวนี้ก็หลายครั้ง ก็ยังแปลกใจว่านายสุทิน ไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่าทุกครั้งที่มีการอภิปรายแล้วผลสำรวจ ปรากฏว่าคะแนนฝ่ายค้านดีกว่าฝ่ายรัฐบาล เพราะที่ตนเองเห็นนั้นหลังการอภิปรายทุกครั้ง ประชาชนจะสะท้อนออกมาว่า การทำงานของฝ่ายค้านนั้น ไม่เอาไหน มีแต่เรื่องเดิม ๆ กล่าวหา โจมตี บิดเบือน ปล่อยเฟคนิวส์ ในสภา  แล้วอาศัย เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง จนประชาชนเอาเอือมระอา กันไปทั่ว ไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงบอกเสียเวลา เปลือง น้ำ เปลืองไฟ ของสภา หากเปิดสภาอภิปรายแล้วทำได้แค่นี้อย่าเปิดมันเลยดีกว่า  

ขณะที่ทางด้าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา เช่นกัน ที่ขึ้นเปิดหัวอภิปราย กล่าวหารัฐบาล ก็เป็นการกล่าวหาเดิม ๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เปิดสภากี่รอบ ก็ออกลีลาแบบนี้ กล่าวหา แต่ไม่เคยเอาหลักฐานอะไรมาแสดงให้เห็นได้สักครั้ง กล่าวหาว่ารัฐบาลสารพัดล้มเหลวทุกด้าน บริหารไร้จิตสำนึก เผด็จการ ต้นเหตุของปัญหา แล้วก็ลงท้ายด้วยการให้ลาออก หรือยุบสภา  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top