Sunday, 27 April 2025
NEWS

'รถไฟฟ้า' มาแน่!! หลัง รฟม.เปิดรับฟังความคิดเห็น เตรียมสร้างรถไฟฟ้านครราชสีมา สายสีเขียว

รฟม. จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต่อผลการศึกษาเปรียบเทียบทางเลือกระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เหมาะสม สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมา สายสีเขียว (ตลาดเซฟวัน - สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์)

วานนี้ (27 ตุลาคม 2565) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม.)ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต่อผลการศึกษาเปรียบเทียบทางเลือกระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมา สายสีเขียว (ตลาดเซฟวัน - สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์) โดยภายในงานมีผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่, ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ, ภาคเอกชน, องค์กรอิสระ สถาบันการศึกษา และผู้สนใจ รวมถึงสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการประชุมกว่า 250 คน ณ ห้องสุรนารีบอลรูม โรงแรม ดิ อิมพีเรียล โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โคราช อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบสรุปผลการเปรียบเทียบรูปแบบที่เหมาะสมในดำเนินงานโครงการฯ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงผลการศึกษาให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ในลำดับต่อไป

ผบ.ตร.มอบ รองฯต่อศักดิ์ ลุยจัดระเบียบสังคม ยาแรงฝ่าฝืนเสนอสั่งปิดทันที 5 ปี หากทำผิดซ้ำจำคุก 1 ปี เตือน ตร.ท้องที่ห้ามปล่อยปละละเลย

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565 เวลา 09.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ที่ดูแลงานป้องกันปราบปราม เปิดเผยว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงงานป้องกันปราบปราม ที่ สง.ผบ.ตร. พร้อมมอบหมายให้ดูแลจัดระเบียบสถานบริการทั่วประเทศ โดยให้ดำเนินการตามคำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 22/2558 และแก้ไขเพิ่มเติมที่ 46/2559 โดยทุกสถานบริการ หรือสถานประกอบการที่เปิดบริการคล้ายสถานบริการ จะต้องไม่ยินยอม ปล่อยปละละเลยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการไม่เปิดเกินเวลา ไม่ปล่อยให้มีการพกพาอาวุธ วัตถุระเบิด ยาเสพติดเข้าไปในสถานบริการ รวมถึงต้องไม่มีการค้ามนุษย์ในสถานบริการ หรือปล่อยให้มีการเล่นการพนันในสถานบริการ” 

มทบ. 18 จัดพิธีอำลาผู้บังคับบัญชาและมอบประกาศเกียรติคุณให้ทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการรุ่นปี 2563 ผลัดที่ 2

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ณ หน้ากองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 18 พลตรี อภิชัยวิไลเนตร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 18 เป็นประธานพิธีอำลาผู้บังคับบัญชาพร้อมมอบประกาศเกียรติคุณให้ทหารกองประจำการ รุ่นปี 2563 ผลัดที่ 2 ซึ่งทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการ ในวันที่ 1 กันยายน 2565 ของหน่วยทหารปลดทั้งหมด จำนวน150 นาย และรับใบประกาศทหารดีเด่น 48 นาย ณ หน้ากองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 18 ด้วยทหารกองประจำการ รุ่นปี2563 ผลัดที่ 2 ซึ่งได้เข้ารับราชการทหาร ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พุทธศักราช 2497ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2563 ซึ่งจะครบกำหนดปลดเป็นทหารกองหนุน ในวันที่ 1กันยายน 2565

โดยทหารกองประจำการเหล่านี้ ที่รับราชการอยู่ เป็นผู้ที่มีระเบียบวินัย มีความประพฤติดีเรียบร้อย มีความเสียสละ  ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ไม่เคยนำความเสื่อมเสียมาสู่หน่วย และปฏิบัติหน้าที่ จิตอาสาฯ ด้วยความดีดังกล่าวข้างต้นนี้ จึงได้จัดให้มีพิธีอำลาผู้บังคับบัญชา และประกาศเกียรติคุณ ในวันนี้ขึ้นมาเพื่อตอบแทนคุณงามความดี ที่ได้กระทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลของกำลังพลดังกล่าว 

เปิดม่าน 15 ปี สุขภาพแห่งชาติ 'พลังภาคีสร้างสังคมสุขภาวะ' สช. และภาคี! ชูผลงานประจักษ์ รวมพลังผลักดันนโยบายสุขภาพเพื่อคนไทย

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) รวมพลังภาคีเครือข่าย รวบรวมผลงานตลอดระยะเวลา 15 ปี ของการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม พร้อมถอดบทเรียนความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม นำเสนอประสบการณ์ และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในประเด็นสําคัญของประเทศ ในงาน 15 ปี สุขภาพแห่งชาติ “พลังภาคีสร้างสังคมสุขภาวะ” เพื่อนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขับเคลื่อนแนวคิด “ทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ” ให้เป็นรูปธรรม

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวในการจัดงาน 15 ปีสุขภาพแห่งชาติ “พลังภาคีสร้างสังคมสุขภาวะ” ว่า นับตั้งแต่ที่สังคมไทยมีพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 จวบจนปัจจุบันนับเป็นเวลา 15 ปีแล้ว ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกลไกและกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายแบบมีส่วนร่วม โดยการขับเคลื่อนวิธีคิด สร้างจิตสำนึกสุขภาพใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่สังคมสุขภาวะ มีการขยายมิติสุขภาพที่กว้างขึ้นครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ กาย ใจ สังคม และปัญญา โดยมีภาคีเครือข่ายต่างๆ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ ทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติ

โดยปีนี้ สช. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพกว่า 40 องค์กร นำผลงานจากการขับเคลื่อนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมตลอดระยะเวลา 15 ปี มานำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในงาน โดยมีการนําผลงานที่เป็นประสบการณ์และบทเรียน หรือความก้าวหน้าเชิงรูปธรรมที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ อาทิ ธรรมนูญสุขภาพพื้นที่และธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติ  การพัฒนาสิทธิหน้าที่ด้านสุขภาพของประชาชน การพัฒนากระบวนการสมัชชาสุขภาพทั้งเฉพาะพื้นที่/ประเด็นและ ระดับชาติ  การมีส่วนร่วมในการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ จากนโยบายยุทธศาสตร์แผนงานและโครงการ ตลอดจนกิจกรรมการพัฒนาที่มีต่อสุขภาพ ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เสนอสู่สาธารณชน  เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในประเด็นด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจะนําไปสู่การกำหนดทิศทางการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมในอนาคตร่วมกัน โดยงานนี้ยังถือเป็นการสร้างพลังภาคีเครือข่าย สู่การสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขับเคลื่อนแนวคิด“ทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ” ให้เป็นรูปธรรมด้วย

“การจัดงานในปีนี้จะเป็นรูปแบบลูกผสม หรือ Hybrid meeting โดยมีการถ่ายทอดสดการจัดงานผ่านสื่อออนไลน์ มีเนื้อหาหรือกิจกรรมสำคัญภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการนำเสนอผลงานของภาคีเครือข่าย เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอภาพรวมการขับเคลื่อนงานที่ผ่านมา ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม กระบวนการนโยบายสาธารณะในอนาคต  ทิศทางและโอกาสการทำงานในอนาคต และท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาให้เกียรติกล่าวปาฐกถาเปิดงานในหัวข้อ “การเมืองภาคพลเมือง กับการพัฒนาประเทศ” รวมทั้ง ศ.นพ.ประเวศ วะสี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “15 ปี พลังภาคีสร้างสังคมสุขภาวะ” ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ นอกจากภาคีเครือข่ายต่างๆ จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์และพัฒนาปฏิรูประบบสุขภาพไทยในอนาคตแล้ว ยังทำให้เกิดความเข้าใจในทิศทาง และกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม และร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ในอนาคตอีกด้วย” นพ.ประทีป กล่าว

'อบจ.ปทุมธานี' ยอมรับศักยภาพ อบจ.สมุทรปราการ จับมือ 'นายก.นันทิดา' ศึกษาขั้นตอนโครงการรถไฟฟ้า Monorail

ที่ภายในห้องประชุม ชั้น 3 อุทยานการเรียนรู้และหอชมเมือง จ.สมุทรปราการ นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ นำคณะผู้บริหาร และสมาชิกสภา ร่วมให้การต้อนรับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ที่เดินทางมาเข้าร่วมรับฟังการบรรยายและศึกษาขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ 

โดยมี นายสิระพงษ์ สิริโพธินันท์ รองนายก อบจ.ปทุมธานี พลอากาศเอก สักก์สกล แสงสุกรัตน์วดี นายณเรศ คุชิตา นายธนศักดิ์ แป้นมุข ที่ปรึกษานายก อบจ.ปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ และวิศวกรโยธา จำนวน 42 คน เพื่อรับฟังการบรรยายการศึกษาขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือได้ว่าจังหวัดสมุทรปราการเป็นจังหวัดแรกที่นำร่องโครงการดังกล่าวนี้

โดยภายในที่ประชุม นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ให้เกียรติกล่าวให้การต้อนรับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี โดยมี นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ ดร.รัชชานนท์ ทองอร่าม นายสมลักษณ์ ควรสงวน รองนายก อบจ.สมุทรปราการ นายมนัส บุญอารย์ นายสมหวัง เกษมโกสินทร์ นายวสุพล จันทร์พวง เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ นายนิคม บุญมาก ที่ปรึกษานายก อบจ.สมุทรปราการ ดร.พิริยะ โตสกุลวงศ์ รองประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ และในฐานะผู้แทนนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ นายวิมล มงคลเจริญ ปลัด อบจ.สมุทรปราการ ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมให้การต้อนรับ

กรมการปกครองพัฒนาแอป D.DOPA ใช้งานง่าย ไม่พกบัตรประชาชน ก็สามารถติดต่อราชการได้

ทุกวันนี้การทำธุรกรรมต่าง ๆ สามารถทำได้ง่ายเปิดบัญชีธนาคารก็สามารถทำได้เองในออนไลน์ แต่ทำไมการที่จะไปทำเอกสารราชการ มันต้องยุ่งยากเหลือเกิน ต้องใช้บัตรประชาชน เอกสารสำเนาต่าง ๆ ยิ่งถ้าเอกสารสำคัญหายบอกเลยว่าเศร้า 

แต่ชีวิตของเราจะง่ายขึ้น เมื่อกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน D.DOPA หรือ DOPA Digital ID ขึ้น หากมีแอปนี้แล้วไม่จำเป็นต้องพกบัตรประชาชนและเอกสารสำเนาเวลาติดต่อราชการอีกต่อไป 

วันนี้ทีมข่าว THE STATES TIMES จะพามาทำความรู้จักกับแอปฯ D.DOPA หลังได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวนเงิน 325,120,120 บาท

อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่าแอปนี้จะใช้งานง่ายจริงหรือไม่? อยากให้ติดตามอ่านไปพร้อมกัน

แอปฯ D.DOPA หรือ DOPA Digital ID ถูกพัฒนาขึ้นโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีนายสัญชัย เตชนิมิตวัช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบข้อมูล กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าโครงการ 

ซึ่งพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของประชาชนในยุคดิจิทัล โดยฟีเจอร์หลักเป็นการยืนยันตัวตน ซึ่งการยืนยันนี้ทำให้ผู้ใช้งานเหมือนมีบัตรประชาชนออนไลน์ สามารถนำไปใช้โดยไม่ต้องมีบัตรประชาชนตัวจริง และเอกสารสำเนาในการติดต่อราชการ

แอปฯ D.DOPA ใช้งานได้ทั้ง Android และ iOS ซึ่งระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ การลงทะเบียนและพิสูจน์ตัวตน (enrolment and identity proofing) และการยืนยันตัวตน (authentication)

>> มีความน่าเชื่อถือขนาดไหน?
ในส่วนของการลงทะเบียนและพิสูจน์ตัวตน มีระดับความน่าเชื่อถือ (Identity Assurance Level : IAL) เท่ากับ IAL 2 และการยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรม มีระดับความน่าเชื่อถือ (Authenticator Assurance Level : AAL) เท่ากับ AAL2 ตามมาตรฐานของสถาบันมาตรฐานเทคโนโลยีแห่งชาติอเมริกา (National Institute of Standards and Technology : NIST) เปิดนำร่องให้ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 63 เป็นต้นมา ดังนั้นใครคนไหนที่ไม่สบายใจเรื่องความปลอดภัย ขอให้สบายใจได้เพราะแอปฯมีความน่าเชื่อถือตามมาตราฐานระดับสากล

>> มีหน่วยงานไหนที่ใช้ไปบ้างแล้ว?
ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน D.DOPA จำนวน 179,338 ครั้ง และมีผู้ลงทะเบียนแอปพลิเคชัน D.DOPA จำนวน 23,033 คน (ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2565) มีหน่วยงานภายนอกนำระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่านแอปฯ D.DOPA ไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการประชาชนแล้ว 11 หน่วยงาน เช่น...

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ใช้ในระบบการเข้าชื่อเสนอกฎหมายทางอิเล็กทรอนิกส์, กรมทรัพย์สินทางปัญญา ใช้ในระบบการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing),กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ใช้ในระบบสารสนเทศในการให้บริการประชาชน อาทิ การยื่นแบบเพื่อชำระค่าธรรมเนียมบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักในโรงแรม, จากผู้ค้าน้ำมัน เป็นต้น

'สธ.' ยก 'อสม.' อาวุธลับไทย สู้ทุกภัยด้านสาธารณสุข ต่างชาติให้ความสนใจ ยกไทยประเทศเดียวที่ทำได้

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังจากที่การประชุม World Bio Hub  ที่กรุงโซล ประเทศ เกาหลีใต้ เสร็จสิ้น โดยในงานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง ได้เข้าร่วมประชุมด้วย

นายวัชรพงศ์ ระบุว่า การประชุมในครั้งนี้ เราได้ประโยชน์ในเรื่องหลัก ๆ คือ การบรรลุสัญญาร่วมเป็นภาคีกับสถาบันวัคซีนนานาชาติ ซึ่งจะทำให้ไทยได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน กับนานาชาติ ไปจนถึงการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทย กับกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ของประเทศไทย โดยเฉพาะ ด้านเทคโนโลยีการสื่อสารสุขภาพ ซึ่งทางเกาหลีมีความโดดเด่นในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก 

นอกจากนั้น การร่วมประชุมในระดับโลกยังเป็นการสะท้อนความยอดเยี่ยมของระบบสาธารณสุขไทย ที่นานาชาติยอมรับ และหวังจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากไทยโดยเฉพาะในการประเด็นของประสิทธิภาพระหว่างจัดการวิกฤติโรคระบาด 

“เวทีนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาและกระจายวัคซีนสำหรับประเทศไทย นอกจากจะสามารถพัฒนาวัคซีนโควิด19 ได้ในประเทศ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังได้ยกย่องชื่นชม อสม. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่ทำหน้าที่กระจายข้อมูลข่าวสารในการให้บริการวัคซีนของภาครัฐให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ทั้งยังเป็นผู้ที่ทำงานหนัก อำนวยความสะดวกให้ประชาชนไปถึงจุดบริการด้วย แม้ประเทศไทยจะนำวัคซีนเข้ามาในระบบบริการเป็นจำนวนมาก แต่หากประชาชนไม่ร่วมมือความสำเร็จก็เกิดขึ้นยาก”

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ศูนย์สภากาชาดไทยเวชพาหน์เฉลิมพระเกียรติ ปรับแนวคิดเปลี่ยนการให้บริการประชาชนถึงบ้านด้วยเรือท้องแบนสภากาชาดไทย

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย มีการให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ฝังเข็มประยุกต์ บริการทางทันตกรรม และแพทย์ทางเลือกให้บริการด้านกายภาพบำบัด เป็นประจำทุกสัปดาห์ที่ ๓ ของเดือน ณ ศูนย์สภากาชาดไทยเวชพาหน์เฉลิมพระเกียรติ ตำบลบางจัก อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ซึ่งมีประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ในขณะนี้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น จึงได้กำหนดปฏิบัติงานดังเดิม ประกอบกับสถานการณ์อุทกภัย สำนักงานบรรเทาทุกข์ ฯ เกรงว่าประชาชนจะไม่สะดวกในการเดินทางมารับบริการ จึงปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการประชาชน จากเดิมให้ประชาชนมารับบริการด้วยตนเอง เป็นการออกให้บริการประชาชนที่บ้านด้วยเรือท้องแบนสภากาชาดไทยแทน โดยตรวจรักษาโรคทั่วไป รวมทั้งติดตามอาการของโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่เดิมด้วย ทั้งนี้ จะให้บริการในวันที่ ๒๗ และ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๕ ในพื้นที่ตำบลบางจัก อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง

โดยหลังจากนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ไม่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่สำนักงานบรรเทาทุกข์ ฯ จากที่ไม่สามารถดำเนินการได้นั้น ก็จะเริ่มออกให้บริการประชาชน ณ ศูนย์สภากาชาดไทยเวชพาหน์เฉลิมพระเกียรติเป็นประจำ เดือนเว้นเดือน โดยให้บริการฝังเข็มประยุกต์ แพทย์ทางเลือกให้บริการด้านกายภาพ บริการทางทันตกรรม และการตรวจรักษาโรคทั่วไป

​สำหรับศูนย์สภากาชาดไทยเวชพาหน์เฉลิมพระเกียรติ ตำบลบางจัก อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง นั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๒ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนในบริเวณพื้นที่โดยรอบ โดยหน่วยแพทย์สำนักงานบรรเทาทุกข์ ฯ ออกให้บริการเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม รวมทั้งหน่วยแพทย์เฉพาะโรค และหน่วยทันตกรรม ตามความต้องการของประชาชน ตลอดจนงานโครงการต่าง ๆ และสำรองเครื่องอุปโภค บริโภค ไว้ยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่เก็บเรือท้องแบนของสภากาชาดไทย เพื่อนำออกไปใช้ในเหตุการณ์จำเป็น

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เสด็จเป็นองค์ประธานพิธีสมโภชน์ ศาลปู่ตาอุปฮาดราชวงศ์ อ.เมือง จ.มุกดาหาร

(27/10/65) หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เสด็จเป็นองค์ประธานพิธีสมโภชน์ ศาลปู่ตาอุปฮาดราชวงศ์ อ.เมือง จ.มุกดาหาร

เมื่อเวลา 14.00 น. หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ประทับรถยนต์ที่นั่ง จัดถวายโดยบริษัทกิตติพงษ์รถเช่า เสด็จบำเพ็ญกุศลพิธีสมโภชน์เสาหลักบ้าน ศาลเจ้าปู่ตาอุปฮาดราชวงศ์ บ้านบางทรายใหญ่ ต.บางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหาร โดยมี พระเจ้าคณะจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานสงฆ์ ในการนี้มีนายวลัยพรรณ น้อยสันเทียะรองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยราชการ ตำรวจ ทหาร นายกเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พ่อค้า ประชาชน เฝ้ารับเสด็จ

คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา ศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้านการบริหารกระบวนการยุติธรรม

​วันพฤหัสบดี ที่ 27 ต.ค. 65 ตั้งแต่เวลา 13.30-17.00 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ พล.ต.อ.ชัชวาลย์  สุขสมจิตร ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ 

ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ เลขานุการคณะกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ และเจ้าหน้าที่ในคณะกรรมาธิการฯ จำนวนทั้งสิ้น 50 คน ณ ห้องแจ้งยอดสุขชั้น 2 อาคาร 32 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหารือข้อราชการด้านกระบวนการยุติธรรม รวมถึงเพี่อรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ อาทิ นโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล, แนวทางการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565, แนวทาง
การดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ... เป็นต้น

‘พงศ์พรหม’ ยินดี อุโมงค์บางซื่อ เปิดใช้ 1 พ.ย.นี้ หลังสร้างเสร็จนานร่วม 2 ปี คาดช่วยจราจรคล่องตัว

พงศ์พรหม ยามะรัต ยินดีกับคนกรุงเทพตอนเหนือ เดินทางสะดวกขึ้น หลังอุโมงค์บางซื่อ – ถนนกำแพงเพชร 2 เตรียมเปิดใช้ 1 พ.ย.นี้ 

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า เป็นเรื่องน่ายินดีเล็ก ๆสำหรับคนกรุงเทพตอนเหนือ ที่บ้านอยู่ช่วงวัดเสมียน ประชาชื่น งามวงศ์วาน และหลักสี่ครับ

1 พฤศจิกายนนี้จะเปิดใช้อุโมงค์ลอดถนนกำแพงเพชร 2 ที่มีขนาด 4 เลน (ไป 2 กลับ 2) อย่างเป็นทางการ หลังจากที่อุโมงค์นี้เสร็จมาร่วม ๆ 2 ปี

ใครนึกไม่ออก ก็ตรงใกล้ ๆ SCG สำนักงานใหญ่ หลังสถานีกลางบางซื่อนั่นแหละครับ

การเปิดใช้อุโมงค์นี้ เท่ากับว่าจะได้ใช้ถนนกำแพงเพชร 6 อย่างเต็มศักยภาพซะที โดยเป็นการเจาะเชื่อมถนนเทิดดำริ ประดิพัทธ์ พระราม 6 เข้ากับกรุงเทพตอนเหนือโดยตรง 

เป็นการแบ่งเบาภาระรถบนทางด่วนตอนเหนือ และถนนวิภาวดีรังสิต ที่จะรับภาระหนักช่วง rush hour เช้า และเย็น

นายกอบจ.นราธิวาส ร่วมงานเมาลิด 'I Love Nabi MUHAMMAD Sallallahu Alaihi Wasallam' ประจำปี ฮ.ศ.1444 พร้อมชาวมุสลิมในพื้นที่จำนวนมาก

นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย นายสาราหุดิน อาบู ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส และคณะสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส  ตลอดจนชาวมุสลิมในพื้นที่นราธิวาส ต่างเข้าร่วมกิจกรรมงานเมาลิด "I Love Nabi MUHAMMAD Sallallahu Alaihi Wasallam" ประจำปี ฮ.ศ. 1444 ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬากลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส เมื่อวานนี้ 

โดยกิจกรรมงานเมาลิด "I Love Nabi MUHAMMAD Sallallahu Alaihi Wasallam" ประจำปี ฮ.ศ. 1444 จัดขึ้นโดยสถาบันศึกษาปอเนาะดรุสซอลีฮืน  ร่วมกับชมรมกลุ่มรถคลาสสิคนราธิวาส และกลุ่มคนรักนบี(I Love Nobi) และภาคีเครือข่าย กำหนดจัดกิจกรรมขึ้น ในวันพุธ ที่ 26 ตุลาคม
2565 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมนั้น ทางผู้จัดตั้งใจจัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ร่วมระลึกถึงวันประสูติของท่านศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล.) โดยก่อนเริ่มกิจกรรม มีการเชิญชวนด้วยการขับขี่รถจักรยานยนต์รอบเมืองนราธิวาส และจากนั้นมีการบรรยายธรรมศาสนาเล่าชีวประวัติของศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล.)

องค์การสวนสัตว์ฯ ปล่อยนกกาฮังคืนสู่ธรรมชาติ หลังจากสูญหายไปจากผืนป่าภาคเหนือของประเทศไทย มานานกว่า 20 ปี

(27 ต.ค.65) ที่อุทยานแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง นายจำลักษ์ กันเพ็ชร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย นายสักรินทร์ ปัญญาใจ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สาขาลำปาง  นายนพรัตน์ รักษ์ไพรสาณฑ์ นายอำเภอเมืองปาน และคณะผู้บริหารองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ-เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ภาคเหนือ มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน ผู้นำโรงเรียน ตัวแทนบริษัทเอกชน และชาวบ้านในจังหวัดลำปาง ร่วมกันเปิด “โครงการทดลองปล่อยนกกาฮังคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในเขตพื้นที่ภาคเหนือ” ณ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ภายใต้แนวคิด “พานกกาฮังปิ๊กบ้าน” นำนกกาฮัง หรือ นกกก หนึ่งในนกเงือกขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จำนวน 2 ตัวที่ได้รับการคัดเลือกและฟื้นฟูพฤติกรรมปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ถือเป็นนกกาฮังคู่แรกที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติของภาคเหนือ ภายหลังการสูญหายไปหมดสิ้น


                                                                              โดยทางคณะผู้วิจัยของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคเหนือกว่า 6 แห่ง อาทิ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ อุทยานแห่งชาติขุนแจ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว สถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยเชียงดาว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนจาก วช., สกสว., บริษัท กรุงสยามเครื่องดื่ม จำกัด, เพจโครงการ SOS for birds and Turtle และโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงพรีเมียร์ ในการศึกษาวิจัยภายใต้ชุดแผน “การบูรณาการจัดการประชากรและการฟื้นฟูพฤติกรรมนกกาฮัง เพื่อเตรียมความพร้อมในการทดลองปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่นำเอาการศึกษาทางด้านพันธุกรรม การศึกษาประเมินพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการทดลองปล่อย และการฟื้นฟูพฤติกรรมก่อนการนำปล่อยคืนสู่ธรรมชาติมาใช้บูรณาการร่วมกัน 

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันการแพร่กระจายของนกกาฮังในประเทศไทยตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ถีงแม้จะมีพื้นที่การกระจายที่กว้างแต่มีความหนาแน่นของประชากรต่ำ ทั้งนี้พบว่าบางพื้นที่ของประเทศไทย เช่น พื้นที่ทางภาคเหนือ นกกาฮังได้สูญหายจากธรรมชาติไปหมดสิ้น ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ทางองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ที่มีพันธะกิจหลักทางด้านการอนุรักษ์ วิจัยพันธุ์สัตว์ป่าหายากทั้งในถิ่นอาศัยและนอกถิ่นอาศัย ได้ดำเนินความพยายามในการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ จนมีจำนวนประชากรบางส่วนที่เพียงพอต่อการปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ซึ่งนกกาฮัง หรือ นกกก นั้นถือเป็นนกเงือก 1 ใน 13 ชนิดที่พบในประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และอยู่ในบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น)  โดยองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ประสบความสำเร็จด้านการขยายพันธุ์นกกาฮังในสภาพเพาะเลี้ยง รวมถึงนกเงือกชนิดอื่นๆ บางชนิด ซึ่งมีการศึกษาวิจัยมาเป็นลำดับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์นกกาฮังครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2545 และประสบความสำเร็จต่อเนื่องทุกปี ถึง ปัจจุบัน  เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และเป็นชนิดพันธุ์ที่มีความโดดเด่น ดึงดูดความสนใจของสาธารณะชนทั่วไปในการสร้างให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของสัตว์ป่าหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์ภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งนี้ตามแผนระยะที่ 1 ทางโครงการวิจัยฯ มีแผนการทดลองปล่อยนกกาฮังคู่แรกคืนสู่ธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง เพื่อศึกษาการใช้พื้นที่เชิงนิเวศ การกระจาย และการอยู่รอดได้ในพื้นที่ โดยจะทยอยปล่อยเพิ่มเติมเป็นระยะๆ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน รวมถึงพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคเหนือแห่งอื่นๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น รวมถึงจะมีการดำเนินงานติดตามภายหลังการทดลองปล่อยที่สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ IUCN SSC และ AZA ในการปล่อยสัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติที่เป็นไปตามหลักทางวิชาการสากลในอีกหลายปีข้างหน้าต่อไป

‘พิธา’ จี้รัฐเร่งจัดการน้ำโดยไว หลังท่วมนานหลายเดือน ชี้!! ต้องมีแผนเยียวยา บรรเทาปัญหา ‘น้ำลด หนี้ผุด’

(27 ต.ค. 65) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การน้ำที่ยังท่วมในหลายพื้นที่ บางพื้นที่น้ำท่วมต่อเนื่องเป็นระยะเวลาร่วมสองเดือนแล้ว หลายพื้นที่สถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้หนักกว่าปี 62 หลายเท่า แต่กลับไม่เห็นท่าทีของรัฐบาลในการแก้ปัญหารวมถึงเยียวผู้ประสบภัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 

พิธากล่าวเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่ภาคอีสานอย่างจังหวัดอุบลราชธานีตนได้เข้าไปเยี่ยมพี่น้องประชาชน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับความเดือดร้อน มีความเครียดเนื่องจากพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหาย ไม่รู้ว่าจะสามารถฟื้นได้เมื่อไร ในขณะที่น้ำท่วมทำมาหากินไม่ได้แต่รายจ่ายไม่หยุดนิ่ง ดอกเบี้ยก็ยังต้องจ่าย หลายพื้นที่ถึงแม้ว่าน้ำจะเริ่มลดแล้ว แต่ปัญหาที่ตามมาหลังน้ำลดคือปัญหาเศรษฐกิจ ‘น้ำลด หนี้ผุด’ เพราะชาวบ้านไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้เป็นเวลากว่า 1-2 เดือน ไร่นาและบ้านเรือนประชาชนเสียหาย

ตนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยาพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยโดยเร็ว ความจริงแล้วจนถึงตอนนี้ก็ล่าช้าไปมากเทียบกับความเดือดร้อนที่ประชาชนต้องแบกรับ 

พรรคก้าวไกลเสนอให้นำเทคโนโลยีมาใช้ด้วยการใช้ดาวเทียมเพื่อลดเวลาในการดำเนินการ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องดำเนินการระบุพื้นที่ให้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่น้ำท่วมชั่วคราวหรือท่วมแบบชั่วโคตร เพื่อจะได้วางแผนในการรับมือทั้งในชีวิตประจำวันและการทำการเกษตรรวมถึงสนับสนุนเมล็ดพันธุ์การการเกษตรหลังน้ำลด

'อัษฎางค์' แปล!! ความยากจนในไทยลดลงจาก 58% เหลือเพียง 6.8% ไม่ใช่จากก้าวหน้า 58% ในปี 2533 แล้วเหลือ 6.8% ในปี 2563

(27 ต.ค. 65) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ระบุว่า...

“ตื่นเถอะสามกีบ”
เอาคนไม่รู้ข่าว มาบอกข่าว มันก็เป็นจังซี่

ข่าวต้นทางจากต่างประเทศรายงานว่า…

>>ความยากจน ลดลงจาก 58% เหลือเพียง 6.8%

แล้วหันไปดูผู้บอกข่าว ให้ข้อมูลอะไรกับประชาชน

สาเหตุที่ความยากจนลดลงมากมายขนาดนี้ก็ด้วยเพราะ...

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงลิ่วและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top