Tuesday, 3 October 2023
NEWS FEED

‘วราวุธ’ สั่งดย.เร่งสำรวจ หวังดันค่าอาหารเด็กในสถานรองรับ ชี้ มื้อละ 19 บาท ถือว่าน้อย หากเทียบกับหน่วยงานอื่น

(27 ก.ย. 66) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงการผลักดันการปรับเพิ่มงบประมาณ ค่าอาหาร สำหรับเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็ก สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ว่า ขณะนี้ มีสถานรองรับเด็ก จำนวน 31 แห่งทั่วประเทศ ที่ดูแลคุ้มครองเด็กและเยาวชนตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี จำนวนกว่า 5,000 คน แต่ได้รับค่าอาหาร 57 บาทต่อหัวต่อวัน ซึ่งเมื่อเฉลี่ยอาหารสามมื้อแล้ว จะอยู่ที่มื้อละเพียง 19 บาทเท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นๆ ทั้งที่คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและการเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก 

ทั้งนี้ จึงคิดว่าเราต้องมานั่งทบทวนกันใหม่ โดยได้มอบหมายให้ ดย. สำรวจสัดส่วนที่เหมาะสม ที่ควรจะปรับเพิ่มค่าอาหารเป็นเท่าไหร่ ซึ่งช่วงวัย 0 - 6 ปีอาจจะรับประทานอาหารในปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับเด็กโต แต่คุณภาพอาหารนับเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ ซึ่งเด็กในช่วง 6 ปีแรก นับเป็นช่วงสำคัญของพัฒนาการและการซึมซับสิ่งที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย ขณะที่เด็กโต 6-18 ปี ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของอาหารทั้งปริมาณและคุณภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมาย ดย. ให้เร่งสำรวจข้อมูล เพื่อผลักดันการปรับเพิ่มค่าอาหาร เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่ต้องดูแลและทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. ได้รับอาหารที่มีคุณภาพ ต้องช่วยให้เขาเติบโตในสังคมทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ซึ่งที่ผ่านมา บางหน่วยงาน เช่น หน่วยงานที่ดูแลผู้ต้องขัง สถานพินิจ นักเรียนทหาร เด็กนักเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ปรับงบประมาณค่าอาหารเพิ่มขึ้น แต่ของเด็กและเยาวชนในสถานรองรับของ ดย. ยังไม่เคยได้ปรับค่าอาหารเพิ่มขึ้นมานานแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะไม่ทันงบประมาณปี 2567 แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันเวลาในงบประมาณปี 2568

‘กองทุนดีอี’ ร่วมผลักดัน EEC สู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่านโครงการจัดหาระบบ 5G Smart City

‘กองทุนดีอี’ ร่วมผลักดัน EEC สู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่าน โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้วยการกำกับดูแลและการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ทำให้แผนพัฒนา EEC ได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการ เพื่อเป็นประตูสำคัญสู่ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ทั้งกายภาพและทางสังคม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อให้ EEC เป็นเมืองอัจฉริยะ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีภารกิจขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแนวทางประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีเป้าหมายพัฒนาเมืองอัจฉริยะ  7 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) และ การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข  อย่างยั่งยืน

โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ นำเสนอโดย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีภารกิจขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านดิจิทัลในการสนับสนุนพัฒนาพื้นที่ EEC ได้อย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ ในการสร้างเครือข่าย Internet Of Thing และ CCTV พร้อมทั้งต่อยอดการพัฒนาเครือข่าย 5G Mobile และสร้างให้มีการใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อสร้างความพร้อมในการพัฒนา Service Platforms ควบคู่กับการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในด้านเมืองอัจฉริยะ และสร้างรายได้ให้กับเมือง และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ปัญหา พร้อมต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ EEC เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่สามารถร่วมบริหารจัดการและสร้างความปลอดภัยในเขตพื้นที่ EEC และส่งเสริมพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะตามแนวทางของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้ง 7 ด้าน 

โดยผลการดำเนินโครงการ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ EEC (เมืองพัทยา) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการเชื่อมโยงและยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความเป็นเมืองน่าอยู่ โดยได้จัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City ซึ่งมีอุปกรณ์ประกอบด้วย Smart Pole ชนิดความสูง 6 เมตร และชนิดความสูง 9 เมตร ที่สามารถรับสัญญาณ 5G ได้ พร้อมระบบ CCTV ระบบติดตามสภาพอากาศ ระบบไฟอัตโนมัติ ระบบ Public Wi-Fi และระบบ Emergency Call & Public Announcement โดยมีการติดตั้งเสา Smart Pole จำนวน 90 ต้น ในเขตเมือง ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวในเทศบาลเมืองพัทยา เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล IoT และระบบ CCTV ผ่านเครือข่าย 5G ในการส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ Intelligent Operation Center (IOC) ตั้งอยู่ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ในการบริหารจัดการและดูแลระบบในการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเมืองพัทยาให้เป็น Smart City 

จากการสนับสนุนโครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ ของกองทุนฯ ในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ EEC เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของภูมิภาค  ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังช่วยยกระดับทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสของประชาชนให้เข้าถึงบริการด้านดิจิทัลอย่างเป็นธรรม ได้รับบริการที่ดีจากภาครัฐ สร้างรายได้และมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น และยังส่งเสริมให้พื้นที่ EEC บริหารจัดการเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่  ยกระดับคุณภาพของประเทศในทุกภาคส่วนและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงต่อไป

‘ไอซ์ รักชนก’ ขอโทษ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ คดีดูหมิ่นกล่าวหาทำร้ายร่างกาย

(27 ก.ย.66) จากกรณี ‘ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค’ ผู้กำกับภาพยนตร์ กับ ‘น.ส.รักชนก ศรีนอก’ สส. พรรคก้าวไกล เขตบางบอน ได้มีปากเสียงกันในประเด็นการกล่าวหาว่ามีคนทุจริตเงินบริจาคสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มราษฎร บนเรือที่ชื่อว่าไฮซีซัน ที่จอดบริเวณท่าเทียบเรือแจมแฟกตอรี เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย. 2564 และ น.ส.รักชนก โพสต์ข้อความอ้างว่าถูกนายยุทธเลิศทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ และได้เข้าแจ้งความต่อ สน.ปากคลองสานในเวลาต่อมา

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ทวิตเตอร์ @BadDIRECTOR_ ของ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ โพสต์ข้อความระบุว่า "To #ส่องทวิตยามเช้า 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ผมไปขึ้นศาลในคดีดูหมิ่นจากเหตุการณ์บนเรือของงานส่องทวีต โดยมีผู้หญิงไอซ์เป็นจำเลย ซึ่งจำเลยให้การสารภาพ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จึงปรับแค่ 2,500 บาท แต่ต้องไหว้ขอโทษผมด้วยความจริงใจ ผมรับไหว้ด้วยความเต็มใจ ส่วนจำเลยจะจริงใจหรือเปล่านั้น ผมมิอาจรู้จริงๆ"

ล่าสุดวันนี้เฟซบุ๊ก ‘Rukchanok Srinork’ หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ขอโทษ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ โดยระบุข้อความว่า "ข้าฯ นางสาว รักชนก ศรีนอก ขอโทษ คุณยุทธเลิศ สิปปภาค ในกรณีที่ข้าฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่คุณยุทธเลิศ ซึ่งต่อจากนี้ไปทั้งสองฝ่ายจะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกินซึ่งกันและกันให้เกิดเสียหายอีก"

‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล’ รองผบ.ตร. ผู้อาวุโสลำดับที่ 4 ผงาดรับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14’

(27 ก.ย.66) มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14 แทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

การประชุมเริ่มต้นตั้งแต่ 14.00 น. ก่อนที่ประชุมจะมีมติในเวลา 16.28 น. ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ชิงตำแหน่งในลำดับที่ 4 ซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย

วาระการประชุมแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในวันนี้อยู่ในวาระที่ 65 ซึ่งเป็นวาระสุดท้าย แต่ได้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน เป็นวาระแรก โดยระหว่างการพิจารณาได้เชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ผู้ชิงตำแหน่งที่มาร่วมประชุมกันเพียง 2 คน ออกจากห้องประชุม เพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณาเรื่องคุณสมบัติก่อนลงมติ

ทั้งนี้ ลำดับอาวุโสของ รอง ผบ.ตร. 4 นาย ที่เป็นผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในวันนี้ คือ ลำดับที่ 1 พล.ต.อ.รอย, ลำดับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล, ลำดับที่ 3 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และลำดับที่ 4 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล

ภายหลังการประชุม ก.ตร.แล้วเสร็จ และมีรายงานว่า มติที่ประชุมแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14

จากนั้นในเวลา 17.05 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ประธานในที่ประชุม ก.ตร.ได้เดินทางออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะ โฆษก ตร. กล่าวว่า การประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 10/2566 วันนี้ได้คัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ โดยพิจารณารายชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ เพื่อนำความกราบบังคมทูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ในวันนี้

‘คุณลุงผู้รวยน้ำใจ’ ใช้แผ่นปูนเรียงเป็นทางเดินให้ ปชช.สัญจร หลังฝนตกหนักทำน้ำท่วมกรุง โซเชียลชม!! ลุงทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น

(27 ก.ย. 66) ชีวิตคนกรุงเมื่อต้องเผชิญกับวันฝนตก น้ำท่วม ก็จะพบกับความทุลักทุเลในการเดินทาง แต่คลิปนี้เชื่อว่าทำให้หลายคนรู้สึกใจฟูขึ้นมาบ้าง โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อว่า ‘saiikhim_is’ ได้โพสต์คลิปคุณลุงท่านหนึ่ง กำลังช่วยเหลือผู้เดินทางหลายคนที่ต้องลุยน้ำท่วมขัง ด้วยการใช้แผ่นปูนมาเรียง ปูเป็นทางเดินบนน้ำท่วมขัง เพื่อให้ผู้คนได้เดินข้ามไปโดยที่ไม่ต้องลุยน้ำ

เจ้าของคลิปบอกว่า “เมื่อฝนตกน้ำท่วม ชาวออฟฟิศนับร้อยต้องกลับบ้าน ขอบคุณคุณลุงมากๆค่ะ ความใจดีของคุณลุง ทำให้โลกนี้ สดใสขึ้นเป็นกองค่ะ” คลิปนี้มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 2.2 ล้านครั้ง ต่างก็ชื่นชมคุณลุงจำนวนมาก

'ดร.หิมาลัย' ให้กำลังใจ 'พล.ต.ท.ไตรรงค์' หลังเจอแรงกดดันจากสังคม ขอให้นึกถึงคำสอนของพ่อ ยึดถือความถูกต้องในฐานะตำรวจน้ำดี

(27 ก.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

คิดถึง…พ่อ 

ปกติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ท่านจะเข้ามากราบแม่ที่บ้านเป็นประจำ เฉลี่ยอาทิตย์ละครั้งโดยประมาณ ถ้าช่วงไหนมีงานมาก ก็จะให้พาแม่ไปหาที่ทำงาน ซึ่งไม่บ่อยนัก หรือเวลาคุณแม่ไปหาหมอที่ รพ.ตำรวจ ก็จะคอยรอรับ คุณพ่อของพวกเราเสียไปหลายปีแล้ว ยังมีคุณแม่อยู่เป็นขวัญและกำลังใจของลูกๆ

ในช่วงประมาณ อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมสังเกตว่าท่านเข้ามาบ่อยผิดปกติ เลยถามเด็กที่บ้านดู ได้ความว่า ประมาณสองสามอาทิตย์มานี้ ท่านเข้ามากราบคุณย่าบ่อยมาก (เด็กที่บ้านจะเรียกคุณแม่ของผมว่าคุณย่า) 

ผมก็คิดอยู่ว่าท่านน่าจะมีเรื่องไม่สบายใจ จนประมาณวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.66) ผมกลับเข้าบ้านประมาณทุ่มนิดๆ เดินเข้าไปกราบแม่ เจอท่านนั่งอยู่แล้ว กำลังจะกลับ เลยถามว่าพอจะมีเวลานั่งคุยกันสักพักไหม ท่านบอกว่าได้สักครึ่งชั่วโมงแล้วต้องไปทำงานต่อ เลยออกมานั่งคุยกันที่ห้องรับแขก ในระหว่างคุย ดูท่านมีสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนมีเรื่องหนักใจ อยู่ดีๆ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า "พี่อ๊อด อรรถคิดถึงพ่อ"

พูดถึงคุณพ่อ ท่านเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อท่านไตรรงค์มาก ย้อนไปตอนที่ท่านไตรรงค์จะสอบเข้าเตรียมทหาร จะเลือกเหล่าระหว่างนายร้อยตำรวจกับนายร้อย จปร. คุณพ่อท่านพูดว่า "เป็นตำรวจ ทำบุญได้ทุกวัน แค่ทำตามหน้าที่ก็ได้บุญแล้ว เพราะคนที่มาหาตำรวจ คือ คนที่เดือดร้อน เขาจึงหวังมาพึ่งตำรวจ" 

หลังจากฟังคุณพ่อพูด ท่านไตรรงค์ก็ตัดสินใจเลือกสอบเข้าเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังจากเรียนจนจบการศึกษารับพระราชทานกระบี่ คุณพ่อได้อวยพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตรับราชการ และยังสอนอีกว่า "การประสบความสำเร็จในการรับราชการนั้น ไม่ได้วัดที่ว่าเราจะมียศอะไร ตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน แต่ให้ดูวันที่ลูกเกษียณอายุราชการแล้ว มองกลับมา ว่าเราได้ทำอะไรไว้ให้กับสังคมและประเทศชาติบ้าง ความสำเร็จของเราวัดที่ตรงนั้น" 

คุณพ่อผมท่านมักจะสอนอย่างนี้เสมอ ท่านสอนให้เราให้คุณค่าของความดีมากกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านเป็น พระมหา (ผู้ที่สอบได้เปรียญธรรมตั้งแต่ 3 ประโยค ขึ้นไป) ก่อนลาสิกขาออกมารับราชการ

พอผมได้ยินว่าท่านคิดถึงคุณพ่อ ผมก็ทราบว่าท่านต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ ก็ได้แต่นั่งเงียบๆ รอท่านพูดต่อ สักพักใหญ่ๆ ท่านก็พูดว่า "พี่อ๊อด อรรถมาได้ถึงวันนี้ ก็มาได้ไกลมากแล้ว อรรถมีเรื่องต้องตัดสินใจบ้างอย่าง อรรถค่อนข้างกังวล อรรถว่า อรรถจะยึดถือคำพูดของพ่อที่ท่านสอนไว้ตอนรับราชการใหม่ๆ ต่อไปหนทางของอรรถอาจจะลำบาก แต่ถ้าอรรถไม่ทำ เมื่อนึกถึงคำสอนของพ่อที่อรรถยึดถือเสมอมา อรรถก็คงต้องรู้สึกผิดไปตลอด คนเก่งใน สตช.มีเยอะ แต่คนกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง จะมีสักเท่าไร อรรถไม่แน่ใจ"

หลังท่านพูดจบ เราก็นั่งกันอยู่เงียบๆ จนท่านขอตัวกลับ ผมก็บอกท่านไปว่า "ไม่สบายใจก็เข้ามากราบแม่ กราบพระ กราบพ่อ บ่อยๆ จะได้มีกำลังใจ ขอบารมีท่านคุ้มครองให้ปลอดภัย พี่เอาใจช่วยครับ"

มาถึงต้นอาทิตย์นี้ มีข่าวใหญ่เกิดขึ้น พี่ดูข่าวแล้ว บางทีก็นึกน้อยใจ เหมือน สตช. มีอรรถทำงานอยู่คนเดียว ช่วงแรกๆ โดน Social ถล่มอย่างหนัก มาวันนี้ ยังพอมีผู้ที่มีใจเป็นธรรมออกมาพูดให้กำลังใจ สนับสนุนอยู่บ้าง สังคมบางส่วน อาจจะสงสัย ตั้งประเด็นจากจินตนาการส่วนบุคคลกันมากมาย จนลืมข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ... นิสัยอรรถ จะเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว อาจจะชี้แจงช้าไปบ้าง พี่เองก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะงานของอรรถ พี่ก็ไม่มีความรู้ แต่พี่เชื่อว่า คนที่คบหาและได้สัมผัสกับอรรถมา จะเข้าใจและเชื่อมั่นในตัวอรรถเสมอ เหมือนพี่ 

ข้อความนี้ พี่เขียนขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆ จากพี่ให้น้อง พี่ที่เชื่อมั่นและมั่นใจในน้องชายคนนี้เสมอ ขอบารมีแห่งองค์หลวงพ่อโสธร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่อรรถเคารพนับถือ บารมีของคุณพ่อ เทวดาทั้งหลาย คุณความดีที่อรรถทำเสมอมา ได้โปรดเป็นเกราะคุ้มครองป้องกัน ให้อรรถรอดปลอดภัยจากอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ประสบความสำเร็จในกิจการงานเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม สาธุ

ผลวิจัยชี้!! วัยรุ่นไทย 'Gen Z - Millennial' ยอมลาออก หากบริษัทไม่ยืดหยุ่นให้ 'Work - Life - Balance'

ไม่นานมานี้ ผลสำรวจจาก Deloitte Global 2023 Gen Z and Millennial Survey ที่จัดทำขึ้นโดย Deloitte ต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 12 ได้ทำการสำรวจมุมมองแนวคิดเชิงลึกของคนในเจนซี และมิลเลนเนียล มากกว่า 22,000 คนจาก 44 ประเทศทั่วโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะติดตามความเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดและมุมมองต่าง ๆ ของกลุ่มเจนซีและมิลเลนเนียลที่เป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงานทั่วโลก  

ในผลสำรวจฉบับนี้ Gen Z จะหมายถึง ผู้ที่มีอายุ 19-28 ปี และ Millennial จะหมายถึงผู้ที่มีอายุระหว่าง 29-40 ปี โดยประเทศไทยนั้น Deloitte ได้ทำการสำรวจ Gen Z จำนวน 200 คน และ Millennial 100 คน ในประเทศไทย 

ผลการสำรวจสะท้อนมุมมองเชิงลึกคนในเจเนอเรชันดังกล่าวที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เรื่องของสถานที่ทำงานและเวลาในการทำงาน ดังนี้...

>> ร้อยละ 86 ของ Gen Z และ ร้อยละ 65 ขอ Millennial ในไทย มีแนวโน้มจะเปลี่ยนงานใหม่ หากบริษัทผู้ว่าจ้างต้องการให้พนักงานกลับไปทำงานเต็มเวลาที่ออฟฟิศ 

>> และเกือบร้อย 70 ของทั้งคนไทยรุ่นใหม่ทั้งสองเจเนอเรชัน มีแนวโน้มที่จะขอให้บริษัทมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น ที่มุ่งส่งเสริมแนวคิดการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน (Work/life Balance) ซึ่งครอบคลุม 3 ประเด็นหลัก ได้แก่...

1) มีทางเลือกในการทำงานร่วมกันได้มากขึ้น 2) ควรหาวิธีทำให้พนักงานพาร์ทไทม์ (part-time) มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพ และ 3) เปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

ศาลพิพากษาให้ 'กรมที่ดิน' ชดใช้ 'ธนาธร' 4.9 ล้านบาท ปมสั่งเพิกถอน 'น.ส.3ก.' ราชบุรี เนื้อที่ 81 ไร่เศษ

‘ศาลปกครองกลาง’ พิพากษาให้ ‘กรมที่ดิน’ ชดใช้ค่าเสียหาย ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ 4.9 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ปมออกคำสั่งเพิกถอน ‘น.ส.3 ก.’ จ.ราชบุรี เนื้อที่ 81 ไร่เศษ ชี้แม้ที่ดินทั้ง 2 แปลง จะออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็น ‘บุคคลภายนอก’ ที่ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต-เสียค่าตอบแทน

(27 ก.ย. 66) ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2218/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 1839/2566 ซึ่งเป็นคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องกระทรวงมหาดไทย (มท.) กับพวกรวม (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง กรณีอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ในพื้นที่ จ.ราชบุรี ของนายธนาธร

โดยศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 4,912,311.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดใน พ.ร.ฎ.ซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ของต้นเงินจำนวน 4,785,782.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ ภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คืนค่าธรรมเนียมศาลแต่บางส่วนตามส่วนของการชนะคดีแก่ผู้ฟ้องคดี ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 3 และที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

เนื่องจากศาลฯเห็นว่า จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินของหน่วยงานต่าง ๆ ตามหลักวิชาการที่ดินประกอบกับเมื่อพิจารณาจากแผนที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดิน มาตราส่วน 1 : 30,000 ระวาง 4836 II 5006 แล้วเห็นว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของผู้ฟ้องคดี อยู่ในแนวเขตที่ดิน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2521 ได้กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” หมายเลข 85

และต่อมาได้มีการประกาศกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี”ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,069 (พ.ศ.2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) ตามข้อ 3 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497) และข้อ 8 (2) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497

จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย รองอธิบดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มอบหมาย จึงมีอำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ได้

ดังนั้น คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3.ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี อาศัยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และการใช้ดุลพินิจเช่นเดียวกัน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 158 ออกให้แก่นาย อ. และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 159 ออกให้แก่นาย ช. เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2521 ตามโครงการเดินสำรวจโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

ต่อมา นาย อ. และนาย ช. ได้จดทะเบียนขายให้แก่ บริษัท ร. เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2528 หลังจากนั้น บริษัท ร. ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่นาย ส. เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 และนาย ส. ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2543

ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับความเสียหาย เมื่อนายอำเภอจอมบึงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กระทรวงมหาดไทย) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ความรู้ความชำนาญและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินว่าเป็นที่ดินที่ต้องห้ามออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ตามกฎหมายหรือไม่

ซึ่งตามวิสัยและพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เมื่อนายอำเภอจอมบึง ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องไม่รับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอจอมบึง

แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอจอมบึงในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

ส่วนในการพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี จะต้องพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับ ณ วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2565 และไม่ปรากฏว่ามีราคาซื้อขายที่ดินกันตามปกติในท้องตลาดในวันดังกล่าว

จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายโดยเทียบเคียงจากบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รอบบัญชี ปี พ.ศ.2559–พ.ศ.2562 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง ประกาศกำหนด เนื่องจากอัตราดังกล่าวเป็นการกำหนดราคาที่ดินที่มีความเป็นกลางและใช้บังคับอยู่จนถึงวันที่มีการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)

เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 158 มีเนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน มีราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาตารางวาละ 160 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 2,800,000 บาท และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 159 มีเนื้อที่ 38 ไร่ 67 ตารางวา มีราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาตารางวาละ 190 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 2,900,730 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 5,700,730 บาท

อย่างไรก็ดี ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 4,785,782.98 บาท ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ และผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทำละเมิด คือ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 จนถึงวันที่ฟ้องคดี (10 ตุลาคม 2565) คิดเป็นดอกเบี้ยก่อนฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน 126,528.23 บาท ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 4,912,311.21 บาท

ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นรายเดือน เดือนละ 13,666.67 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และค่าเสียหายจากการเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดิน โดยค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 จนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงินจำนวน 86,555.57 บาท นั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีไม่เคยเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน และไม่เคยมีรายได้จากที่ดินแปลงพิพาท อีกทั้งผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างลอยๆ ปราศจากพยานหลักฐานการให้เช่าที่ดิน กรณีจึงถือไม่ได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายจากการทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี

สำหรับคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน และเนื้อที่ 38 ไร่ 67 ตารางวา ตามลำดับ ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) ทั้งสองแปลงของผู้ฟ้องคดี

เนื่องจากตำแหน่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3.ก.) พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (หมายเลข 85)” ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามมิให้ดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวรและเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3.ก.) ตามข้อ 3 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497) และข้อ 8 (2) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2497) ออกตามความพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497

ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) ได้มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2565 กรมที่ดิน โดยคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 747/2565 ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในพื้นที่ ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 59 ฉบับ เนื้อที่รวม 2,111-1-69 ไร่ ที่ได้ออกเมื่อปี 2521 ตามโครงการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยใช้ระวางรูปถ่ายทางอากาศมิได้แจ้งการครอบครองที่ดิน

เนื่องจากที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (หมายเลข 85)” ซึ่งต่อมาได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี เมื่อปี 2527 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวร และเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออก น.ส.3 ก. ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497) ข้อ 3 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า น.ส.3 ก.ดังกล่าว ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สมควรเพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 ฉบับ

‘นายกฯ เศรษฐา’ ร่วมชมงาน ‘OTOP Midyear 2023’ ให้กำลังใจผู้ประกอบการ “สู้ๆ ทุกอย่างจะกลับมาดีเอง”

(27 ก.ย. 66) ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เยี่ยมชมงาน OTOP Midyear 2023 โดยมี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย และ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ให้การต้อนรับ และมี นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีน ร่วมเยี่ยมชมงานด้วย

ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับกระเช้าจากตัวแทนภาคใต้ ซึ่งได้ขอบคุณรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ที่ได้ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือในการลดค่าน้ำค่าไฟ และการช่วยเหลือเกษตรกรต่าง ๆ นอกจากนี้ ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรียังให้กำลังใจผู้ประกอบการ โดยบอกว่า ให้สู้ๆ และทุกอย่างจะกลับมาดีเอง

นายกฯ ยังได้แวะร้านโอทอปเพชรบูรณ์ โดยนายกฯ ได้ใช้พู่กันเขียนชื่อ เศรษฐา ทวีสิน บนภาพคนแคระที่วาดด้วยน้ำเทียน บนผ้าใยกัญชง ซึ่งภาพคนแคระดังกล่าวเป็นประติมากรรมบนอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก นายกฯ กล่าวด้วยว่า วาดยาก เพราะมีรายละเอียดเยอะ

ทั้งนี้ ระหว่างนายกฯ เยี่ยมชมร้านค้าต่าง ๆ ภายในงาน นายเกรียง ยังได้พานายกฯ เข้าไปชมร้านโอทอปผ้าไทยจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้มีการมอบผ้าขาวม้าให้นายกฯ โดยผูกให้ที่เอว

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศภายในงานมีประชาชนที่ทราบว่านายกฯ จะมาเยี่ยมชมได้เข้ามาขอถ่ายภาพเซลฟีจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการ OTOP หลายบูธที่รอถ่ายภาพร่วมกับนายกฯ บอกว่า เสียดายไม่ได้แสดงสินค้าโชว์และไม่ได้ถ่ายรูปด้วย เนื่องจากนายกรัฐมนตรี มีภารกิจต้องเดินทางไปกรมชลประทานต่อ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ จึงทำให้ต้องยกเลิก บางบูทที่เตรียมรอต้อนรับ

‘เอ ศุภชัย’ ยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ ปมร่วมเฟรม ‘บิ๊กโจ๊ก-มินนี่’ แต่คนใกล้ชิดช่วยยืนยัน!! ไม่รู้จักแน่นอน แค่ไปงานเลี้ยงเท่านั้น

(27 ก.ย.66) หลังจากที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาเผยภาพในงานเลี้ยงที่มี บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และคุณกุ๊บกิ๊บ ภรรยา และยังมีนางสาวมินนี่ ผู้ต้องหาคดีเว็บพนัน และ เอ ศุภชัย ผู้จัดการดาราชื่อดัง ร่วมเฟรมเดียวกัน

โดยเฟซบุ๊กของ น้อง-ธัญญารัตน์ ถาม่อย ผู้สื่อข่าว PPTV เปิดเผยว่า คนใกล้ชิดของ ‘เอ ศุภชัย’ ซึ่งอยู่ในงานเลี้ยงวันดังกล่าวด้วย ให้ข้อมูล PPTV ว่า ‘เอ ศุภชัย’ ได้รับเชิญไปงานเลี้ยง เนื่องจากรู้จักกับบิ๊กโจ๊กและภรรยามานานแล้ว

โดยงานเลี้ยงดังกล่าวจัดขึ้นหลังงานศพของคุณพ่อบิ๊กโจ๊กเพื่อขอบคุณลูกน้องและคนใกล้ชิดตามที่บิ๊กโจ๊กให้สัมภาษณ์ วันนั้นคนที่มาร่วมงาน ก็มีการถ่ายรูปร่วมกันหลายรูป บางคนก็รู้จักกันบางคนไม่รู้จักกัน ส่วนภาพที่มีการเผยแพร่ออกมา นางสาวมินนี่เข้ามาขอถ่ายรูปกับ ‘เอ ศุภชัย’ พร้อมกับบิ๊กโจ๊กและภรรยา ซึ่งก็เป็นปกติของคนที่มีชื่อเสียง สามารถถ่ายรูปกับทุกคนได้ แต่ยืนยันว่า ‘เอ ศุภชัย’ ไม่รู้จักนางสาวมินนี่เป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน

ขณะที่ ‘เอ ศุภชัย’ ระบุสั้นๆ ว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์สื่อไหนเลย เนื่องจากอยู่ระหว่างการทำงาน โปรโมตการท่องเที่ยว ที่บ้านเกิดในจังหวัดนครศรีธรรมราช 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top