Saturday, 9 December 2023
NEWS

ค่อย ๆ ขยับไปทีละประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากเมื่อวันที่ 5 พฤกษาคม เวียดนาม มีจำนวนผู้ติดโควิดเพิ่ม +26 ราย และมีขยายเวลากักตัวจาก 14 วันเป็น 21 วัน

เฟซบุ๊ก Biz Laos ได้โพสต์เผยสถานการณ์ระลอกใหม่ของโควิดในเวียดนามว่า...

จากมาตรการกักตัวที่เข้มงวดและการติดตามผู้สัมผัสอย่างกว้างขวาง ทำให้เวียดนามรักษายอดผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศในระดับต่ำ เพียงกว่า 3,000 คน และ มีผู้เสียชีวิต 35 คน

และแล้ว เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา...

...รายงานข่าวในเวียดนาม เผย พบการระบาดภายในชุมชนเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ และ พบผู้ติดเชื้อแบบกลุ่มในหลายพื้นที่ โดยผู้ติดเชื้อหลายคน...เชื่อมโยงกับผู้ที่มีผลตรวจเชื้อเป็นบวก หลังจากกักตัวในโรงแรมครบ 2 สัปดาห์

กระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม จึงได้ตัดสินใจที่จะขยายระยะเวลาการกักตัว เป็นระยะเวลา 21 วัน สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และผู้ที่เดินทางเข้ามาในเวียดนาม

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากโรงพยาบาลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมาก ถูกล็อกดาวน์ในวันพุธ (5) หลังจากแพทย์ของโรงพยาบาลตรวจพบติดเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ ยังมีอีก 14 คนที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งชาติในกรุงฮานอยตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ป่วย รวมถึงญาติที่เดินทางมาเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาที่ประกาศล็อกดาวน์ ราว 800 คน ต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 อาทิตย์

ยิ่งไปกว่านั้นทางเวียดนามยังตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อในชุมชนที่มีการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดียอีกด้วย

สำหรับการระบาดในชุมชนครั้งล่าสุด ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหายเซวือง ทางภาคเหนือ สามารถควบคุมการระบาดได้สำเร็จเมื่อเดือนที่ผ่านมา

แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในระดับสูงท่ามกลางการระบาดที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมถึงกัมพูชาและลาว ซึ่งทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกับเวียดนามทั้งสิ้น


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2316625165136059&id=100003657944356

มาถึง ณ วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า มีการเคลื่อนไหวจากต่างประเทศสนับสนุนชนกลุ่มน้อยในการทำสงครามในเมียนมา และรวมถึงการสร้างกองทัพประชาชนมาป่วนสร้างความวุ่นวายในเมียนมาในขณะนี้

มาถึง ณ วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า มีการเคลื่อนไหวจากต่างประเทศสนับสนุนชนกลุ่มน้อยในการทำสงครามในเมียนมา และรวมถึงการสร้างกองทัพประชาชนมาป่วนสร้างความวุ่นวายในเมียนมาในขณะนี้

ล่าสุดมีภาพกองกำลังคะฉิ่น KIA ถือมิสไซล์ต่อต้านอากาศยานที่หน้าตาละม้ายคล้าย QW-18 หรือ Qianwei-18 ของจีนเสียด้วย

งานนี้หากคนเมียนมาคิดสักนิด!! น่าจะได้คำตอบว่า 'จีน' ให้การสนับสนุนกองทัพเมียนมาจริงหรือเปล่า หรือจีนจะเป็นผู้สนับสนุนทุกฝ่ายที่จีนได้ผลประโยชน์?

แต่เรื่องนี้ละไว้ก่อน เพราะประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องของขีปนาวุธจีน คือ มีการรายงานเมื่อหลายวันก่อนบนเว็บไซต์ของรอยเตอร์ว่า มีการฝึกวัยรุ่นเพื่อเป็นกองกำลังในการต่อต้านกองทัพเมียนมา จากนั้นไม่นานเท่าไรก็มีข่าวว่าคู่รัก LGBT ชื่อดังในเมียนมาเข้าเป็นกลุ่มกองกำลังต่อต้านกองทัพ ซึ่งมีการโพสคู่กับครูฝึกชาวต่างชาติ และนี่เองเป็นจุดที่เผยให้เห็นว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังงานนี้!!

 

ชาวต่างชาติในภาพนี้คือนาย David Eubank

เขาเป็นใครนะหรือ?

วันนี้เอย่าจะนำเรื่องราวของเขามาให้รู้จักกัน

David Eubank เกิดที่เท็กซัส แต่มาเติบโตมาในครอบครัวของมิชชันนารีที่อาศัยอยู่ประเทศไทย เขาเข้าเรียนที่ Texas A&M University และได้รับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพสหรัฐฯ

เขาเป็นอดีตหน่วยรบพิเศษและเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนของกองทัพสหรัฐฯ และตอนนี้เป็นผู้ก่อตั้ง Free Burma Rangers (FBR) โดยมีภารกิจในการบรรเทาทุกข์และปลดแอกเหล่าชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่ พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาคริสต์

แต่เท่าที่ดู เหมือนองค์กรนี้จะแค่กล่าวอ้างว่าเป็นภารกิจของพระเจ้ามากกว่า เพราะแท้จริงอาจจะมีเบื้องหลังเบื้องลึกว่านั้น

เพราะเมื่อเอย่าเปิดดูเพจ https://www.freeburmarangers.org/ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นเพจคริสต์จักรทั่วไป แต่กลับพบว่าประเทศที่เพจนี้ให้ความสนใจกลับเป็นประเทศเมียนมา, ไทย, อิรัค, เคอร์ดิสถาน, ซีเรียและซูดาน ซึ่งจากประเทศที่เขาระบุไว้ในเพจจะเห็นว่าประเทศส่วนใหญ่เหล่านั้นสหรัฐฯ ได้เข้าไปมีบทบาทไม่ว่าจะเป็น อิรัค, ซูดาน หรือซีเรียและสุดท้ายที่ประเทศไทยเองก็เช่นกัน

แม้คำอ้างในเว็บไซต์จะบอกว่า สิ่งที่เขาทำเป็นภารกิจของพระเจ้า แต่สิ่งที่คนทั่วไปเห็นเหมือนพระเจ้าของชายผู้นี้ น่าจะเป็น 'ประเทศสหรัฐอเมริกา' หรือเปล่า?

เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นคำถามที่สหรัฐอเมริกาต้องตอบให้ได้ว่า องค์กรนี้ คือ หนึ่งในกลุ่มองค์กรที่บ่อนทำลายประเทศต่าง ๆ ใช่หรือไม่? แล้วใครจะมาตอบเอย่ากันน้า


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เพจ อูดาชี - Удачи - Udachi : Loving by Knowing Russia ได้โพสต์ถึงชีวิตในอนาคตอันใกล้ที่นำมาสู่ความปลอดภัยและมั่นใจด้านสุขภาพ เพราะทางเพจได้เปิดบริการที่จะพาทุกคนไปท่องเที่ยวและได้รับวัคซีนที่ดีที่สุดในรัสเซียว่า...

เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงจะมีคำถามว่า 'วัคซีนดี ๆ จะมาเมื่อไหร่?' และ 'จะต้องกักตัววนไปอีกกี่รอบ?'

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกของวัคซีนในวันนี้เริ่มมากขึ้น อยู่ที่เราว่าพร้อมหรือยัง? ที่จะมีชีวิตที่ปลอดภัยและความมั่นใจด้านสุขภาพ เพราะทุกท่านจะได้รับวัคซีนที่ดีที่สุดในโลกไปพร้อม ๆ กับการเดินทางได้อย่างมีอิสระ

จากเพจ อูดาชี - Удачи - Udachi : Loving by Knowing Russia ได้โพสต์ถึงชีวิตในอนาคตอันใกล้ที่นำมาสู่ความปลอดภัยและมั่นใจด้านสุขภาพ เพราะทางเพจได้เปิดบริการที่จะพาทุกคนไปท่องเที่ยวและได้รับวัคซีนที่ดีที่สุดในรัสเซียว่า...

ครั้งแรกของประเทศไทยกับทริปวัคซีนระดับโลกภายใต้การดูแลของบริษัท อูดาชี จำกัด ลักซัวรี่ทัวร์รัสเซียอันดับหนึ่งและสถาบันการแพทย์ชั้นนำรัสเซีย

ในเวลานี้สิ่งที่ประเทศไทยต้องการที่สุดคือความมั่นคงในสุขภาพ และอิสระในการใช้ชีวิต

จะดีกว่าไหม หากคุณคือผู้นำที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนที่คุณรัก

การเดินทางครั้งใหม่ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณสู่การเป็นผู้นำกระแสโลก ครั้งแรกกับการพลิกโฉมหน้าการเดินทางท่องเที่ยวในแบบเดิม ๆ สู่โลกใหม่แห่งการเดินทางที่อิสระมากกว่า ปลอดภัยมากกว่า และเหนือกว่าใคร

เดินทางสู่รัสเซียเพื่อท่องเที่ยวและรับวัคซีนสปุตนิควี (Sputnik V) วัคซีนที่มีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 ได้สูงถึง 91.6% และป้องกันการป่วยที่รุนแรงได้ถึง 100%

มากไปกว่านั้นคุณ คือ ผู้กำหนดวันและเวลาได้เองโดยไม่ต้องรอคิวจนเหนื่อยอีกต่อไป

หากคุณมีเวลา 30 วัน ต่อจากนี้เราสัญญาว่าจะทำหน้าที่กุญแจสู่การเปลี่ยนชีวิตคุณให้มั่นคงทางสุขภาพและกลายเป็นผู้นำกระแสโลกที่แท้จริง

ออกไปเปลี่ยนโลกด้วยตัวคุณเองได้ตั้งแต่พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทัวร์เพิ่มเติม: shorturl.at/ahvKT

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับวัคซีน Sputnik V: shorturl.at/qEOS8

ข้อมูลวารสารตีพิมพ์เชิงวิชาการทางการแพทย์เกี่ยวกับ Sputnik V: shorturl.at/jALM1

 

บริษัท อูดาชี จำกัด

ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/07277

โทรศัพท์: 0852452458

Line: https://lin.ee/h9afsTM

Email: [email protected]

#วัคซีนโควิด19 #SputnikV #สปุตนิควี #สปุตนิคไฟว์ #เที่ยวรัสเซีย


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3363621620407396&id=305440592892196

ฉีดเถอะ ดีทุกค่าย!

วัคซีน ที่ผ่านการอนุมัติ จากองค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุข ของแต่ละประเทศ ‘ดีทุกค่าย’ ขอให้มั่นใจ ฉีดได้เลยไม่จำเป็นต้องเลือก

“ครูกัลยา” เตรียมเปิดหลักสูตร “ชลกร” รุ่น 1 มอบทุนเรียน-อยู่ฟรี นำร่อง ปวส. 5 วษท. มั่นใจหลักสูตรทันสมัยใช้ได้จริง หลังได้ผู้เชี่ยวชาญน้ำระดับสากลร่วมพัฒนาหลักสูตร 

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เตรียมเปิดหลักสูตร “ชลกร” รุ่น 1 นำร่องปวส. 5 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) พร้อมมอบทุนเรียนฟรี-อยู่ฟรี เดินหน้าพลิกโฉมอาชีวะเกษตร หลังนักศึกษาอาชีวะสมัครเรียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มั่นใจหลักสูตร “ชลกร” ทันสมัยใช้ได้จริง หลังได้ผู้เชี่ยวชาญน้ำระดับสากลทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมพัฒนาหลักสูตร เรียนจบสามารถต่อปริญญาตรีและเข้าทำงานในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์และโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณ พนิช) เปิดเผยว่าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) เตรียมจะเปิดรับนักศึกษา ระดับ ปวส. ภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ สาขาวิชา ช่างกลเกษตร สาขางาน การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร (ชลกร) ประจำปีการศึกษา 2564 ถือเป็นหลักสูตร “ชลกร” รุ่นที่ 1 ซึ่งจะเปิดสอนในเดือนมิถุนายนนี้เป็นปีการศึกษาแรก โดยจะเริ่มสอนพร้อมกันใน 5 วิทยาลัยนำร่อง ประกอบไปด้วย

1.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

2.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี

3.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยียโสธร

4.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ และ

5.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด และจะขยายไปทุกวิทยาลัยที่มีความพร้อมในปีการศึกษาต่อไป 

สำหรับหลักสูตร “ชลกร” นี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการน้ำในระดับสากลทั้งในประเทศและต่างประเทศมาร่วมช่วยกันพัฒนาหลักสูตรจนสำเร็จ โดยในรุ่นที่ 1 นี้ นอกจากนักศึกษาจะได้เรียนฟรี งดเว้นค่าหน่วยกิตตลอดหลักสูตร (2 ปี) แล้ว ยังมีที่พัก (หอพักในวิทยาลัย) ให้นักศึกษาทุกคนอยู่ฟรี (ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละวิทยาลัย) ขอเพียงมีความมุ่งมั่น ขยัน อาชีวะเกษตรและเทคโนโลยีพร้อมเปิดโอกาสให้กับทุกคน เรียกว่า เรียนฟรี อยู่ฟรี จนจบการศึกษา

“คุณหญิงกัลยา ย้ำเสมอว่าการเกษตรเป็นหัวใจของแผ่นดิน และ “น้ำ” นับเป็นต้นทางแห่งการเกษตรและชีวิตของคนไทย ไม่ว่าบ้านเมืองเราจะเผชิญอยู่ในวิกฤตและอยู่ในยามปกติสุขก็ตาม อีกทั้ง “น้ำ” ยังเป็นสายธารแห่งความยั่งยืนของชีวิต เราจึงต้องสร้าง “ยุวชลกร” ที่มีองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ เมื่อชลกรเกิดเต็มพื้นที่ทั่วประเทศ ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งและเติบโตยั่งยืน” นางดรุณวรรณ กล่าว

โดยหลักสูตร “ชลกร” รุ่นที่ 1 จะเปิดรับสมัครนักศึกษา ระดับ ปวส. สาขาวิชาช่างกลเกษตร สาขางานบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร (ชลกร) ภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ประจำปีการศึกษา 2564 โดยผู้สมัครจะได้รับการสนับสนุนดังนี้ 1.ได้รับการสนับสนุนค่าเล่าเรียน โดยได้รับการงดเว้นค่าหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 2 ปี” จากดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช 2.ได้รับสวัสดิการหอพักฟรี ภายในวิทยาลัย โดยจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้เมื่อนักศึกษาเรียนจบหลักสูตรชลกร แล้วสามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ในสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร, สาขาวิศวกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร, สาขาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรอัตโนมัติ และสามารถสมัครเข้าทำงานในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ ถือเป็นการพลิกโฉมการศึกษาอาชีวะเกษตร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่คุณหญิงกัลยา ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการซึ่งกำกับดูแลอาชีวะเกษตรและเทคโนโลยี มีการผลักดันนโยบายส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง

ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในปากีสถาน เผยหน่วยงานท่องเที่ยวท้องถิ่น สั่งยกเลิกการจองโรงแรมทุกประเภท ตั้งแต่ 8-16 พ.ค. 64 ทั้งที่เป็นช่วงไฮ-ซีซัน โอดกระทบรายได้หนัก แถมไม่ได้รับการเยียวยา เหตุไม่อยู่ในโซนระบาด

ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวชาวไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pakistan By Lukpla:เพราะลูกปลารัก..ปากี’ โดยระบุว่า

หน่วยงานการท่องเที่ยว Gilgit-Baltistan สั่งให้เจ้าของโรงแรมใน Gilgit-Baltistan ยกเลิกการจองทุกประเภทในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคมถึง 16 พฤษภาคม

ถ้าเป็นที่ไทย จะเป็นยังไงน้อ??

ทั้งที่โซนนี้ไม่มีโควิด และเป็นช่วงที่ที่พักจองยากมากในช่วง Eid บางที่ปลาจองมา 3 เดือน !!

นี่คือช่วงไฮที่สุด โรงแรมเต็มทุกที่ ร้านอาหารด้วย บางคนไม่มีที่พักต้องนอนในรถ

แต่ปีนี้จบด้วยการปิดเมือง...เข้าปีที่ 2 ละ

อย่าคิดว่าโซนที่ไม่มีโควิด จะไม่มีผลกระทบนะคะ และเพราะเราไม่มีโควิด รัฐบาลไม่เคยช่วยเยียวยาอะไรโซนเราเลย

น้องชายบอกว่า ถ้าร้านปิด เราก็เอามันฝรั่งมาต้มกิน กันตาย (เพิ่งปลูกไปได้ไม่กี่วัน มันยังไม่ขึ้นเล๊ย 55)

เป็นช่วงที่พวกเรามั่นใจว่าจะมีทัวร์ จะมีงานล้นที่ร้านอาหาร เป็นช่วงเฉลิมฉลอง

เป็นช่วงที่ปลาคิดว่าจะได้เก็บเงินไว้ให้ลูกช่วงคลอด โธ่เว๊ยชีวิต!!!

Gilgit-Baltistan Tourism Department directs the hotel owners in Gilgit-Baltistan to cancel all kinds of booking for the period May 8 to May 16.


https://www.facebook.com/lukpla.in.pakiii/photos/a.248223898855059/1455624551448315/

ลุงป้อม ช่วยเกษตรกรไม้สัก/ไม้ผล ประชุม คปช. สนับสนุนเอกชน ร่วมภาครัฐ ส่งออกไม้สัก ส่งเสริมเศรษฐกิจ เห็นชอบไม้ผลทุกชนิด แปรรูปเพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิต ชดเชยผลกระทบโควิด-19

เมื่อ 6 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) ครั้งที่ 2/2564  ผ่านระบบ Video Conference ทางไกล โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทส.

ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ การขอทบทวนมติ ครม.เกี่ยวกับการขออนุญาตส่งออกไม้สักสวนป่า จากเดิมที่มีการอนุญาตให้เฉพาะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ส่งออกจำหน่ายต่างประเทศ เป็นการให้หน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชน สามารถส่งไม้สักออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ด้วย นอกจากนี้ คปช. ยังได้เห็นชอบให้ทบทวนมติ ครม. ซึ่งเดิมให้เฉพาะไม้ผลบางชนิดเท่านั้น ที่สามารถนำป้อนเข้าโรงงานแปรรูปไม้ (โรงเลื่อย) ผลิตเป็นไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับได้  เป็นการเสนอให้เพิ่มไม้ผลทุกชนิด สามารถนำเข้าป้อนโรงงานแปรรูปไม้ (โรงเลื่อย) ผลิตเป็นไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับได้ ได้แก่ ยางพารา,สะเดาเทียม,สนประดิพัทธ์,กระถินเทพา,มะพร้าว,มะไฟบ้าน,จามจุรี,ยูคาลิปตัส,สนทะเล,กระถินณรงค์,กระถินยักษ์,มะขาม,มะปรางบ้าน และไม้ตาล ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จากต้น หรือกิ่งของไม้ผลชนิดต่าง ๆ ที่ตัดหรือฟันออก ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แทนการทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ และสามารถสร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร ได้อีกทางหนึ่งด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับ ทส. และหน่วยงานอื่น ๆ ที่รับผิดชอบให้เร่งรัดปฏิบัติตามมติของ คปช. ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เพื่อให้นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ส่งเสริมการอนุรักษ์ป่า และเพิ่มรายได้ภาคส่งออก และเกษตรกร ชดเชยผลกระทบจากภาวะโควิด-19 สำหรับการแก้ไขปัญหาที่ทำกินของพี่น้องประชาชน ให้ ทส.เร่งสำรวจการถือครองที่ดิน เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังไม่มีที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยภายใต้กรอบกฎหมาย อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรมต่อไป

‘หมอโอภาส พุทธเจริญ’ แนะลูกหลานจองฉีดวัคซีนให้พ่อแม่ หลังพบคนไข้ในไอซียูหลายรายเป็นผู้สูงอายุ ชี้วัคซีนช่วยลดการป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 ในขณะที่ผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้น้อย

6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์แสดงความคิดเห็นส่วนตัว ผ่านเฟซบุ๊ก Opass Putcharoen ระบุว่า...

ลงทะเบียนฉีดวีคซีนกันหรือยัง

โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรัง

ลงให้คุณพ่อ คุณแม่ได้เลย

ตอนนี้คนไข้ป่วยหนักที่โรงพยาบาลจุฬามีแต่ผู้สูงอายุหรือพวกที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง นอนใส่ท่อช่วยหายใจในไอซียูหลายราย

มีข้อมูลชัดเจนว่าวัคซีนลดการป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 ในขณะที่ผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยกว่ามาก ๆ ครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/opass.putcharoen

‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ บริจาคเงิน 100 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช ชวนประชาชนการ์ดอย่าตก พร้อมวอนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน มั่นใจประเทศฝ่าวิกฤตินี้ได้

วันนี้ (6 พฤษภาคม พ.ศ.2564) เวลา 11.00 น. ณ ตึกอำนวยการ โรงพยาบาลศิริราช ‘นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย รองเท้ายี่ห้อ แอร์โร่ซอฟ / ประธาน บริษัท ไพน์เฮิร์สท กอล์ฟคลับ จำกัด พร้อมด้วย ‘นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ได้บริจาคเงิน จำนวน 100 ล้านบาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ประกอบด้วย อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและตา (Face Shield) จำนวน 3,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจไฮโฟลว์ (Airvo 2) จำนวน 10 ชิ้น ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ในการรักษา โดยมี รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช, นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าวิชาโรคระบบการหายใจ

โอกาสนี้ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวขอบคุณคณะที่ร่วมบริจาคเงินทุนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ทางโรงพยาบาลนำไปใช้เพื่อสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ขณะเดียวกันขอความร่วมมือประชาชนต้องมีวินัยในการป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในการให้ความร่วมมือกับแพทย์และพยาบาล ลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ด้านนายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาปรากฎตัวต่อสาธารณะชน ได้กล่าวว่า “ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้คนไทยทุกคนต้องมีความร่วมมือกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤตให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ขณะเดียวกันขอเชิญชวนผู้ที่พอมีกำลังมาร่วมบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์หรือเงินทุนสนับสนุนโรงพยาบาล เพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของหมอและพยาบาล และทำให้ประเทศของเราปราศจากโควิด-19 โดยเร็ว พร้อมย้ำว่าขอให้คนไทยการ์ดอย่าตกและร่วมมือกันป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด”

สำหรับ โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ นั้น เป็นน้องคนที่ 3 ของ ‘สรรเสริญ จุฬางกูร’ และเป็นพี่ชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งในวงการสื่อมักจะยกให้เขาเป็นบุคคลที่ ‘Low Profile’ เป็นคนทำธุรกิจแบบเรียบง่าย แต่ไม่ชอบเปิดตัว

ทยอยมาเรื่อย ๆ วัคซีนซิโนแวค ล็อตใหม่อีก 1 ล้านโดส จากจีนถึงไทยแล้ว เผยล็อตต่อไป 14 พ.ค. 64 เข้ามาอีก 5 แสนโดส จากการบริจาคของประเทศจีน และสิ้นเดือนนี้จะเข้ามาอีก จำนวน 2 ล้านโดส

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เวลา 05.35 น. ที่เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม รับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จำนวน 1 ล้านโดส จากประเทศจีน ที่ขนส่งโดยสายการบิน Air China Airline เที่ยวบินที่ CA603 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพมหานคร

สำหรับการรับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จากประเทศจีนในครั้งนี้เพิ่มอีกจำนวน 1 ล้านโดส มีการบรรจุในตู้ Envirotainer ระบบ Cold Chain ในการขนส่งสินค้าทางอากาศ ที่ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการควบคุมอุณหภูมิของสินค้าในกล่อง ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิไว้ไม่เกิน 2-8 องศาเซลเซียส ตลอดการขนส่งเพื่อรักษาคุณภาพ จำนวน 6 ตู้ 27 พาเลท

หลังจากที่ก่อนหน้านี้นำเข้ามาแล้ว 2 ล้าน 5 แสนโดส รวมยอดการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน จำนวนทั้งสิ้น 3 ล้าน 5 แสนโดส โดยวัคซีนทั้งหมดนี้จะขนส่งไปจัดเก็บยังคลังสำรองวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศา ที่ศูนย์กระจายสินค้าของบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด จากนั้นองค์การฯ จะดำเนินการตรวจรับวัคซีนและส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐาน และเอกสารต่างๆ เมื่อผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว จะส่งให้กรมควบคุมโรคตรวจรับวัคซีนและกระจายไปยังหน่วยบริการ และสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามแผนที่ทางกรมควบคุมโรคกำหนดต่อไป

โดยวัคซีนซิโนแวค นี้จะมีการส่งมอบมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม จะเข้ามาอีกจำนวน 5 แสนโดส จากการบริจาคของประเทศจีน และสิ้นเดือนจะเข้ามาอีก จำนวน 2 ล้านโดสจากการจัดซื้อโดยองค์การเภสัชกรรมเอง


ที่มา : องค์การเภสัชกรรม https://www.facebook.com/gpoth.official

‘หมอยง’ ชี้ ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ว่าของเจ้าไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่วัคซีนในกลุ่ม mRNA จะมีภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีนอื่น ส่วนประเทศไทยตัวไหนก็ได้ ขอให้ได้ฉีดเร็วที่สุด

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Yong Poovorawan” หัวข้อ โควิด-19 วัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน โดยระบุว่า ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะไม่ได้ทดลอง หรือ ศึกษาพร้อมกันในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีน ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น

1.) ความชุกของโรคในขณะทำการศึกษา ถ้าความชุกของโรคสูง ตัวเลขประสิทธิภาพจะต่ำกว่า ดังนั้นจะเห็นได้ว่าวัคซีน Pfizer ขณะทำการทดลองถึงประสิทธิภาพ มีอุบัติการณ์ของโรคในประชากรต่ำกว่า วัคซีน Johnson and Johnson ในขณะที่ทำการทดลองในอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดสูงสุดในอเมริกา จึงมองดูตัวเลขแล้ววัคซีนของ Pfizer จึง มีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนจอห์นสัน เพราะเป็นการนับจำนวนผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงการศึกษา

2.) ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ถ้าใช้ประชากรกลุ่มเสี่ยงสูง จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า การศึกษาในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่ำกว่า เพราะวัคซีนส่วนใหญ่จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ แต่ป้องกันความรุนแรงของโรค เช่น วัคซีน Sinovac ที่ทำการศึกษาที่บราซิล ใช้กลุ่มเสี่ยงสูง คือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ได้ประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนเดียวกันที่ทำการศึกษาในประชากรทั่วไป ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในตุรกี ได้ตัวเลขประสิทธิภาพที่สูงกว่าการศึกษาในบราซิลมาก

3.) การนับความรุนแรงของโรค ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง วัคซีนของจีน Sinovac ทำการศึกษาในบราซิล ตัวเลขประสิทธิภาพ นับจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการน้อยมากเข้าไปด้วย หรือ ระดับความรุนแรงที่เรียกว่า WHO grade 2 คือติดเชื้อมีอาการ แต่ไม่ต้องการการดูแลรักษา (no need medical attention) ซึ่งตรงข้ามกับวัคซีนอีกหลายตัว ไม่มีการกล่าวถึงความรุนแรงของโรคที่ชัดเจน ส่วนใหญ่มักจะเป็นความรุนแรงระดับ WHO grade 3 คือป่วย เป็นแบบผู้ป่วยนอกไม่ต้องการนอนโรงพยาบาล แต่ต้องพบแพทย์ (need medical attention) ถ้ายิ่งนับความรุนแรงที่น้อยมาก ๆ จะมีตัวเลขประสิทธิภาพต่ำ และถ้านับความรุนแรงตั้งแต่เกรด 4 คือป่วยต้องเข้านอนโรงพยาบาล ประสิทธิภาพจะยิ่งสูงมาก และถ้ายิ่งความรุนแรงที่สูงไปอีก ถึงเกรด 7 Grade 7 คือเสียชีวิต ประสิทธิภาพจะใกล้ 100% ของ วัคซีนเกือบทุกชนิด

4.) สายพันธุ์ของไวรัส การศึกษาของ Pfizer และ Moderna ทำก่อน Johnson การทำทีหลังจะเจอสายพันธุ์ของไวรัสที่กลายพันธุ์ หลบหลีกวัคซีน ทำให้ภาพรวมของวัคซีนที่ทำก่อนมีประสิทธิภาพดีและไม่ทราบประสิทธิภาพต่อไวรัสที่กลายพันธุ์ วัคซีนของจอห์นสันเห็นได้ชัดเจน การกลายพันธุ์ของไวรัสมีส่วนที่ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง การทำการศึกษาคนละเวลาจึงเป็นการยากที่จะมาเปรียบเทียบตัวเลขกัน ถึงแม้ว่าจะทำในประเทศเดียวกัน เพราะไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในการหลบหลีกประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่แล้ว วัคซีนของอินเดียทำการศึกษาที่หลังสุด และศึกษาในสายพันธุ์อินเดีย ก็ไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบกับวัคซีนที่ทำการศึกษาในอเมริกาใด้ ข้อมูลล่าสุดก็เห็นได้ชัดว่าวัคซีน Pfizer และมีประสิทธิภาพลดลง ประมาณ 20% ต่อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และถ้ามาเจอสายพันธุ์อินเดีย ก็อย่างที่มีข่าวฉีดวัคซีน pfizer มาแล้ว 2 เข็ม ก็มาติดเชื้อในอินเดีย เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ดังนั้นในทางปฏิบัติในการดูวัคซีน เราจะต้องศึกษาข้อมูลทั้งหมด แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ข้อมูลทั้งหมด เราจึงไม่อยากเห็นการใช้ตัวเลขที่ทำการศึกษาต่างระยะเวลากัน ต่างสถานที่กัน มาเปรียบเทียบกัน ว่าวัคซีนใครดีกว่าใคร

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการวัดระดับภูมิต้านทาน วัคซีนในกลุ่ม mRNA จะมีภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีนอื่นทั้งหมด

สำหรับประเทศไทยเราต้องการวัคซีนทุกตัว ที่สามารถจะนำเข้ามาได้ และให้มีการใช้อย่างเร็วที่สุด

#หมอยง


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=5634675056575065&id=100000978797641&sfnsn=mo

เมียนมาในเวทีอาเซียน!! ภายใต้บริบทแห่ง 'การเกา' ไม่ถูกที่คัน

จากการประชุมอาเซียนระดับผู้นำประเทศนัดพิเศษครั้งที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาตรงที่ 'นายพล มินอ่องหล่าย' ได้เป็นตัวแทนของเมียนมาไปร่วมประชุมในครั้งนี้ที่ประเทศบรูไน แต่ที่ประชุมมีฉันทามติออกมา 5 ข้อ ดังต่อไปนี้...

1.) ทางกองทัพเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงในเมียนมาทันทีและทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่

2.) ต้องจัดการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาทางออกอย่างสันติเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวเมียนมา

3.) ผู้แทนพิเศษของอาเซียนจะอำนวยความสะดวกในการเป็นตัวกลางในการหารือดังกล่าวโดยความช่วยเหลือจากเลขาธิการอาเซียน

4.) อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านทางศูนย์ประสานงานเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

5.) ผู้แทนพิเศษและคณะจะเดินทางเยือนเมียนมาเพื่อพบกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

แต่ในความเป็นจริงนั้น ทางเมียนมาสามารถทำเช่นนั้นได้จริงหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันนี้ยังมีการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพกะเหรี่ยงกลุ่ม KNU และกองทัพคะฉิ่นกลุ่ม KIA

อย่างก่อนหน้านี้ก็มีการประทะกันใกล้เมืองสะเทิม (Thaton) เป็นผลให้มีการปิดการจราจร ซึ่งสร้างผลกระทบในการคมนาคมและการขนส่งในช่วงเวลาที่มีการต่อสู้กัน และล่าสุดก็มีการต่อสู้จากชาวบ้านในเมือง Mindat ในรัฐชิน

ฉะนั้นในส่วนข้อ 2 ที่บอกว่า ต้องมีการจัดการหารืออย่างสร้างสรรค์นั้น แม้ทางรัฐบาลทหารจะต้องการที่จะทำมากเพียงใด แต่ไม่มีการตอบรับจากกลุ่ม National Unity Government อยู่ดี ซึ่งดูจากวันนี้เหมือนทั้งสองฝ่าย ก็ไม่ได้มีความต้องการจะประนีประนอมกันหรือยอมหันหน้าเข้าหาเพื่อเจรจากันอยู่แล้ว

พูดตรง ๆ คือ ต่อให้อาเซียนจะบอกว่าพร้อมเป็นตัวกลางแค่ไหน? แต่ถ้าผู้นำของทั้งสองฝ่ายหรือแต่ละฝ่ายมองแค่ผลประโยชน์ตัวเอง มันก็ไม่มีประโยชน์

...และนั่นหมายความว่า ข้อ 4 ข้อ 5 ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากทั้งสองฝ่ายยังเป็นเช่นนี้

นาทีนี้ สงสารก็เพียงชาวบ้านคนเมียนมาที่ต้องหนีตายหรือต้องมาตายกับอุดมการณ์อันเปล่าประโยชน์

ดังนั้นการแก้ปัญหาในครั้งนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่าควรหันหน้าเจรจาหรือยัง แต่ควรจะบอกให้ฝ่ายต่อต้านเลิกปลุกระดมให้ประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์หยุดจับอาวุธเสียก่อน

เพราะฝ่ายยึดอำนาจได้ออกมาชี้แจงแล้วถึงสาเหตุการยึดอำนาจว่าเกิดจากการนับคะแนนไม่ถูกต้องและเตือนกรรมาธิการการเลือกตั้งของเมียนมาถึง 2 ครั้ง แต่ทางกรรมาธิการการเลือกตั้งที่ถูกคัดสรรมาจากรัฐบาล NLD เลือกจะนิ่งเฉยและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้กองทัพทำการรัฐประหาร ซึ่งเป็นสิทธิ์ตามชอบธรรมที่ระบุไว้ในธรรมนูญที่ร่างไว้ฉบับปี 2008 ในการปกครองประเทศของเมียนมา ในข้อ 20 วรรค D ว่า...

"กองทัพมีหน้าที่หลักในการปกป้องการไม่สลายตัวของสหภาพและการไม่สลายตัวของความเป็นเอกภาพของประเทศรวมถึงการคงอยู่ตลอดไปของอำนาจอธิปไตย" ซึ่งการกระทำของกลุ่มต่อต้านในวันนี้ขัดกับที่รัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้ในเมียนมา จนยิ่งส่งเสริมให้เกิดความชอบธรรมในการปฏิบัติการของทหารเข้าไปอีก

การต่อต้านทุกวันนี้เอย การที่อาเซียนไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้เอย ทั้งหมดทั้งมวลก็เนื่องจากรัฐธรรมนูญของเมียนมาได้ระบุไว้หมดทุกอย่างแล้วนั่นเอง


ที่มา: AYA IRRAWADEE

ก.เกษตร เร่งพัฒนาให้ความรู้เกษตรกร ดันงานวิจัย ‘กัญชง’ มอบศูนย์ AIC 77 จังหวัดร่วมขับเคลื่อน ‘สวพส.’ เตรียมเมล็ดกัญชง (Hemp) ล็อตแรก 5,600 กิโลกรัม พร้อมสนับสนุนการพัฒนากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (5 พ.ค.) ว่า ตามนโยบายของ รัฐบาลมุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ รวมทั้งการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะ พืชเศรษฐกิจ “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ หลังจากที่กฎหมายได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองกัญชงได้

โดยประเทศไทยนับว่ามีศักยภาพในการพัฒนาเป็น “ฮับกัญชา-กัญชง-กระท่อม” อีกทั้งยังเป็นโอกาสของไทยที่จะช่วงชิงตลาด กัญชา กัญชงและกระท่อม มูลค่า 8 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 30% ต่อปีและอีก 4 ปีข้างหน้ามูลค่าตลาดจะเพิ่มเป็น กว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินหน้าส่งเสริมสนับสนุนตั้งแต่ต้นน้าถึงปลายน้าใน 4 รูปแบบ คือ เกษตร อาหาร (คนและสัตว์) เกษตรสุขภาพ เกษตรพลังงาน และเกษตรท่องเที่ยว เพื่อจะสามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของต้นกัญชา กัญชง และกระท่อม

ทั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายพืชแห่งอนาคต (Future Food Future Crop) ให้เร่งพัฒนาเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรทางด้านความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกัญชา กัญชงและกระท่อมในทุกมิติ ตั้งแต่กฎหมายข้อระเบียบจนถึงสถานการณ์ตลาด และราคาทั้งในและต่างประเทศ โดยมอบหมายศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC ทั้ง 77 จังหวัดเป็นกลไกสนับสนุนในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกัญชงซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) ซึ่งเป็นองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ได้วิจัยและพัฒนากัญชงและผลิตภัณฑ์กัญชงมากว่า 17 ปี

ทางด้านนายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการ สวพส. กล่าวว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากัญชง เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักที่ศึกษาและวิจัยกัญชงอยู่ในปัจจุบัน จึงได้จัดสรรเมล็ดกัญชงที่ผลิตไว้สำหรับการศึกษาและวิจัยของ สวพส. นำมาจำหน่ายให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ส่งเสริมของโครงการหลวงและสวพส. หน่วยงานของรัฐหรือภาคเอกชนที่ดำเนิน โครงการวิจัยร่วมกับ สวพส. หน่วยงานของรัฐ และบุคคลทั่วไป หรือนิติบุคคลที่สนใจ จำนวนรวม 5,600 กิโลกรัม และได้ตั้ง คณะอนุกรรมการกำหนดแนวทางการควบคุม การจาหน่าย การกำหนดราคาเมล็ดพันธุ์ ส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ของเฮมพ์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ผู้แทนมูลนิธิโครงการหลวง, ผู้แทนสำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), ผู้แทนสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม, ผู้แทนสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.), ผู้แทนองค์การเภสัชกรรม เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการจำหน่ายและราคาเมล็ดกัญชง ที่เหมาะสมสำหรับการสนับสนุนและผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยมีเมล็ดกัญชงที่จะจำหน่าย 2 พันธุ์ คือ RPF1 ที่เหมาะ สาหรับปลูกบนพื้นที่สูงมากกว่า 1,000 เมตร และพันธุ์ RPF3 ที่เหมาะสำหรับปลูกบนพื้นที่สูงระดับ 500-1,000 เมตร จาก ระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งประกอบด้วย

1.) เมล็ดพันธุ์รับรอง (Certified seed) จำนวน 3,000 กิโลกรัม โดยจำหน่ายสำหรับเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวงและ โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ราคา 300 บาท/กก. หน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา (Partnership) หรือ หน่วยงานของรัฐ ราคา 400 บาท/กก. และสำหรับบุคคลทั่วไป ราคา 520 บาท/กก.

2.) เมล็ดบริโภค (Grain) จำนวน 2,600 กิโลกรัม โดยจำหน่ายสำหรับหน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา (Partnership) หรือหน่วยงานของรัฐ ราคา 250 บาท/กก. และสำหรับบุคคลทั่วไป ราคา 750 บาท/กก.

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการวิจัย พัฒนา และการทดลองปลูก ได้อย่างทั่วถึงและเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ทาง สวพส. ได้พิจารณาและกำหนดปริมาณเมล็ดที่จะจำหน่ายให้แก่ผู้ขอซื้อแต่ละราย ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ ดังนี้

1.) เมล็ดพันธุ์รับรอง (Certified seed) : สำหรับเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ไม่เกิน 20 กก./ราย หน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา (Partnership) หรือหน่วยงานของรัฐ ไม่เกิน 30 กก./ราย และสำหรับบุคคลทั่วไป ไม่เกิน 20 กก./ราย

2.) เมล็ดบริโภค (Grain) : สำหรับหน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา (Partnership) หรือหน่วยงานของรัฐ ไม่เกิน 50 กก./ราย และสำหรับบุคคลทั่วไป ไม่เกิน 20 กก./ราย (R&D)

สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมา ทาง สวพส. ได้ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิจัยและพัฒนากัญชง (Hemp) เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน

โดยได้มีการพัฒนาพันธุ์กัญชงจำนวน 4 พันธุ์ คือ RPF1, RPF2, RPF3 และ RPF4 สำหรับการปลูกเพื่อผลิตเส้นใย โดยทุกพันธุ์ที่มีปริมาณสารเสพติด (THC) 0.2% ซึ่งต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด มีเปอร์เซ็นต์เส้นใย 12-14.7% และมีปริมาณสารที่เป็นประโยชน์ (CBD) 0.8-1.2% และได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์กับกรมวิชาการเกษตร ในปี พ.ศ. 2554 และพันธุ์ดังกล่าวจัดเป็นเมล็ดพันธุ์ รับรองตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 เฉพาะ เฮมพ์ ปี 2559

และเมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศ “กฎกระทรวงการขออนุญาต และการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ.2563” และ “ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2563” มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองกัญชงได้

โดยในส่วนของกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติด ได้แก่ ใบ เมล็ด (seed และ grain) ราก ลำต้น และสารสกัด CBD ที่มี THC ต่ำกว่า 0.2% เป็นผลให้ความสนใจในการทดลองปลูก และศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกัญชง เพิ่มขึ้นอย่างมากภายในระยะเวลาอันสั้น ในขณะที่ยังไม่มีการผลิตเมล็ดกัญชงไว้ล่วงหน้า

“สำหรับผู้สนใจที่ต้องการขอซื้อ ทั้งเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง หน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา (Partnership) หรือหน่วยงานของรัฐ และบุคคลทั่วไปหรือนิติบุคคล สามารถแจ้งความ ประสงค์ขอซื้อ ผ่านทางเว็บไซต์ของ สวพส. https://www.hrdi.or.th/PublicService/HempInfo หรือยื่นเอกสารด้วยตนเอง หรือ ทางไปรษณีย์ โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ https://www.hrdi.or.th/public/files/PublicService/HempInfo/HRDIPurchaseRequestForHemp.pdf ระหว่างวันที่ 26 เมษายน ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 โดยปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่กำหนด ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ https://www.hrdi.or.th/ หรือ Facebook Fanpage : สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)” ผู้อำนวยการ สวพส. กล่าว

ครม.รับทราบ ผลงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 63 ต่ำกว่าเป้า เหตุ รัฐออกมาตรการเว้นระยะห่างจากโควิด-19

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า รับทราบรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยมีการเบิกจ่ายงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้กับหน่วยบริการจำนวน 140,369.81 ล้านบาท จากงบประมาณ 140,533.42 คิดเป็นร้อยละ 99.88 ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการจำนวน 47.60 ล้านคน จากเป้าหมาย 47.68 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 99.85 มีหน่วยบริการขึ้นทะเบียนจำนวน 12,245 แห่ง 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับผลงานบริการของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น ได้ให้บริการพื้นฐานในงบเหมาจ่ายรายหัว เช่น บริการสุขภาพทั่วไป โดยในส่วนของการใช้บริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน มีผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน พ.ศ.2563 รัฐบาลประกาศมาตรการเว้นระยะทางสังคมจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) 

ส่วนงานบริการเฉพาะกลุ่ม นอกงบเหมาจ่ายรายหัว เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีผลงานการใช้บริการสูงกว่าเป้าหมาย ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังมีผลงานการใช้บริการต่ำกว่าเป้าหมาย ส่วนความท้าทายในการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่สำคัญ ได้แก่ ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงจากการระบาดของโควิด-19, ข้อจำกัดด้านงบประมาณในการบริหารจัดการกองทุน หากเศรษฐกิจถดถอยและชะลอตัว 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2562 ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยพบว่า มีสินทรัพย์ 18,958.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 จำนวน 3,609.29 หนี้สิน 14,380.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,468.98 ล้านบาท 

ครม.อนุมัติร่างพรฎ.เวนคืนที่ดินใน จ.ศรีสะเกษ-ขยายทางหลวงแผ่นดิน เป็น 4 ช่องจราจร

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษ์ ตำบลเสียวและตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085 และ 2178 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24-อุบลราชธานี(บ้านน้ำเกลี้ยง) จังหวัดศรีสะเกษ รวมระยะทาง 10.815 กิโลเมตร วงเงินการก่อสร้าง 278 ล้านบาท  มีปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินประกอบด้วย ที่ดินประมาณ 105 แปลง สิ่งปลูกสร้างประมาณ 94 ราย และต้นไม้ยืนต้นประมาณ 47 ราย และค่าเสียหายอื่น ๆ และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด รวมค่าทดแทนในการเวนคืนเป็นเงิน 52,428,250 บาท  ซึ่งกรมทางหลวงได้จัดรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการดังกล่าวแล้ว ผลการรับฟังโดยรวมประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ระบุเหตุผลของการจัดทำโครงการขยายทางหลวงครั้งนี้ว่า เนื่องจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085 และ 2178 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24-อุบลราชธานี (บ้านน้ำเกลี้ยง) จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างอำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กับจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันยังเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร ที่มีปริมาณจราจรหนาแน่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงจำเป็นต้องขยายให้เป็น 4 ช่องจราจร เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ลดอุบัติเหตุ สนับสนุนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ และเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืนเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top