(9 ก.พ. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชี้แจงกรณีการก่อสร้างศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางโฉมใหม่ ที่วิจารณ์ว่าค่าก่อสร้างสูงเกินความเป็นจริง ว่า กทม. มีที่หยุดรถประจำทาง 5,601 แห่ง แต่มีศาลาที่พักผู้โดยสารเพียง 2,520 แห่ง คงเหลือเต็นท์ชั่วคราวกว่า 3,000 แห่ง จึงมีความจำเป็นต้องก่อสร้างเพิ่มเติม โดยไม่ได้รื้อศาลาที่มีอยู่เดิม โดยการก่อสร้างต้องรื้อฟุตปาธออก เชื่อมต่อสาธารณูปโภคใต้ดิน เดินสายไฟเพิ่ม และก่อสร้างเฉพาะเวลากลางคืน เพื่อไม่ให้กีดขวางการสัญจร
โดยประเด็นค่าก่อสร้างราคาแพง นายชัชชาติ กล่าวว่า เป็นราคากลาง สามารถตรวจสอบได้ และทำตามระเบียบขั้นตอนของทางราชการ ชี้แจงได้ว่าก่อสร้างอย่างไร ฐานรากเท่าไหร่ มีการประกาศขึ้นเว็บไซต์ให้ผู้เข้าร่วมประมูลแข่งขัน ระหว่างขั้นตอนการจัดทำทีโออาร์ก็ไม่มีผู้ใดร้องเรียน แม้จะเปิดกว้างแต่ไม่ค่อยมีใครมาประมูล เพราะเป็นงานยาก พื้นที่อยู่กระจัดกระจายห่างกัน ซึ่ง กทม.ไม่ได้ปิดกั้น ผู้ประกอบการรายใดที่เคยทำงานก่อสร้างมูลค่าประมาณหลักล้านบาท ไม่ว่าเป็นของส่วนราชการหรือเอกชน ก็สามารถประมูลเข้ามาได้ ตอนนี้ก็เพิ่งทำไปได้ไม่กี่แห่ง ถ้าใครบอกว่าทำราคาได้ถูกกว่าแล้วก็เชิญเลย 6-7 หมื่นบาทก็ดีเลย ช่วยประหยัดได้อีก ตนยิ่งดีใจ เชิญมาร่วมประมูลได้เลย
ขณะที่ประเด็นความสวยงาม นายชัชชาติ กล่าวว่า ศาลาที่พักผู้โดยสารไม่ได้ทำได้ง่าย ต้องไม่เป็นพื้นที่ปิดล้อม วีลแชร์ต้องผ่านได้ คนใช้ทางเท้าเดินสะดวก กันแดดกันฝนได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถปิดกั้นด้านข้างได้ เพราะต้องให้วีลแชร์ผ่านได้ ถ้าความสวยงามก็ยังดีกว่าในจุดเดิมที่ไม่มีร่มเงา หรือเป็นเต็นท์ การออกแบบเกิดจากห้องทดลองเมือง (CITY LAB) มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มาช่วยออกแบบ มีการจัดทำใน 2 รูปแบบ คือ Type M มี 3 ที่นั่ง และ Type L มี 6 ที่นั่ง ปรับใช้ตามความเหมาะสมของขนาดพื้นที่ เน้นประโยชน์ใช้สอย ไม่บดบังอาคารพาณิชย์ ซึ่งป้ายรถเมล์ทั่วประเทศ ก็พยายามออกแบบมาให้เรียบง่ายที่สุด อย่างไรก็ตาม ยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกคน สามารถแนะนำเรื่องการออกแบบมาได้
ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมไม่ให้เอกชนก่อสร้าง นายชัชชาติ กล่าวว่า หลายปีก่อนหน้านี้มีเอกชนมาทำให้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฟรี บริษัทเอกชนมาช่วยปรับปรุงป้ายรถเมล์ที่มีอยู่เดิม 350 แห่ง และช่วยบำรุงรักษา 341 แห่ง รวม 691 แห่ง ซึ่งเป็นการปรับปรุงดูแล ไม่ได้เป็นการสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ เอกชนมาทำให้ แต่แลกกับการใช้พื้นทางเท้าติดตั้งป้ายโฆษณารูปแบบป้ายสี่เหลี่ยม (แท่งไอติม) จำนวน 1,170 ป้ายทั่ว กทม. เป็นระยะเวลา 10 ปี ที่บอกว่าทำไมไม่ให้เอกชนทำฟรี ก็ต้องแลกกันกับการติดป้ายโฆษณา เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเก่าแล้ว ไม่อยากพูดอะไร มันมีที่มาที่ไป ถามว่าจะอยากแค่ให้ไปติดป้ายโฆษณาเพิ่ม ตนก็ไม่อยากให้ติดเพิ่ม เพราะจะดูเลอะเทอะมากขึ้นไปอีก
"ถ้าคนที่บอกว่าราคาแพงไป ก็มาช่วยกันทำราคาให้ถูกลงยิ่งดีเลย เราไม่ได้ปิดกั้นอะไร แล้วตอนที่เราให้ทำ ประชาพิจารณ์ก็เสนอแนะมาได้เลย แต่ทุกอย่างก็ได้ทำตามระเบียบอยู่แล้ว ศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะ จะต้องมีความแข็งแรงมั่นคง ถ้าเกิดมันล้มทับคนมันก็มีความผิด มันมีเรื่องปัจจัยเสี่ยงในการทำงาน สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ช่วยกันแนะนำเข้ามา เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกแล้ว ป้ายรถเมล์ทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร มีทั้งหมดอยู่ 5,601 แห่ง เป็นป้ายที่เป็นศาลาที่พักฯเพียง 2,520 แห่ง เอกชนรับไปดูแลปรับปรุง 350 แห่ง ไม่ได้สร้างใหม่ ป้ายที่เป็นเต็นท์ชั่วคราว 3,000 แห่ง เราไม่ได้รื้อของเก่าออกไป แต่เราสร้างขึ้นใหม่ ส่วนเรื่องป้ายโกโรโกโส อยู่ที่คนมอง แต่ละคนอาจจะมองไม่เหมือนกัน อาจจะเทียบกับแบบเก่าแบบใหม่ แต่เชื่อว่ามันก็ดีกว่าไม่มี แล้วก็อย่างที่บอกว่าเราไปออกแบบให้มันปิดกั้นไม่ได้ บางทีวีลแชร์ต้องผ่าน ที่นั่งแล้วก็ทำเป็นที่ที่ยาวไม่ได้ เพราะว่าเราก็กลัวคนจะมานอน ก็ต้องทำเป็นที่นั่ง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้กันทั่วโลก ทั้งหมดนี้เราก็ชี้แจงให้รับทราบถึงการปรับปรุงศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง" นายชัชชาติ กล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้ สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. ได้ติดตั้งศาลาที่พักผู้โดยสารรูปแบบใหม่ มี 2 รูปแบบ คือ Type M ขนาด 2.3 x 3 เมตร มีจำนวน 3 ที่นั่ง และ Type L ขนาด 2.3 x 6 เมตร มีจำนวน 6 ที่นั่ง โดยในปีงบประมาณ 2566 ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 หลัง ปีงบประมาณ 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 60 หลัง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 หลัง และปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง 300 หลัง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ กลายเป็นที่วิจารณ์ว่าแม้จะดูดีแต่ใช้ประโยชน์หลบแดดหลบฝนไม่ได้ ไม่เหมาะกับภูมิอากาศประเทศไทย สู้ศาลาริมทางแบบเดิมไม่ได้ อีกทั้งที่นั่งมีจำนวนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับคนรอรถเมล์เยอะ
ทำให้นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กทม. ได้ดำเนินการ 2 รูปแบบ คือ Type M แบบ 3 ที่นั่ง ราคาประมาณหลังละ 230,000 บาท และ Type L แบบ 6 ที่นั่ง ราคาประมาณหลังละ 320,000 บาท งบประมาณที่ใช้ดำเนินการก่อสร้างครอบคลุมงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค งานฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก งานหลังคา Metal sheet งานรางน้ำ งานม้านั่ง งานระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายใน และงานบรรจบไฟฟ้าสาธารณะกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น ราคาค่าก่อสร้างศาลารถโดยสารรูปแบบใหม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเมื่อประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ราคาจึงต่ำลงอีก
นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่มทั้งผู้รอรถโดยสาธารณะและผู้ใช้งานทางเท้า ด้วยแนวคิด ‘ศาลารอรถเมล์ใหม่สำหรับทุกคน’ จึงออกแบบใหม่รองรับการใช้งานของผู้พิการ (Universal Design) มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนด้วยหลังคาขนาดใหญ่และแผ่นอะคริลิกใสด้านหลัง มีพื้นที่นั่งคอยเหมาะสม สวยงามกลมกลืน ไม่บดบังทัศนียภาพ ไม่สร้างจุดอับสายตา ที่สำคัญ คำนึงถึงการประหยัดพื้นที่ทางเท้า ไม่กีดขวางทางเดิน กระทบผู้ใช้งานทางเท้า การก่อสร้างแต่ละจุดจึงจำเป็นต้องรัดกุมเกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดินและแนวหน้าร้านของเอกชน ซึ่งล้วนมีรายละเอียดและข้อจำกัดที่แตกต่างกันและต้องใส่ใจอย่างมาก
“รถโดยสารสาธารณะเป็นรูปแบบการเดินทางหลักของคนกรุงเทพมหานคร รวมถึงผู้มีรายได้น้อยและนักเรียน-นักศึกษา ปัจจุบันมีการใช้งานมากกว่า 7-9 แสนเที่ยวต่อวัน การพัฒนาศาลารอรถเมล์เป็นหนึ่งในหัวใจในการดึงดูดให้ประชาชนใช้รถโดยสารสาธารณะ ควบคู่การเพิ่มป้ายหยุดรถโดยสารในจุดที่ขาด และการบอกข้อมูลการเดินทางและระยะเวลารอรถโดยสาร ซึ่งอยู่ระหว่างการขอข้อมูล GPS รถโดยสารสาธารณะจากกรมการขนส่งทางบกอีกด้วย” นายสิทธิพร กล่าว