Saturday, 27 April 2024
NEWS

อสังหาฯ 64 ยังเหนื่อย หลัง 63 ค้างสต๊อกเพียบ คาดยอดรวมทั่วประเทศพุ่ง 3.39 แสนหน่วย มูลค่าเหลือค้าง 1.5 ล้านล้านบาท แต่เชื่อปี 64 โอกาสบวกทั้งยอดขาย - จำนวนเปิดใหม่ ยังมี

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะยังเจอปัญหาที่อยู่อาศัยเหลือค้างสต็อกจำนวนมาก

โดยยอดรวมทั่วประเทศจะเหลือมากถึง 3.39 แสนหน่วย เพิ่มขึ้น 6.2% จากปีก่อน มีมูลค่าเหลือค้างที่ 1.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากปีก่อน โดยสต๊อกส่วนใหญ่เกิดจากคอนโดมิเนียมที่มีเหลือขาย 1.52 แสนหน่วย เพิ่มขึ้น 16.5% หรือมีมูลค่า 6.84 แสนล้านบาท ขณะที่สต๊อกบ้านจัดสรรมีแนวโน้มลดลง 1% เหลือ 1.86 แสนหน่วย หรือคิดเป็น 8.18 แสนล้านบาท

ส่วนยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่ปี 2564 คาดจะกลับมาเป็นบวกได้ เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2563 ที่ติดลบมากถึง 25.2% รวมมีมูลค่ากลับมาเป็นบวกเช่นกัน โดยคาดที่อยู่อาศัยใหม่ที่ขายได้ทั่วประเทศปี 64 อยู่ที่ 94,072 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อนหน้า

แบ่งเป็นบ้านจัดสรรขายได้ 60,191 หน่วย เพิ่มขึ้น 2% อาคารชุด 33,881 หน่วย เพิ่มขึ้น 8.4% ซึ่งดีกว่าปี 63 ที่ติดลบถึง 47.9% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายจะอยู่ที่ 4.05 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% แยกเป็นบ้านจัดสรร 2.56 แสนล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1.48 แสนล้านบาท

ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ปี 64 จะขยายตัวเป็นบวกได้ครั้งแรกในรอบ 3 ปี หลังจากปี 63 ติดลบ 46.6% และปี 62 ติดลบ 13% โดยในปี 64จะมียอดเปิดตัวโครงการใหม่ 88,828 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.9% แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 52,044 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.1% คอนโดมิเนียม 36,784 หน่วย เพิ่ม 25.1% ขณะที่มูลค่ามีการเติบโตเช่นกันอยู่ที่ 4.38 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2.35 แสนล้านบาท ลดลง 12% คอนโดมิเนียม 2.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5%

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในรายของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา

โดยนายอเนก และ แพทย์หญิงจิรพร เหล่าธรรมทัศน์ คู่สมรส แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งหมด 203,074,468 บาท หนี้สิน 3,095,998 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 199,978,470 บาท โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่คือที่ดิน 64 รายการทั้งที่ดินในพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย, อ.เมืองลำปาง อ.เกาะคา อ.เถิน จ.ลำปาง, อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์, อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร, อ.เมืองน่า จ.น่าน, อ.ธาตุพนม จ.นครพนม

ขณะเดียวกันยังมี น.ส.3 ก. ในพื้นที่ อ.มุกดาหาร จ.นครพนม และ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ มูลค่ารวม 99,150,500 บาท เงินฝาก มูลค่ารวม 23,807,575 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง รวม 5 รายการในพื้นที่ พระโขนง ราชเทวี กทม.และ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มูลค่ารวม 22,590,000 บาท เงินลงทุน 29 รายหารส่วนใหญ่ลงทุนในกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ กองทุนเปิดบัวหลวง มูลค่ารวม สิทธิและสัมปทาน 13 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นประกันชีวิต และยังมีสิทธิสมาชิก Pacific City Clup แบบตลอดชีพ 2 รายการ มูลค่ารวม 12,049,815 บาท ยานพาหนะ 5 รายการ มูลค่ารวม 2,970,000 บาท

ทรัพย์สินอื่น มูลค่ารวม 24,645,600 บาท โดยทรัพย์สินที่น่าสนใจอาทิ ปากกา 11 รายการ นาฬิกา 73 รายการ พระเครื่องกรองทอง และสร้อยคอทองคำ 110 รายการ แหวนประดับอัญมณี 90 รายการ เครื่องประดับ 44 รายการ พระเครื่องและพระพุทธรูป 41 รายการ และเหรียญที่ระลึก ทองคำ โลหะมีค่า 19 รายการ ส่วนหนี้สิน ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ซึ่งระบุว่าเป็นการจำนองห้องในคอนโดภูมิมานวิว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 2 ห้อง และเงินเบิกเกินบัญชีบัตรเครดิต 2 รายการ

นอกจากนี้นายเอนกและคู่สมรสยังแจ้งว่า มีรายได้รวมต่อปี 6,928,880 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากเงินเดือนของแพทย์หญิงจิรพร ซึ่งดำรงตำแหน่งคณบดี คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้ทรงตุณวุฒิด้านการแพทย์ ในคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ รวมกว่า 5,300,000 บาท นอกจากนั้นยังมีรายได้จากค่าเช่าห้องชุดประมาณ 240,000 บาท โดยมีรายจ่ายรวม 6,376,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว เบี้ยประกันชีวิต ผ่อนจ่ายเงินกู้ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว เป็นต้น

ภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ของ วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้มีการตรวจสอบผู้ที่เข้าใกล้ชิด โดยเฉพาะคณะทำงานร่วม ที่ประกอบด้วยคณะนายทหารหลายรายไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 แต่ต้องเฝ้าระวังกักตัว 14 วัน

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าตามที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ติดเชื้อโควิด-19 โดยจากการสอบสวนโรค พบว่า ในส่วนของกองทัพบก ซึ่งมีคณะนายทหาร นำโดยรองเสนาธิการทหารบก 

ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก (ผอ.ศบค.19 ทบ.) และ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความมั่นคงภายใน กอ.รมน (ผอ.ศรมน. กอ.รมน) และส่วนคณะของ กอ.รมน รวม จำนวน 6 นาย ได้เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด โดยร่วมประชุมกับ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 63 ระหว่างการลงพื้นที่ปฎิบัติภารกิจในนามกองทัพบก และกอ.รมน เพื่อประสานงานและให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อกับทางจังหวัดนั้น

ต่อมาคณะนายทหารได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อ 28 ธ.ค. 63 ‘ผลการตรวจเป็นลบ ไม่พบการติดเชื้อทุกราย’ อย่างไรก็ตามขณะนี้ ทุกคนได้เข้าสู่การเฝ้าระวังโรค โดยกักตัวเอง 14 วัน เพื่อสังเกตอาการให้ปลอดภัยตามมาตรการของสาธารณสุข

โดยในระหว่างนี้ทางกรมแพทย์ทหารบก จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ ดูแลอาการตามมาตรฐานของ ศบค.อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังคงสามารถปฎิบัติงานต่อเนื่องได้ด้วยระบบ Work From Home จนครบกำหนดเวลา

เรียกว่าย้ำกันรายวัน กับการออกมาสร้างความมั่นใจในการกินกุ้งของทั้งภาครัฐและประชาชน โดยล่าสุดครม.กินกุ้งกระตุ้นความเชื่อมั่น ไม่ติดโควิดและช่วยผู้ค้าอาหารทะเลได้อีกทาง

เที่ยงนี้ ครม. กินกุ้ง ! “รมต.อนุชา” ตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเล ก่อนจะนำมาปรุงสุกเสิร์ฟครม. เน้นย้ำ เรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมให้ความเชื่อมั่น ปชช. โควิดไม่ติดต่อ จากอาหารทะเล


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเลก่อนจะนำมาปรุงสุกเสิร์ฟคณะรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมประชุมรับประทานกลางวันนี้ เน้นย้ำเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าโควิดไม่ติดต่อจากอาหารทะเล ขอให้ช่วยกันบริโภคอาหารทะเลมากขึ้น นอกจากจะได้รับประโยชน์ทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยผู้ค้าขายอาหารทะเลด้วย

คนละครึ่งเฟส 2 ยืนยันตัวตนด่วนก่อนถูกตัดสิทธิจ่อเปิดรอบใหม่อีก 1 ล้านสิทธิ | News มีนิสส One minute

คนละครึ่งเฟส 2 ยืนยันตัวตนด่วนก่อนถูกตัดสิทธิ พร้อมจ่อเปิดลงทะเบียนรอบใหม่อีก 1 ล้านสิทธิ

.

 

วิษณุ เผยไม่ง่อนหลังสื่อมอบ ‘ไฮเตอร์ เซฮร์วิส’ มองหยอกล้อสนุกปีละหน - คนกันเอง พร้อมเคลียร์ปมล็อคดาวน์ชัด ‘ไม่ล็อค’ แต่มาตรการแต่ละจังหวัดคุมเข้มไม่ต่างจากล็อค

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฉายาประจำปีที่ได้รับ ‘ไฮเตอร์ เซฮร์วิส’ ว่า ไม่รู้สึกงอนที่ได้รับฉายานี้ เพราะตนอยู่ที่นี่มา 30 ปี เจอฉายาทุกปี อีกทั้งเป็นการหยอกล้อเล่นกันสนุกปีละหนคนกันเอง

แค่อยากถามว่าเคยอ่านเรื่องอิเหนาหรือไม่ ช่วยตอนที่กระเซ้าเหย้าแหย่ อิเหนาบอกว่าพี่รักดอกจึงหยอกเล่น เพื่อให้เป็นประเวณีเสนหา ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะโกรธา กระนี้พี่ยาจะหยอกไย ดังนั้น ผู้สื่อข่าวก็อยากจะพูดหยอกอย่างเดียวกันกับอิเหนา ฉะนั้น ปีหน้าตั้งใหม่

ทั้งนี้ได้มีการถาม วิษณุ อีกเกี่ยวกับการพิจารณาล็อกดาวน์ในช่วงปีใหม่ วิษณุ กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น โดยนายกฯ ได้เกริ่นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า 7 วัน จนถึงปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เราจะประเมิน เพราะความรุนแรงจะยังไม่มาก

แม้ความกระจายจะเกินขึ้นในหลายพื้นที่ เขาจึงไม่ให้จังหวัดไหนเป็นแดงทั้งหมด หรือส้มทั้งหมด ถ้าแดงก็แดงเป็นอำเภอไป แต่พอหลังปีใหม่การประเมินจะต้องเข้มข้นขึ้น เพราะจะมีการเข้ามาของชาวต่างประเทศมากขึ้น วันนี้เป็นเรื่องของการหนีเข้ามา ลักลอบเข้ามา จากนี้จะต้องดูที่จะเข้ามาอย่างเป็นทางการเป็นร้อย ๆ

ดังนั้น จะประเมินกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ในช่วง 30 ธันวาคม - 1 มกราคม จะประเมินกันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าตัวเลขน่ากลัวก็จะคิดกันอีกทีว่าจะทำอย่างไร เพราะคงจะไปเจอในช่วงวันเด็ก วันครู หรือวันตรุษจีน

อย่างไรก็ตามแม้ทุกวันนี้จะไม่ถึงขั้นล็อดดาวน์ แต่ วิษณุ ก็มองว่า คล้ายๆ อยู่แล้ว โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีอำนาจ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งความจริงไม่ต้องมีหรอกข้อกำหนดนี้ เพราะผู้ว่าฯ มีอำนาจตามกฎหมายโรคติดต่อทำได้เลย แต่ผู้ว่าฯ จะสั่งการโดยไม่มีความมั่นใจ

ฉะนั้น พ.ร.ก.จะไปคุ้มครองให้ผู้ว่าฯ มีความมั่นใจมากขึ้น จะปิดบ้าน ปิดเมือง หรืออะไรก็ตาม ผู้ว่าฯ สามารถประเมิน และสั่งการได้เลย นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นศูนย์โควิดของกระทรวงมหาดไทยขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยสามารถควบคุมผู้ว่าฯ ทั้ง 76 ได้ ดังนั้น วันนี้ ประชาชนที่จะเดินทางไป - กลับ ภูมิลำเนาสามารถทำได้

นอกจากนี้ วิษณุ ยังได้กล่าวถึงกรณีการพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมว่า อาจจะหยุดช่วงไหน หรือเดือนไหนก็ได้ที่ไม่มีวันหยุด หรืออาจจะใส่เข้าไป 1 วัน ที่ติดกับวันเสาร์ - อาทิตย์ ซึ่งอาจจะต้องหารือกับ ครม. อีกครั้งหนึ่ง

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ที่ประชุมครม. เดินหน้าโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลหนุนค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 5,000 บาท หวังกระตุ้นสูงวัยเที่ยวเพิ่มปีหน้า

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการประชุมจะพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า วงเงิน 5,000 ล้านบาท

เพื่อสนับสนุนนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน เดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดาผ่านบริษัททัวร์ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 5,000 บาท ให้เดินทางไปเที่ยวกระตุ้นการเดินทางในปีหน้า

ส่วนกระทรวงพาณิชย์เสนอการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง

โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน และเสนอการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป

ขณะที่กระทรวงการคลัง เสนอขอถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก รวม 2 ฉบับ พร้อมทั้งรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยุบเลิกบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย

องค์การอนามัยโลกประกาศยกให้วันที่ 27 ธันวาคม เป็นวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล หรือ International Day of Epidemic Preparedness โดยเริ่มจากปี 2020 นี้เป็นปีแรก

หากจะมองย้อนกลับไป จะพบว่าโลกเราต้องเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Covid-19 มาแล้ว 1 ปีเต็ม จากที่โลกเพิ่งเริ่มต้นนับ1 จากคนไข้รายแรกที่อู่ฮั่น ประเทศจีน จนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกเกิน 80 ล้านคน

โดยมีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 1.76 ล้านราย ซึ่งผลพวงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ไปไกลเกินกว่าอันตรายจากตัวของมัน แต่ลามไปกระทบกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการใช้ชีวิตของมนุษย์ในระดับที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน

แอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ออกถ้อยแถลง ในวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากลครั้งแรกของโลกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในครั้งนี้ เราควรตระหนักได้แล้วว่าควรอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อ ๆ ไปในอนาคตข้างหน้า

และแน่นอนว่า “การเตรียมพร้อมรับมือ” เป็นการลงทุนที่สูง แต่ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า “การรับมือ” เมื่อเกิดเหตุการระบาดครั้งใหญ่อย่างเทียบไม่ติด เราต้องลงทุนรับมือตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปสู่สังคม แต่ละชุมชนต้องได้รับการสนับสนุนด้านสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา

รวมถึงการร่วมมือ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในครั้งนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีชาติใดที่สามารถอยู่รอดได้เพียงชาติเดียว แต่ต้องร่วมมือให้รอดไปด้วยกันเท่านั้น จึงจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้

ทางองค์การสหประชาชาติได้แสดงความห่วงใยถึง ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสเกิดโรคระบาดจากเชื้อโรคชนิดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันพบว่า กว่า 74% ของโรคชนิดใหม่ ๆ เกิดจากการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ที่มักเกิดจากการบุกรุกป่า และรุกล้ำพื้นที่ทางธรรมชาติของสัตว์ป่านำไปใช้ประโยชน์ในการทำปศุสัตว์ที่เป็นอาหารของมนุษย์

โดยทางองค์การสหประชาชาติต้องการเน้นย้ำให้เกิดการตระหนักรู้ในโอกาส และอันตรายที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดโรคระบาดใหญ่ครั้งใหม่ขึ้นได้อีกในอนาคต จึงเป็นที่มาของการสถาปนาวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล ที่จะตรงกับวันที่ 27 ธันวาคมของทุกปี โดยเลือกเอาวันเกิดของ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดค้นวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสัตว์ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดในมนุษย์

และองค์การสหประชาชาติ ยังคงทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยื่นคำร้องขอถอนตัว และตัดงบช่วยเหลือไปแล้วก็ตาม

จึงทำให้โลกของเรามีวันสำคัญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน คือ วันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล ที่องค์การสหประชาชาติเน้นซ้ำย้ำชัดว่า ไม่มีการลงทุนใดที่จะคุ้มค่า และชาญฉลาด เท่ากับการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อม ป้องกันการเกิดโรคระบาดอีกแล้ว


แหล่งข่าว

https://reliefweb.int/report/world/international-day-epidemic-preparedness-27-december

https://www.who.int/news-room/events/detail/2020/12/27/default-calendar/international-day-of-epidemic-preparedness

กระทรวงคมนาคมแถลงผลงานรอบ 1 ปี เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยงเส้นทางสู่ทุกภูมิภาคทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เดินหน้าสู่การคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้บริหารกระทรวง แถลงผลการดำเนินงาน “การขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมสู่การปฏิบัติ” ประจำปี 2563 ของกระทรวงคมนาคม โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยงเส้นทางสู่ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะ นโยบายเร่งด่วน จำนวน 4 เรื่อง

1.) เร่งรัดแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างล่าช้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2

2.) แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เรือโดยสาร พร้อมตรวจสอบสภาพและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

3.) ปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเวลาหลัง 24.00 น. ถึง 04.00 น. เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจราจร และการใช้รถใช้ถนนของประชาชนในปัจจุบัน

4.) กำหนดอัตราความเร็วรถบนถนน 4 ช่องทางจราจรขึ้นไปให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ยังได้ติดตามเร่งรัดการดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ ให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ เพื่อให้โครงข่ายคมนาคมขนส่งทั่วประเทศมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งมิติคมนาคมทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตง ในปี 2564 เปิดประตูเศรษฐกิจและการค้าชายแดนใต้ รองรับผู้โดยสาร 869,000 คนต่อปี

“ต่อจากนี้ไปกระทรวงคมนาคม จะเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่งของไทยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ” นายศักดิ์สยาม กล่าว

กระทรวงการคลัง แนะผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 2 รีบยืนยันตัวตนด่วน ภายในวันที่ 14 มกราคม 2564 ก่อนจะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการโดยอัตโนมัติ พร้อมจ่อเปิดลงทะเบียน รอบใหม่อีก 1 ล้านสิทธิ

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จำนวน 5 ล้านสิทธิ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2563

โดยผู้รับสิทธิจะต้องรีบยืนยันตัวตนโดยเร็ว เพราะเมื่อได้รับข้อความ SMS แจ้งยืนยันสิทธิ ต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนครบถ้วนตามขั้นตอน เพื่อจะได้ใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 เนื่องจากปัจจุบันนี้ พบว่า มีผู้เข้ามายืนยันตัวตนสำเร็จแล้วประมาณ 75% ซึ่งยังเหลืออีกเกือบล้านคน ที่ยังไม่ได้มายืนยันตัวตนให้ครบตามขั้นตอน

ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 สามารถเลือกยืนยันตัวตนได้หลายช่องทางตามความสะดวก ได้แก่

1.) ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

2.) ยืนยันตัวตน ณ สาขาธนาคารกรุงไทย หรือ

3.) ยืนยันตัวตนโดยใช้บัตรประชาชน ณ ตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทย

ภายหลังจากยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ภายใน 14 วัน คือ ภายในวันที่ 14 มกราคม 2564 มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการโดยอัตโนมัติ

น.ส.กุลยา กล่าวเพิ่มเติมว่า "ขณะนี้ มียอดผู้ลงทะเบียนมาตรการคนละครึ่งเฟส 2 ของรัฐบาลที่ไม่ผ่านคุณสมบัติอยู่จำนวน 4.9 แสนราย จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5 ล้านราย และในจำนวน 4.9 แสนรายนี้ ทางรัฐบาลจะนำมาพิจารณาเปิดให้มีการลงทะเบียนในรอบต่อไป โดยจะนำมารวมกับยอดที่เหลือจากคนละครึ่งในเฟสแรกอีกจำนวน 4.3 แสนราย และ รวมกับ ผู้ที่ลงทะเบียนในเฟสที่สองแต่ไม่ใช้สิทธิ์ภายใน 14 วันนับจากวันที่ 1 มกราคม 2564 อีกด้วย"

"เบื้องต้น เรามีจำนวนสิทธิ์ที่จะพิจารณาเปิดรอบใหม่อีกประมาณ 1 ล้านราย โดยเป็นสิทธิที่เกิดจากการขาดคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนคนละครึ่งในเฟสแรกและเฟสสอง ถ้าหากจะมีมากกว่านี้ ก็จะเป็นยอดของผู้ที่ไม่มาใช้จ่ายตามกำหนดภายใน 14 วันทำการ ซึ่งจะถือว่า เป็นการสละสิทธิ์ เราจะเริ่มรู้ยอดดังกล่าวนับจากวันที่ 14 ม.ค.เป็นต้นไป หลังจากนั้น เราจะพิจารณาว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนรอบต่อไปอีกเมื่อไหร่"

สำหรับ ด้านความคืบหน้าล่าสุดของโครงการคนละครึ่ง ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2563 เวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9,565,644 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 49,049.8 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 25,100.5 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 23,949.2 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ายังคงสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

บอร์ดคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เคาะแผนส่งเสริมเอสเอ็มอี กรอบ 2 ปี จำนวน 114 โครงการ ใช้งบประมาณ 5,334 ล้านบาท หวังช่วยเพิ่มสภาพคล่อง - ฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโควิด-19

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบแผนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ปี 64-65 มีสาระสำคัญ คือ ช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ไวรัสโควิด-19

โดยมีแนวทาง คือ การบรรเทาปัญหาและฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 เช่น ส่งเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี ,สร้างความพร้อมให้เอสเอ็มอีด้วยการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาใช้ และปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เกิดความสะดวก โดยเฉพาะปรับแก้กฎหมายเพื่อลดอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี ปี 64 - 65 และข้อเสนอโครงการและงบประมาณฯ ประจำปีงบประมาณ 65 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน ซึ่งมีโครงการที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหาร สสว. เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.63 จำนวน 114 โครงการ งบประมาณ 5,334 ล้านบาท

พร้อมกับเห็นชอบเปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินสนับสนุนงบประมาณโครงการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย จากเดิมที่จัดสรรงบประมาณให้เอสเอ็มอีโดยตรง เป็นจัดสรรเงินกองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) งบประมาณ 5,000 ล้านบาท

รมว.แรงงาน ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ กำชับสำนักงานประกันสังคม ดูแล ลูกจ้าง ผู้ประกันตน เดินทางช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ ย้ำเจ็บป่วยฉุกเฉินเข้ารักษารพ. ทุกแห่งไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมเตือนการ์ดอย่าตกช่วงวิกฤตโควิด 19

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชน ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ กำชับ นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เร่งหน่วยงานในกำกับสำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ ให้บริการรวมถึงอำนวยความสะดวก พร้อมประชาสัมพันธ์ เรื่องกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินแก่ ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลปีใหม่

พร้อมกำชับ ลูกจ้าง ผู้ประกันตน การ์ดอย่าตกในช่วงวิกฤตโควิด-19 หลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมตัวของคนจำนวนมา ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค พร้อมดูแลสุขภาพตัวเอง สวมหน้ากากอนามัยขณะเดินทาง ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อความปลอดภัย ปลอดโรค

ด้านนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใย ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ที่จะเดินทาง กลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่ 2564

ซึ่งมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน พร้อมกำชับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ให้บริการรวมถึงอำนวยความสะดวก พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ เรื่องกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน แก่ ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในขณะเดินทางด้วยความระมัดระวัง ในการขับขี่ยานพาหนะ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง

พร้อมแนะนำให้พกบัตรประจำตัวประชาชน ติดตัวไว้ หากเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือได้รับอุบัติเหตุ หรือมีอาการเจ็บป่วยกะทันหัน ลูกจ้าง ผู้ประกันตน สามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันที ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจะพิจารณา จ่ายประโยชน์ทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ให้ภายใน 72 ชั่วโมง ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนด

ทั้งนี้ขอให้ผู้ประกันตน หรือโรงพยาบาลที่ให้การรักษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง แจ้งโรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้ทราบโดยเร็ว ตั้งแต่เข้ารับการรักษา เพื่อให้โรงพยาบาลรับผิดชอบให้บริการทางการแพทย์ให้กับผู้ประกันตนต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้ย้ำในเรื่อง การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้วิธีป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่นี้ ให้กับ ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ที่จะเดินทางออกนอกบ้านในช่วงนี้ หรือเดินทางกลับภูมิลำเนา ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว

โดยไม่จำเป็น และรวมตัวของคนจำนวนมาก และง่ายต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค พร้อมดูแลสุขภาพตัวเองอย่าประมาท สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ตลอดเวลา หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อคนไทยปลอดภัย ปราศจากโรคแน่นอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 12 แห่ง สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา/ที่ท่านสะดวก หรือโทร 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

“ผู้บัญชาการทหารบก” สั่งหน่วยทหารดูแลประชาชนรับมือ COVID-19 พร้อมจัดทหารชุด Army delivery ลงช่วยชุมชนที่เดือดร้อน กำชับให้หน่วยจัดอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้ทหารตามแนวชายแดนอย่างเหมาะสม

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประชุมหน่วยขึ้นตรงทั่วประเทศด้วยระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ รับทราบความคืบหน้าสถานการณ์ COVID-19 ในแต่ละพื้นที่

โดยได้สั่งการให้หน่วยทหารในทุกจังหวัดให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ตามมาตรการของแต่ละจังหวัด ควบคู่ไปกับการดูแลช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้กองทัพบก มอบให้หน่วยทหารเข้าช่วยเหลือประชาชนตามมาตรการที่เคยปฏิบัติตั้งแต่เริ่มมีสถานการณ์ COVID-19 อาทิ การช่วยเหลือ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส หรือผู้พิการทุพพลภาพตามศักยภาพของหน่วย การช่วยรับซื้อพืชผลทางการเกษตรจากเกษตรกรโดยตรง การกระจายรายได้ให้กับชุมชนในรูปการซื้อเครื่องอุปโภค - บริโภค จากร้านค้าขนาดเล็กเพื่อมาประกอบเลี้ยง

รวมถึงการจัดชุด Army delivery มอบเครื่องยังชีพ ลดรายจ่าย ครัวพระราชทานประกอบเลี้ยง จำหน่ายผลผลิตราคาถูกจากโครงการทหารพันธุ์ดี โดยเฉพาะการช่วยรับซื้อสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นใจในเรื่องการปนเปื้อนในขณะนี้ เช่น อาหารทะเล เป็นต้น เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจและเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง

ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในขณะนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ที่ได้เปิดช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าสนับสนุนเกษตรกรและ SME ในชื่อ “OHLALA-SHOPPING” ก็จะสามารถช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อีกช่องทางหนึ่ง

ในเรื่องของสุขอนามัยส่วนรวม กองทัพบกได้มอบให้หน่วยทหารให้การสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ในการทำความสะอาดลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค โดยเฉพาะสถานที่สาธารณะที่มีประชาชนไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก อาทิ สถานีขนส่ง ตลาด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการไปใช้บริการ

รวมทั้งได้มอบให้กรมวิทยาศาสตร์ทหารบกจัดเตรียมน้ำยาเคมี สารฆ่าเชื้อและชุดปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนทุกภาคส่วนในการลดล้างสิ่งปนเปื้อนตามการร้องขอ รวมไปถึงในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้พิจารณาแจกจ่ายหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์กระจายให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง

สำหรับการดูแลหน่วยทหารและกำลังพล โดยเฉพาะผู้ที่ออกปฏิบัติงานในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงกำลังพลที่ปฏิบัติงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยตามแนวชายแดนนั้น ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความสำคัญพร้อมแสดงความห่วงใย

โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ควบคุมสูงสุด กำชับให้หน่วยได้จัดอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้เหมาะสม เพียงพอ และมีความปลอดภัย รวมทั้ง กำชับให้ ศบค.19 ทบ. กำกับดูแลให้หน่วยทหารเคร่งครัดตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในระดับหน่วย กำลังพล ครอบครัว และทหารกองประจำการ

ทั้งนี้ ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 1 ยังคงให้การสนับสนุนทางจังหวัด ณ กองอำนวยการร่วม (ส่วนหน้า) ที่ตลาดกลางกุ้ง ได้มีการจัดวางแนวรั้วด้วยเครื่องกีดขวางรอบพื้นที่ควบคุมดังกล่าว จัดชุดลาดตระเวนเดินเท้าและรถยนต์ ชุดเฝ้าตรวจตลอด 24 ชั่วโมง

ล่าสุด ได้จัดตั้งกองอำนวยการร่วมอีกหนึ่งพื้นที่ ณ สนามกีฬากลางจังหวัด ซึ่งเตรียมจัดตั้งเป็น “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” เพื่อใช้เป็นพื้นที่ควบคุมและเฝ้าระวังโรค

คนไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด ! หลังจากที่ Ant Group ของ Jack Ma เจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซจีน ถูกระงับ IPO ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านฟินเทคจีน โดนเรียกเข้าให้ข้อมูลต่อหน่วยงานกำกับฯ พร้อมขอให้กลับไปโฟกัสธุรกิจบริการจ่ายเงินเท่านั้น

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของจีน ได้เรียกให้ตัวแทนของ Ant Group เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Alipay เข้าพูดคุยในเรื่องของการผูกขาดทางธุรกิจ โดยได้ให้กลับไปปฏิรูปธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท เช่น ธุรกิจให้สินเชื่อ ธุรกิจประกันภัย และธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ไม่ให้มีอำนาจเหนือตลาดและบริหารจัดการความเสี่ยงให้มากขึ้น และหากเป็นไปได้ขอให้กลับไปทำแค่ธุรกิจผู้ให้บริการธุรกรรมการชำระเงินเท่านั้น

โดยหน่วยงานกำกับดูแลของจีนได้ขอให้ Ant Group ทำตามกฏระเบียบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการผูกขาดทางการค้าหลังจากที่ Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ก็กำลังโดนสอบสวนข้อหานี้อยู่เช่นกัน

แม้ว่าก่อนหน้านี้ ทาง Jack Ma ประกาศว่า จะให้ทางการจีนใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มของ Ant Group เท่าที่ต้องการได้อย่างเต็มที่ เพื่อพยายามรอมชอมขอคืนดีกับรัฐบาลจีนรวมถึงเปิดทางให้ Ant Group สามารถ IPO ได้สำเร็จ

แต่สัญญาณที่ส่งไป กลับไม่ได้รับความใยดี เมื่อทางการจีน ยังไม่หยุดไล่เบี้ยกับธุรกิจของ Jack Ma ทั้ง Alibaba และ Ant Group อย่างต่อเนื่อง

ว่ากันว่า เรื่องยุ่งยากทั้งหมด เริ่มจากการที่ Jack Ma ได้เคยออกความเห็นวิจารณ์กฎเกณฑ์การควบคุมระบบการเงินแบบเดิมๆของรัฐบาลจีนว่า

"กฎเกณฑ์ของธนาคารจีนเดิมๆ ไม่เหมาะสมกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ถ้าทางธนาคารไม่ยอมปรับปรุง เราก็จะใช้นวัตกรรมใหม่ๆมาแก้ปัญหาระบบการเงินกันเอง"

คำกล่าวนั้น เหมือนเป็นการราดน้ำมันในกองไฟ ทำให้รัฐบาลจีน ตัดสินใจระงับการออก IPO ของ Ant กลางอากาศ ที่สำคัญมันได้สร้างความเสียหายให้บริษัท Alibaba ไปแล้วกว่า 10 ล้านล้านบาทในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้จากราคาหุ้นที่ตกลงไป - 32%

และถ้าหาก Ant Group สามารถทำ IPO ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จ จะทำให้กลายเป็น IPO ใหญ่ที่สุดในโลกทันที ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เอาชนะ Saudi Aramco บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของซาอุดิอาระเบียทันที

การที่ Ant Group มีมูลค่าธุรกิจค่อนข้างสูง เพราะไม่ได้มีเพียง Alipay แพลตฟอร์มการชำระเงินเท่านั้น แต่ยังมีบริการทางการเงินอื่นๆ อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น

1.) ธุรกิจชำระเงิน (Payment) - Alipay

2.) ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ( Wealth Management) – Yu’s Bao, Ant Fortune

3.) ธุรกิจกู้ยืม ( Lending) – Mybank, Zhao Cai Bao, Ant Cash Now

4.) ธุรกิจประกันภัย (Insurance) – Ant Insurance

5.) ธุรกิจตรวจสอบเครดิต (Credit Reference) – Zhima Credit

จากธุรกิจที่หลากหลายของ Ant Group ข้างต้น ทำให้ถูกประเมินมูลค่าเอาไว้สูงมาก

อย่างไรก็ตาม การที่ Ant Group มีอัตราการเติบโตค่อนข้างเร็ว และเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มที่ขยายไปในทุกกลุ่มธุรกิจ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของจีน หวั่นว่าจะทำให้เกิดการผูกขาด โดยอาศัยความเป็นผู้นำตลาดสกัดคู่แข่งรายอื่น ๆ

ต้องติดตามดูว่า Jack Ma จะแก้เกมอย่างไร และจะสามารถรอมชอมกับทางการจีนได้หรือไม่ เพราะหากว่า ถูกระงับการให้บริการทางการเงินทั้งหมด เหลือเพียง Alipay เท่านั้น ไม่เพียงดับฝันการทำ IPO แต่ยังจะทำให้มูลค่าธุรกิจของ Ant Group และ Alibaba เสียหายอย่างมหาศาล


ที่มา : https://www.scmp.com/business/companies/article/3115466/beij

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าผลักดันสินค้าไทย ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) เล็ง ‘ปลาทูแม่กลอง -เนื้อโคขุน’ อยู่ในลิสต์ขึ้นทะเบียนปีหน้า

นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมฯ มีแผนผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) เพิ่มขึ้น อีก 48 สินค้า จาก 31 จังหวัด ในปี 2564  หลังจากได้รับการส่งรายชื่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่นที่คาดว่าจะขึ้นทะเบียนเป็นจีไอ จากพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศมาแล้ว 168 สินค้า จาก 50 จังหวัด เพราะเห็นว่าในปี 64 ยังมีสินค้าท้องถิ่นที่มีโอกาสผลักดันขึ้นเป็นสินค้าทะเบียนจีไออีกมาก ดังนั้นจะลงพื้นที่เพื่อไปให้คำแนะนำ และจะเร่งทำการคัดเลือก ก่อนผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอต่อไป

ที่ผ่านมา กรมฯ ได้ให้คำแนะนำไปแล้ว 20 สินค้า 7 จังหวัด ได้แก่ 1.น้ำตาลมะพร้าวแม่กลอง ปลาทูแม่กลอง และเกลือสมุทรแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม 2.ตุ๊กตาชาววังบางเสด็จ กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า และจักสานไม้ไผ่บางเจ้าฉ่า จ.อ่างทอง 3.เสื่อกกนาหมอม้า ข้าวสินเหล็ก ข้าวหอมมะลิอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ 4.กล้วยตากเขมราฐ จ.อุบลราชธานี 5.เนื้อโคขุนกำแพงแสน และมะพร้าวน้ำหอมสามพราน จ.นครปฐม 6.สับปะรดน้ำหนาว น้ำผึ้งดอกมะขามเพชรบูรณ์ ทุเรียนน้ำหนาว ข้าวพญาลืมแกงน้ำหนาว และลิ้นจี่ป้าชิดเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และ 7.มะขามหวานศรีภักดี กล้วยหอมทองหนองบัวแดง และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบ้านโหล่น จ.ชัยภูมิ  

ปัจจุบันมีสินค้าจีไอที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด 151 สินค้า แบ่งเป็นจีไอไทยจำนวน 134 สินค้า และจีไอต่างประเทศ จำนวน 17 สินค้า สินค้าใหม่ที่ขึ้นทะเบียนล่าสุด 2 สินค้า ได้แก่ ส้มแม่สิน จ.สุโขทัย และข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ และได้ตั้งเป้าหมายปี 2564 จะมีสินค้าที่ขึ้นทะเบียนจีไออย่างน้อย 18 สินค้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top