Saturday, 9 December 2023
NEWS

ข้อมูลจากหน่วยงานท่าเรือนครถังซาน มณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน ระบุว่าท่าเรือถังซานมีปริมาณการขนส่งสินค้าสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของบรรดาท่าเรือชายฝั่งทั่วโลก ในปี 2020 โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 702 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบปีต่อปี

ท่าเรือถังซานประกอบด้วยพื้นที่ท่าเรือ 2 ส่วน ได้แก่ จิงถังและเฉาเฟยเตี้ยน โดยมีปริมาณขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าผ่านท่าจิงถังมากกว่า 2.3 ล้านทีอียู (TEU: หน่วยนับสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ความยาว 20 ฟุต) ขณะที่ท่าเฉาเฟยเตี้ยนอยู่ที่มากกว่า 800,000 ล้านทีอียู

ถังซาน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน 150 กิโลเมตร และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลโป๋ไห่ เชื่อมต่อท่าเรือภายในประเทศ 39 แห่งใน 9 มณฑลของจีน และท่าเรืออีกมากกว่า 190 แห่งในกว่า 70 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยมีเส้นทางเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้า 41 เส้นทาง ครอบคลุมท่าเรือชายฝั่งหลักๆ ของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ท่าเรือถังซานมีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 493 ล้านตัน มาเป็น 702 ล้านตัน และมีปริมาณขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 1.52 ล้านทีอียู มาเป็น 3.12 ล้านทีอียู โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ร้อยละ 7 และร้อยละ 17.5 ตามลำดับ


ที่มา: xinhuathai

https://www.facebook.com/1660335044182511/posts/2864949053721098/

ภูมิภาคย่างกุ้งของเมียนมาเริ่มกระบวนการเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยมีวัคซีน ‘โควิชีลด์’ (Covishield)

ภูมิภาคย่างกุ้งของเมียนมาเริ่มกระบวนการเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยมีวัคซีน ‘โควิชีลด์’ (Covishield) ชุดแรกถูกขนส่งถึงเมียนมาเมื่อวันที่ 22 ม.ค. และจะเริ่มฉีดให้ประชาชนราว 750,000 คนภายในสัปดาห์นี้

อนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขและกีฬาของเมียนมาระบุว่าเมียนมามีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 137,574 ราย เมื่อนับถึงวันอาทิตย์ (24 ม.ค.)

สำหรับ วัคซีน ‘โควิชีลด์’ (Covishield) เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผลิตจากสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ที่เมืองปูเน่ รัฐมหาราษฎระ ที่พัฒนาโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ


อ้างอิง: China Xinhua News

https://www.facebook.com/1660335044182511/posts/2864901813725822/

เปิดเผยแล้ว! โควต้าจำนวนผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการฉีดวัคซีนล็อตแรก เคาะตัวเลขออกมากว่า 19 ล้านคน มีกลุ่มไหนที่จะได้ฉีดวัคซีนก่อนใครกันบ้าง ลองไปเช็กดูกัน

แม้จะยังเป็นช่วง ‘รอ’ วัคซีนโควิด -19 ไม่ว่าจะเป็นกรณีของวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการยื่นเอกสารขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือแม้แต่การสั่งจองวัคซีน (ยี่ห้ออื่นๆ) เพิ่มเติม แต่ล่าสุด ที่มีการอนุมัติออกมาแน่นอนแล้ว นั่นคือ ตัวเลขของประชาชนกลุ่มผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงวัคซีนก่อนใคร

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยถึงมติอนุคณะกรรมการอำนวยการการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา มีรายละเอียดว่า ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ในช่วงแรก มีจำนวนกว่า 19,014,154 คน

ทั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด -19, ผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ละกลุ่มจะได้รับโควต้าในจำนวนเท่าไร ลองตามไปเช็กกันดู

VinFast ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเวียดนาม รุกคืบอีกก้าว เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ 3 รุ่น พร้อมเจาะตลาดต่างแดนด้วย

VinFast เป็นบริษัทในเครือของ Vingroup ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม โดยเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์เมื่อ 3 ปีก่อน มีโรงงานผลิตรถยนต์ในจังหวัดทางตอนเหนือของไฮฟอง รวมทั้งมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในออสเตรเลีย, เยอรมนี และสหรัฐฯ โดดเด่นจากการเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ที่คนทั้งโลกจับตามอง

ล่าสุดจากรายงานข่าวของสำนักข่าว VnExpress ได้ระบุว่า VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ VinFast จะก้าวขึ้นเป็นค่ายรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่น

ความน่าสนใจ คือ รถรุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นมีชื่อว่า VF31 รถยนต์ไฟฟ้าตัวถังครอสโอเวอร์ C-Segment, VF32 รถครอสโอเวอร์ D-Segment และ VF33 รถครอสโอเวอร์ D-Segment เป็นรถยนต์ที่มีระบบขับขี่ด้วยตนเองหลายระบบ รวมถึงระบบช่วยบังคับเลี้ยว การควบคุมเลนแบบปรับอัตโนมัติ และที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งรถสามารถหาจุดจอดของตัวเองและคนขับสามารถเรียกรถให้ขับมาหาได้

อย่างไรก็ตามการเปิดตัวดังกล่าว มี 2 ใน 3 รุ่นที่เป็นระบบเชื้อเพลิง โดยรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง VF31 สามารถวิ่งได้ 300-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่น ขณะที่รุ่น VF32และVF33จะมาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติเลเวล 2 และ 3 รวมถึงตัวท็อปของทั้ง 3 รุ่นจะได้รับ Autopilot Lv.4 พร้อมฟังก์ชั่นเรียกรถ-นำรถจอดอัตโนมัติ ซึ่งทำงานร่วมกันระหว่างกล้อง 14 ตัว, เซ็นเซอร์ 360 องศา19 ตัว และเซ็นเซอร์ LiDAR ที่ไม่เปิดเผยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรายละเอียดที่เหลือจะเปิดเผยเพิ่มเติมในลำดับต่อไป

ทั้งนี้รถยนต์ที่วางเซ็กเม้นท์ไว้เป็นรุ่นพรีเมียม คาดว่าจะมีกล้อง 14 ตัว ที่สามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ห่างออกไปได้เกือบ 690 เมตรและทาง VinFast ยังได้อ้างอีกว่า ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองของตน เร็วกว่ารุ่นรถขับเคลื่อนด้วยตนเองที่มีอยู่ในตลาดแปดเท่า

VinFast กล่าวว่า รถยนต์เหล่านี้มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในโลก รวมถึงการจัดอันดับห้าดาวของสำนักงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ และการจัดอันดับห้าดาวของโครงการประเมินรถใหม่ของยุโรป

สำหรับ VF31 รุ่นมาตรฐานสามารถสั่งซื้อได้ในเวียดนามตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้และจะส่งมอบในเดือนพฤศจิกายน ส่วนรุ่น VF32 และ VF33 ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่เดือนกันยายนและการจัดส่งจะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ขณะเดียวกันบริษัทจะขายรถยนต์เหล่านี้ในสหรัฐ, แคนาดาและสหภาพยุโรปด้วย โดยเปิดรับออเดอร์ในเดือนพฤศจิกายนและส่งมอบในเดือนมิถุนายนปีหน้า

ส่วนในอนาคต VinFast จะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยด้วยหรือไม่นั้น ก็ต้องรอติดตามชมกัน


อ้างอิง:

https://www.carscoops.com/2021/01/vinfast-shows-off-three-new-evs-plans-to-come-to-the-us-in-2022/

https://www.posttoday.com/world/643481

‘พาณิชย์’ วางเป้าส่งออกข้าวไทยปี 2564 ราว 6 ล้านตัน พร้อมปรับแผนการตลาด และประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศ จาก Offline เป็น Online โชว์ศักยภาพผู้ผลิตและส่งออกข้าวคุณภาพของโลก

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการหารือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับเป้าการส่งออกข้าวไทยในปี 2564 ว่า ที่ประชุมฯ เห็นชอบการกำหนดเป้าการส่งออกข้าวไทยที่ปริมาณ 6 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณใกล้เคียงกับการส่งออกในปี 2563 ที่ส่งออกได้ทั้งปีรวม 5.72 ล้านตัน

ซึ่งเป้าหมายนี้ถือว่าท้าทายมาก เพราะปัจจุบันมีประเด็นที่ต้องติดตาม ทั้งค่าเงินบาทแข็งค่า และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลให้ผู้นำเข้าหลายประเทศกำลังซื้อลดลง

สำหรับการส่งออกข้าวปี 2563 มีปริมาณรวมทั้งปี 5.72 ล้านตัน มูลค่า 1.16 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ที่มีปริมาณ 7.58 ล้านตัน มูลค่า 1.31 แสนล้านบาท โดยปริมาณลดลง 24.54% และมูลค่าลดลง 11.23%

อย่างไรก็ตามกรมฯ ได้มีการปรับแผนการดำเนินการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศในปี 2564 โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบจาก Offline เป็น Online มากขึ้น ทั้ง

1.) การหารือกระชับความสัมพันธ์และสร้างความเชื่อมั่นกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ผ่านระบบ Video conference ทั้ง ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อิรัก บังกลาเทศ เป็นต้น รวมทั้งการหารือประเทศผู้ส่งออกข้าว เช่น เวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การผลิตและตลาดข้าว

2.) การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ข้าวไทย เพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ 3.จัดกิจกรรมต่อยอดข้าวหอมมะลิไทยที่ได้แชมป์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกปี 2563 (World’s Best Rice 2020) ผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดีย

ขณะเดียวกันยังทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อการส่งออกข้าวไทย รวมทั้งดำเนินการร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั่วโลก การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับข้าวไทย ทั้งในด้านคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัย และคุณประโยชน์ของข้าวไทยให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อให้สามารถรักษาและขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าในฐานะที่ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวคุณภาพของโลก

Google ขู่ระงับการใช้งานออสเตรเลียจากความหน้าเลือดของรัฐบาล | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

เอาล่ะสิ!! Google ขู่ระงับการใช้งานที่ออสเตรเลีย เพราะความหน้าเลือดของรัฐบาล

.

พีค of the week EP.3

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวพีคๆ ให้พูดถึงอยู่หลายข่าว The States Times จับรวบตึงมาให้ชมกัน แต่พิเศษเพิ่มเติมอีกสักนี๊ด ข่าวพีคๆ ครั้งนี้ เป็น ‘พีคแบบลุงๆ’ ตามไปดูกันว่า มี ‘ลุง’ คนไหนพีคแบบจัดๆ กันบ้าง Let’s go!!

.

 

‘บิ๊กตู่’ หวั่น ไทม์ไลน์ฉีดวัคซีนโควิด เลื่อน ขออย่าโยงการเมืองและสถาบัน มั่นใจสยามไบโอไซน์ มีมาตรฐานดีที่สุด ติงม็อบไม่ใช่เวลามาชุมนุม แนะ ‘ธนาธร’ ฟังชี้แจงจัดซื้อวัคซีนในสภา ยืนยันไม่เคยต้องการใช้ ม.112 ปิดปากใคร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหมต่อกรณีการชุมนุมเกี่ยวเนื่องกับวัคซีนโควิด-19 ว่า บอกว่ายังไม่ใช่เวลานี้ ต้องเข้าใจว่าการที่จะใช้วัคซีนต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน เพราะเราต้องระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้เราก็ทำตามไทม์ไลน์ที่เรากำหนดอยู่แล้ว ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งรัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ด้วยหลักทางด้านสาธารณสุขและกรรมการโรคระบาด และอ.ย.ต้องมีความชัดเจนเกิดขึ้น

"ไม่อยากให้เกี่ยวพันกับเรื่องการเมืองหรือเรื่องอื่นเพราะอันตราย เนื่องจากเราไม่ใช่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์วัคซีน เราเพียงแต่อยู่ในวงโซ่การผลิตของเขา และของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายนอกและการนำเข้ามา จำเป็นต้องมีโรงงานในการผลิต ซึ่งเป็นการรับจ้างการผลิตบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ขออย่านำไปเกี่ยวข้องกับสถาบันอะไรทั้งสิ้น ให้เป็นเรื่องของการดำเนินการทางธุรกิจ เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่อยู่ในพระปรมาภิไธย รัฐบาลจำเป็นต้องขอพระราชทานเพื่อเข้ามาอยู่ในการพิจารณาการผลิตวัคซีน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

กรณีเรื่องของงบประมาณ รัฐบาลก็ดำเนินการทั้งสิ้นในการเพิ่มขีดความสามารถของโรงงาน ทั้งนี้มีอยู่หลายโรงงานที่เสนอมาผลิตวัคซีน และได้ตรวจสอบทุกโรงงานแล้ว พบว่ามาตรฐานที่ดีที่สุดก็คือของสยามไบโอไซน์ คือสิ่งที่อยากชี้แจงให้ทราบ ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น อยากให้เข้าใจตรงนี้ เรื่องการชุมนุมก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าให้เกิดผลกระทบกับคนอื่นแล้วอย่าทำผิดกฎหมายซึ่งรัฐบาลก็รับได้

เมื่อถามว่า ต่อไปนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมาย 112 ทุกรายใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คนละเรื่องกันต้องเข้าใจว่ากฎหมายมีทุกมาตรา ที่ผ่านมาในช่วงแรกได้ให้โอกาสแล้ว

"ไม่ต้องการใช้ ม.112 ปิดปากคนหรือทำร้ายใครทั้งสิ้น ต้องไปดูที่ว่าสิ่งที่เขาทำ ทำซ้ำมากี่ครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเด็กหรือใครก็ตาม ก็ผ่านการให้โอกาสมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้หลายคนอาจจะมีอยู่หลายคดี ที่ต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งเช่นเดียวกับทุกคดีที่มีการดำเนินการตามกฎหมาย หากคิดว่าตัวเองถูกกฎหมายก็ต่อสู้ด้วยกระบวนการยุติธรรม และรัฐบาลไม่ต้องการที่จะเอาเรื่องนี้มาพันกับเรื่องการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ตราบใดก็ตามที่มีการทำความผิดทุกคนก็ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่อยากให้เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นสำคัญและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า การชุมนุมจะส่งผลกระทบ ไทม์ไลน์เรื่องวัคซีนที่วางเอาไว้จะเลื่อนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 'ก็นั่นน่ะสิ อย่านำมาเกี่ยวกับการเมือง วันนี้การเจรจาการตกลงก็เป็นไปได้ด้วยดี พอเราประโคมข่าวเรื่อย ๆ ก็จะเกิดปัญหาความหวาดระแวง ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเรื่องของการเมือง นักการเมืองก็ต้องระมัดระวังด้วย การพูดจาอะไรต่าง ๆ ออกไปบางครั้งทำให้เกิดผลกระทบ ซึ่งตอนนี้ยังคาดว่าเราชี้แจงทำความเข้าใจกับเขาได้ เพราะฉะนั้นคนของเราเองอย่าทำในเรื่องเหล่านี้ เรามีผลกระทบกับคนทั้งประเทศในการที่จะได้รับวัคซีนเพื่อฉีดตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ตาม Timeline ของเรา หากทำให้เกิดความเสียหายทุกคนก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อถามว่า นายธนาธร เรียกร้องให้เปิดรายละเอียดเอกสารการจัดซื้อวัคซีน พล.อ ประยุทธ์ กล่าวว่า รายละเอียดต่างๆ ให้ไปว่ากันในสภา ซึ่งจะมีคนชี้แจงอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า นายธนาธร พร้อมขอโทษหากเข้าใจผิด พล.อ.ประยุทธ กล่าวว่า "ไม่ต้อง ผมคิดว่าผมไม่ได้ผิดอะไร"

เมื่อถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ใช้ม.112 แจ้งความดำเนินคดีกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้เลือก หากการดำเนินการเข้ากับกฎหมายใดก็แจ้งกฎหมายนั้นซึ่งก็มีทั้งหมด 112 ม.116 มีอยู่หลายมาตรา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หากผิดตรงไหนก็ต้องโดน ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดีก็อย่าทำ กฎหมายมีให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

" ไม่อยากให้ไปให้เครดิตในเรื่องเหล่านี้ ให้เครดิตกับคนที่ทำความผิดโดยเจตนา ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ว่าผิดหรือถูกเพราะเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ผมได้ย้ำไปว่าให้เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมาย และทุกคนก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากคิดว่าตัวเองไม่ผิดก็ไปสู้คดีกันไป ก็เช่นเดียวกับคดีอื่น”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สคบ. เตรียมประสาน กสทช. หาช่องคุมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด กันอวดอ้างสรรพคุณและราคาสูงสูงเกินจริง คาดอาจทำให้เหมือนโฆษณาสุรา คือห้ามโฆษณาหรือโฆษณาได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ.เตรียมประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อร่วมกันหารือถึงแนวทางการควบคุมโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ รวมไปถึงสื่อต่าง ๆ

โดยเฉพาะการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด เพราะที่ผ่านมาพบว่า มีการโฆษณากันอย่างแพร่หลาย บางประเภทมีการอวดอ้างสรรพคุณที่อาจเกินความจริง ซึ่งถือว่ามีความผิดตามกฎหมายของสคบ. ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดกรณีอย่างนี้ขึ้น จึงจำเป็นต้องมาร่วมกันหาทางป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอกลวงในช่วงนี้

“กฎหมายว่าด้วยโฆษณาของสคบ. มีการกำหนดไว้ชัดเจน เรื่องลดแลกแจกแถม ซื้อ 1 แถม 1 ต้องทำตามข้อปฏิบัติ ไม่เกินจริง หากผิดก็มีบทลงโทษ ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลายสินค้าที่โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงมาก บางครั้งอาจเข้าข่ายมอมเมาได้ด้วย

สคบ.จึงเตรียมคุยกับ กสทช. ว่าจะมีวิธีควบคุมอย่างไร ถ้าหนักที่สุดก็อาจทำให้เหมือนโฆษณาสุราเลยก็ได้ คือห้ามโฆษณา หรือโฆษณาได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอก ซึ่งที่ผ่านมาสคบ.เคยได้รับการร้องเรียนในลักษณะนี้มาบ้างแล้ว และเมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันจะเสนอเรื่องนี้ให้กับที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือคคบ. ที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเห็นชอบออกเป็นประกาศออกมา”

นอกจากการโฆษณาแล้ว ยังเป็นห่วงกรณีเรื่องการตั้งราคาสินค้าสูงเกินจริง ล่าสุด สคบ.กำลังยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการโฆษณาลดราคาโดยการเปรียบเทียบกับราคาก่อนหน้า เพื่อเข้าไปควบคุมการโฆษณาที่กระทำโดยวิธีการกำหนดราคาดั้งเดิมปลอม หรือเฟค ออร์ริจินอล ไพรซ์ เพราะปัจจุบันการโฆษณาดังกล่าวแพร่หลายในสื่อต่างๆ อย่างมาก ทั้งรายการทีวี ทีวีดาวเทียม สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งสคบ. จะนำกรณีศึกษาของต่างประเทศมาพิจารณา คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป

‘บิ๊กตู่’ เตรียมฟันแก๊งขนแรงงานเถื่อน โยนคณะกรรมการศึกษาข้อดี-เสีย ในการเปิดบ่อนถูกกฎหมาย ย้ำสิ่งสำคัญคือประชาชนต้องยอมรับได้ คาดบ่อนถูกกฎหมายอาจมาในรูปแบบที่พัก พร้อมศูนย์ประชุม คล้ายบ่อนคาสิโนของต่างประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องบ่อนการพนันมากว่า 200 เรื่องว่า เรื่องดังกล่าวเป็นประโยชน์และอยู่ในขั้นตอนกระบวนการดำเนินการ ซึ่งพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รายงานขั้นตอนดำเนินงานต่อไปแล้ว ตนขอเรียนว่าช่วงที่ผ่านมาตำรวจ ก็มีผลงานในการจับกุมคดีต่าง ๆ มากมาย ไม่ใช่ว่าจะปล่อยประละเลย

ทั้งนี้ การจะสรุปว่าใครผิดหรือใครถูกต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่ได้มาเท่าที่ได้สอบถามมีคนให้ข้อมูลเรื่องบ่อนการพนันมาจำนวนมาก และข้อมูลที่ว่าบางทีก็เกิดขึ้นมา 3-4 เดือน ซึ่งก็จะต้องไปสอบสวนต่อว่าใช่หรือไม่ หลายคนยืนยันว่าใช่ แต่พอขอให้รับรองในคำร้องเรียนข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีใครยอมลงนามกันสักคน อย่างไรก็ตามตนก็ยืนยันว่าจะต้องสอบเรื่องทุกเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด

“เราต้องช่วยกันแก้ทุกปัญหาที่เกิดในประเทศไทยมายาวนาน ทุกวันนี้ก็แก้อยู่หลายอย่าง ทั้งเรื่องแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เรื่องจดทะเบียนขึ้นทะเบียนแรงงาน ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ระบบไบโอแมทริกซ์ เข้ามาช่วย หลายอย่างก็จะดีขึ้น ปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นมานาน โทษใครก็ไม่ได้ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังดำเนินการทุกเรื่องให้ไปสู่การขับเคลื่อน แต่ขอให้เข้าใจว่าการปฏิบัติงานไม่ใช่เรื่องง่าย จะมาตอบถึงการแก้ไขภายใน 1-2 วันได้ โดยวันนี้ก็มีรายงานสรุปเรื่องแรงงานต่างด้าว ว่ามีใครเกี่ยวข้องในการกระทำผิดบ้าง ผมก็สั่งลงโทษคนที่ทำผิดทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ กล่าว

เมื่อถามว่า คณะกรรมการที่นายกฯ ตั้งขึ้นให้ศึกษาถึงข้อดีข้อเสียของการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ กล่าวว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมาการศึกษาดูว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ข้อสำคัญที่สุดคือประชาชนยอมรับได้หรือไม่ ก็มีอยู่ 2 ลักษณะคือ 1.บ่อนที่ถูกกฎหมาย ก็คงไม่ใช่บ่อนเพียงอย่างเดียว จะต้องเป็นเรื่องของที่พัก ในห้องประชุมก็เหมือนบ่อนคาสิโนของต่างประเทศ คนที่เข้ามาเล่นในบ่อนจะต้องมีหลักทรัพย์ที่เพียงพอ และต้องมีการรับรองการเงินต่างๆ

ซึ่งส่วนนี้ถ้าเปิดได้จริง ๆ คนในส่วนนี้จะได้ไม่ต้องไปเล่นต่างประเทศ แต่ในส่วนอื่นตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะมันมีทั้งบ่อนขนาดเล็ก ในส่วนของคนที่ชอบเล่นแต่เข้าไม่ถึง อาจจะมีการแอบเล่นกันอีกหรือไม่ เพราะว่ามันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ด้วย

“ปัญหาต่าง ๆ มีมากมาย ข้อสำคัญคือคนไทยเราจะคิดอย่างไรกันต่อไป ในการแก้ปัญหาให้เกิดความยั่งยืนไม่ใช่ว่าทำอันนึงแล้วจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด มันมีหลายอย่างที่ทับซ้อนกันอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยในส่วนนี้ก็ต้องมองว่าคนไทยเราจะเดินหน้าประเทศกันไปอย่างไร ให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นเขา มีหลายหลายอย่างก็ต้องปรับตัวเอง ผมยังตัดสินอะไรไม่ได้ เมื่อมีบ่อนถูกกฎหมายแล้วจะดีหรือไม่ดีก็ต้องให้คณะกรรมาธิการศึกษากันมาก็แล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหา PM 2.5 เห็นชอบ EIA โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองกทม., ถนนเลี่ยงเมืองสตูล, ขนส่งระบบราง จ.สงขลา และทางหลวง จ.เลย เน้นย้ำทุกหน่วยงานปฏิบัติตามรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการที่สำคัญ เพื่อรองรับแผนการพัฒนาท้องถิ่น ภายใต้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่เป็นสากล ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ของรฟม.,โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูล ของ อบจ.สตูล ,โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนโดยระบบราง ของ อบจ.สงขลา ,

โครงการทางหลวงหมายเลข 203 หล่มสัก-หล่มเก่า-เลยของกรมทางหลวง และเห็นชอบให้ ทส.ปรับปรุงประกาศมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้ง จากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท ที่ยังขาดการดูแลบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

ที่ประชุม ยังได้พิจารณาเห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2563 ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เช่น พื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น การใช้พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้น และอัตราส่วนพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น เป็นต้น

สำหรับสถานการณ์ที่ยังน่าเป็นห่วง เช่น พื้นที่ป่าไม้คงที่ แต่พื้นที่ไฟไหม้ รวมทั้งจุดความร้อนสะสมในพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น คุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐาน (PM2.5) ในพื้นที่เมืองใหญ่ ควันจากไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือรุนแรงเพิ่มขึ้น เป็นต้น

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ คณะกรรมการฯ ให้กำกับ ติดตามโครงการที่ผ่านความเห็นชอบแล้ววันนี้ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ พร้อมเน้นย้ำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่างๆ ปฏิบัติตามรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด และให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชน และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ ต่อไป

‘ยายบวน โล่ห์สุวรรณ’ วัย 89 ปี เลือกวิธีคืนเบี้ยคนชรา แบบไม่มีดอกเบี้ย แต่ขอเวลา 20 เดือน จะหาเงินมาคืนให้หมด ยืนยันไม่เปิดบัญชีรับบริจาคกลัวบานปลายเป็นดราม่า แต่ไม่ปิดกั้นหากคนจะช่วยเหลือ ให้มาคุยกับทางครอบครัวได้

ความคืบหน้ากรณีที่นางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี พร้อมด้วยนางลัดดาวรรณ โล่ห์สุวรรณ อายุ 66 ปี ลูกสาว ชาวตำบลเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากเจ้าหน้าที่ อบต.ได้มาแจ้งว่ามีหนังสือจากกรมบัญชีกลางมาทวงเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ที่จ่ายให้กับนางบวน ผู้เป็นแม่ย้อนหลังเป็นเวลา 10 ปีคืน รวมเป็นเงิน 84,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยด้วย เพราะเป็นการจ่ายซ้ำซ้อน เนื่องจากยายบวน ได้รับเงินบำนาญพิเศษกรณีที่ จ.ส.อ.จักราวุทธ โล่ห์สุวรรณ ลูกชายซึ่งเป็นทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา เสียชีวิตจากกรณีคลังแสง อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระเบิด เป็นจำนวนเงินเดือนละ 5,000 บาท

ทั้งนี้ หลังจากลูกชายเสียชีวิตจากเหตุการณ์คลังแสงระเบิด เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 และได้รับเงินบำนาญเพิ่มเป็น 10,000 บาท เมื่อกลางปี 2562 ซึ่งก็สร้างความตกใจให้ยายบวน เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าหากได้รับเงินบำนาญของลูกชายที่เสียชีวิตแล้ว จะไม่มีสิทธิ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ และหากเป็นการจ่ายซ้ำซ้อนทำไมถึงปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึง 10 ปี แล้วเพิ่งจะมาทวงถาม ซึ่งไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายคืน จึงอยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ

กระทั่งเมื่อวานนี้ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 26 พร้อมด้วยผู้กำกับการ สภ.เฉลิมพระเกียรติ นายก อบต.เจริญสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ไปเยี่ยมให้กำลังใจคุณยายยวน พร้อมทั้งหารือแนวทางในการช่วยเหลือยาย โดยจากการพูดคุยก็ได้เสนอให้คุณยาย และครอบครัวสามารถผ่อนชำระได้ ตามระเบียบที่กำหนดไว้คือ หากผ่อนชำระภายใน 1 ปี จะไม่มีดอกเบี้ย แต่ถ้าเกิน 1 ปี ตามระเบียบก็กำหนดไว้จะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

ล่าสุด คุณยายบวน และลูกหลานได้หารือกันแล้ว ตกลงว่า จะหาเงินมาชำระเบี้ยคนชราย้อนหลังคืนตามระเบียบทั้ง 84,400 บาท โดยเลือกแบบไม่มีดอกเบี้ย แต่ทางครอบครัวก็ได้แจ้งทาง อบต.ว่าขอยืดระยะเวลาจาก 1 ปี หรือ 12 เดือน เป็น 20 เดือน เพื่อขอเวลาหาเงินและส่วนหนึ่งก็ต้องแบ่งจากเงินบำนาญพิเศษกรณีลูกเสียชีวิตที่ยายได้รับล่าสุดเป็นเดือนละ 10,000 บาท มารวมกันเพื่อชำระในแต่ละเดือน ซึ่งตอนนี้ก็รอคำตอบจากทาง อบต.ว่าจะสามารถยืดระเวลาจาก 12 เดือน เป็น 20 เดือนได้หรือไม่ แต่หากตามระเบียบไม่สามารถทำได้ทางลูกหลานก็จะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนให้ครบทุกบาทตามระเบียบ เพราะทางครอบครัวเข้าใจว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินหลวง

ด้านนางลัดดาวรรณ ลูกสาวยายบวน กล่าวว่า หลังจากนี้จะพยายามหาเงินไปชำระเบี้ยผู้สูงอายุคืนให้ครบทั้งหมด ขณะนี้ก็รอคำตอบจากทาง อบต.ว่าจะสามารถยืดระยะเวลาการชำระแบบไม่มีดอกเบี้ยจาก 12 เดือน เป็น 20 เดือนได้หรือไม่ ยอมรับว่าทั้งแม่และครอบครัวรู้สึกเครียดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่าทางครอบครัวจะไม่เปิดบัญชีรับบริจาคเพราะไม่อยากให้เกิดกระแสดรามา

แต่หากใครอยากจะช่วยเหลือก็ให้มาพูดคุยกับคุณแม่หรือลูกหลานที่บ้านด้วยตัวเอง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่อยากจะโทษใครอาจจะด้วยความไม่รู้หรือการสื่อสารไม่เข้าใจ ก็ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เพราะห่วงสภาพจิตใจของแม่เพราะอายุมากแล้ว แค่นี้ก็เครียดมากพอแล้ว ก็ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เข้ามาเยี่ยมให้กำลังใจและช่วยเหลือแม่

ขณะที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ลงพื้นที่สอบถามรายละเอียดคุณยายที่บ้าน พร้อมทั้งจะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อ เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือคุณยายในอีกทางหนึ่งด้วย

ลูกสาวผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ชี้แจง แนวทางการรักษาบิดา เผยแพทย์กำลังประเมินวิธี “ปลูกถ่ายปอด” เป็นหนึ่งในทางเลือกรักษาพร้อมเปิด line@ ให้ส่งกำลังใจผ่านออนไลน์แทนการเดินทางมาโรงพยาบาล

จากกรณีที่ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการสมุทรสาคร ติดเชื้อโควิด-19 และได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา

ล่าสุด ‘น้ำหวาน’ บุตรสาว ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ได้เปิดเผยอาการบิดา ว่า “ขอแจ้งไปยังญาติๆ และผู้ที่ห่วงใยคุณพ่อค่ะ จากที่ช่วงนี้มีข่าวเรื่องการปลูกถ่ายปอด ทำให้หลายท่านติดต่อเข้ามาเพื่อสอบถามอาการของคุณพ่อ จึงขอแจ้งเพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจสถานการณ์ และไม่วิตกกังวลจนเกินไปนะคะว่าอาการของคุณพ่อตอนนี้ยังคงอยู่ระหว่างการประเมินของคณะแพทย์ว่าจะใช้วิธีการรักษาต่อไปแบบไหน โดยการปลูกถ่ายปอดเป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีรักษาที่คุณหมอได้เสนอเป็นทางเลือกไว้ค่ะ หากได้ข้อสรุปหรือมีความคืบหน้าอย่างไร อาจารย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา จะเป็นผู้แถลงผ่านทางพี่ๆ สื่อมวลชน ให้ทราบกันอย่างต่อเนื่องนะคะ

สำหรับผู้ที่สอบถามเข้ามาถึงการมาเยี่ยม หรือนำแจกันดอกไม้ หรือสิ่งของอื่นๆ มามอบให้กำลังใจคุณพ่อ ต้องขอเรียนให้ทราบว่า คุณพ่อรักษาตัวอยู่ในวอร์ดสำหรับผู้ป่วยโควิดที่อาการวิกฤต คุณหมอจึงไม่ได้อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมเลย (รวมถึงตัวหวานเองด้วย) และไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับอาการ รวมถึงไม่สามารถนำของเยี่ยมเข้าไปภายในห้องได้

เบื้องต้น ทางโรงพยาบาลจึงได้จัดสมุดลงนามไว้ ที่อาคาร 84 ปี (ซึ่งเป็นคนละอาคารกับที่รักษาตัวอยู่) ส่วนของเยี่ยมทั้งหมดหวานจะนำกลับไปที่บ้านนะคะ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงของการควบคุมโรค ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของทุกท่าน ว่าจะต้องเดินทางเพื่อมาเยี่ยมถึงโรงพยาบาล และทำให้ท่านมีความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

จึงได้จัดทำเป็น line@ ของคุณพ่อ ID : @verasak.vich หรือกดลิงก์ https://lin.ee/IUu5zns เพื่อให้ทุกท่านได้ส่งกำลังใจถึงคุณพ่อผ่านช่องทางออนไลน์นี้ แทนการเดินทางมาโรงพยาบาล ท่านจะได้ไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน หรือเดินทางข้ามจังหวัด หรือส่งข้อความไปยังไลน์ส่วนตัวคุณพ่อ (ซึ่งตอนนี้น่าจะใช้ไม่ได้แล้ว)

และถ้าคุณพ่ออาการดีขึ้น จะรวบรวมให้คุณพ่อได้รับทราบถึงความห่วงใยจากทุกท่านต่อไปค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ และขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านค่ะ”

ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 รมต. ขึงพืดประจานความไร้ประสิทธิภาพ บริหารราชการแผ่นดิน แย้มขอมากกว่า 5 วันกระหน่ำรัฐบาล โต้ไร้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเหตุปล่อยรมว.พลังงาน หลุดโพยไม่ไว้วางใจ

ที่รัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำและสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 6 พรรค ประกอบไปด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคเล็ก 2 พรรค คือพรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า สำหรับวันเวลาที่เราจะใช้ในการอภิปรายนั้น จากการพูดคุยกันเบื้องต้น เห็นว่าควรเริ่มวันที่ 16 ก.พ. จึงจะพอเหมาะ ส่วนวันที่สิ้นสุดนั้นจะดูตามความเหมาะสม และจำนวนผู้อภิปราย

ด้านนายชวน กล่าวว่า เมื่อยื่นญัตติฯแล้ว สภาฯก็จะให้ฝ่ายเลขาฯ ตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมด ถ้ามีอะไรจะแจ้งไปที่ผู้เสนอญัตติภายใน 7 วัน จากนั้นจะดำเนินการเข้าสู่การบรรจุวาระแบบเร่งด่วน ซึ่งวันที่จะดำเนินการอภิปรายนั้น ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลตกลงกันไว้เบื้องต้นว่าจะใช้วันที่ 16-19 ก.พ. แต่คงจะต้องมีการตกลงเรื่องเวลากันให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีส.ส.ฝ่ายค้านร่วมเข้าชื่อ 208 คน ยื่นอภิปรายรัฐมนตรี 10 คนประกอบด้วย 1.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม 2.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 3.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข 4.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ 5.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 6.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย 7.) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ 8.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 9.) นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย 10.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์

ขณะที่มีส.ส.ประสงค์ที่จะอภิปรายนั้น หลังจากการยื่นแล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือกันทันที และจะได้คุยเรื่องกรอบเวลาด้วย

เมื่อถามว่า ประเด็นหลัก ๆ ที่จะอภิปรายมุ่งเน้นไปที่เรื่องใด นายประเสริฐ กล่าวว่า มีหลายประเด็น ทั้งเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่ การบริหารราชการที่ผิดพลาด เรื่องเอื้อประโยชน์ต่อประชาชน และเรื่องการขาดหลักนิติรัฐ นิติธรรม

เมื่อถามย้ำว่า การอภิปรายฯครั้งนี้มีหมัดเด็ด หมัดน็อกหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า อยากให้ติดตามดู มีหมัดเด็ดแน่นอน เพราะหลักฐานค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้ ฝ่ายค้านมีการปรับรูปแบบการอภิปรายให้มีรายการเด็ดทุกวันโดยยึดข้อมูลเป็นสำคัญ

การอภิปรายครั้งนี้จะกระชับ เน้นเนื้อหาสำคัญ ๆ โดยจะใช้เวลาอภิปรายนายกฯ อย่างน้อย 1 วัน แต่อาจจะมากกว่านั้น เพราะเรื่องโควิดก็วันหนึ่งแล้ว ส่วนรัฐมนตรีท่านอื่น ๆ จะใช้ผู้อภิปราย 2-3 คน ต่อรัฐมนตรี 1 คน

อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาเหมือนครั้งที่แล้ว จะตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามเรื่องเวลาการอภิปราย ตัวผู้อภิปราย จะทำงานอย่างเป็นเอกภาพใกล้ชิดกัน ส่วนเรื่องระยะเวลาการอภิปรายนั้น อาจจะมากกว่า 5 วันก็ได้ เพราะมีรัฐมนตรีถูกซักฟอก 10 คน ทุกคนจะต้องถูกอภิปรายทั้งหมด รวมถึงคนที่ขออภิปรายจะต้องได้พูดครบประเด็นหมดทุกครั้ง ดังนั้นเป็นไปได้ที่อาจใช้เวลามากกว่าวันที่ 16-19 ก.พ.ตามที่วางกรอบไว้เบื้องต้น

เมื่อถามว่า มีข้อสงสัยว่าทำไม่มีการอภิปรายรมว.พลังงาน นายประเสริฐ กล่าวว่า เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีน้ำหนักหลักฐานไม่เพียงพอจะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ใด ๆ มาเกี่ยวข้อง ส่วนจำนวนผู้ถูกอภิปราย 10 คนที่ถูกวิจารณ์ว่ามากเกินไปนั้น อย่าดูที่ตัวบุคคล ขอให้ดูเนื้อหาการอภิปราย เพราะผู้ถูกอภิปรายล้วนมีประเด็นทั้งสิ้น

ในส่วนพรรคเพื่อไทยวางตัวผู้อภิปรายไว้ 15-16 คน ลดจากครั้งที่แล้วที่วางไว้ 30 กว่าคน ขณะที่การอภิปรายร.อ.ธรรมนัส ที่มีข่าวตอนแรกว่าชื่อจะหลุดจากการอภิปรายนั้น ยืนยันว่าชื่อของร.อ.ธรรมนัสเป็นชื่อแรก ๆ ที่ถูกเสนอ แต่มีผู้คัดค้านว่าจะน้ำหนักเพียงพออภิปรายหรือไม่ ในที่สุดผู้อภิปรายยืนยันว่า มีข้อมูลหนักแน่นเพียงพอ จึงยืนยันที่จะอภิปรายร.อ.ธรรมนัส

เมื่อถามว่า มีข้อมูลที่นำไปสู่การยื่นถอดถอนหรือดำเนินคดีต่อได้หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ตนคิดว่ามีหลายเรื่อง แค่พูดแย้มไว้ก็มีอย่างน้อย 2-3 เรื่องแล้วที่จะยื่นต่อได้ แม้เสียงในสภาฯมืออาจจะสู้รัฐบาลไม่ได้ แต่หากพี่น้องประชาชนได้ฟังแล้วจะเรียกศรัทธาจากพี่น้องประชาชนได้

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเสริมว่า การอภิปรายครั้งนี้ต่างจากปีที่แล้ว เพราะครั้งก่อนมีความบีบคั้นเรื่องของเวลา แต่ครั้งนี้เรามีเอกภาพ ทำงานกันอย่างรอบคอบและละเอียด การอภิปรายครั้งนี้จะเข้มข้น สร้างสรรค์ ชัดเจน และอภิปรายไปในทางเดียวกัน

เมื่อถามว่ามีข้อครหาว่าจะมีมวยล้มต้มคนดู นายพิธา กล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ หากท่านสังเกต เมื่อใกล้ช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจทีไรมักจะมีปฏิบัติการไอโอขึ้นมาว่าฝ่ายค้านยังไม่พร้อมบ้าง ไม่มีเอกภาพบ้าง ตนคิดว่า ไอโอเหล่านี้ควรเอาเวลาไปเตรียมข้อมูลในการแก้ต่างของตัวเองดีกว่า พยายามอย่าเป็นรัฐบาลดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับความผิด ทั้งนี้ ทั้งส.ส. และตัวผู้อภิปรายจะพยายามประชุมกันให้บ่อยที่สุด รวมถึงวิปฯของแต่ละพรรคด้วย

“ตราบใดที่ผมเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะไม่มีเหตุการณ์มีปัญหาเรื่องเวลาการอภิปรายเหมือนครั้งที่แล้วอีก” นายพิธากล่าว

ส่วนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ยืนยันไม่มีมวยล้มการอภิปราย ในครั้งที่แล้วก็ไม่มีมวยล้ม ฝ่ายค้านทำงานกันเต็มที่ แต่ขอให้ประธานที่ประชุมวางตัวเป็นกลาง อย่าเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล

ผ่านมา 2 สัปดาห์ กับเหตุการณ์เหมืองทองระเบิดที่ประเทศจีน ล่าสุดทีมกู้ภัยสามารถช่วยชีวิตคนงานที่ติดอยู่ภายในตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม ออกมาได้กว่า 10 ชีวิต แต่ยังคงค้นหาผู้รอดชีวิตต่อไปอีกนับสิบชีวิตที่ยังไม่รู้ชะตากรรม

หลังจากทุ่มเทความพยายามถึง 14 วัน ในที่สุดหน่วยกู้ภัยจีนก็สามารถช่วยเหลือคนงานเหมืองชุดแรกออกมาได้แล้ว 10 คนอย่างปลอดภัย ถึงแม้จะอยู่ในสภาพอิดโรย และจำเป็นต้องใช้ผ้าปิดตาป้องกันแสงแดดจากภายนอก เนื่องจากอยู่ในที่มืดเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ แต่โชคร้ายที่มีคนงานเหมือง 1 คน ที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดที่ศีรษะ เสียชีวิตก่อนได้รับการช่วยเหลือ

คนงานเหมืองทองทั้ง 22 คน ติดอยู่ในเหมืองทองที่ลึกจากพื้นดินเกือบ 600 เมตร หน่วยกู้ภัยเคยคาดว่าอาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์กว่าจะขุดโพรงเพื่อช่วยเหลือคนงานเหมืองได้ แต่ทางการจีนมีคำสั่งให้เร่งขุดเจาะเพื่อช่วยเหลือคนงานด้านในออกมาให้เร็วที่สุด และสามารถขุดสำเร็จในวันที่ 14 ของการช่วยเหลือ

แต่ยังเหลือคนงานที่ติดอยู่ข้างในอีก 10 คน ในชั้นเหมืองที่ลึกลงไปอีก 100 เมตร ซึ่งยืนยันได้ว่ามีชีวิตอยู่แค่ 1 คน ส่วนที่เหลืออีก 9 คนยังไม่ทราบแน่ชัด ดังนั้นการช่วยเหลือยังคงดำเนินต่อไป

ส่วนสาเหตุของการระเบิดในเหมืองทองฉิงเซีย ยังไม่เป็นที่เปิดเผย และอย่างที่รู้กัน อุบัติเหตุในอุตสาหกรรมเหมืองของจีนไม่ใช่เรื่องใหม่ มักมีข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ในปี 2020 ที่ผ่านมีอุบัติเหตุในเหมืองจีนที่เป็นข่าวมากถึง 9 ครั้ง และทุกครั้งเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่มีผู้เสียชีวิต

อุบัติเหตุในเหมืองครั้งสุดท้ายของปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมในเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในมณฑลฉงชิ่ง เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์รั่วภายในเหมือง ที่คร่าชีวิตคนงานเหมืองถึง 23 คน

แหล่งข้อมูล

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55784231

https://www.theguardian.com/world/2021/jan/24/chinese-mine-accident-first-worker-rescued-after-two-weeks-underground


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top