Sunday, 24 September 2023
NEWS

พรรคเพื่อไทย ชี้ ไทยเข้าสู่ 'ภาวะกบต้ม' เพราะ 'ประยุทธ์' ไม่ฟังคำเตือน แถมดำเนินคดีคนเตือน ห่วง SMEs เจ๊งเพิ่ม ว่างงานพุ่ง ทำคดีอาชญากรรมสูงขึ้น แนะดูเมียนมาเป็นตัวอย่าง เข็ดกับเผด็จการจึงต้องต่อสู้

ตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เผย กังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทย หลังรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาผ่านบัตรคนจนวันแรกแต่ระบบแอปพลิเคชันเป๋าตังกลับใช้งานไม่ได้ชั่วคราว เคยเตือนให้รัฐบาลเปลี่ยนวิธีมาจ่ายเงินสดก่อนระบบล่มแต่รัฐบาลยืนยันไม่เปลี่ยน หนี้สาธารณะทะลุ 8.13 ล้านล้านบาท ลางบอกเหตุ เชื่อเหตุการณ์นำพาประชาชนคนไทยสู่ 'สภาพกบต้ม' คนตกงานล้น - อาชญากรรมเกลื่อนเมือง แนะรัฐบาล - ปรับแผนรับมือ ก่อนคนจะออกมาไล่รัฐบาลแบบประชาชนพม่าบ้าง

ตามที่อัยการไม่ฟ้อง พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจในคดี 'กบต้ม' ตามที่ คสช.ส่งคนมาฟ้อง เพราะทฤษฎีกบต้มนี้ เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่จริง โดยทฤษฎีอธิบายว่า ถ้าเอากบใส่เข้าไปในน้ำร้อน กบจะกระโดดออกทันที แต่ถ้านำกบใส่ในน้ำธรรมดาแล้วค่อย ๆ เร่งไฟ กบจะค่อย ๆ ปรับตัวตามความร้อนและเมื่อน้ำเดือดกบก็ตายโดยไม่ได้ทันกระโดดออก

จุดนี้เปรียบเหมือนกับ ‘ประเทศ’ หรือ ‘บริษัท’ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ทนอยู่ไปเรื่อย ๆ สุดท้าย ประเทศนั้นก็ต้องย่ำแย่หรือบริษัทนั้นก็ต้องแย่ไป

นี่เป็นคำเตือนที่พิชัย ได้เตือนไว้แล้วตั้งแต่ปี 2560 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช. ในขณะนั้นไม่ยอมฟัง แถมยังส่งคนมาดำเนินคดีกับพิชัยเพราะกลัวความจริง

แต่วันนี้สถานการณ์ประเทศในปัจจุบันยิ่งกว่าสภาวะกบต้มเสียอีก เพราะเศรษฐกิจไทยทรุดหนักมาก ปีนี้บอกว่าฟื้น ก็ปรากฏว่าจะไม่ฟื้นได้มากอย่างที่คาดกัน โดยอาจจะฟื้นได้บ้างหรือไม่ฟื้นเลย คนจะลำบากกันอย่างมาก

บริษัทห้างร้านจะปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก หลังจากที่ปิดไปแล้ว ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์จะรับฟังคำเตือนของพิชัยและนำมาแก้ไขได้ทัน ประชาชนคงไม่เผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่นี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถ้าเก่งจริงป่านนี้ก็คงไม่ตกสภาพเจ๊งขนาดนี้

"สภาวะกบต้มที่เกิดกับประเทศที่ชัดเจนที่สุดคือ เมียนมา เพราะหลังจากถูกทหารยึดอำนาจมานานเป็นสิบๆ ปี จากที่เคยมีศักยภาพกลับต้องถอยหลังสู่สภาพแย่ที่สุดในอาเซียน แต่พอเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยประเทศพม่าก็พัฒนาขึ้นมาเร็วได้ หนนี้เมื่อทหารปฏิวัติอีก ประชาชนเมียนมา จึงต้องออกมาประท้วงต้านเผด็จการทหารเพราะไม่อยากกลับไปอยู่อย่างเดิม

ขณะที่ประชาชนไทยตอนนี้ ก็คงได้รู้ซึ้งถึงความล้มเหลวของการบริหารประเทศของรัฐบาลทหารที่อยู่ยาว 6 - 7 ปีผ่านมาเป็นอย่างไรการพลาดจากเสือตัวที่ 5 มาเป็นแมวที่ 6 อาจถึงขีดสุดที่คนไทยต้องออกมาเรียกร้องไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทั้งประเทศบ้างจะได้ไม่อายเมียนมา" ตรีชฎา กล่าว.


ที่มา: https://www.voicetv.co.th/read/RdaRWAycn?fbclid=IwAR2O8QxSRxhkPhtnpzqEJsld-_1OjUGD_1Utfzt0kbkCtjsbyzm8_JVcnF4

‘หมอยง ภู่วรวรรณ’ เผยสัญญาณสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มดีขึ้น ชี้ทั่วโลกได้ผ่านพ้นจากหุบเหว และกำลังวิ่งขึ้น หลังพบตัวเลขการติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง จากวันละ 7 แสนราย เหลือ 3 แสนราย

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสเฟซบุ๊ก (Yong Poovorawan) ถึงสถานการณ์โควิดล่าสุด โดยระบุว่า

โควิด-19 ทั่วโลกกำลังโผล่จากหุบเหว

จากการฟันผ่ากับโควิด-19 มาเป็นเวลา 1 ปี ได้ผ่านพ้นจากหุบเหว และกำลังจะวิ่งขึ้นแล้ว หลังจากที่มาตรการในการควบคุมโรคด้วยวิถีชีวิตใหม่ และมีวัคซีนมาเสริม ตัวเลขของผู้ป่วยทั่วโลกได้สูงสุดในเดือนธันวาคม ก่อนปีใหม่ มีการป่วยสูงสุดวันละ 7 แสนราย ขณะนี้ผู้ป่วยต่อวันได้ลดลงมาก ตัวเลขผู้ป่วยต่อวันเหลือเพียง 3 แสนกว่าแล้ว แต่ของประเทศไทยอย่าให้เป็นขาขึ้นก็แล้วกัน

มีการพัฒนาวัคซีนมาใช้มากกว่า 10 ตำรับ และมีอัตราการให้วัคซีนพุ่งเป็นก้าวกระโดด ตัวเลขผู้ป่วยในประเทศตะวันตก เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องสู้กับไวรัส ก็คือไวรัสพยายามหลีกหนี ภูมิต้านทานของวัคซีน จะเห็นได้ว่ามีสายพันธ์ใหม่เกิดขึ้น สายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล สายพันธุ์แอฟริกาใต้และบราซิลเก่งในการหลบหลีกวัคซีนได้ดี

ล่าสุดมีการศึกษาขนาดเล็กในแอฟริกาใต้ ออกมาว่าประสิทธิผลของวัคซีน AstraZeneca ลดลงเหลือต่ำมาก อย่าบอกตัวเลขเลยนะ เป็นเหตุให้แอฟริกาใต้ได้รับวัคซีนไปแล้ว ระงับการฉีดวัคซีนไปก่อน รอข้อมูลเพิ่มวัคซีนที่ผลิตจำนวนมาก ตอนนี้ถ้าไม่รีบขาย ต่อไปก็จะต้องรีบวิ่งมาหาเราเองแน่นอน


#หมอยง

https://www.facebook.com/108692177438990/posts/248447860130087/?sfnsn=mo

รัฐบาล อุ้มประกันรายได้ข้าว ปรับเพิ่มวงเงินปี 63/64 รอบที่ 1 เพิ่มอีก 3,838 ล้านบาท รวมเป็น 50,646 ล้าน พร้อมเร่งหาตลาดส่งออกข้าวเพิ่ม แก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบการปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 จาก 46,807.35 ล้านบาท

โดยเห็นชอบปรับเพิ่มอีก 3,838.92 ล้านบาท รวมเป็น 50,646.27 ล้านบาท และมอบหมาย ธ.ก.ส. และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียด และงบประมาณตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอครม.ต่อไป

"นายกฯ ย้ำในที่ประชุมว่า สำหรับภาระงบประมาณที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หารือแนวทางปฏิรูป ขับเคลื่อนภาคการเกษตรเน้นสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรกรโดยตรง แทนตัวสินค้าเกษตร มีแนวทางการพัฒนาอาชีพ โดยต้องมี Roadmap และ Action Plan ที่ชัดเจน"

อีกทั้งยังสั่งให้หารือถึงแนวทางการส่งออกข้าวไทยที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญว่า ให้ดูปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวผกผันเพื่อแก้ปัญหาให้ถูกวิธี กำหนดกรอบข้าวแต่ละประเภทเพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด ทั้งประเภทพันธุ์ ราคา สัดส่วนชนิดข้าวที่ผลิต

ขณะที่ตลาดส่งออกข้าวไทยทั้งทวิภาคีและการขายตรงไปแต่ละประเทศ ให้พิจารณาเพิ่มตลาดกลางในกลุ่มประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคอื่น ๆ เรื่องการปัญหาการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า ได้สั่งการทั้งกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ให้แก้ปัญหาเรื่องตู้ขนส่งสินค้า ขณะนี้ปลดล็อกหลายอย่างแล้ว จึงขอให้ติดตามด้วยว่ามีจำนวนเพียงพอหรือไม่ โดยในส่วนของข้าวตลาดหลัก ข้าวตลาดเฉพาะในประเทศ ข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวอินทรีย์ ข้าวพื้นนุ่ม ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน

หลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดทีมสืบสวนพิเศษ เพื่อสืบหาความจริงของต้นกำเนิดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ศูนย์กลางการระบาดเมืองแรกของโลก

โดยทีมสืบสวนประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งด้านไวรัสวิทยา, การระบาด, สัตวแพทย์, วิทยาศาสตร์การอาหาร และสาธารณสุข จำนวน 14 คน เดินทางเข้าไปในเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา

และได้มีการตระเวนเก็บข้อมูลอย่างละเอียดในตลาดซีฟู้ดอู่ฮั่น ที่พบการระบาดครั้งแรก, โรงพยาบาลในอู่ฮั่นที่รับคนไข้ Covid-19 กลุ่มแรก และสถาบันวิจัยด้านไวรัสแห่งชาติ ประจำเมืองอู่ฮั่น ที่เคยถูกกล่าวหาจากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ และ นักทฤษฎีสมคบคิดว่าเป็นจุดต้นกำเนิดของเชื้อไวรัส Covid-19

ในที่สุด เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมสืบสวนพิเศษของ WHO ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยปฏิเสธเรื่องทฤษฎีที่เชื่อว่าเชื้อไวรัส Covid-19 เกิดจากในห้องแล็บที่อู่ฮั่น พร้อมย้ำชัดว่า ‘แทบเป็นไปไม่ได้’ และ ‘ไร้หลักฐาน’

ด็อกเตอร์ ปีเตอร์ เบน เอ็มบาเรค หัวหน้าทีมสืบสวนของ WHO ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอาหาร และโรคระบาดที่เกิดจากสัตว์ แถลงว่า สมมติฐานที่ว่าไวรัส Covid-19 ถูกสร้างโดยห้องแล็บนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และเมื่อทีมงานได้เข้าไปตรวจสอบสถาบันวิจัยไวรัสที่อู่ฮั่น พบว่า มีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่จะมีเชื้อไวรัสหลุดออกมาจากแล็บไปแพร่ระบาดที่ในชุมชนได้

โดยยังคงยืนยันว่า เชื้อไวรัส Covid-19 เป็นเชื้อโรคชนิดใหม่ เกิดในสัตว์ที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่า เช่น ค้างคาว และติดต่อสู่สัตว์อีกชนิดก่อนที่จะแพร่สู่มนุษย์ ที่ยังเป็นจิ๊กซอว์ปริศนาที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

นอกจากนี้ ทีมสืบสวนพิเศษได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า เชื้อ Covid-19 อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นด้วย แต่อาจเป็นเชื้อโรคที่ปะปนมาในผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง และขอให้มีการตรวจสอบระบบการขนส่ง ซื้อขายอาหารแช่แข็งทั้งระบบอย่างละเอียด

แต่ทั้งนี้ ทีมสืบสวนจะยังคงมีงานต้องทำอีกมาก เพื่อค้นหาต้นตอของ Covid-19 ตามภารกิจ แต่จะเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาสืบค้นในประเทศย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เนื่องจากตลาดค้าส่งอาหารทะเลหัวหนาน ในเมืองอู่ฮั่น ที่พบการแพร่ระบาดของ Covid-19 เป็นครั้งแรกรับสินค้าส่งมาจากทั้งในประเทศจีน และบางส่วนมาจากประเทศในย่านอาเซียนด้วย

และหากดูจากพื้นที่ในการตรวจสอบระบบขนส่งที่ทีมสืบสวนจากองค์การอนามัยโลกได้กล่าวถึง ทั้งจีน และอาเซียน ก็นับว่ากว้างมาก ยิ่งมาไล่สืบตามหลังเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วกว่า 1 ปี การสืบค้นยิ่งยากลำบาก แต่การค้นหาความจริงต้องใช้เวลา และความอดทนอยากมาก และต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายของการค้นหาความจริง คือการใช้ความกระจ่างนั้นป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในวันนี้นั่นเอง


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/world/2021/feb/09/wuhan-laboratory-leak-covid-origin-theory-unlikely-says-who-team

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55996728

https://www.abc.net.au/news/2021-02-09/world-health-organization-investigation-china-covid-explainer/13132710

คนไม่มีสมาร์ทโฟนเตรียมเฮ!!! กระทรวงการคลัง เปิดลงทะเบียนร่วมโครงการ ‘เราชนะ’ 15 - 25 ก.พ.นี้ ที่สาขาธนาคารกรุงไทย หรือจุดบริการเคลื่อนที่รับลงทะเบียนของธนาคาร

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายละเอียดการเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ สำหรับประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ว่า ประชาชนกลุ่มนี้ สามารถลงทะเบียนได้ระหว่างวันที่ 15 - 25 ก.พ.นี้ ที่สาขาธนาคารกรุงไทย หรือจุดบริการเคลื่อนที่รับลงทะเบียนต่าง ๆ ของธนาคาร

สำหรับประชาชนในกลุ่มนี้ เบื้องต้นต้องนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ไปใช้ประกอบการลงทะเบียนขอรับสิทธิ์โครงการฯ โดยต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยการเสียบบัตรประจำตัวประชาชน ผ่านเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) พร้อมกำหนดรหัส (PIN Code) ได้ที่สาขาของธนาคารกรุงไทย หรือจุดบริการที่ธนาคารกรุงไทยกำหนด หากผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้รับอนุมัติวงเงินสิทธิ์จะได้รับวงเงินสิทธิ์สนับสนุนเป็นราย

ส่วนกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ทางเว็บไซต์เราชนะ แล้วพบว่า “ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ” สามารถยื่นขอทบทวนสิทธิ์ผ่านทางเว็บไซต์เราชนะ ได้ โดยผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติเรื่องเงินได้พึงประเมิน

และต้องการให้ตรวจสอบข้อมูลเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2563 ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ แต่ต้องไม่เกินวันที่ 8 มี.ค. 2564 สำหรับผู้ที่ได้ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 8 - 9 ก.พ. 2564 จะต้องยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 17 ก.พ. 2564

ที่ผ่านมากระทรวงการคลังพบว่ามีประชาชนหรือร้านค้าที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีการประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตาม ตรวจสอบ

และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปฯ “ถุงเงิน” ของร้านค้า และระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้าทันที รวมถึงระงับการใช้แอปฯ เป๋าตัง และจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ป.ป.ช. แจงยิบ เหตุส่งศาลฎีกาวินิจฉัยถอดถอน ‘ปารีณา’ จากตำแหน่ง ส.ส. ผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีรุกป่ากว่า 700 ไร่ ชี้ประพฤติตัวไม่เหมาะเป็นตัวแทนประชาชน

นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. แถลงว่า ตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หลังจากยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ปรากฎรายการที่ดิน 29 แปลง พื้นที่รวม 853-0-73 ไร่ ใน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

ทั้งนี้ พยานหลักฐานจากข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2548 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 1069 (พ.ศ.2527) ออกตามความใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 โดยในปี 36 และปี 37 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้กรมป่าไม้ส่งมอบพื้นที่ให้สำนักงานปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) ให้ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดิน ต่อมาปี 54 มี พ.ร.ฎ.กำหนดให้พื้นที่ อ.รางบัว อ.จอมบึง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และ ส.ป.ก.ให้เกษตรกรยื่นคำร้องขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว

จากการไต่สวนปรากฏว่า น.ส.ปารีณา ร่วมกับนายทวี ไกรคุปต์ บิดา เข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่จำนวน 711-2-93 ไร่ โดยเบื้องต้นได้กระจายการถือครองที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยชื่อบุคคลอื่นมาถือครอง แต่ในปี 55 ได้มีการโอนกลับมาเป็นชื่อของน.ส.ปารีณา ทั้งหมด ต่อมา อบต.รางบัว ได้ยกเลิกการเก็บภาษีบำรุงท้องที่ดังกล่าว

เนื่องจากกรมการปกครองได้แจ้งให้ยกเลิกแบบแสดงรายการที่ดิน (ภ.บ.ท.5) เพราะเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือที่สาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ น.ส.ปารีณา ก็ยังคงยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยไม่มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ และ ส.ป.ก.แต่อย่างใด

ในปี 55 - 62 น.ส.ปารีณา ได้ขออนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อ อบต.รางบัว และใบรับรองมาตรฐานฟาร์ม “เขาสนฟาร์ม” และ “เขาสนฟาร์ม 2” บนที่ดินดังกล่าวต่อกรมปศุสัตว์ และในปี 61 ได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ปารีณา ไกรคุปต์ จำกัด เพื่อประกอบกิจการดังกล่าว

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค.62 น.ส.ปารีณา ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. โดยยังคงยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐดังกล่าวโดยอ้างเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินฯ (ภ.บ.ท.5) ทั้ง 29 แปลงที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และมิได้รับอนุญาต

จนกระทั่งถูกตรวจสอบการครอบครองที่ดินจาก ส.ป.ก.และกรมป่าไม้ โดย ส.ป.ก.ได้แจ้งให้ น.ส.ปารีณา ส่งคืนที่ดินที่ครอบครอง และทำประโยชน์ดังกล่าวทั้งหมด อีกทั้งกรมป่าไม้ได้ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ให้ดำเนินคดีอาญากับ น.ส.ปารีณา ในข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นพื้นที่ 711-2-93 ไร่ และคำนวณค่าเสียหายเป็นตัวเงิน จำนวน 36,224,791 บาท

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้วเห็นว่า น.ส.ปารีณา เป็น ส.ส. ในฐานะผู้แทนของประชาชน ไม่ยึดถือระเบียบ หลักเกณฑ์ กฎหมาย และไม่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม

ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ หรือเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินที่มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความเดือดร้อน และลดความเหลื่อมล้ำในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคม

ดังนั้น จึงมีมติว่า น.ส.ปารีณา ยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง

และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสอง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยต่อไป

กลุ่มราษฎรมาตามนัด จัดกิจกรรมตีหม้อต้านเผด็จการ ขณะที่ผู้ชุมนุมรายหนึ่งพ่นสีบนรั้วสกายวอล์ค จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว

บรรยากาศบริเวณสกายวอล์ค แยกปทุมวัน ได้มีกลุ่มมวลชนทยอยมารวมตัวกัน หลัง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์ และการชุมนุม แนวร่วมราษฎร ได้ประกาศนัดชุมนุมในเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

ทั้งนี้ได้มีผู้ชุมนุมหญิงรายหนึ่งได้ พ่นสีสเปรย์บริเวณรั้วบนสกายวอล์ค ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความสงบในพื้นที่ ได้เข้าควบคุมตัวผู้ชุมนุมรายนี้

ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า การจัดกิจกรรมขอให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมจะมีการเจรจากันอยู่แล้ว ถ้าขัดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฝากประชาชนที่จะมาชุมนุม ขอให้ระลึกถึงความสงบเรียบร้อย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกำลัง 5 กองร้อยเพื่อดูแลการชุมนุมในครั้งนี้


ที่มา: https://www.posttoday.com/politic/news/645040

‘กรณ์’ นำทัพพรรคกล้า ลงพื้นที่นครฯ ก่อนพา ‘สราวุฒิ’ ลงสมัครรับเลือกตั้งวันพรุ่งนี้ ชี้ในพื้นที่ยังมีปัญหาระบบประปา - สาธารณูปโภคพื้นฐาน หวังปักธงเขต 3 นครฯ เป็นจุดเริ่มต้นพรรคกล้า ย่างก้าวเป็นพรรคใหญ่

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค และคณะผู้บริหารพรรค ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อพบปะประชาชนและให้กำลังใจนายสราวุฒิ สุวรรณรัตน์ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราช ที่จะสมัครรับเลือกตั้งวันพรุ่งนี้

นายกรณ์ กล่าวว่า มาเที่ยวนี้ได้พบประชาชนจำนวนมาก 4 อำเภอ เขต 3 นครศรีธรรมราช เรามีทีมงานลงพื้นที่ล่วงหน้า และมาที่นครศรีธรรมราชหลายทริป พบว่ายังมีเรื่องที่ประชาชนมีปัญหา ดังนั้นการเลือกตั้งซ่อมถือเป็นโอกาสของประชาชน

ทำให้ปัญหาคาราคาซังมานานได้รับการดูแล เช่น ระบบน้ำประปาไม่สมบูรณ์ อ.พระพรหม อ.จุฬาภรณ์ แหล่งน้ำมีมากมายหาศาล แต่ขาดการบริหารจัดการ ประชาชนยังขาดน้ำประปา ต้องเสียเงินซื้อน้ำดื่มน้ำใช้ แบกภาระค่าใช้จ่าย จึงเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามผู้มีอำนาจ ส.ส. และรัฐบาล

นายกรณ์ กล่าวว่า หน้าที่ของ ส.ส. คือการสะท้อนปัญหาให้ถึงหูผู้มีอำนาจ นำไปสู่ลงมือทำ พรรคกล้าขอเป็นกระบอกเสียง เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชน ที่พร้อมลงมือทำทันที เช่นการสร้างโอกาส หาตลาดให้เกษตรกร ไม่ต้องผ่านคนกลาง ทำให้ชาวบ้านลงมือทำ สร้างโอกาสให้ประชาชน แม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่พร้อมสู้อย่างสร้างสรรค์ เน้นการสร้างโอกาส ปากท้อง ช่องทางทำมาหากิน ซึ่งพรรคกล้าเชี่ยวชาญด้านนี้

หัวหน้าพรรคกล้า ย้ำว่า สิ่งที่พบคือความอึดอัดของชาวบ้านต่อประเด็นที่ขาดการดูแล ยังไม่นับรวมความอึดอัดกับสภาพบ้านเมืองโดยทั่วไป เพราะฉะนั้นเราก็พร้อมเป็นพรรคใหม่ เสนอตัวเป็นแนวทางสร้างสรรค์ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

ซึ่งผู้สมัครของเราลงพื้นที่ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ก็ได้รับการตอบรับอบอุ่นมาก และพรรคภาคภูมิใจที่ได้ส่งผู้สมัครคนแรกที่นครศรีธรรมราช สะท้อนความผูกพันกับชาวนครฯ และในอนาคตพรรคกล้าต้องการเป็นพรรคใหญ่ เป็นทางเลือกหลัก ซึ่งพี่น้อง 4 อำเภอ เขต 3 จะเป็นกลุ่มแรกได้พิจารณาผู้สมัครของพรรคกล้า

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวว่า แม้พรรคกล้าจะอายุไม่ถึง 1 ปี แต่ก็พร้อมชนทั้ง ส.ส.เก่าในพื้นที่ หรือจะรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ เราพร้อมสู้นครศรีธรรมราชมีของดี แต่ที่จะเสียไปคือโอกาส ซึ่งพรรคกล้าจะนำเสนอของดีที่นครศรีธรรมราชมี และโอกาสที่เสียไปจากการเมืองเก่า

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่จริง ที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดคือมีพื้นที่ห่างจากตัวเมือง 10 กิโลกว่าๆ แต่น้ำประปายังไม่มี เรื่องเหล่านี้ถูกทอดทิ้งในนครศรีธรรมราช จึงต้องสร้างโอกาส ให้การเมืองใหม่ การเมืองที่ดี เริ่มที่นครศรีธรรมราช

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เผยรายงานที่นับเป็นข่าวดี หลังจากทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 ลดลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์ โดยสัปดาห์ที่แล้วลดลงกว่า 17% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า

จากการอัพเดททางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์ ขององค์การอนามัยโลก ระบุว่ามีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ใหม่มากกว่า 3.1 ล้านรายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลง 17% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และนับเป็นจำนวนผู้ป่วยต่ำสุดที่มีรายงานตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม 2563

โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่มากที่สุด มีจำนวน 871,365 ราย แต่ก็ลดลง 19% จากสัปดาห์ก่อนหน้า

ขณะที่ทวีปแอฟริกา พบผู้ป่วยลดลงมากที่สุดถึง 22% ส่วนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกมีจำนวนการลดลงน้อยที่สุด เพียงแค่ 2% เท่านั้น

ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนกว่า 107.41 ล้านราย และเสียชีวิตกว่า 2.35 ล้านราย นับตั้งแต่เริ่มระบาดเมื่อปลายปี 2019


ที่มา: https://www.springnews.co.th/global/805885

‘ก้าวไกล’ ยื่นชุดร่างกฎหมาย 5 ชุด แก้ไข ม.112 ด้าน ‘พิธา’ ยกวลีเด็ด ‘ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง’ หวังสถาบันพ้นการเมือง - ลดโทษรุนแรงเกินจริง ย้ำเพื่อไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ยืนยัน ยึดมั่นธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงปรับให้เข้ากับยุคสมัย

วันที่ 10 ก.พ. ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่าพรรคเตรียมเสนอชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … โดยสาระสำคัญส่วนแรกจะเป็นการยกเลิกโทษจำคุกให้คงเหลือแต่โทษปรับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลทั่วไป

รวมถึงดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ศาล หรือผู้พิพากษา และส่วนที่สองคือย้ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไปกำหนดเป็นลักษณะความผิดใหม่ คือ ลักษณะความผิดที่เกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท

และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อใหมีความเหมาะสม ทั้งในแง่โครงสร้างของบทบัญญัติ อัตราโทษ การยกเว้นความผิด การยกเว้นโทษ และผู้ร้องทุกข์ จึงกำหนดให้ยังมีโทษจำคุก แต่ลดอัตราโทษลงมาไม่ให้รุนแรงเกินไป ไม่กำหนดโทษขั้นต่ำไว้ รวมทั้งสามารถพิจารณาลงโทษปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อให้ได้สัดส่วนกับสภาพความผิด 2.ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … 3.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … 4.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่…) พ.ศ. … และ5.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา

นายพิธา กล่าวว่า "พรรคก้าวไกลมีจุดยืนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยให้สถาบันปลอดจากคำติฉินนินทา ปลอดจากคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆของสาธารณชน ซึ่งต้องดึงสถาบันให้พ้นการเมือง เรามีหน้าที่ป้องกันไม่ให้กลุ่มบุคคลเข้ามาฉกฉวยแอบอ้างความจงรักภักดีเพื่อใช้โจมตีอีกฝ่าย โดยเฉพาะการใช้กฎหมายมาตรา 112 เป็นเครื่องมือฟ้องร้องกลั่นแกล้ง ปิดปากผู้อื่น"

"เมื่อวานนี้ (9 ก.พ.) ศาลไม่ให้ประกัน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นายอานนท์ นำภา นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หมายความว่าจำเลยทั้ง 4 อาจถูกจองจำไม่มีกำหนดจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ทั้งที่เป็นการแสดงออกทางการเมืองโดยสันติ ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมร้ายแรง วันนี้ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ต่อการชุมนุม แต่จำเลยในคดีมาตรา 112 ควรมีสิทธิ์ในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ภายใต้หลักการจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุด กรณีนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้มาตรา 112 ซึ่งกระทบเสรีภาพสิทธิประชาชนในยุคสมัยใหม่" นายพิธา กล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ แสดงความกังวลการใช้มาตรา 112 ในประเทศไทย ที่มีการจับกุมมากขึ้น มีการลงโทษที่รุนแรง เขาย้ำว่า ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ บุคคลสาธารณะย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้จะมีการดูหมิ่นแต่ไม่มีเหตุที่จะลงโทษอย่างรุนแรง โดยขอให้ไทยทบทวนยกเลิกการดำเนินคดี และให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังในผู้ที่ใช้เสรีภาพแสดงออกอย่างสงบ

ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคก้าวไกล ขอย้ำว่าการธำรงไว้ซึ่งสถาบันให้อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตย จะไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้กฎหมายบังคับ และการปราบปราม แต่ดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรม และความยินยอมพร้อมใจจากประชาชน ดังนั้น ก่อนจะสายไปกว่านี้เราต้องแสวงหากุศโลบายที่สอดคล้องกับยุคสมัย ทำให้สถาบันพ้นจากการเมือง ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง เพราะนอกจากปัญหามาตรา 112 แล้ว ปีที่ผ่านมายังมีการใช้กฎหมายอื่นๆเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกด้วย

เมื่อถามว่า ทุกครั้งที่หยิบยกเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ขึ้นมา จะมีผู้ออกมาคัดค้าน และกังวลหรือไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่นำไปสู่การยุบพรรคการเมือง นายพิธา กล่าวว่า "ในระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องปกติที่มีความเห็นต่างกัน แต่เราต้องคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ ส่วนจะเป็นไปถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ เราก็ต้องแก้กันไป แต่คงไม่พูดไม่ได้ซึ่งคิดว่าคุ้มค่า

กรณียังมีคนจำนวนมากเข้าใจว่าพรรคก้าวไกลมีจุดประสงค์อื่นในการแก้มาตรา 112 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตลอดชีวิตของตนเห็นการล้มล้างการปกครองแบบเดียวคือการทำรัฐประหาร ตนยังไม่เคยเห็นการแก้ไขกฎหมายเป็นการล้มล้างการปกครอง

ซึ่งการเสนอลดโทษมาตรา 112 ยังไม่ได้เป็นการยกเลิกกลไกการคุ้มครองเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ แต่ปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งเป็นการปรับลดเพื่อให้ได้สัดส่วนไม่ใช่โทษรุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง และแน่นอนว่าสิ่งที่เราเสนอคงไม่ถูกใจคนที่เห็นว่าควรยกเลิกไปเลย แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันเราพยายามเสนอข้อเสนอที่จะรับกันได้มากที่สุด"

"ส่วนกรณีกลุ่มไทยภักดีได้ยื่นคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 แล้ว นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งทุกเรื่องในสังคมไม่มีทางเห็นร่วมกันหมดอยู่แล้ว ส่วนกลัวถูกยุบพรรคหรือไม่ เราในฐานะพรรคการเมืองจะหลับตาไม่มองปัญหาความเป็นจริงในสังคมไม่ได้ ซึ่งปัญหาเรื่องอื่นๆเราก็ทำด้วย

และในฐานะผู้แทนไม่ใช่เวลาที่เราจะกลัว แต่เป็นช่วงที่เราต้องแสดงความกล้าเรียกร้องมโนสำนึกโดยเอาความกลัวไว้ข้างหลัง ต้องทำหน้าที่ผู้แทนดีที่สุด เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน ซึ่งเวทีก็รัฐสภาน่าจะเป็นทางออก"

เมื่อถามว่า หากไม่กระทำผิดก็ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนกับบทลงโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย นายชัยธวัช กล่าวว่า "เป็นการมองด้านเดียว เพราะความจริงตัวกฎหมาย และการบังคับใช้มีปัญหา ดังนั้นพวกเราจึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย"

เรียกว่าเป็นอีกข่าวดีที่มีเยาวชนไทย ได้ทำการประดิษฐ์เทคโนโลยี เพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน อย่างเครื่องดักจับคาร์บอนในอากาศ ที่สามารถแปลงเป็นเชื้อเพลิงได้

ก่อนหน้านี้ Elon Musk เจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้า มหาเศรษฐี CEO ของ Tesla เคยทวิตข้อความว่าจะสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3 พันล้านบาท) ให้กับผู้ที่สามารถคิดค้นเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีที่สุด

โดยล่าสุด Elon Musk ประกาศว่า XPRIZE องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่เป็นแพลตฟอร์มการจัดแข่งขันเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับมนุษยชาติ จะเป็นผู้จัดการแข่งขันเฟ้นหาผู้ที่สามารถสร้างเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนที่ดีที่สุด

แม้ทาง XPRIZE จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดจนกว่าจะถึงว่าที่ 22 เมษายน แต่เบื้องต้น XPRIZE ประกาศแนวทางคร่าวๆ ในเว็บไซต์ดังนี้

1.) ทีมที่เข้าแข่งขันจะต้องคิดค้นโมเดลการจัดการคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ และต้องสามารถขยายสเกลของโมเดลการจัดการคาร์บอนให้ได้ถึงระดับกิกะตัน

2.) เป้าหมายของการแข่งขันในครั้งนี้คือ การสร้างวิธีแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 10 กิกะตันต่อปีภายในปี 2050

Elon Musk กล่าวในประกาศการแข่งขันว่า “เราต้องการสร้างระบบที่ชัดเจน วัดผลได้จริง สามารถสร้างผลกระทบได้ในระดับกิกะตัน (ระดับพันล้านตัน) และต้องทุ่มเททั้งหมดที่มีเพราะเวลาไม่คอยท่า”

การแข่งขันครั้งนี้จะกินระยะเวลา 4 ปี โดยใน 18 เดือนแรก ผู้เข้าแข่งขัน 15 ทีมสุดท้ายจะได้รับเงินทุนสนับสนุนทีมละ 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนไปสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น

ส่วนการแข่งขันในรอบสุดท้าย ผลรางวัลมีดังนี้

• ทีมชนะเลิศจะได้รับรางวัล 50 ล้านดอลลาร์

• ทีมรองชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับรางวัล 20 ล้านดอลลาร์

• ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 จะได้รับรางวัล 10 ล้านดอลลาร์

• ทีมของนักเรียนนักศึกษา จะได้รับทุนจำนวน 2 แสนดอลลาร์ (25 ทุน)

แน่นอนว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วนอย่างมาก แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือ หนึ่งในเด็กไทยที่ถูกจับตามองด้วยจากโครงการนี้

‘แอนโทนี - ปิยชนม์ ภุมวิภาชน์’ อายุ 15 ปี นักเรียนเกรด 9 ที่โรงเรียนนานาชาติเกนส์วิลล์ เชียงราย เป็นเด็กไทยที่ได้เสนอไอเดียนวัตกรรมต่อ ‘อีลอน มัสก์’ ในการดักจับคาร์บอนในบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ที่จะช่วยแก้ไขปัญหามลพิษในอากาศที่ภาคเหนือได้ด้วย

โดยแอนโทนีได้ทำคลิปวิดีโอเผยแพร่ลงบนยูทูบเพื่อเป้าหมายเสนอโครงการดังกล่าว ซึ่งในเนื้อหาของวิดีโอ ได้กล่าวถึง ที่มาของแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมเครื่องดักจับคาร์บอนของเขาด้วย

“ผมเห็นข่าวที่มัสก์ลงมาช่วยภารกิจ 13 หมู่ป่า ที่ถ้ำขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และรู้สึกประทับใจในตัวของมัสก์ ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมกู้ภัยได้อย่างรวดเร็ว ผมจึงอยากให้มัสก์ได้เห็นว่า คนไทยสามารถผลิตนวัตกรรมดักจับคาร์บอนได้ ซึ่งเราเห็นความสำคัญของเรื่องมลพิษทางอากาศผ่านปัญหาหมอกควันในภาคเหนือช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” (แอนโทนี เผยกับ National Geographic ประเทศไทย)

ภายในคลิปวิดีโอได้อธิบายหลักการทำงานของเครื่องมือนี้ไว้ว่า ในส่วนตัวเครื่องมีกลไกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศให้เป็นก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ และก๊าซออกซิเจน รวมถึงภายในเครื่องมือนี้ยังสามารถดักจับฝุ่นละลอง PM 2.5 ได้อีกด้วย

สำหรับก๊าซไฮโดรเจนที่ได้ สามารถนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงมีเทนและปิโตรเลียม ส่วนก๊าซออกซิเจนสามารถปล่อยคืนสู่ชั้นบรรยากาศได้ โดยปัจจุบันเครื่องมือนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแอนโทนีและคุณลุงผู้เป็นนักประดิษฐ์ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในอนาคต

คลิกชมคลิป >> video 

 


ที่มา:

https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3425884500873306/

https://brandinside.asia/elon-musk-donate-for-carbon-capture-tech-competition/

https://ngthai.com/envir.../33745/carbon-capture-technology/

https://twitter.com/aphiyachon?s=21

https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3424998934295196/

บันทึกหน้าใหม่ ปลูกกัญชา บ้านละ 6 ต้น เกิดขึ้นจริง ‘อนุทิน’ นำทีมมอบต้นกล้ากัญชา ใน ‘งานปลูกกัญชา 6 ต้น โนนมาลัยโมเดล’ จ.บุรีรัมย์ วันพรุ่งนี้ (11 ก.พ.64)

นพ.กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีกำหนดการ มอบต้นกล้ากัญชา ใน “งานปลูกกัญชา 6 ต้น โนนมาลัยโมเดล” ที่ บ้านโคกนาค ตำบลหินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ในวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ และ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกิจกรรม

น.พ.กิตติ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรไทยโนนมาลัย จ.บุรีรัมย์ ร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านโนนมาลัย ได้รับต้นแม่พันธุ์กัญชาสายพันธุ์หางกระรอก จากโรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี เพื่อเตรียมนำไปปลูกในพื้นที่วิสาหกิจชุมชนบ้านละ 6 ต้น

และนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และสุขภาพ โดยจะทำการปลูกในวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 โครงการดังกล่าวเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในการนำนโยบายมาปฏิบัติจริง ว่ามีปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย ระเบียบใดบ้าง มีปัญหาในเชิงสังคมและความคุ้มค่าอย่างไร

“ขณะนี้เราได้ต้นแม่พันธุ์แล้ว และกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะขยายพันธุ์โดยใช้วิธีปักกิ่ง เพื่อนำมามอบให้เกษตรกรในวิสาหกิจชุมชน และจะเริ่มลงแปลงปลูกกัญชาในพื้นที่ของชาวบ้าน เมื่อปลูกแล้ว รพ.คูเมือง จะรับส่วนดอก ไปผลิตยาเพื่อประคับประคอง ดูแลผู้ป่วย

ส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยาเสพติด ได้แก่ ใบ ราก ต้น เราจะร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระทรวงศึกษาธิการ อบรมวิสาหกิจชุมชนให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ เพื่อจำหน่ายต่อไป” นพ.กิตติ กล่าว

ทั้งนี้ พรรคภูมิใจไทย เคยรับปากกับพี่น้องประชาชน ในการจะแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถปลูกกัญชา บ้านละ 6 ต้น เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ตามนโยบายหลัก ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน เพื่อปากท้องประชาชน พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำ

'บิ๊กตู่' ขอบคุณผู้ว่าฯ กทม.- มหาดไทย ชะลอขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาท ช่วยเหลือประชาชน ลดค่าใช้จ่ายช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ โดยมีข้อความระบุว่า "ตามที่ทางกรุงเทพมหานครได้ออกประกาศ เลื่อนการเก็บค่าตั๋วรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว 104 บาทตลอดสายออกไปก่อน

หลังจากที่ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้พิจารณาทบทวนโดยให้คำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ผมขอขอบคุณกรุงเทพมหานคร ท่านผู้ว่าฯ รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ช่วยกันใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิดอยู่ ณ ตอนนี้ ขอบคุณครับ #รวมไทยสร้างชาติ"

‘รมว.แรงงาน’ เคลียร์ชัดโครงการ ‘ม33เรารักกัน’ ทั้งเงื่อนไข ไทม์ไลน์ และขั้นตอน การลงทะเบียนผู้ประกันตน รับสิทธิ์เงินเยียวยา 4 พันบาท คาดมีคนเข้าข่ายได้รับเงินเยียวยา 9.27 ล้านคน วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความชัดเจนถึงคุณสมบัติ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในโครงการ ม33 เรารักกัน เพื่อช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด - 19 โดยรัฐบาลจะจ่ายเยียวยา รายละ 4,000 บาท

พร้อมย้ำเงื่อนไขคุณสมบัติ คือ เป็นผู้มีสัญชาติไทย เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ได้รับสิทธิโครงการ “เราชนะ” และไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 500,000 บาท (ณ วันที่ 31 ธ.ค.63) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่มีคุณสมบัติ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม 2564 ผู้ประกันตนสามารถยืนยันตัวตนผ่านช่องทางการให้บริการ Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2564

จากนั้น รัฐบาลจะเริ่มโอนเงินผ่าน Application “เป๋าตัง” ในทุกๆ วันจันทร์ที่ 22, 29 มีนาคม และ 5, 12 เมษายน 2564 ครั้งละ 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ประกันตน สามารถเริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายใต้โครงการ “เราชนะ” ได้ในวันที่ 22 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2564

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ไม่สามารถลงทะเบียนโครงการ ม33เรารักกัน ในรอบแรกได้ จะมีการเปิดให้ยื่นขอทบทวนสิทธิอีกครั้งผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com ได้ตั้งแต่ 15 – 28 มีนาคม 2564 และกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่าน Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 5 – 11 เมษายน 2564 ซึ่งรัฐบาลจะโอนเงินเข้า Application “เป๋าตัง” ในวันจันทร์ที่ 12 และ 19 เมษายน 2564 จำนวน 2 ครั้งๆ ละ 2,000 บาท พร้อมให้ผู้ประกันตนเริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าภายใต้โครงการ “เราชนะ” ได้ในวันที่ 12 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564

ทั้งนี้ รอมติ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง อย่างไรก็ดีโครงการฯ ดังกล่าว คาดว่าจะมีผู้ประกันตนมาตรา 33 เข้าข่ายมีสิทธิได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้ 9.27 ล้านคน รัฐบาลใช้วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท

“ตนได้กำชับไปยัง นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ให้รีบดำเนินการเตรียมความพร้อมรองรับ ในเรื่องของข้อมูลผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกันตน ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันให้ตรงจุด ได้รับสิทธิอย่างทันท่วงที”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top