Saturday, 27 April 2024
NEWS FEED

'นักเขียนซีไรต์' แชร์ประสบการณ์ความหนาวเข้ากระดูกในนิวยอร์ก ชวนให้นึกถึงเมษายนเมืองไทย เจอร้อนจัดๆ คงดีเหลือประมาณ

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.67) นายวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

วันนี้ออกไปทำธุระนอกบ้านหลายชั่วโมง ตั้งแต่ก่อนเที่ยงจนบ่าย รับพลังงานแสงอาทิตย์มาหลายกิโลวัตต์ มองดูตัวเอง คล้าย ๆ เนื้อแดดเดียว ถ้ามีข้าวเหนียวด้วยก็ลงตัว

ผมไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา จึงไม่รู้ว่าเราผ่านจุดร้อนสุดมาแล้วยัง แต่ไอร้อนตอนนี้มันคล้ายอยู่บนดาวซานถี่ ตอนดวงอาทิตย์ขึ้นสามดวงพร้อมกัน

คนไทยที่เจอไอร้อนระดับนี้อาจบ่นอู้ แต่หากเคยผ่านความหนาวของเมืองนอกระดับติดลบ และฮีตเตอร์ไม่ทำงาน จะต้องเปลี่ยนความคิด เห็นว่าร้อนดีกว่า

สมัยผมเรียนและทำงานที่นิวยอร์ก ผมเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับเพื่อนคนไทยและฝรั่งอีกคน เจ้าของตึกเป็นยิว และประพฤติตนเหมือนตัวละครไชล็อกที่เราเรียนในเรื่อง เวนิสวาณิช ทุกประการ 

ยิวแสบคนนี้ปิดฮีตเตอร์ตึกเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนนอนหลับไปแล้ว เรื่องนี้ผิดกฎหมาย แต่ไชล็อกโนสนโนแคร์ เพราะรู้ว่ารายงานไป ทางการนิวยอร์กก็ไม่ทำอะไร เพราะแต่ละวันมีคนหลายร้อยหลายพันคนโดนแบบนี้

ในเมืองร้อน หากเราไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ มันก็ร้อนเท่านั้น แต่ในเมืองหนาว ตึกที่ไม่เปิดฮีตเตอร์ก็คือ การอยู่ในช่องฟรีซเซอร์ตู้เย็น เราต้องสวมเสื้อกันหนาวเต็มยศนอน คล้ายพวกปีนเขาเอเวอเรสต์ มันหนาวเข้าในกระดูก หนาวจนป่วย

ตอนหนาวจัด ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นั้นเอง ผมนึกถึงเดือนเมษายนในเมืองไทย ผมจินตนาการว่าถ้าได้อยู่ในเมืองไทยตอนร้อนจัด ๆ คงดีเหลือประมาณ

ดังนั้นทุกครั้งที่เจออากาศร้อนจัดในเมืองไทย ผมมักนึกถึงคืนที่สวมชุดกันหนาวนอนบนเตียงตัวเอง ในอพาร์ตเมนต์ของไอ้เวรไชล็อก

แล้วความร้อนในเมืองไทยก็คือสวรรค์ดี ๆ นี่เอง

กมธ.อุตฯ หวั่น!! พฤติกรรมลอกเลียนเผาทำลายกากอุตสาหกรรม จี้!! ‘ก.อุตฯ’ เคลียร์ระบบจัดเก็บกาก-ตรวจสอบใหม่ทั้งประเทศ

(23 เม.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมที่จังหวัดระยองว่า ไฟไหม้ลักษณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ซ้ำซากมาก สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นอุบัติเหตุจริง กรมโรงงานอุตสาหกรรมต้องหามาตรการป้องกันให้ได้ผล แต่ที่ผ่านมามักจะมีการเผาทำลายหลักฐานกากอุตสาหกรรม แต่การดูแลควบคุมทำไม่ได้ปล่อยให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ

นายอัครเดช กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแล จะต้องเข้าไปตรวจสอบและป้องกันการก่อเหตุให้ได้ผล ที่ผ่านมากลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมาเกิดที่จังหวัดระยอง ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรม ไม่เข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง จะเกิดการเผาทำลายหลักฐานเช่นนี้ขึ้นอีก เหตุการณ์ไฟไหม้โรงเก็บกากอุตสาหกรรมในหลายจังหวัดมีหลักฐานชัดเจน แต่ก็ไม่มีการชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบว่า การดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการไปถึงไหน มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) บ้างหรือไม่

“ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องจัดการปัญหานี้ใหม่อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง ต้องมีการสังคายนาระบบการจัดเก็บกากอุตสาหกรรมใหม่ทั่วประเทศ เพราะเหตุไฟไหม้ที่ผ่านมาส่วนมากเกิดจากการเผาทำลายหลักฐาน ในเมื่อกำจัดกากอุตสาหกรรมไม่ได้และใช้งบประมาณดำเนินการมากก็เลยใช้วิธีเผาทำลายโดยความตั้งใจ ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้นซ้ำซาก ดังนั้นกรณีนี้และหลายกรณีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสอบสวนอย่างจริงจังว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือจงใจเผาทำลาย ถ้าพบการเผาทำลาย ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเนื่องจากส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งกมธ.อุตสาหกรรมเคยตั้งคำถามไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีแต่ยังเกิดเหตุซ้ำซากขึ้นอีก ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังเสียทีนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว” ประธานกมธ.อุตสาหกรรมกล่าว

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า กมธ.คงจะต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาติดตามเหตุไฟไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมอีกครั้ง ทั้งที่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยองว่า ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำซาก ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ก็จะกลายเป็นแฟชั่นเผาเพื่อทำลายหลักฐาน

‘รมว.ปุ้ย’ เกาะติดเหตุเพลิงไหม้โรงงานสารเคมีระยอง กำชับ!! กรมโรงงานฯ ช่วยเร่งสืบหาข้อเท็จจริง

(23 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บสารเคมี จ.ระยอง ถูกมองว่าเชื่อมโยงกับโรงงานที่เกิดเหตุไฟไหม้ก่อนหน้านี้ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า ได้รับรายงานตั้งแต่เมื่อวาน (22 เม.ย.) จากอุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งตนได้สั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปดูเรื่องนี้โดยด่วน ซึ่งต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานในพื้นที่ที่ช่วยเข้าไปดับเพลิง โดยเมื่อคืนนี้ (22 เม.ย.) ตนได้รับแจ้งว่าจัดการเปลวเพลิงได้แล้ว

แต่เมื่อเช้าได้รับรายงานอีกครั้งว่ายังมีเปลวเพลิงอยู่ ซึ่งวันนี้ จ.ระยอง จะมีการประชุมอีกครั้ง รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเข้าไปดูเรื่องคุณภาพอากาศ และปริมาณสารเคมีที่ตกค้าง

เมื่อถามถึงความเชื่อมโยงเหตุเพลิงไหม้ระหว่าง 2 พื้นที่ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการทำลายหลักฐานหรือไม่ น.ส.พิมพ์ภัทรา ระบุว่า ที่มีการกล่าวถึงว่าทั้ง 2 พื้นที่มีความเชื่อมโยงกัน เรื่องของเจ้าของโรงงานและการเผาเพื่อทำลายหลักฐาน เรื่องนี้ขอให้รอผลสรุปจากทางตำรวจก่อนดีกว่า

เรื่องนี้เป็นมหากาพย์จริง ๆ ไม่ใช่พื้นที่ใน อ.ภาชี และพื้นที่ จ.ระยอง เท่านั้น รวมไปถึงพื้นที่ จ.ราชบุรี ด้วย ซึ่งได้สั่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบต่อประเด็นนี้ด้วย ต้องนำความจริงมาตอบสังคมให้ได้ มันเป็นจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งต้องลงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาสารตกค้าง ดูคุณภาพอากาศว่ามีผลกระทบต่อประชาชนหรือไม่ รวมถึงน้ำมีการรั่วไหลลงพื้นที่คลองที่อยู่บริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ที่สำคัญที่สุดทราบว่ามีการอพยพผู้ป่วยติดเตียงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว

ส่วนเหตุการณ์นี้ดูมีพิรุธเกิดขึ้นหรือไม่ น.ส.พิมพ์ภัทรา ระบุว่า มีแน่นอน แต่ขอให้ทางตำรวจเป็นผู้สรุปเรื่องของคดี แต่ในส่วนของตัวเองจะดูแลเรื่องของการกำจัดกากสารเคมีที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอยู่ว่าจากนี้ไปการกำจัดกากที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร

ส่วนความคืบหน้าในการกำจัดกากสารเคมีใน อ.ภาชี ได้รับงบกลางที่ ครม.เพิ่งอนุมัติไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วันเนื่องจากอยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง

TasteAtlas จัด 10 อันดับ 'พุดดิ้งข้าวที่ดีที่สุดในโลก' 'ข้าวเหนียวมะม่วง' ของไทย คว้าอันดับ 2 มาครองได้

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.67) TasteAtlas เว็บไซต์รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหารทั่วโลก ได้จัดอันดับ ‘10 Best Rice Puddings’ หรือ 10 พุดดิ้งข้าวที่ดีที่สุดในโลก และได้เผยแพร่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยผลคือ ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ ของไทย ได้รับการจัดอันดับให้เป็นพุดดิ้งที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก

ส่วนอันดับ 1 ในเมนูอาหารประเภทพุดดิ้งข้าว ที่ดีที่สุดในโลก คือ Fırın sütlaç จากตุรกี ด้วยคะแนน 4.4 คะแนน ขณะที่ ข้าวเหนียวมะม่วง ได้รับการจัดอันดับในอันดับที่ 2 ด้วยคะแนน 4.3 คะแนน

นอกจากนี้ทาง Tastes Atlast ยังแนะนำร้านข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นชื่อ ซึ่งได้แก่ ข้าวเหนียวมะม่วงแม่วารี, ซอย 38 และ ก.พาณิชย์ อีกด้วย

สืบนครบาล จับ บัญชีม้าแก๊งหลอกให้กู้ยืมออนไลน์ หลอกมีพัสดุผิดกฎหมาย พบมีหมายจับ 6 หมาย

นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง , พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี  รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฏศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ธีวร์ราธิป ชูดวง สว.กก.วิเคราะห์ฯ,ร.ต.อ.พีระเกียรติ ศิริฤทัยวัฒนา ร.ต.ท.ณรงณ์ศักดิ์ สนิทไทย ร.ต.ท ไพโรจน์ บุรีรักษ์ และเจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ สืบนครบาล จับกุม

นายสมเกียรติ อายุ 32 ปี ภูมิลำเนา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานครหมายจับศาลอาญารัชดา ที่ 4306/2566 ลงวันที่ 22 พ.ย.66 ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน"

โดยจับกุมได้ที่บริเวณ ถนนช่างแสง-วัดพระญาติ จ.พระนครศรีอยุธยา 
ตรวจสอบในฐานระบบข้อมูล พบหมายจับอีก 5 หมาย ดังนี้
1. หมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 403/2566 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของ ประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน,ฉ้อโกงประชาชน”
2. หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 283/2566 ลงวันที่ 7 เมษายน 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันในข้อหาฉ้อโกงประชาชน”
3. หมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 769/2565 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันในข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
4. หมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 669/2565 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันในข้อหาฉ้อโกง,ร่วมกันในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
5. หมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 403/2565 ลงวันที่ 15 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ผู้สนับสนุนในข้อหากระทำความผิดฐานฟอกเงิน”

พฤติการณ์กล่าวคือ แก๊งมิจฉาชีพได้เอาบัญชีของผู้ต้องหาไปหลอกผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ทั้งหลอกให้กู้ยืมออนไลน์แต่ให้ผู้เสียหายค่าธรรมเนียมในการทำสัญญา เมื่อโอนเงินค่าธรรมเนียมเสร็จก็ติดต่อไม่ได้ , หลอกว่ามีพัสดุมีชื่อผู้เสียหายและในพัสดุมียาเสพติดจากนั้นให้ผู้เสียหายโอนเงินบัญชีดังกล่าวไปตรวจสอบ ความเสียหายจำนวนหลายราย บางรายมีหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน แล้วแต่เคส

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับว่า ได้กระทำความผิดจริงโดย ได้ขายบัญชีธนาคารต่างๆ แต่จำเลขบัญชีไม่ได้ ได้ขายไปให้นางชลดา  (ซึ่งปัจจุบันถูกจับกุมไปแล้ว)ซึ่งเป็นเพื่อนของน้า โดยได้ขายไปในราคา บัญชีละ 1,500 บาท ร่วมเป็นเงิน 4,500 บาท จากนั้นได้ตัวผู้ต้องหานำส่ง พงส.สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบนครบาลสืบสวนติดตามคนร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผ่านการหลอกลวงมีหลายรูปแบบ แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขอให้ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อผู้เสียหาย และสำหรับผู้ที่ขายบัญชีธนาคารนั้น ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ระบุว่า เจ้าของบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

การเผยแพร่นี้ เพื่อสาธารณประโยชน์ในการเตือนภัยประชาชน

สืบนครบาล หน่วยงานของประชาชนทุกคน

‘เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า’ ชี้อังกฤษเตรียมเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า แก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนทะลัก

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า (ECST) ชี้อังกฤษเตรียมเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าและขึ้นภาษีบุหรี่ควบคู่กันตั้งแต่ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป เพื่อนำรายได้ภาษีไปหนุนบริการสาธารณสุข และยังคงแรงจูงใจให้ผู้สูบบุหรี่หันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ด้านตัวแทนองค์กรต้านการสูบบุหรี่ ของอังกฤษ ชี้การเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นกำลังสำคัญในการหยุดการทะลักเข้ามาของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับที่ประเทศไทยกำลังประสบอย่างหนักในช่วงนี้

นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือ กลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) และเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 100,000 คน เปิด เผยว่า “ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2569 เป็นต้นไป รัฐบาลอังกฤษมีแผนจะเริ่มเก็บภาษีใหม่จากบุหรี่ไฟฟ้า และเพิ่มอัตราภาษียาสูบ โดยคาดว่าภาษีสรรพสามิตสำหรับบุหรี่ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 120 ล้านปอนด์ (ราว 5,469 ล้านบาท) ในปี 2569 ถึง 2570 และเพิ่มขึ้นเป็น 445 ล้านปอนด์ (ราว 20,282 ล้านบาท) ในปี 2571 ถึง 2572”

นอกจากนี้ Deborah Arnott หัวหน้าผู้บริหารของ Action on Smoking and Health หรือ ASH ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่รณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ได้กล่าวว่า “การเก็บภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือสำคัญของหน่วยจัดเก็บรายได้และกองกำลังป้องกันชายแดนในการหยุดยั้งการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายที่ทะลักเข้าสู่ท้องตลาด เช่นเดียวกับกรณีของผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่การจัดเก็บภาษีช่วยลดการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายได้ถึงร้อยละ 80 ในช่วงปี 2543 ถึง 2564 โดยสามารถปรับขึ้นภาษีจากบุหรี่มวนได้ตราบใดที่บุหรี่ไฟฟ้ายังคงมีราคาถูกกว่าบุหรี่มวน เพื่อสนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อช่วยเลิกบุหรี่และเปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ซึ่งนับเป็นวิธีช่วยเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่อย่างถูกกฎหมายมีอยู่ในปัจจุบัน”

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนเครือข่ายฯ อีกราย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทยเพิ่มเติมว่า “การประกาศจัดเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าแบบใหม่ของอังกฤษในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าด้วยกฎหมายและมาตรการที่มีความชัดเจนแทนการแบน สามารถช่วยควบคุมการทะลักของบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนได้ ขณะที่เม็ดเงินภาษีมหาศาลที่จัดเก็บได้ก็จะถูกนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชนได้อีก”

“นับตั้งแต่มาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าถูกบังคับใช้เมื่อราวสิบปีก่อน บุหรี่ไฟฟ้ากลับไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แต่ไปอยู่ในรูปแบบของบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนที่ทะลักเข้าสู่ประเทศไทยผ่านตลาดใต้ดิน และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะไม่กี่ปีให้หลังมานี้จากข้อมูลการส่งออกของทางการจีนพบว่ามีการส่งออกมายังไทยมากกว่า 1,500 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่ามาตรการแบนนั้นไม่สามารถปิดกั้นบุหรี่ไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศต้องสูญเสียโอกาสในการจัดเก็บรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล รวมถึงโอกาสที่จะควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้พ้นมือเด็กและเยาวชนอีกด้วย”

“แม้การไม่สูบและไม่ใช้ทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้านั้นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อสุขภาพ แต่ความพยายามของรัฐบาลอังกฤษที่ต้องการคงราคาบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกว่าบุหรี่มวน เพื่อสร้างแรงจูงใจด้านการเงินให้ผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนการสูบบุหรี่มวนนั้น เป็นแนวคิดที่สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับความจริงและความพยายามที่จะสร้างประโยชน์ด้านสาธารณสุขในภาพรวมให้แก่ประชาชนเพราะสิ่งที่อันตรายน้อยกว่า ก็ควรถูกเก็บภาษีในอัตราที่น้อยกว่า เพื่อให้มีราคาที่ถูกกว่า และจูงใจให้ผู้สูบบุหรี่เลือกใช้มากกว่า” นายอาสากล่าวทิ้งท้าย
Source: ASH comment on Budget decisions on tobacco and vaping - ASH

กาฬสินธุ์- 'ไทด์' เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ รวมพลัง 'ขุนพลรวงข้าวอีสาน' ช่วยเหลือชาวบ้านเต็มที่

'ไทด์' เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ ประธานกู้ภัยขุนพลอีสาน รวมพลังผู้บริหารสมาคมกู้ภัยฯ อาสากู้ภัย 'สมาคมกลุ่มขุนพลรวงข้าว สายอีสานใต้' จัดประชุมใหญ่ ระดมสรรพกำลังพร้อมช่วยเหลือชาวบ้านทุกสถานการณ์ และเตรียมพร้อมรับมือสาธารณภัยพายุฤดูร้อนอย่างเต็มที่ ตามอุดมการณ์ “เสียสละด้วยใจ เพื่อรับใช้สังคม”

วันที่ 23 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สมาคมกู้ภัยสามัคคีกตัญญูกาฬสินธุ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ได้มีการจัดประชุมใหญ่ของอาสาสมัครกู้ภัย ในนาม “ขุนพลรวงข้าว” โดย “ไทด์” เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ ประธานกู้ภัยขุนพลอีสาน มอบหมาย “ปู่ตูน” หรือนายอำนวยพล ไทยจู นามเรียกขาน 'อีสาน 01' รองประธานกลุ่มขุนพลรวงข้าว เป็นประธานประชุม มีนายชยพล วัชระอุดมกุล นายกสมาคมกู้ภัยสามัคคีกตัญญูกาฬสินธุ์ นามเรียกขาน “อีสานเหนือ 02”  หัวหน้ากลุ่มขุนพลรวงข้าว สายอีสานเหนือ  พร้อมด้วยผู้บริหารสมาคมกู้ภัยฯ  และอาสากู้ภัยจากหลายจังหวัด ในภาคอีสานตอนบนและอีสานใต้ ร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก

'ปู่ตูน' หรือนายอำนวยพล ไทยจู นามเรียกขาน “อีสาน 01” รองประธานกลุ่มขุนพลรวงข้าว กล่าวว่า ในการประชุมใหญ่ “สมาคมกลุ่มขุนพลรวงข้าวสายอีสาน” ครั้งนี้ เพื่อพบปะ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ของแต่ละสมาคม ในนาม “ขุนพลรวงข้าว”  ซึ่งมีสมาคมกู้ภัยในเครือข่ายทุกจังหวัดในภาคอีสานตอนเหนือและตอนล่าง ซึ่งทุกสมาคม และอาสากู้ภัยทุกคน ต่างทำหน้าที่ด้วยจิตอาสา ด้วยความเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน คือหน้าที่และความสุขของพวกเราชาว “ขุนพลรวงข้าว” ทุกคน ทั้งนี้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทาง “ไทด์” เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์” ประธานกู้ภัยขุนพลอีสาน

ด้านนายชยพล วัชระอุดมกุล นายกสมาคมกู้ภัยสามัคคีกตัญญูกาฬสินธุ์กล่าวอีกว่า ในการประชุมครั้งนี้ ทุกสมาคมกลุ่มขุนพลรวงข้าวสายอีสาน ต่างยืนยันศักยภาพของบุคลากร อุปกรณ์กู้ภัยและช่วยเหลือชีวิตที่จำเป็น เครื่องมือสื่อสาร ยานพาหะ จึงมีความพร้อมทุกเมื่อ ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และมีส่วนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการเตรียมความพร้อมรับมือและช่วยเหลือประชาชน กรณีเกิดสาธารณภัยในฤดูแล้ง เช่น ไฟไหม้ ภัยแล้ง ร่วมทั้งที่ประสบภัยพายุฤดูร้อนอย่างเต็มที่ ตามอุดมการณ์ “เสียสละด้วยใจ เพื่อรับใช้สังคม”

อย่างไรก็ตาม ในการจัดประชุมครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจาก สภ.ยางตลาด เทศบาลตำบลยางตลาด ร้าน อ.พิษณุโลกเบเกอรี่ ป้าหวีบ้านอร่ามมงคล นางจันทร์ ภูพิลา บ้านขาม ต.คลองขาม ที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร โต๊ะ เก้าอี้ และอาหาร ให้การประชุมครั้งนี้สำเร็จเรียบร้อยด้วยดี

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อธารน้ำใจผู้มีจิตศรัทธา มอบเงินกว่า 4.7ล้านบาท สงเคราะห์ผู้ป่วยขาดแคลน ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค รวม 71 แห่ง

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ และนายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย คณะกรรมการ ผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธี มอบเงินสงเคราะห์ผู้ป่วยที่ขาดแคลนแก่โรงพยาบาล และหน่วยงานสาธารณสุข ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และ จังหวัดใกล้เคียง จำนวน 36 แห่ง โดยมีผู้แทนแต่ละแห่งเป็นผู้แทนรับมอบ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ 

นอกจากนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยังได้มอบเงินสงเคราะห์ผู้ป่วยที่ขาดแคลนแก่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุข ในส่วนภูมิภาค อีกจำนวน 35 แห่ง โดยได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิและสมาคมจีน ประจำจังหวัดต่างๆ เป็นตัวแทนมอบ รวมงบประมาณการดำเนินการประจำปี พ.ศ. 2567 ทั้งสิ้น 4,704,000 บาท (สี่ล้านเจ็ดแสนสี่พันบาทถ้วน)

กว่า 56 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ดำเนินการมอบเงินสงเคราะห์ผู้ป่วยที่ขาดแคลน อันเป็นหนึ่งในนโยบายหลักในงานสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 เป็นความมุ่งหวัง ช่วยเหลือสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยสงเคราะห์ผู้ป่วยผู้ป่วยที่ขาดแคลนโดยไม่เลือกปฏิบัติ มีโอกาสเข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมอบเงินผ่านโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ ซึ่งแต่ละแห่ง จะมีนักสังคมสงเคราะห์ หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ เป็นผู้พิจารณามอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยที่ขาดแคลน โดยทำรายงานการสงเคราะห์ให้กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทราบทุกเดือน

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สถาบันพระปกเกล้า นำนักศึกษาปกขส.รุ่น 6 ศึกษาการจัดการน้ำจืดน้ำเค็ม ชุมชนสมุทรสงคราม

วันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า โดย นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนัก พร้อมด้วยนักวิชาการ และเจ้าหน้าที่หลักสูตร นำนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ปกขส.) รุ่นที่ 6 ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดสมุทรสงคราม 

โดยเดินทางไปยังชุมชนแพรกหนามแดง จังหวัดสมุทรสงครามลงพื้นที่ศึกษาภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และวิถีชีวิตแห่งสายน้ำ จากนั้น เดินทางไปยัง วิทยาลัยการอาชีพอัมพวา เพื่อรับฟังการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็น “การจัดการน้ำจืดน้ำเค็ม กรณีประตูกั้นน้ำแพรกหนามแดง และการจัดการน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงสุกร” ณ วิทยาลัยการอาชีพอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม 

นอกจากนี้คณะนักศึกษายังลงพื้นที่ศึกษาดูงานประตูกั้นน้ำ การบริหารพื้นที่ของชุมชน  บรรยายโดย นายปัญญา โตกทอง กรรมการลุ่มน้ำเพชรบุรีประจวบ, นายสมศักดิ์ ริ้วทอง กรรมการกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์และสวัสดิการชุมชน ตำบลแพรกหนามแดง และนายประสงค์ สุขศรี ผู้ประสานงานชลประทานตำบลแพรกหนามแดง 

การศึกษาดูงานดังกล่าว มุ่งเน้นให้นักศึกษานำความรู้และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนกับบุคคลจากภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อนำความรู้มาใช้ในการถอดบทเรียนต่อไป

กระบี่-รอง ผวจ.กระบี่ พร้อมด้วย ผอ.ปพ. DSI นำป้ายของกลางปิดทับป้ายบริษัทยึดโรงสกัดน้ำมันปาล์มเป็นของกลางสมบูรณ์  

วันที่ 22 เมษายน  2567 พันตำตรวจตรีสุทศวรรศ อารีย์รัตนะนคร  ผู้อำนวยการกองปฎิบัติการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ  ผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมด้วย นายอนุวรรตน์   โหมดพริ้ง  รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่   นำป้าย  ข้อความ”ของกลางในคดีพิเศษที่ 56/2566” ปิดทับป้ายบริษัท ยึดโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มคลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่  สมบูรณ์  โดยมีการสนธิกำลังระหว่าง หน่วยปฎิบัติการพิเศษ ของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ  ตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 426 กระบี่  สั่งการโดย พ.ต.ท.ก้องภพ โพธิ์แสน  ผู้บังคับกองร้อย ต.ช.ด 426 กระบี่  นาวาโทอดิเรก สาทำ  รองผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน 2 กองพลนาวิกโยธิน  กองทัพเรือ  เจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิ์การและคุ้มครองแรงงาน  วิศวกรโรงงาน สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ นายเติมศักดิ์  เสี่ยมไหม  ผู้อำนวยการนิคมสหกรณ์อ่าวลึก อ.ปลายพระยา  จ.กระบี่  นางจันทิมา  ชตาญาณ ผู้อำนวยการนิคมสหกรณ์คลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ผู้จัดการไฟฟ้าภูมิภาค กระบี่  นิติกรสำนักงานยุติธรรมจังหวัดกระบี่ นายนิติกร  สำนักงานสวัสดิ์การแรงงานจังหวัดกระบี่  พันตำตรวจตรีจตุพล  บงกชมาศ  ผู้อำนวยการกองปฎิบัติการคดีพิเศษภาค ร้อยตำรวจเอกชาญณรงค์  ทับสาร รองผู้อำนวยการกองปฎิบัติการคดีพิเศษภาค  หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่ 56/2566 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษใช้อำนาจตาม มาตรา 24 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ  บุกเข้าควบคุมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มคลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่

ซึ่งเป็นของกลางในคดีพิเศษที่ 215/2565 ควบคุมสั่งหยุดการเดินเครื่องจักรกลสายการผลิตสกัดน้ำมันปาล์มที่บริษัทกระบี่วิเศษน้ำมันปาล์ม จำกัด กำลังเดินเครื่องจักรผลิตน้ำมันปาล์มตามอำนาจของอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ที่อนุญาตให้บริษัทกระบี่วิเศษน้ำมันปาล์ม จำกัด  ใช้ของกลางโรงงาน มาตั้งแต่ 4 สิงหาคม 2565  โดยมีวิศวกรโรงงาน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องจักรกล จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ ร่วมตรวจสอบเครื่องจักรกลของกลางทุกชิ้น  ที่ประกอบกันเป็นโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีฐานข้อมูลว่า  เป็นโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่ดีที่สุดของประเทศ  เนื่องจากเครื่องจักรกลทั้งหมดถูกนำเข้าจากต่างประเทศในห้วงเวลาที่มีการก่อสร้างโรงงานแห่งนี้  และ พันตำรวจตรีจตุพล  ได้มีหนังสือที่ ยธ 0817/3049  ถึง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระบี่วิเศษน้ำมันปาล์ม จำกัด ผู้ใช้ของกลางให้ เตรียมโรงงานให้อยู่ในสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ ภายในวันที่ 21 เมษายน 2567 เพื่อการส่งมอบของกลางในครั้งนี้ 

ร้อยตำรวจเอกชาญณรงค์  กล่าวว่า การสนธิกำลังในวันนี้เพื่อที่จะต้องการควบคุมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มให้นิ่ง และเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับของกลางในคดีพิเศษเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงยุติธรรม ที่ออกโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 และ เนื่องจากตนได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่ 56/2566 หลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่ 215/2565 สืบสวนสอบสวนพบการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส)และอดีตเจ้าหน้าที่ธกส.ร่วมกันทุจริต ทำให้ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ ธกส.และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะเจ้าหนี้  ได้รับความเสียหาย จึงส่งสำนวนการสอบสวนไปยัง ป.ป.ช.ตามกรอบกฏหมายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  และหลังจากที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ประชุมพิจารณาสำนวนแล้วมีความเห็นส่งกลับมาให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีตนจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีพิเศษที่ 56/2566 หลังจากที่ใช้เวลาสืบสวนสอบสวนตามพยานหลักฐานและการอนุญาตให้ใช้ของกลางซึ่งเป็นโรงงานและส่วนควบร่วม 17 รายการแล้ว  ที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษคดีนี้ได้มีมติให้ รับของกลางจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 215/2565 ซึ่งหลังจากควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว คณะพนักงานสอบสวนจะร่วมประชุมกันอีกครั้งว่า จะดำเนินการต่อไปอย่างไรกับของกลางที่เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของสมาชิกสหกรณ์ชาวสวนปาล์มกว่า 50,000 ราย 

“หลังจากนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 56/2566 จะแยกกันปฎิบัติการสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำความผิดทั้งหมดมาเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 56/2566 จะเร่งสรุปสำนวนคดี  รายงาน คณะกรรมการ ป.ป.ช.และจะรีบส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดโดยด่วนที่สุดตามนโยบายเร่งคดีของ พันตำรวจเอกทวี  สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  และการบริหารคดีของ พันตำรวจยุธนา  แพร่ดำ รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกับการอำนวยความเป็นธรรมและสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนของ ร้อยตำรวจเอกปิยะ รักษ์สกุล  รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ”ร้อยตำรวจเอกชาญณรงค์กล่าว....
กระบี่///ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top