Thursday, 9 May 2024
NEWS

ทิสโก้ ชี้หุ้นไทยปีนี้ฟื้นจาก 3 ปัจจัยบวก ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้น, นโยบายการเงินผ่อนคลายหรือ QE และนโยบายโจ ไบเดนหนุน คาดสิ้นปีอาจเห็นดัชนีแตะ 1,600

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบ COVID-19 ทำให้ตลาดหุ้นไทยปีที่แล้วปรับตัวลง 8% และเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% สำหรับมุมมองหุ้นไทยในปีนี้ บล.ทิสโก้ คาดว่า หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจากปีที่แล้วจาก 3 ปัจจัยบวก คือ

1.) การฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยบล.ทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะกลับมาเติบโต 3.4% จากปี 2564 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 6.3%

ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 2564 คาดว่าจะฟื้นตัวแรง 34% ขณะที่ปี 2563 คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยจะติดลบ 38% สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นแรงมาจากกำไรในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของกำไรตลาดโดยรวมจะเติบโต 79% และ 25% ตามลำดับ ขณะที่ปี 2565 คาดกำไรโดยรวมจะเติบโตอีก 16% อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้เต็มที่หลังมีวัคซีน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

2.) นโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายมากเมื่อเทียบกับในอดีต หรือการทำ QE โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ปรับเป้าหมายนโยบายการเงินไปใช้ “อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย” ที่ 2% ซึ่งจะทำให้ FED สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้นานกว่าในอดีต ทั้งการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง จากการประเมินคาดว่า FED จะอัดฉีดสภาพคล่องในปีนี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ

3.) นโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่มีแผนการใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม ขณะเดียวกัน นโยบายต่างประเทศของไบเดนที่ประนีประนอมกว่าทรัมป์ และคาดการณ์ข้างหน้าได้ง่ายกว่าทรัมป์ น่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก และช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้

จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว ทางบล.ทิสโก้ จึงได้ประเมินดัชนีหุ้นไทยที่เหมาะสมในปี 2564 ที่ 1,450-1,590 จุด โดยในครึ่งปีหลังมีโอกาสสูง ที่จะเหวี่ยงตัวขึ้นไปใกล้ ๆ ระดับ 1,600 จุด หรือเทียบเท่าตอนสิ้นปี 2562 ก่อนที่ COVID-19 จะระบาด

‘นายสุชาติ ชมกลิ่น’ วอนผู้ประกอบการนำแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายมาขึ้นทะเบียนได้ตั้งแต่ 15 มกราคม - 13 กุมภาพันธ์ เชื่อว่าแรงงานที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายเมื่อเข้าสู่ระบบจะเป็นประโยชน์กับกลุ่มประมง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2464 ว่า ในส่วนของแรงงานเถื่อนนั้นหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อาจไม่เข้าใจ บางกลุ่มอาจจะอยู่ในประเทศไทยหลายปีแล้ว ซึ่งผิดเอ็มโอยู ผิดนายจ้าง เป็นแรงงานเถื่อน ที่ไม่ได้เดินทางกลับประเทศ แต่ไม่ได้เป็นการมุดเข้ามาตามแนวชายแดนทั้งหมด ดังนั้นคำว่าแรงงานเถื่อนอย่าเหมารวมว่าเป็นการมุดเข้ามาทั้งหมด เพราะเรามีเจ้าหน้าที่ดูแลตามด่านถาวร วันนี้ขอฝากขบวนการหรือคนที่นำพาแรงงานเข้ามา ต้องนึกถึงความเป็นอยู่และความปลอดภัยของคนไทยด้วย ที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว กระทรวงแรงงานได้มีการตรวจสถานประกอบการและอำนาจหน้าที่ ซึ่งเราให้ความเป็นธรรมกับทุกคน

ส่วนการดำเนินการกับสถานประกอบการที่นำแรงงานเถื่อนไปทอดทิ้ง รมว.แรงงาน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี สั่งการและกำชับให้กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทยแก้ปัญหา ซึ่งอยู่ในระหว่างการผ่อนผัน แต่ต้องยอมรับความจริงว่าการที่จะบอกให้สถานประกอบการนำแรงงานทั้งหมดมาตรวจโควิด-19 เพื่อตรวจสอบควบคุมโรค คงไม่มีใครกล้านำมาให้ตรวจทั้งหมด จึงจำเป็นต้องมีมาตรการออกมาเพื่อนำเข้าสู่ระบบ เพื่อไม่ให้สถานประกอบการขาดแรงงาน ขณะเดียวกันจะได้มีการตรวจคัดกรองโรคอย่างเข้มงวด จากนั้นแรงงานทั้งหมดจะเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย หรือรายงานที่อยู่ใต้ดิน ให้ขึ้นมาอยู่บนดินอย่างถูกต้อง ถือเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น จากนั้นก็จะมีการแก้ปัญหาระยะกลางและระยะยาวต่อไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผน

เมื่อถามว่าปัจจุบันการจ้างงานในส่วนของแรงงานประมงมีความขาดแคลนจำนวนมากจะแก้ปัญหาอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาทางสมาคมประมง ได้มาพบและขอให้ผ่อนผันเพราะแรงงานประมงไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม แรงงานประมงทุกคนที่มีอยู่ผ่านการคัดกรองอย่างถูกต้อง และยืนยันว่าไม่มีผิดกฎหมายอย่างแน่นอน แต่เมื่อคนงานกลับประเทศปัญหาการขาดแคลนแรงงานย่อมเกิดขึ้น

ซึ่งในขณะนี้ยังอนุญาตให้นำเข้าไม่ได้ เพราะการที่จะอนุญาตให้นำคนจากต่างประเทศเข้ามาเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ความพยายามนำแรงงานที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทย เข้าสู่ระบบก็จะเป็นประโยชน์กับกลุ่มประมง เพราะหลังจากทำบัตรสีชมพูเสร็จ จะสามารถเข้าสู่แรงงานประมงได้ เสียเงินอีกเพียง 100 บาท เพื่อขึ้นทะเบียนประจำเรือ

ทั้งนี้ ระหว่าง วันที่ 15 มกราคม - 13 กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่รัฐบาลผ่อนผันให้กับผู้ประกอบการ ที่มีแรงงานไม่ถูกต้องมาขึ้นทะเบียน และหลังจากวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไปรัฐจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดจึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือ เราจะทำทุกอย่างเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง

‘ลุงตู่’ เตรียมพาเด็ก ๆ เข้าทำเนียบ พาทัวร์-ทำกิจกรรมร่วมกับตัวแทนเยาวชน นั่งเก้าอี้นายก พร้อมพูดคุยถึงการมีส่วนร่วมกับนโยบายรัฐบาล ผ่านคลิปวิดีโอ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีที ในวันเสาร์ที่ 9 ม.ค. น. เวลา 10.00 น.

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการจัดงานวันเด็กของทำเนียบรัฐบาล ว่า การจัดงานวันเด็กในวันเสาร์ ที่ 9 ม.ค.ในปีนี้ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้เปิดให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนปีที่ผ่านมา แต่จะรวบรวมกิจกรรมต่าง ๆ ทำเป็นคลิปวิดีโอ เพื่อออกอากาศสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีที ให้ประชาชนรับชมในช่วงเวลา 10.00 - 11.30 น.

ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้บันทึกเทปไว้เมื่อวันที่ 6 ม.ค. โดยช่วงแรกเป็นการทำกิจกรรมร่วมกับตัวแทนเยาวชน และพาเด็ก ๆ ชมห้องทำงานนายกฯ และนั่งเก้าอี้นายกฯ เหมือนเช่นทุกปี ในช่วงที่สองนายกฯ ได้พูดคุยกับเยาวชนที่เป็นตัวแทนเพื่อพูดถึงการมีส่วนร่วมกับนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีเรื่องสารคดี นิทานชุดคุณธรรม และส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงต่าง ๆ

วัคซีนป้องกันโควิดของอินเดีย ‘มั่นใจ’ ได้รึเปล่า? | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

วัคซีนป้องกันโควิดของอินเดียอนุมัติแล้ว แต่ ‘มั่นใจ’ ได้รึเปล่า?

.

โดนัลด์ ทรัมพ์ เตรียมรับชะตากรรมหนัก หลังเป็นส่วนหนึ่งในต้นเหตุการจราจลที่ส่อเค้าบานปลาย

ในที่สุด ม็อบผู้สนันสนุน โดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะกลายเป็นอดีตก็มาตามนัด อย่างที่ทรัมพ์เคยส่งสัญญาณประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 6 มกราคม 2021 ที่สภาคองเกรสในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่หลายคนเคยปรามาสว่า ยังจะมีแฟนคลับเดนตายของทรัมพ์เหลืออยู่สักเท่าไหร่ หลังจากที่ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 มีการรับรองอย่างเป็นทางการแล้วว่าผู้ชนะคือ นาย โจ ไบเดน ไม่มีพลิกโผ

แต่พอถึงเวลาช่วงบ่าย เริ่มประชุมสภารับรองนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ม็อบของเหล่าบรรดาแฟนคลับของทรัมพ์ก็มาชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภากันอย่างล้นหลามเต็มพื้นที่ บางส่วนมาพร้อมอาวุธปืน ชูป้ายสนับสนุนทรัมพ์ และไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย

จุดประสงค์ของการมาชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ เพื่อต้องการประท้วงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาว่ามีการทุจริต โกงคะแนนการเลือกตั้ง ตามที่โดนัลด์ ทรัมพ์เคยสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์มาโดยตลอดว่าเขาถูกโกง และมีการบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา จนสมาชิกผู้แทนหนีกันกระเจิง เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เกิดเสียงปืนดัง และมีผู้บาดเจ็บเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่โดนกระสุนปืน ภายหลังมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว

ม็อบทรัมพ์ ได้บุกยึดรัฐสภาได้กว่า 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการประกาศเคอร์ฟิวในเวลา 6 โมงเย็น และทางการจัดส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมาควบคุมสถานการณ์จนสงบเรียบร้อย จึงสามารถเปิดประชุมสภาต่อได้ในเวลา 2 ทุ่ม

วันนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความอัปยศอดสูของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ได้เห็นภาพของกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และใช้กำลังและอาวุธบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบการปกครองของสหรัฐ และมีการใช้ความรุนแรงจนเกิดความสูญเสีย

ฟากประธานาธิบดีทรัมพ์ ที่ตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของปัญหา แม้จะพยายามออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ ให้ร่วมชุมนุมกันอย่างสงบ และเคารพกฎหมาย แต่ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้ ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม ต่างระงับบัญชีผู้ใช้ของทรัมพ์เป็นการชั่วคราวแล้ว

และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้คลี่คลายลง ผลกระทบตามหลังย่อมสะท้อนกลับไปทางโดนัลด์ ทรัมพ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเขามีเวลาเหลือในตำแหน่งเพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์จนถึงวันที่ โจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม หลังจากนี้ โดนัลด์ ทรัมพ์ อาจต้องเจอพายุลูกใหญ่ จากคดีความค้างเก่าในการใช้คำสั่งประธานาธิบดีที่ศาลสูงบางรัฐพิจารณาว่าไม่ชอบด้วยกฏหมาย หรือยุยงปลุกปั่นจนเกิดความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิต ในวันที่เขาไม่มีสิทธิ์คุ้มกันในตำแหน่งแล้ว

ส่วนคนที่จะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ ไม่ต่างจากทรัมพ์ หนีไม่พ้นรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ที่เขาคาดหวังจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า แต่ภาพลักษณ์และการกระทำของทรัมพ์อาจฝังแน่นลงในประวัติชีวิตในการดำรงตำแหน่งที่ไม่อาจสลัดหลุดได้ แม้ว่า ไมค์ เพนซ์ ได้ออกมาทวิตเตอร์ประณามกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรง และแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต โดยเน้นย้ำว่าฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงจะไม่มีวันชนะ รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกัน ต่างออกมาปฏิเสธว่าม็อบในวันนี้ ไม่ใช่กลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ไม่เคารพกฎหมายที่ไม่อาจรับได้

และนี่อาจจะเป็นจุดแตกหัก แยกทางระหว่างทรัมพ์ และชาวรีพับลิกันแล้วก็เป็นได้

ส่วนทั่วโลกก็จับตาเหตุการณ์ในสหรัฐในมุมมองที่ต่างกันออกไป

ประธานาธิบดีเอมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิตัน ดี.ซี. วันนี้ ไม่สมกับชาวอเมริกันเลย” และยังโพสต์ต่อในทวิตเตอร์ว่า “พวกเราเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย”

สตีเฟ่น โลฟเวน นายกรัฐมนตรีสวีเดนออกมากล่าวว่า ทั้งประธานาธิบดีทรัมพ์ และ ชาวสภาคองเกรสหลายคนต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนี้

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ไม่พลาด ออกมากล่าวประณามความรุนแรงที่สภาคองเกรสว่าช่างเป็นซีนที่น่าหดหู่ใจที่ได้เห็น ยิ่งเกิดที่สหรัฐอเมริกา ประเทศที่กล่าวว่าเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยทั่วโลก ซึ่งไม่ควรเลยที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ในวันที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจ

ส่วนสำนักข่าว Global Times ของจีนรายงานความเห็นของชาวเน็ตจีน ที่มีต่อเหตุการณ์บุกยึดสภาคองเกรสของสหรัฐว่า เป็นเรื่องของกรรมเก่า ที่สหรัฐเคยสนับสนุนกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงให้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และวันนี้ก็ได้มาเจอกันตัวเอง โดยมามีการเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่ชาวม็อบฮ่องกงบุกทำลายสภาฮ่องกงเมื่อปี 2019 กับเหตุการณ์ที่สภาคองเกรสของสหรัฐในวันนี้อย่างประชดประชันว่า อยู่ฮ่องกงเรียกฮีโร่ แต่อยู่ที่สหรัฐเรียกผู้ก่อการร้าย

แต่เรื่องนี้จะเป็นกรรมเก่าของสหรัฐ กรรมใหม่ของทรัมพ์ หรือกรรมสะสมของโจ ไบเดน ที่จะต้องมีดูแลชาวสหรัฐที่มีความแตกแยกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไร และจากเหตุการณ์นี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศโลกที่ 3 หรือ ประเทศพัฒนาแล้ว หากประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ผิด ข่าวปลอม ข้อความในสื่อโซเชียลเต็มไปด้วยข้อความรุนแรง วาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง ความแตกแยกและความรุนแรงก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/us-news/2021/jan/06/trump-blows-up-us-democracy-the-world-watches-on-in-horror

https://www.aljazeera.com/news/2021/1/6/pro-donald-trump-protesters-storm-us-capitol

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1212074.shtml

https://abcnews.go.com/US/timeline-pro-trump-protesters-stormed-capitol/story?id=75096094

สภาคองเกรสยืนยันชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของ โจ ไบเดน หลังได้รับเสียง Electoral Vote เหนือกว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง 3 เสียงของรัฐเวอร์มอนต์ทำให้ ไบเดน ได้คะแนนเกิน 270 เสียง

ทั้งนี้ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรปฏิเสธการคัดค้านไม่ยอมรับคะแนนเสียงเลือกตั้งของรัฐจอร์เจียและเพนซิลเวเนีย ซึ่งไบเดนนำทรัมป์ พรรครีพับลิกันยังคัดค้านการรับรองคะแนนเสียงเลือกตั้งของรัฐแอริโซนา เนวาดา และมิชิแกน

“การรับรองคะแนนเสียงของประธานวุฒิสภา จะถือเป็นการประกาศที่เพียงพอแล้วว่า บุคคลที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นใคร วาระจะเริ่มต้นในวันที่ 20 มกราคม 2021” ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหลังจากการนับคะแนน Electoral Vote สิ้นสุดลง

การรับรองดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากผู้สนับสนุนทรัมป์ก่อการจลาจลโดยบุกเข้าไปในรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) ที่ผ่านมา โดยการประชุมของสภาคองเกรสในการรับรองคะแนนเสียงอย่างเป็นทางการหยุดชะงักเป็นเวลาหลายชั่วโมงเมื่อผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้ามา โดยขณะนั้นเพิ่งนับคะแนนไปได้เพียง 12 เสียงเท่านั้น

หลังเหตุการณ์คลี่คลายลง สภาคองเกรสได้ดำเนินการนับคะแนนต่อในเวลาประมาณ 20.00 น. และในที่สุดผลการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก็สิ้นสุดลง พร้อมกับชัยชนะของไบเดน ที่คะแนน 306 ต่อ 232 เสียง นั่นหมายความว่า โจ ไบเดน กลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการ

ด้าน แดน สกาวิโน (Dan Scavino) ผู้ช่วยด้านโซเชียลมีเดียของทรัมป์ ได้เป็นตัวแทนทวีต “คำแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” แทนเจ้าตัว เนื่องจากบัญชีทวิตเตอร์ถูกแบนชั่วคราว ความว่า

“แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงกับผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ข้อเท็จจริงก็ทำให้ผมเข้าใจ อย่างไรก็ตาม จะมีการส่งมอบตำแหน่งอย่างถูกระเบียบในวันที่ 20 มกราคม ผมพูดเสมอว่า เราจะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่ามีการนับเฉพาะคะแนนเสียงตามกฎหมายเท่านั้น แม้ว่านี่จะเป็นการสิ้นสุดวาระแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประธานาธิบดี แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง”


ที่มา: PPTV / CNN / The Guardian

ธนาคารออมสิน เร่งออกมาตรการด่วนช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร จำนวนกว่า 1.9 ล้านราย ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด เข้ามาตรการพักชำระเงินต้น ลดการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ระยะเวลา 3 - 6 เดือน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ลูกค้าของธนาคารออมสินในพื้นที่จังหวัด ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด/พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดรวม 28 จังหวัด หรือพื้นที่สีแดง ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถลงทะเบียนเข้ามาตรการช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่เดือดร้อนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ได้

โดยธนาคารจะพิจารณาให้ลูกค้าสามารถขอพักชำระเงินต้นไว้ก่อน โดยจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย หรือขอลดการจ่ายดอกเบี้ยบางส่วนได้ แล้วแต่กรณีขึ้นอยู่กับความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ ซึ่งมาตรการครั้งนี้มีระยะเวลา 3 - 6 เดือน

"จากข้อมูลลูกค้าของธนาคารพบว่า ในพื้นที่ 28 จังหวัดมีลูกค้าสินเชื่อของธนาคารจำนวนกว่า 1.9 ล้านราย วงเงินสินเชื่อกว่า 670,000 ล้านบาท ซึ่งการระบาดระลอกใหม่และพื้นที่ดังกล่าว ถูกกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด

คาดว่าจะมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาได้รับผลกระทบ ธนาคารจึงได้เร่งเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการช่วยเหลือผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ธนาคารจะติดต่อกลับเพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป" นายวิทัย กล่าว

ทั้งนี้ ลูกค้าสินเชื่อธนาคารออมสินในพื้นที่จังหวัดที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด/พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดรวม 28 จังหวัด สามารถลงทะเบียนเข้ามาตรการช่วยเหลือได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th พร้อมทั้งระบุข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการติดต่อให้ชัดเจนครบถ้วน เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนในวันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 นี้เป็นต้นไป

‘ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ย้ำชัด พยายามทำทุกอย่างไม่ให้มีบ่อน หากทำผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษทั้งหมด มั่นใจคณะกรรมการแก้ปัญหาบ่อนการพนัน ของนายกฯ ชุดนี้ ตอบโจทย์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเรื่องบ่อนการพนัน ว่า เราก็ทำไปทุกอย่างแล้ว พยายามทำทุกอย่าง และดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ตั้งบ่อนเหล่านี้ พยายามเอาคณะกรรมการต่าง ๆ มาดูแล เราก็ไม่อยากให้มีบ่อนหรอก

เมื่อถามว่า การที่มีภาพข่าวโต๊ะบ่อนการพนันร่วงบนถนน แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการที่เข้มข้นขึ้นกับบ่อนการพนันของเจ้าหน้าที่ในขณะนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่รู้หรอก ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษทั้งหมด

เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้ชื่อของผู้ที่จะมาเป็นประธาน คณะกรรมการแก้ปัญหาบ่อนการพนัน ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งให้ตั้งขึ้นหรือยัง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องไปถามนายกฯ และนายกฯ ไม่ได้มาหารือกับฝ่ายความมั่นคง เมื่อถามว่า การตั้งคณะกรรมการชุดนี้จะตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาบ่อนการพนันได้ดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตอบโจทย์อยู่แล้ว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (7 มกราคม พ.ศ.2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 305 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 9,636 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 รายรวมยอดผู้เสียชีวิต 67 ราย รักษาหายเพิ่ม 103 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,521 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 5,048 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 305 ราย เป็นเป็นคนไทย 1 ราย สัญชาติรัสเซีย 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากรัสเซีย 1 ราย ,ตุรกี 1 รายผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

เดินทางมาจากต่างประเทศ ผ่านเส้นทางธรรมชาติ

เป็นคนไทย 1 ราย จากเมียนมา

เข้ารับรักษาตัวที่ รพ.แม่สอด

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 193 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 109 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 172 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 385 ราย รักษาหายแล้ว 362 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.88 แสน ราย รักษาหายแล้ว 6.53 แสน เสียชีวิต 23,296 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.25 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.01 แสน ราย เสียชีวิต 513 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.28 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.11 ราย เสียชีวิต 2,785 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.81 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.49 แสน ราย เสียชีวิต 9,347 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,780 ราย รักษาหายแล้ว 58,541 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,505 ราย รักษาหายแล้ว1,353 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ม.หอการค้าฯ คาดวิกฤตโควิดระบาดระลอกใหม่ อาจกด GDP ปีนี้โตลดเหลือ 2.2% จากเดิมคาด 2.8% ชี้หากคุมสถานการณ์ได้ภายใน 1 เดือน จะสูญเสียทางเศรษฐกิจ 1-2 แสนล้านบาท แต่ถ้าคุมไม่อยู่ จะเสียหาย 3-6 แสนล้าน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศ ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นขึ้นนั้น อาจส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้เติบโตเหลือ 2.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิมที่ 2.8% จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาโควิดระบาด

ทั้งนี้ สถานการณ์ไม่ควรยืดเยื้อนานเกิน 3 เดือน ซึ่งรัฐบาลมีความจำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้อย่างน้อย 2 แสนล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งต้องมีมาตรการเพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนควบคู่ไปกับกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ซึ่งเห็นว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือ “มาตรการคนละครึ่ง” เพราะช่วยให้มีเม็ดเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อีกอย่างน้อย 2-3 เท่าตัว แต่ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้เงิน 4-6 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะติดลบหนักได้หากคุมสถานการณ์การระบาดไว้ไม่อยู่ และทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/64 มีโอกาสจะหดตัวมากถึง -11.3% แต่ปัจจุบัน ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 นี้ อาจจะหดตัว -4% และหากสถานการณ์การระบาดสามารถคลี่คลายได้ภายในไตรมาส 1 ก็มีโอกาสที่ GDP ไตรมาส 2 จะพลิกกลับมาขยายตัวได้ 8-10% ซึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อนด้วย

โดยทาง ทาง ม.หอการค้าไทย ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจไว้ใน 3 กรณี ดังนี้

1.) กรณีคุมสถานการณ์ได้ภายใน 1 เดือน ใช้ซอฟท์ ล็อกดาวน์) คาด GDP ปี 64 จะโตได้ 2.2% อัตราการว่างานอยู่ที่ 1.71% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 85% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 1-2 แสนล้านบาท

2.) กรณีคุมได้ภายใน 2 เดือน (ใช้ซอฟต์ ล็อกดาวน์ 1 เดือน+ฮาร์ด ล็อกดาวน์ 1 เดือน) คาด GDP ปี 64 จะโตได้ 0.9% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.76% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 86.1% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 2-4 แสนล้านบาท

3.) กรณีแย่ที่สุด คุมได้ภายใน 3 เดือน (ใช้ซอฟต์ ล็อกดาวน์ 1 เดือน-ฮาร์ด ล็อกดาวน์ 2 เดือน) คาด GDP ปี 64 จะหดตัว -0.3% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.81% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 87.2% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 3 - 6 แสนล้านบาท

National Association of Manufacturers (NAM) สมาคมที่เป็นตัวแทนขององค์กรธุรกิจกว่า 14,000 แห่งในสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, Pfizer และ Toyota Motor ได้เรียกร้องให้ พิจารณาปลด โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีทันที

หลังก่อหวอดให้เกิดความวุ่นวาย ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ

Jay Timmons ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NAM กล่าวว่า “ทรัมป์ ได้ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง เพื่อพยายามรักษาอำนาจและตำแหน่งของเขาไว้ และใครก็ตามที่กำลังปกป้องเขา เท่ากับกำลังละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ และปฏิเสธ ระบอบประชาธิปไตย”

ทั้งนี้ กำหนดวันลงจากทำเนียบขาวของ ทรัมป์ คือ วันที่ 20 มกราคม นี้ และโจ ไบเดน จะเข้าสาบานตน และรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างเป็นทางการ แต่จากเหตุการณ์นี้ ทำให้มีภาคธุรกิจ และสมาชิกสภานิติบัญญัติหลายคนในรัฐสภา เรียกร้องให้มีการแก้ไข้กฎหมายเพิ่มเติมเพื่อปลด 'ทรัมป์' ออกจากตำแหน่ง โดยทันที

สำหรับเหตุรุนแรงในสหรัฐ เกิดจากการที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์โซเชียลปลุกม็อบสหรัฐ ค้านการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จนเกิดความวุ่นวายที่รัฐสภา สหรัฐ


อ้างอิง : https://www.reuters.com/article/us-usa-elections-companies/corporate-group-urges-officials-consider-trumps-removal-to-preserve-democracy-idUSKBN29B2WR

 

เรื่องจริงที่มาเลเซีย ร้านอาหารตกแต่งสไตล์คอมมิวนิสต์จนกลายเป็นไวรัล แต่โดนดีถูกตำรวจเรียกซิวตัว

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

เหตุเกิดในจอร์จทาวน์ รัฐปีนัง

ตำรวจมาเลเซีย (PDRM) ได้เข้าตรวจสอบร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งได้รับแจ้งว่ามีการตกแต่งร้านในรูปแบบของลัทธิคอมมิวนิสต์ ร้านอาหารนี้มี 2 สาขา ในภาพคือสาขาปูเลาติกัส (Pulau Tikus) และอีกแห่งใน Auto City, Juru

โดยพบว่าภายในร้านมีการติดวอลเปเปอร์รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งในธีมคอมมิวนิสต์รวมถึงปรากฎใบหน้าของเหมาเจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน

รูปภาพของร้านอาหารถูกแชร์สู่โลกออนไลน์เมื่อวันเสาร์ที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็ว พร้อมตามมาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ตซึ่งเป็นไปในทางลบอย่างมาก

หลายคนเรียกร้องให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับเจ้าของร้าน บางคนถึงกับเรียกร้องให้ปลดสัญชาติเขาไปเลยทีเดียว! (โอ้โห...ใคร ๆ ก็ไม่ปลื้มคอมมิวนิสต์)

รายงานเพิ่มเติมจาก New Straits Times รายงานว่า หัวหน้าแผนกสอบสวนคดีอาญาของรัฐปีนัง ผู้ช่วยผู้บัญชาการอาวุโส นาย Rahimi Ra’ais ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

ทางตำรวจได้เข้าตรวจสอบทันทีหลังจากได้รับเรื่องและในการสอบถามเบื้องต้นพบว่า ร้านอาหารแห่งนี้เป็นของชายวัย 40 ปี แต่ยังไม่ได้สามารถพบตัวได้ในขณะนี้ เนื่องจากเขาอยู่ระหว่างการกักตัวโควิด -19 เป็นเวลา 14 วัน

Rahimi กล่าวว่า คดีนี้จะถูกสอบสวนภายใต้มาตรา 47 ในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อเข้าสู่สังคมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเข้าข่ายมาตรา 505 (b) ของประมวลกฎหมายอาญาสำหรับการจัดทำการเผยแพร่หรือเผยแพร่คำแถลงการณ์อันเป็นข่าวลือหรือรายงานใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความกลัวหรือความตื่นตระหนกสู่สาธารณะ

และภาพวอลเปเปอร์รวมทั้งของตกแต่งในร้านได้ถูกรื้อออกโดยตำรวจในเวลาอันรวดเร็ว (มาไวเคลมไวมาก)

สำหรับโทษที่ต้องได้รับในคดีดังกล่าว ภายใต้มาตรา 47 ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดนี้จะต้องถูกจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต

ในขณะเดียวกันผู้ที่พบว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 505 (b) ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึงสองปีหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นพวกฝักใฝ่ใจรักคอมมิวนิสต์หรือแค่พิเรนสร้างกระแสให้ร้านกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ เล่นแบบนี้ปังจริง ๆ ปังปินาศ! 555

Credit news story: https://www.thesundaily.my/local/penang-cops-probe-cafe-owner-for-putting-up-communism-themed-wallpaper-DL5915270


เรื่องโดย "ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

พรรคเพื่อไทยตั้งคำถามรัฐบาล ประชาชนจะได้รับวัคซีนแก้โควิด-19 ครบทุกคนหรือไม่ ยืนยันการได้รับวัคซีนป้องกันโรคระบาดร้ายแรงถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองที่จะได้รับจากรัฐบาล จวกรัฐเอื้อนายทุนใหญ่ เหตุซื้อวัคซีนจีนมีเจ้าสัวไทยถือหุ้น

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยขอให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ และอสม. ที่ทำหน้าที่ในช่วงเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดนี้ และส.ส.ของพรรคเพื่อไทยทั้ง 135 เขต มีความห่วงใย และพร้อมดูแลพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เรามีความกังวลการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่อาจจะไม่ทั่วถึงกับประชาชนทุกคนอย่างทันท่วงที

เบื้องต้นเราเห็นด้วยที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดลำดับความสำคัญในการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงก่อน แต่ประชาชนกลุ่มที่เหลือที่ไม่เข้าเกณฑ์ รัฐได้เตรียมวัคซีนเพียงพอหรือไม่ เมื่อไรประชาชนจะได้รับวัคซีนครบทุกคน เพราะกว่าที่วัคซีนจะออกฤทธิ์เห็นผลต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการได้รับวัคซีนป้องกันโรคระบาดร้ายแรงถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองที่จะได้รับจากรัฐบาล คนไทยต้องได้รับวัคซีนทุกคน

น.ส.อรุณี กล่าวว่า สำหรับวัคซีนที่รัฐบาลสั่งมาจากบริษัท Sinovac จากจีน มีราคาถูกกว่าผู้ผลิตที่จำหน่ายราคาสูง แต่ราคาถูกนั้นได้มาตรฐานและมีผลต่อการป้องกันโรคได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากมีข่าวว่าทางการบราซิลได้สั่งหยุดทดสอบวัคซีน Sinovac จากจีนในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เพราะทำให้เกิดผลร้ายแรงตามมา

แต่รัฐบาลไทยยังยืนยันที่จะสั่งซื้อเพราะถูกกดดันจากสังคมกรณีได้รับวัคซีนล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่สั่งซื้อวัคซีนยี่ห้อเดียวกัน จนเปลี่ยนมาสั่งซื้อกับบริษัท Sinovac ของจีน สะท้อนว่ารัฐบาลนี้การขาดการวางแผนในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 อย่างรุนแรง ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าบริษัทเจ้าสัวรายใหญ่ของไทยทุ่มเงิน 1.54 หมื่นล้านบาท เข้าถือหุ้น 15% ในบริษัท Sinovac Life Sciences หน่วยผลิตวัคซีนซิโนแวค เป็นการเตรียมการเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใหญ่หรือไม่

น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดธุรกิจ โดยร้านค้ารายย่อยและโรงงานหลายแห่งเลิกจ้างพนักงาน ปิดกิจการ การจ่ายเงินเยียวยาต้องทำให้รวดเร็ว โดยเฉพาะธุรกิจภาคการท่องเที่ยวที่ไม่มีโอกาสฟื้นตัวได้เลย ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยเสนอให้รัฐบาลก่อตั้งธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวและพักชำระหนี้ ก่อนที่จะเกิดการระบาดระลอกที่ 2 หากไม่รีบแก้ปัญหาโควิด-19 รอบนี้ อาจจะฝังประชาชนให้ตายทั้งเป็น

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดฟอรั่มพิเศษ “รับมือโควิดอย่างไร ไม่ให้ประเทศพัง” ในวันที่ 11 ม.ค.นี้ เวลา 11.00 น.ที่พรรค พท.เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนหาทางออกเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ในมิติเชิงสังคมและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

โดยมีนายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมการนโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกฯ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีต รมว.พลังงาน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผอ.ศูนย์นโยบายฯ พรรคเพื่อไทย ร่วมเสวนา โดยจะถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย

กระทรวงแรงงาน ชวนประชาชนใช้แอป “รวมช่าง” บนสมาร์ตโฟน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดต่อช่างซ่อมแซมที่พักอาศัยและอุปกรณ์ที่ชำรุด เว้นระยะห่างลดการเผชิญหน้า สู้ภัยโควิด-19

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ รัฐบาลและกระทรวงแรงงานภายใต้การนำของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานและประชาชนทั่วไปในหลายมาตรการด้วยกัน

สำหรับ กพร. กระทรวงแรงงาน แนะนำบริการแอปพลิเคชัน “รวมช่าง” (Fixer Finder) บนสมาร์ตโฟน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เพิ่มความสะดวกในการติดต่อช่างซ่อมแซมที่พักอาศัยและอุปกรณ์ที่ชำรุด ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ และระบบประปาและสุขภัณฑ์ ซึ่งมักพบปัญหาเหล่านี้อยู่เป็นประจำ

ซึ่งมีบริการช่าง 3 สาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 5,183 คน แบ่งเป็น (1) ช่างไฟฟ้า ให้บริการเดินสายไฟฟ้าและติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ที่พักอาศัย เปลี่ยนหลอดไฟ ปลั๊ก สวิตซ์ เบรกเกอร์ (2) ช่างเครื่องปรับอากาศ ให้บริการติดตั้ง ล้างเติมน้ำยาแอร์ และตรวจเช็คความผิดปกติของเครื่องปรับอากาศ และ (3) ช่างประปาและสุขภัณฑ์ ให้บริการเปลี่ยนก๊อกน้ำ ซิ้งค์ ท่อน้ำและติดตั้งสุขภัณฑ์ ซึ่งบริการด้วยราคาที่เป็นธรรมและมีมาตรฐานงานบริการ

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ในสังคมดิจิทัลที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ได้งานที่ดีมีคุณภาพ แอปพลิเคชัน “รวมช่าง” ตอบโจทย์อย่างยิ่ง คือสามารถติดต่อนัดหมายช่างได้บนสมาร์ตโฟน จะมีฟังก์ชั่นที่ บริการประชาชนผู้ใช้บริการและช่างผู้ให้บริการ ดังนี้

ประชาชนที่ใช้บริการ (1) สามารถค้นหาช่างตามประเภทงานที่ต้องการ ระบุชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ รูปภาพที่แสดงตัวตนของช่างอย่างชัดเจน (2) จองเวลาใช้บริการตามที่สะดวกได้อย่างรวดเร็ว (3) ค้นหาช่างที่พร้อมให้บริการที่อยู่ใกล้ตัว (4) สามารถรีวิวและให้คะแนนช่างได้ ส่วนช่างผู้ให้บริการ (1) มีระบบแจ้งเตือนเมื่อมีงานใหม่เข้ามา (2) มีตารางนัดหมายงาน (3) เช็คประวัติการทำงานที่ผ่านมาได้

ประชาชนที่สนใจสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันโดยการค้นหาคำว่า “รวมช่าง” ได้ใน play store หรือ app store จากนั้นดาวน์โหลดและติดตั้งบนสมาร์ตโฟน ใช้ได้ทั้งระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส

โหลดทันที หมอทวีศิลป์ ย้ำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 17 ยกระดับมาตรการป้องกันโรค ชี้ หากป่วยแล้วตรวจพบว่า ไม่มีแอปพลิเคชัน 'หมอชนะ' ถือว่ามีความผิด

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ระบุว่า นายกฯ ได้ลงนามข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 17 เมื่อ (6 ม.ค.) มี 3 ข้อได้แก่ ยกระดับบังคับใช้มาตรการป้องกันโรค ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุด และปราบปราม ลงโทษผู้กระทำความผิดอันเป็นเหตุให้เกิดการระบาดของโรค

โดยการยกระดับบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด ซึ่งต้องรักษาระยะห่าง สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย ล้างมือ ตรวจอุณหภูมิร่างกาย และติดตั้งแอปพลิเคชันที่กำหนด ตลอดจนยอมรับการกักกันตนเอง ตามระยะเวลาและในสถานที่ที่กำหนด หากอยู่ในข่ายที่ต้องรับการกักกัน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ประชาชนจะต้องติดตั้งและใช้ระบบแอปพลิเคชัน 'หมอชนะ' ควบคู่กับการใช้แอปพลิเคชัน 'ไทยชนะ' หากตรวจสอบแล้ว ไม่พบแอปพลิเคชัน จะถือว่ามีความผิดด้วย ถ้าป่วยแล้วมี 'หมอชนะ' ถือว่าไม่มีความผิด แต่ถ้าไม่มีถือว่ามีความผิดตามพรก.ฉุกเฉิน โดยจะต้องใช้ควบคู่กับแอพไทยชนะด้วย

โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท

ส่วนเรื่องเอกสารรับรองนั้น 5 จังหวัด ที่อยู่ ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จะต้องมีการขอเอกสารรับรอง ส่วนจังหวัดที่เหลือไม่จำเป็นต้องมี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top