Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

รัฐบาลชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 เล็งใช้งบ 1.57 แสนล้านไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแทน

(19 พ.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องให้ชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟส 3 ไว้ก่อน พร้อมพิจารณานำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทไปใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า งบประมาณที่ตั้งไว้จะนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบน้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร คมนาคม รถไฟความเร็วสูง และการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีและสร้างงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ชะลอเพราะงบไม่พอ แต่เป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป มีข้อจำกัดมากขึ้น จึงต้องทบทวนการใช้งบให้เหมาะสม โดยยังไม่ตัดทิ้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสถานการณ์เอื้ออำนวยในอนาคตก็สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้

รัฐบาลย้ำว่าการตัดสินใจครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กระตุ้นการจ้างงาน และใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด

นายกฯ รับรายงานอินโดฯจับเรือประมงขนยาเสพติด ด้าน ศรชช. ยันเรือ 'Aungtoetoe99' ไม่ใช่เรือไทย

นายกฯ รับทราบรายงานเรือประมง ‘Aungtoetoe99’ โดนจับขนยาเสพติดที่อินโดฯ ศรชล. ยันไม่ใช่เรือไทย ย้ำรัฐบาลร่วมมือกับทุกประเทศจัดการกับผู้กระทำความผิดในทุกมิติ

(19 พ.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ได้รับรายงานจาก พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศรชล. และ พลเรือตรีจุมพล นาคบัว โฆษก ศรชล. ว่า ตามที่มีข่าวกองทัพเรืออินโดนีเซียจับกุมเรือประมงต่างชาติที่ลักลอบขนยาเสพติด จำนวน 1.9 ตัน ในเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ได้ประสานศูนย์ข่าวสารทางทะเล และศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ

โดยได้รับแจ้งจากสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอินโดนีเซียว่าเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 68 กองทัพเรืออินโดนีเซีย ได้เข้าจับกุมเรือประมงต่างชาติชื่อ Aungtoetoe99 ตามข่าวสื่อมวลชนในอินโดนีเซีย รายงานข่าวอ้างว่าเป็นเรือประมงไทย ในเขตน่านน้ำ Salat Durian หมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซีย และค้นพบยาเสพติด 1.9 ตัน มูลค่า 428 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (USD) และจับกุมผู้ควบคุมเรือ โดยกล่าวอ้างว่าเป็นชาวไทย 1 คน ลูกเรือชาวเมียนมา 4 คน ทุกคนไม่มีเอกสารประจำตัว

นายกรัฐมนตรีได้รับรายงาน จากศูนย์ปฏิบัติการของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศปก.ศรชล.) ซึ่งได้ตรวจสอบฐานข้อมูลเรือประมงไทยแล้ว ไม่ปรากฏชื่อเรือดังกล่าวอยู่ในระบบข้อมูลเรือประมงของไทย จึงได้ประสานการตรวจสอบกับหน่วยงานต่างประเทศ และหน่วยงานภายในประเทศ ว่าเรือประมงดังกล่าวมีสัญชาติใด และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาร์กาตา กำลังประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ อินโดนีเซียว่าผู้ควบคุมเรือเป็นชาวไทยจริงหรือไม่ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนเรื่องสัญชาติของไต้ก๋งเรือ เพราะกรมข่าวทหารของไทยค้นหาชื่อ “บ่าวพร กิ่งแก้ว” ในระบบทะเบียนราษฎร์ไม่พบ ว่ามีการจดทะเบียนแต่อย่างใด และล่ามแจ้งข้อมูลมาว่า ไต้ก๋งให้การว่าเกิดที่เมียนมา มีพ่อหรือแม่เป็นคนเมียนมา แต่พักอาศัยอยู่ที่ระนอง โดยมีบัตรประชาชนของทั้งเมียนมาและไทย

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดต่อการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและแรงงานภาคการประมง (IUU Fishing) โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนยาเสพติด การค้ามนุษย์ จะดำเนินการตามกฎหมายโดยขั้นเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น เพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นฐานในการกระทำความผิดทางทะเล และจะร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อสกัดกั้นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ประโยชน์จากช่องทางทางทะเลอย่างเข้มงวด” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ

‘แอนนี่ บรู๊ค’ ย้อนเล่าเรื่องราวแห่งโอกาสในชีวิต หลังได้รับทุนเรียนต่อใน รร.เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์

เมื่อวันที่ (18 พ.ค. 68) แอนนี่ บรู๊ค ดารานักแสดง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตว่า แอนเคยได้รับทุนจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ไม่ใช่แค่ทุนการศึกษา แต่คือแสงสว่างในอุโมงค์มืด ในวันที่โลกยังไม่เท่าเทียม และแอนโชคดีที่ได้อยู่ในแสงสว่างนั้น โอกาสนี้หล่อหลอมให้แอนเติบโตและเดินบนเส้นทางที่ควร

“ขอบคุณที่เคยเชื่อในเด็กคนหนึ่ง... ที่วันนี้ยังไม่ลืมคุณค่าของโอกาสนั้นเลยค่ะ”

แอนนี่ ยังบอกเพิ่มเติมว่า เดิมโรงเรียนแห่งนี้ชื่อว่าโรงเรียนเซนต์ปอลเดอร์ชาร์ท และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ หรือ อร.  โดยแอนเป็นนักเรียนรุ่นที่ 1 รุ่นบุกเบิกโรงเรียน ผู้ดูแลเป็นมาเซอร์ อยู่ในศาสนาคริสต์คาทอลิก แต่ไม่ว่าจะศาสนาไหนทุกคนอยู่ที่นี่เท่าเทียมกันหมด

พร้อมทั้งได้ยกย่องครูที่นำทางแสงสว่าง มีชื่อว่า ครูสมัย วิไลศักดิ์ โดยครูเป็นคนไปขอแม่ว่าเด็กมันเรียนดีเป็นเด็กดี ครูขอนะ เพราะในตอนนั้นแม่กำลังจะส่งแอนไปทำงานเป็นแม่บ้านในกรุงเทพฯ ครูจึงบอกว่า ขอให้เด็กได้ไปเรียนต่อ 

“หนูไม่รู้ว่าตอนนี้ครูสมัยอยู่ไหน แต่หนูซาบซึ้งในพระคุณมากๆค่ะ”

‘วิว’ กุลวุฒิ ตั้งเป้าป้องกันแชมป์โลก หลังซิวแชมป์ไทยแลนด์ โอเพน สมัยที่ 2

เมื่อวันที่ (18 พ.ค. 68) ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 2 ของโลก เอาชนะ แอนเดอร์ส แอนทอนเซน มือ 3 ของโลกจากเดนมาร์ก ไปอย่างสนุก 2-1 เกม 21-16, 17-21, 21-9 ในรอบชิงชนะเลิศแบดมินตันไทยแลนด์ โอเพน 2025 ที่อาคารนิมิบุตร คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2 หลังเคยทำได้เมื่อปี 2023

แม้ก่อนหน้านี้วิวจะมีสถิติเป็นรอง โดยชนะคู่ปรับรายนี้เพียงครั้งเดียวจาก 7 หน และแพ้มาตลอด 4 เกมหลังสุด แต่ด้วยฟอร์มและเสียงเชียร์จากแฟนๆ เจ้าตัวสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าแชมป์ พร้อมรับเงินรางวัล 1,170,000 บาท และถือเป็นแชมป์รายการที่ 3 ของเจ้าตัวในปีนี้ ต่อจากอินโดนีเซีย มาสเตอร์ และแบดมินตันชิงแชมป์เอเชีย

เจ้าวิวเปิดเผยหลังจบเกมว่า แม้จะเป็นแมตช์ที่กดดัน แต่แรงเชียร์ของแฟนแบดฯ ไทย ช่วยเติมพลังให้สู้จนคว้าชัยได้ พร้อมตั้งเป้าสำคัญคือการป้องกันแชมป์โลกที่จะจัดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ให้ได้อีกสมัย แม้รู้ดีว่าเป็นงานยากแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด

ผู้ว่าฯ สงขลา พร้อม วปอ.66 สร้างสะพานบุญสู่ท้องถิ่น ร่วมทอดผ้าป่า-มอบทุนช่วยเด็กเปราะบาง พัฒนาวัดสุวรรณคีรี

เมื่อวันที่ (18 พ.ค. 68) นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นำคณะนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 66 กลุ่มนกเค้าแมว จัดกิจกรรม CSR ณ วัดสุวรรณคีรี ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยมีพิธีทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำรายได้ไปพัฒนาวัดและส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น

ภายในงานมีการมอบสิ่งของและเงินช่วยเหลือให้กับนักเรียนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ รวมถึงการแจกเครื่องกรองน้ำ เสื้อกีฬา และเงินสงเคราะห์แก่เด็กในครอบครัวยากจน 30 ราย รวมเป็นเงิน 90,000 บาท โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่

สำหรับยอดเงินจากการทอดผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้ มียอดเบื้องต้นอยู่ที่ 322,375 บาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการบูรณะและพัฒนาสิ่งปลูกสร้างของวัดสุวรรณคีรี ให้เป็นศูนย์รวมจิตใจและสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาในชุมชนต่อไป

ทั้งนี้ วัดสุวรรณคีรีเป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาวสงขลา ก่อตั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และยังคงเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นมาจนถึงปัจจุบัน

‘กรณ์’ คาใจผู้ว่าฯ กทม. พยายามแก้ กม. เอื้อสร้างตึกสูง ลั่น!! อย่าเอาใจ ‘นายทุนอสังหาฯ’ ให้มากเกินไป

(18 พ.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

การทำงานของ กทม. แถวบ้านผม หลายวันที่ผ่านมา กทม. สร้างความประทับใจในการทำงานอยู่หลายงานครับ

1. ปรับปรุงกระจกจราจรในมุมอันตรายภายใน 2 วันจากที่ชาวบ้านแจ้งไปทาง  traffy fondue

2. มาลอกคลอง 2 วันก่อนฝนตกหนัก (โดยไม่มีใครร้องขอ) คลองนี้เป็นคลองระบายนํ้าสำคัญจากสาทรผ่านไปออกเจ้าพระยา และกลายวันที่ผ่านมาที่ฝนตกหนักมากนํ้าระบายออกอย่างดี

3. ซ่อมใหญ่ท่อระบายนํ้าในซอยเย็นอากาศ 3  ด้วยระบบการทำงานที่ดีมาก คือ ขุด-ปรับปรุงจนเสร็จทีละจุด ไล่ไปตามซอย ขณะนี้มาถึงท่อกลางซอย แต่ช่วงต้นซอยที่ขุดไปก่อนได้มีการปรับปรุงและซ่อมคืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำงานเร็ว เท่าที่เห็น มีคนงานทำอยู่ทุกวัน

ผมไม่รู้จริงๆว่างานเหล่านี้สำนักงานเขต (ยานนาวา) เขาทำกันเอง หรือเป็นนโยบายหรือการกำกับของท่านผู้ว่าฯ แต่เมื่องานดี ผมขอชม เพราะพองานไม่ดี ทั้งผู้ว่าฯ (ทุกยุค) และเจ้าหน้าที่ กทม. จะมีคนพร้อมด่าเสมอ

อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ผมยังคาใจกับท่านผู้ว่าเสมอคือเรื่องความพยายามแก้กฎหมายเพื่อเอื้อการสร้างตึกสูง และเพื่อลบล้างความผิดที่สำเร็จแล้ว

กทม. หลายยยุคที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยเรื่องการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย บางครั้งศาลพิพากษาแล้ว แต่ กทม. ก็ไม่มีการดำเนินการตามคำสั่งศาล ประชาชนเสียเปรียบเพราะเมื่อสร้างไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

เรื่องงานจิปาถะสำคัญ แต่เรื่องผังเมือง เรื่องกฎหมาย และเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เอาใจนายทุนอสังหาเกินไปก็สำคัญมากครับ หากผู้ว่ามีความชัดเจนเรื่องนี้จะดีมาก

‘รองเลขานายกฯ’ ชี้เป้า!! เครือข่าย ‘เว็บพนัน’ เตรียมส่งข้อมูล ‘ผบ.ตร.-บช.ก.’ ลุยล้างบาง

(18 พ.ค. 68) นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ถูกดำเนินคดีฐานยักยอกเงินวัด เพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ ว่า เรื่องพนันออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่เข้าไปถึงทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนของสังคม นำไปสู่อาชญากรรมต่างๆตามมาอย่างที่ได้เห็นกัน ปัญหานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างมาก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

นายณณัฏฐ์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ตนได้รับมา พบว่า กลุ่มทุนพนันออนไลน์ในประเทศไทย นอกจากเว็บไซต์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศอย่างเครือข่าย UFA888 แล้ว ก็ยังมีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์อื่นๆที่แฝงตัวอยู่ตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อแตกต่างกันไป และเนื่องจากเป็นการกระทำผิดในรูปแบบออนไลน์ จึงทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับพื้นที่ที่จะปราบปรามให้เด็ดขาด เพราะเคยสั่งปิดไป ก็กลับมาเปิดได้อีกด้วยชื่อใหม่ ลำพังทรัพยากรของตำรวจในพื้นที่อาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับส่วนกลางด้วย

“ตนจะนำข้อมูลที่ได้รับมา ไปประสานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบเชิงลึกและมีขอบเขตอำนาจการทำงานครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งแรงในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด และต้องให้ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนได้เสีย” นายณณัฏฐ์ กล่าว

นายณณัฏฐ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการจะทำให้การพนันออนไลน์หมดไปจากสังคม หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถดำเนินการได้เองโดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงานภาครัฐ ถึงจะเห็นผล และที่สำคัญ ต้องทำอย่างเด็ดขาด จริงจังตามที่นายกฯ สั่งการลงมา ไม่เช่นนั้นก็เหมือนการลูบหน้าปะจมูก ผลร้ายจะตกอยู่กับพี่น้องประชาชน 

‘ดร.สุวินัย’ เผย!! วิกฤตเด็ก Gen Z ในยุคดาต้านิยม ชี้!! พ่อแม่เขียนโปรแกรม ทำให้เด็กเปราะบาง

(18 พ.ค. 68) ศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

หากเด็กไทยสมัยนี้โตขึ้นมา โดยไม่เคยได้วิ่งเล่นล้มเข่าถลอก ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีต้นไม้ให้ปีน

มีแต่เพียงหน้าจอมือถือหรือแทบเลตที่คอยบอกว่าใครชอบเขา ใครลืมเขา และเขาดีพอหรือยัง

หากเป็นแบบนี้ จงรู้ไว้เถิดว่า เราไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูก เรากำลัง “เขียนโปรแกรมของเด็ก” ใหม่ทั้งระบบ!

และผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "เด็กไทยสายพันธุ์ใหม่" ที่วิตกกังวล สับสน และเปราะบางกว่าทุกยุคก่อนหน้านี้มาก

เด็กในยุคดาต้านิยม (dataism) ต่อจากนี้ คงต้องเติบโตในโลกที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์มาก่อน

1. คลื่นแห่งความทุกข์ที่โหมกระหน่ำแต่วัยเยาว์

เด็กยุคก่อนเคยเติบโตท่ามกลางจักรยาน เพื่อนบ้าน และลานดิน

แต่เด็ก Gen Z เติบโตท่ามกลางฟีดที่ไม่มีวันจบ การแจ้งเตือนที่ไม่เคยหลับ และภาพเปรียบเทียบตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือ “ดาวอังคาร” สำหรับวัยรุ่น เป็นพื้นที่ใหม่ที่พัฒนาการมนุษย์ยังไม่เคยถูกทดสอบ ไม่มีระบบนิเวศทางอารมณ์ที่เข้าใจได้ และไม่มีผู้ใหญ่คนไหนรู้วิธีอยู่รอดจริง ๆ

และผลลัพธ์ก็คือเกิดการ “การเขียนโปรแกรม” วัยเด็กครั้งใหญ่ที่ทำให้ อัตราความเครียด ความซึมเศร้า และการทำร้ายตัวเองของวัยรุ่นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปี 2010–2015

2. โลกออนไลน์เปลี่ยนวัยเด็กไปตลอดกาล

จุดเริ่มต้นของวิกฤตคือช่วงต้นทศวรรษ 2010 ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญ 3 อย่าง:

2.1 การระบาดของสมาร์ตโฟน – เมื่อไอโฟน 4 เปิดตัวในปี 2010 พร้อมกล้องหน้า โลกแห่ง “เซลฟี่” ก็เริ่มต้น

2.2 การครองเมืองของโซเชียลมีเดีย – การมาถึงของ “ปุ่มไลก์” และ “แชร์” ใน Facebook และ Instagram เปลี่ยนพฤติกรรมออนไลน์ให้กลายเป็นสนามประลองการยอมรับ

2.3 การลดลงของการเล่นนอกบ้าน – การเลี้ยงลูกแบบ Overprotective และการหายไปของ “play-based childhood” ทำให้เด็กไม่มีพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อฝึกใจ ฝึกสังคม

เด็กยุคนี้จึงต้องโตในโลกที่มี “หน้าต่างพลังงาน” ส่งสารพลังทำลายสมองเข้าสู่ตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีใครเตือนพวกเขาว่ามันอันตรายแค่ไหน

3. โรคทางใจที่พุ่งไม่หยุด

ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อัตราโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 150% โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิงวัย 10–14 ปี ที่อัตราทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 300% ในหนึ่งทศวรรษ

นี่ไม่ใช่เพียงการรายงานความรู้สึก (self-reporting) เท่านั้น แต่สะท้อนผ่านข้อมูล:

อัตราการเข้าห้องฉุกเฉิน ด้วยการทำร้ายตัวเอง (Emergency Room Visits for Self-Harm)

อัตราการฆ่าตัวตาย ในวัยรุ่นอายุ 10–14 ปี ที่พุ่งขึ้นตั้งแต่ปี 2012

การใช้ยาและการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้า ในระดับวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่สำคัญ เด็กผู้ชายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้จะชัดเจนน้อยกว่าก็ตาม

4. ความแตกต่างระหว่าง “ความกลัว” กับ “ความวิตกกังวล”

ความกลัว (fear) คือการตอบสนองต่อภัยอันตรายจริงในปัจจุบัน ส่วนความวิตกกังวล (anxiety) คือ การคาดการณ์ภัยที่ยังมาไม่ถึง... และไม่แน่ว่าจะมาด้วยซ้ำ

แต่เมื่อสมองของวัยรุ่นถูกฝึกให้ “สแกนหาอันตราย” ตลอดเวลา ผ่านโพสต์ ติ๊ดแจ้งเตือน ไลก์ที่หายไป — อะไร ๆ ก็กลายเป็นภัย ทั้งคำพูดของเพื่อน รูปร่างตัวเอง หรือแม้แต่การถูก “อ่านแล้วไม่ตอบ”

ระบบประสาทถูกรีไวร์ให้ตื่นตลอดเวลา — กลายเป็น โหมดเอาตัวรอดทางสังคมถาวร (Chronic Social Survival Mode)

5. เด็ก Gen Z ไม่ได้ซึมเศร้าเพราะโลกร้อน... แต่เพราะ “อยู่คนเดียว”

มีคำอธิบายมากมายที่พยายามจะโยนปัญหาไปที่ "สภาพโลก":

ความขัดแย้งทางการเมือง

ภัยโลกร้อน

โรคระบาด COVID-19

สภาพเศรษฐกิจ

แต่จริง ๆ แล้ว... สาเหตุเหล่านี้ “ไม่ตรงกับไทม์ไลน์” ของวิกฤตสุขภาพจิตเลย

วิกฤตปี 2008 ไม่ทำให้เด็กยุคมิลเลนเนียลเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่แรงที่สุดเกิดในปี 2012–2013 — ไม่ใช่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

ถ้าโลกแย่ลงจริง ๆ เด็กควรจะ “รวมพลัง” สู้ภัย ไม่ใช่แยกตัวจนซึมเศร้า

สิ่งที่ต่างออกไปในยุคนี้คือ... วัยรุ่นไม่ได้ออกไปประท้วง แต่เลื่อนนิ้วดูชีวิตคนอื่นที่ดูดีกว่าตัวเองตลอดเวลา

6. “พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกโตบนโทรศัพท์... แต่เหมือนไม่มีทางเลือก”

เสียงจากพ่อแม่ทั่วอเมริกา:

พ่อแม่ที่เห็นลูกสาวเปลี่ยนไปหลังใช้ Instagram และฟื้นคืนตัวตนเมื่อได้ไปแคมป์ไร้โทรศัพท์

พ่อที่เห็นลูกชายที่เคยร่าเริง กลายเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นเกม และหงุดหงิดเมื่อโดนห้าม

ความรู้สึกหลักของพ่อแม่เหล่านี้คือ…

“เราสูญเสียลูกของเราไปให้โลกที่เราเข้าไม่ถึง นี่เป็นโลกที่เราไม่มีสิทธิ์ควบคุม”

ผลลัพธ์คือ ‘ลูกโดดเดี่ยว’

7. The Great Rewiring: จุดเริ่มต้นของวัยรุ่นดาวอังคาร

การรีไวร์ครั้งใหญ่ของวัยเด็กเริ่มต้นขึ้นระหว่างปี 2010–2015

จากวัยเด็กที่เต็มไปด้วย “การเล่นเสี่ยงภัย” และ “การลองผิดลองถูก” สู่วัยเด็กที่ต้องสแกนฟีด สร้างแบรนด์ตัวเอง และเปรียบเทียบไม่รู้จบ

การใช้ชีวิตแบบ “อยู่ตรงนี้ แต่จิตใจอยู่ที่อื่น” กลายเป็นบรรทัดฐาน และมันไม่ได้ฝึกความสามารถสำคัญใด ๆ ที่มนุษย์ควรได้เรียนรู้ในวัยเด็กเลย

8. จุดจบของวัยเด็กแบบเล่นสนุก (The Play-Based Childhood)

ก่อนที่โลกจะกลายเป็นหน้าจอ ทุกชีวิตต่างรู้ดีว่า "การเล่น" คือระบบการเรียนรู้โดยธรรมชาติ เราเรียนรู้ที่จะสู้ เรียนรู้ที่จะสมานฉันท์ เรียนรู้ความกลัวและความกล้าหาญ ผ่านการวิ่งไล่ จับ โดนล้อ และตีกันแล้วก็คืนดีกันได้ใน 5 นาที

แต่โลกหลังยุค 1980s กลับเริ่มลดพื้นที่ของการเล่นแบบนั้นลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด เด็ก Gen Z กลายเป็น มนุษย์ยุคแรกในประวัติศาสตร์ที่โตขึ้นโดยไม่มีสนามให้เล่น ไม่มีความเสี่ยงให้ลอง และไม่มีเสรีภาพที่จะล้ม

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำลายภูมิคุ้มกันทางจิตใจโดยที่ไม่มีใครตั้งใจ

9. พ่อแม่ยุคใหม่: ห่วงมาก... จนบั่นทอน

การเลี้ยงลูกแบบ “Overprotective Parenting” ที่เริ่มมากขึ้นในยุค 1990s คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่เด็กไม่ได้รับ “วัคซีนทางประสบการณ์”

ยุคที่ข่าวลักพาตัวกลายเป็นหัวข้อข่าวรายวัน ทำให้สังคมเชื่อว่าโลกภายนอกคืออันตราย สวนสาธารณะคือกับดัก และถ้าปล่อยลูกเดินไปโรงเรียนเอง เท่ากับปล่อยลูกไปหาโจรโรคจิต

แม้ความจริงคือ สถิติอาชญากรรมต่อเด็กไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความกลัวของพ่อแม่กลับเพิ่มขึ้นแบบไม่มีเพดาน และนั่นทำให้เด็กค่อย ๆ สูญเสีย "พื้นที่เสรีเพื่อเติบโต"

10. เล่นเสี่ยงภัยคือห้องทดลองทางอารมณ์

เด็กไม่ได้เปราะบางเพราะหกล้ม เด็กเปราะบางเพราะไม่เคยได้หกล้มเลยต่างหาก การเล่นที่มีความเสี่ยงพอสมควร เช่น ปีนต้นไม้ วิ่งไล่กัน ล้อกันแรง ๆ หรือทะเลาะกับเพื่อน เป็นสิ่งที่ “ฝึกหัวใจให้รับแรงกระแทก”

เด็กจะเรียนรู้การ “ควบคุมความกลัว” ฝึกทักษะทางสังคมโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่แทรกกลาง เรียนรู้การสร้างกฎ การเจรจา และการยอมแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี

แต่วิธีเลี้ยงลูกแบบกลัวลูกเจ็บ กลัวลูกแพ้ กลัวลูกเศร้า กลายเป็นการบ่ม “ความเปราะบาง” อย่างไม่รู้ตัว

11. เด็กยุคใหม่ไม่ได้โต “ด้วยกาย” แต่โต “ด้วยการเลื่อนจอ”

ในอดีต เด็กอายุ 10–12 จะเข้าสู่ “Discover Mode” ซึ่งคือช่วงที่สมองเปิดกว้างที่สุดสำหรับการลองผิดลองถูก การหา “จุดแข็งของตัวเอง” และการเผชิญความเสี่ยงในระดับปลอดภัย

แต่ในยุคใหม่… เด็กวัยเดียวกันนี้ใช้เวลากับหน้าจอแทนการปั่นจักรยาน หัดตัดต่อคลิปก่อนหัดเจรจากับเพื่อน พูดกับ AI เก่งขึ้น แต่พูดกับคนแปลกหน้าไม่กล้า

ระบบรางวัลในสมองได้เปลี่ยนไปจาก “การลงมือทำจริง” → “การได้รับไลก์จากการโพสต์”

ผลคือ เด็กจำนวนมากโตโดยไม่ได้สร้าง self-efficacy (ความเชื่อว่าตนควบคุมชีวิตได้) แต่กลับฝึก self-branding แทน และนั่นคือรากแห่งความไม่มั่นคงในจิตใจของวัยรุ่นยุคนี้

12. วัยรุ่นโตขึ้น... แต่ไม่มีพิธีกรรมแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน”

ในสังคมดั้งเดิม แทบทุกวัฒนธรรมมี “Rite of Passage” — พิธีกรรมที่ประกาศว่า เด็กคนหนึ่ง “ผ่านพ้น” สู่ความเป็นผู้ใหญ่เช่น

- พิธีบรรลุนิติภาวะ

- การฝึกทหาร

- การเรียนรู้กับครูหรือช่างฝีมือ

- การได้สิทธิ์ใหม่ เช่น ขับรถ หรือหารายได้เอง

แต่ในยุคปัจจุบัน วัยรุ่นกลับ “ถูกดองไว้” ในสภาวะครึ่งเด็กครึ่งผู้ใหญ่

- ไม่มีภาระอะไรจริงจังให้รับผิดชอบ

- ไม่มีอำนาจในการกำหนดชีวิต

- มีหน้าที่แค่ “เรียนเพื่อคะแนน” ไปเรื่อย ๆ

เป็นช่วงวัยที่เปราะบางที่สุดทางสมอง แต่กลับไม่มีโครงสร้างใดรองรับให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ

13. วัยเด็กที่หายไป ถูกแทนที่ด้วยชีวิตในโลกผู้ใหญ่ปลอม ๆ

ขณะเดียวกันที่เด็กไม่มีโอกาสเสี่ยงในโลกจริง พวกเขากลับมี อิสระเต็มที่ในโลกออนไลน์ แบบไม่มีใครกรอง

- เข้าถึงเนื้อหาผู้ใหญ่ทุกประเภท

- ได้รับข้อความจากใครก็ได้บนโลก

- เห็นความเกลียดชัง ความแกล้งกัน การคุกคาม ตั้งแต่วัย 9 ขวบ

เด็กยุคใหม่จึงโตมากับความรู้สึกสับสนระหว่าง…

- โลกจริงที่อิสระถูกพรากไป

- โลกเสมือนที่อิสระไร้ขอบเขตจน “จิตใจกลายพันธุ์”

14. สี่พิษร้ายแห่งวัยเด็กบนหน้าจอ

วัยเด็กคือช่วงเวลาที่สมองกำลัง “ตั้งค่า” วิธีมองโลกและใช้ชีวิตในโลกนี้

แต่ในยุคที่วัยเด็กกลายเป็นการ “อยู่หน้าจอ 7 ชั่วโมง/วัน” สิ่งที่สมองของเด็กเรียนรู้กลับกลายเป็น…

- ตอบสนองสิ่งกระตุ้นไวขึ้น แต่จดจ่อกับสิ่งใดลึก ๆ ได้น้อยลง

- มีความสัมพันธ์มากมาย แต่ตื้น และบอบบาง

- รับการให้รางวัลแบบสุ่มถี่ เหมือนทดลองกับหนูในห้องแล็บ

ผลลัพธ์คือ ระบบพัฒนาการของเด็ก “ถูกรีไวร์” จนผิดเพี้ยน และนำไปสู่ 4 ผลร้ายรุนแรงระดับโครงสร้างที่เรียกว่า…

→ Social Deprivation (ความสัมพันธ์ที่บกพร่อง)

→ Sleep Deprivation (นอนหลับน้อยลง)

→ Attention Fragmentation (สมาธิสั้น)

→ Addiction (ติดโซเชียล)

15. Social Deprivation: ความสัมพันธ์ที่พร่องลึกลงไปเรื่อย ๆ

หนึ่งในภัยที่ร้ายแรงที่สุดของวัยเด็กบนหน้าจอคือ “การพรากออกจากโลกแห่งร่างกาย”

เด็กในอดีตเรียนรู้การเข้าสังคมผ่าน…

-การสบตา

-การเล่นสมมติ

-การล้อกัน

-การให้อภัยและสร้างสัมพันธ์ใหม่

แต่เด็กยุคใหม่...

- แชทมากกว่าเล่น

- ตอบเร็วกว่าเข้าใจ

- สื่อสารแบบ asynchronous (คนละเวลา คนละอารมณ์) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์

ผลคือ แม้จะมีเพื่อนหลายร้อยในออนไลน์ แต่เด็กกลับ “โดดเดี่ยวในใจ” มากกว่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์

16. Sleep Deprivation: เด็กหลับน้อยลงกว่าทุกยุคที่ผ่านมา

อัตราการนอนหลับของวัยรุ่น “ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” หลังปี 2010

-วัยรุ่นจำนวนมากนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน (ต่ำกว่ามาตรฐานที่แนะนำไว้คือ 8–10 ชั่วโมง)

-สาเหตุหลักคือ โทรศัพท์อยู่บนเตียง → ใช้จนดึก → สมองถูกแสงกระตุ้นจนหลับยาก

-การแจ้งเตือนที่ไม่สิ้นสุดจากมือถือ ทำให้ร่างกายไม่เข้าสู่ภาวะ “ปิดตัว”

และเมื่อเด็กอดนอน อารมณ์จะไม่เสถียร และซึมเศร้าง่าย

วงจรนี้จะหมุนวนซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกับดักที่ยากจะแก้ไข

17. Attention Fragmentation: สมาธิสั้น จิตใจฟุ้งซ่าน

เด็กที่โตมากับ TikTok, Instagram, Reels และ YouTube Shorts กลายเป็นมนุษย์ที่ “ใช้เวลาในแต่ละคลิปเพียง 6 วินาทีโดยเฉลี่ย” ก่อนจะเลื่อนผ่าน

นี่คือการฝึกสมองให้...

คิดแบบไม่ต่อเนื่อง

เสพข้อมูลแบบส่วนเสี้ยว

ขาดสมาธิในการเรียนหรืออ่านหนังสือที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ

และเมื่อเด็กไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้...

ความสามารถในการ “สร้างตัวตน” ผ่านความต่อเนื่องของความคิดก็ถูกทำลายไปด้วย

ความคิดแบบลึกซึ้ง (deep work) จึงถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวายภายในจิตใจที่ไม่มีทางออก

18. Addiction: เสพติดโซเชียล จนระบบรางวัลในสมองถูกรบกวนอย่างถาวร

เด็ก Gen Z ไม่ได้ “เล่นมือถือ”

พวกเขา “โดนมือถือเล่นงาน” ต่างหาก

บริษัทเทคโนโลยีใช้วิธีการ operant conditioning (แบบเดียวกับการฝึกลิงหรือหมา) ด้วยการออกแบบให้...

ทุกครั้งที่เราเปิดแอป → มีอะไรใหม่เสมอ (variable reward)

ทุกครั้งที่คุณได้ไลก์ → สมองหลั่งโดพามีน

ทุกครั้งที่คุณเลื่อน → เหมือนได้รางวัลเล็ก ๆ ทำให้เลิกยาก

ระบบนี้คล้ายการพนัน ที่คุณติดไม่ใช่เพราะมันให้รางวัลใหญ่ แต่เพราะมันให้รางวัล “เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบสุ่ม”

เด็กจำนวนมากจึงมีอาการ...

-วิตกกังวลเมื่ออยู่ห่างจากโทรศัพท์ (nomophobia)

-หงุดหงิดเมื่อต้องปิดหน้าจอ

-สูญเสียแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่ไม่ใช่หน้าจอ เช่น กีฬา ดนตรี งานฝีมือ

19. เด็กหญิงโดนหนักกว่าเด็กชายอย่างไร?

เด็กหญิงโตขึ้นมาในระบบที่...

-ยึดโยงคุณค่ากับรูปร่างหน้าตา

-ถูกฝึกให้ “สร้างแบรนด์” ผ่านภาพถ่ายและคำบรรยาย

-ต้องคอยตรวจสอบว่าใครเมนต์อะไร ใครไลก์ใครบ้าง

Instagram, TikTok กลายเป็น เครื่องวัดสถานะทางสังคมแบบเรียลไทม์ ที่ทำให้เด็กหญิงรู้สึก...

-ไม่ดีพอ

-ถูกจับจ้อง

-ถูกเปรียบเทียบอย่างไม่หยุดหย่อน

ผลคือ อัตราโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และ self-harm ของเด็กหญิงพุ่งสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 10–14 ปี

20. เด็กชายก็ไม่รอด — แค่เส้นทางต่างกัน

เด็กชายไม่ได้จมอยู่ใน Instagram หรือ TikTok เท่าเด็กหญิงก็จริง

แต่พวกเขาจมอยู่ใน...

-วิดีโอเกมแบบ multiplayer

-YouTube แบบ endless scroll

-สื่อลามกสุดโต่งที่เข้าถึงได้ตั้งแต่ประถม

เด็กชายจำนวนมากจึงไม่ได้เผชิญภาวะวิตกกังวลแบบเด็กหญิง

แต่เจอปัญหาแบบ “หายไปจากโลกจริง” เช่น...

-วัยรุ่นที่ไม่เข้าสังคม (hikikomori)

-ไม่เรียนต่อ ไม่ทำงาน (NEET)

-ขาดความสามารถในการสื่อสารพื้นฐาน

21. Spiritual Degradation: จิตวิญญาณเสื่อมถอย

ปัญหาไม่ได้อยู่แค่สุขภาพจิต แต่อยู่ที่สุขภาวะของ “จิตวิญญาณ” (ในความหมายกว้าง) ด้วย

โลกออนไลน์ทำให้เรา...

เสพสารกระตุ้นอารมณ์รุนแรงตลอดเวลา

สูญเสีย “ความเงียบ” ที่จำเป็นต่อการคิดลึก

ไม่มีพื้นที่ว่างในการใคร่ครวญหรือจดจ่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชีวิต

22. “แนวปฏิบัติ 6 ด้านเพื่อฟื้นฟูชีวิตภายใน” ได้แก่:

Awe – ความตื่นตะลึงทางจิตวิญญาณ

เช่น การมองท้องฟ้า ป่าเขา ดนตรี หรือศิลปะที่ทำให้ “ตัวตนหดลง โลกขยายออก”

Gratitude – การรู้สึกขอบคุณ

การฝึกมองเห็นความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตสงบและพ้นจากวงจรเปรียบเทียบ

Prayer / Meditation – การภาวนา / สมาธิ

ไม่จำเป็นต้องผูกกับศาสนาเสมอไป แต่เป็นการคืนจิตให้จดจ่อกับปัจจุบันขณะ

Self-transcendence – การก้าวข้ามตัวตน

การทำสิ่งที่ไม่ได้เพื่อ “ตัวเอง” เช่น การอาสา การให้ หรือการทำเพื่อชุมชน

Silence and Solitude – ความเงียบและการอยู่กับตัวเอง

การอยู่ลำพังอย่างตั้งใจเพื่อฟัง “เสียงข้างใน” ซึ่งถูกกลบด้วยเสียงแจ้งเตือนทั้งวันจากมือถือ

Embodied Practices – การกลับมาใช้ร่างกาย

เช่น การเดินป่า ทำสวน ฝึกโยคะ หรือแม้แต่งานฝีมือ ที่ช่วยยึดโยงเราไว้กับโลกจริง

23. บริษัทเทคโนโลยี ควรเปลี่ยนจาก “ทำเพื่อ engagement” → “ทำเพื่อ well-being”

บริษัทเทคโนโลยีมิได้เลวร้ายโดยเนื้อแท้ แต่โมเดลธุรกิจที่วัด “ความสำเร็จ = เวลาที่คนอยู่บนแพลตฟอร์ม” คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยน

Tech ควรเลิก “ติดตั้งการเสพติด” เป็นค่าเริ่มต้น (default)

แต่ควรสร้างฟีเจอร์ช่วย “เลิกใช้” ง่ายขึ้น เช่น ปิดการแจ้งเตือนอัตโนมัติหลัง 1 ชั่วโมง

ควรยอมเปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานวิจัยอิสระ เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพจิต

และถ้าบริษัทเทคไม่ขยับ — เราควรเรียกร้องให้ นักพัฒนาลาออกจากบริษัทเทคเหล่านั้น และร่วมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เคารพ “ชีวิตมนุษย์” แทน

24. เราไม่ได้ปกป้องเด็กจากเทคโนโลยี แต่เราทิ้งเขาให้จัดการคนเดียว

เทคโนโลยีให้ประโยชน์กับผู้ใหญ่ในหลายด้านก็จริง

แต่กับเด็ก มันกลายเป็นสนามทดสอบที่ไม่มีคู่มือ ไม่มีรั้ว ไม่มีผู้ปกครอง

ผู้ใหญ่สามารถควบคุมตัวเองเวลาใช้ social media ได้บางส่วน

แต่เด็กวัย 11 ที่สมองยังไม่พัฒนาเต็ม → ถูกปล่อยเข้าสู่โลกแห่งความเปรียบเทียบ รางวัลแบบสุ่ม และแรงกดดันทางสังคมแบบไม่หยุดพัก

25. ความผิดพลาด 2 ประการ

สรุปว่า เราทำ “พลาดอย่างรุนแรง” 2 ข้อพร้อมกัน:

1. Overprotecting in the Real World

– เรา “หวง” เด็กจากโลกจริงจนเขาไม่ได้ออกไปลองผิดลองถูก

– พ่อแม่กลัวลูกเดินไปโรงเรียนเอง แต่ไม่กลัวลูกเล่น หรือสนทนากับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์

2. Underprotecting in the Virtual World

– เรา “ปล่อย” เด็กให้จมหายอยู่ในโลกออนไลน์โดยไม่มีเกราะป้องกัน

– โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งศัตรู และทั้งแหล่งเปรียบเทียบตลอด 24 ชั่วโมง

และผลก็คือ เด็ก Gen Z กลายเป็นมนุษย์ที่ “หลุดออกจากโลกแห่งพัฒนาการปกติ” โดยไม่มีใครตั้งใจ

26. ปัญหาทางจิตของเด็กจึงไม่ได้จบแค่โรค แต่มันคือการสั่นคลอนแก่นกลางแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเด็กเอง

วิกฤตสุขภาพจิตของเด็กยุคนี้ มิใช่แค่ “โรคซึมเศร้า” หรือ “ภาวะวิตกกังวล” เท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนระดับการรับรู้ของมนุษย์อย่างถึงราก

เราเสพข้อมูลมากกว่าที่เราสามารถตีความได้

เราสร้างตัวตนเพื่อให้ถูกมอง มากกว่ามีตัวตนที่ลึกจริง

เราอยู่ในสถานะ “ระแวดระวังทางสังคม” ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัว

และในความวุ่นวายนี้ เราสูญเสียความสามารถพื้นฐานของมนุษย์ 3 อย่าง:

จดจ่อ (Attention)

เชื่อมโยง (Connection)

ไตร่ตรอง (Reflection)

27. สิ่งที่ Gen Z ทำได้ และเราควรสนับสนุน

Gen Z อาจไม่ใช่เหยื่อผู้พ่ายแพ้ แต่คือ “รุ่นผู้ตื่นรู้” รุ่นแรกของมนุษยชาติ

หากพวกเขา...ได้เห็นกับตาว่าอะไรทำลายจิตใจตนเอง

หากพวกเขา...ได้เริ่มต่อต้าน algorithm ที่ควบคุมพฤติกรรม

หากพวกเขา...ได้เริ่มกลับสู่การอ่านหนังสือกระดาษอย่างจริงจัง

หากพวกเขา...ได้หันไปคบเพื่อนแบบสนิทกันจริง ๆ

หากพวกเขา...ได้หันกลับมาใช้ชีวิตออฟไลน์ด้วย

วัยเด็กไม่ควรเป็นสนามทดลองของบริษัทเทคโนโลยี

การปกป้องที่ดีที่สุด ไม่ใช่การห้ามทุกอย่างที่เสี่ยง

แต่คือการกล้าให้เด็กได้สัมผัสโลกจริง

ก่อนที่โลกเสมือนจะหลอมเขาให้หายไปจากความเป็นมนุษย์

~ เก็บความจาก The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt

เครดิต : เพจ Success Strategies กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ

จากเพจ นัทแนะ

วันนี้ผมขอนำเรื่องของคุณครูสาวชาวอเมริกันมาเล่าสู่กันฟัง

ครูสาวสวยคนนี้เธอชื่อว่า “แฮนน่า มาเรีย - Hanna Maria" เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งเธอเข้ามาสอนได้ 3 ปีแล้ว และก็เพิ่งลาออกมาหมาด ๆ

และเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณครูเธอได้โพสท์ติ๊กต่อกระบายความในใจเกี่ยวกับบรรดาอดีตลูกศิษย์ของเธอดังนี้

”เด็ก ๆ พวกนี้ไม่รู้จักการอ่านหนังสือ เพราะทุกวันนี้แค่กดคลิกปุ่มบนหน้าจอ เครื่องก็อ่านให้พวกเขาฟังได้เลย

ฉันคิดว่าพวกเขาไม่แคร์ด้วยซ้ำไป เขาไม่สนใจที่จะหัดเขียนใบประวัติเพื่อสมัครงาน (Resume) หรือกระทั่งเขียนจดหมายแนะนำตัว

นั่นเพราะ ChatGPT สามารถเขียนให้เขาได้หมด

ฉันคิดว่าเราควรจะตัดเทคโนโลยีพวกนี้ออกจากเด็ก ๆ จนกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย“

คลิปติ๊กต่อกนี้กลายเป็นไวรัลในอเมริกา มีคนชมเป็นล้าน จนกระทั่งสำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ต้องไปขอสัมภาษณ์คุณครูแฮนน่าว่าเธอคิดเห็นอย่างไรถึงได้ทำโพสท์นี้ขึ้นมา คุณครูเล่าว่า

“ฉันอยากจะจุดประเด็นเรื่องของเทคโนโลยีและเอไอที่มีผลกระทบต่อเด็ก ๆ ขึ้นมาค่ะ แม้ว่าจริง ๆ แล้วเด็ก ๆ หลายคนในคลาสของฉันก็มีเด็กที่เก่งและหัวดีก็ตาม

ในคลาสที่ฉันสอนภาษาอังกฤษนั้น บ่อยครั้งที่ฉันขอให้เด็ก ๆ เขียนเรื่องราวเป็นคำตอบสั้น ๆ ความยาวแค่เพียง 5 ประโยคก็ได้

และก็บ่อยครั้งมากเช่นกันที่เด็ก ๆ จะเขียนตอบมาแค่ 2 ประโยคแล้วบอกว่า “คิดอะไรไม่ออกแล้ว” บางคนก็เขียนไม่จบประโยคแล้วก็แย้งกับฉันว่า จะต้องเขียนให้จบประโยคทำไม เขียนแค่นี้ก็สื่อกันเข้าใจแล้วนี่นา

บางครั้งฉันสั่งการบ้านให้เด็ก ๆ เขียนบทความสั้น ๆ หรือ essay และเมื่อนักเรียนเอาการบ้านนี้กลับมาส่งนั้น ฉันต้องบอกก่อนว่า ฉันรู้จักและจำวิธีการเขียนของนักเรียนแต่ละคนได้จากการนั่งเขียนในห้องเรียน

และฉันรู้ดีว่าลักษณะการเขียนของเด็กชั้นมัธยมนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อฉันได้อ่านการบ้านของเด็ก ๆ ในคลาสแล้ว มีหลายคนที่ฉันต้องเรียกมาถามว่าได้ให้ ChatGPT เขียนให้หรือเปล่า?

เด็ก ๆ กลับตอบฉันว่า “ถ้าต้องเอาการบ้านกลับไปแก้ใหม่ จะกระทบเกรดสักแค่ไหน? ขอเอาแค่ศูนย์ก็ได้“

ฟังมาถึงตอนนี้ นักข่าวก็ร้องว้าวแล้วถามคุณครูว่า ”นี่มันแค่ว่าเด็กขี้เกียจหรือเปล่าคะคุณครู?“

ครูแฮนน่าตอบว่า ”นักเรียนเขามีความคิดว่า เอไอสามารถทำงานแทนพวกเขาได้น่ะค่ะ คือฉันต้องออกตัวก่อนว่าในชั้นเรียนระดับสูง ๆ นั้น เอไอสามารถเอามาใช้ให้มีประโยชน์ในห้องเรียนได้นะคะ“

”แต่ถ้าเราอนุญาตให้นักเรียนใช้เอไอได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พวกเขาก็จะไม่ทำงานทำการบ้านเองค่ะ“

และตอนนี้คุณครูแฮนน่าเธอก็ลาออกจากโรงเรียนแล้ว หลังจากที่สอนมาได้ 3 ปี

สำหรับผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับคุณครู 100% ทักษะการฟังพูดอ่านเขียนและกระบวนการคิดที่ดี คือพื้นฐานของผู้มีการศึกษา

เอไอไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายสำหรับเด็ก ๆ อย่าเอามาใช้ในวัยที่กำลังพัฒนาทักษะเหล่านี้เลย

อดีต สว.วันชัย ยกอุทธาหรณ์!! ข่าวฉาวเจ้าคุณแย้ม ‘สตรีกับสตังค์’ ทำเจ้าคณะพระผู้ใหญ่ พังพินาศ

(18 พ.ค. 68) อดีต สว.วันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความเรื่อง “สตรีกับสตังค์” ในเพจเฟซบุ๊ก "ทนายวันชัย สอนศิริ" แสดงความเห็นกรณีข่าวฉาวโฉ่อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมถูกจับสึก โดยระบุว่า...

สตรีกับสตังค์

ในวงการพระสงฆ์เขารู้กันว่าพระผู้หลักผู้ใหญ่ พระที่มีชื่อเสียงมียศมีตตำแหน่งที่พังๆนั้นมาจากสตรีกับสตังค์ แต่ส่วนใหญ่มันจะเริ่มจากสตรีก่อนแล้วสตรีก็เรียกสตังค์ หรือไม่ก็หาสตังค์ไปให้สตรี ต้องยอมรับว่าสตรีนั้นเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ พระวินัยสงฆ์จึงบัญญัติข้อห้ามระหว่างสตรีกับพระภิกษุไว้มากมายเพราะมันเป็นอันตรายต่อความเป็นพระและความวินาศต่อความเป็นพรหมจรรย์ของพระอย่างยิ่ง 

สตรีมี ”อวัยวะเพศ” และมีสิ่งกำเนิดแห่งกามราคะให้บุรุษเพศลุกโชนได้ตลอดเวลา พระสงฆ์องค์เณรผู้ยังไม่บรรลุก็จะติดกับดักแห่งอวัยวะกามราคะ ยากที่จะหลุดพ้น ขนาดเจ้าโลกก็ถูกอวัยวะเพศแห่งสตรีกลืนกินไปจนหมดสิ้น ยศฐาบรรดาศักดิ์ตำแหน่งแห่งหนเงินทองทรัพย์สินชื่อเสียงเกียรติยศ อวัยวะเพศแห่งสตรีก็ทำให้กระเด็นมาแล้วหลายต่อหลายคนไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้าก็อยู่ในวังวนนี้

ต้องยอมรับว่าอวัยวะเพศแห่งสตรีมีอิทธิพลสูง จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าคณะใหญ่ๆดังๆหลายต่อหลายองค์ ต้องยอมสยบอย่างราบคาบ จะร้อยล้านพันล้านเธอก็กลืนกินได้ เรื่องวัดไร่ขิงจึงไม่ใช่เรื่องใหม่เรื่องแรก และก็ไม่ใช่เรื่องสุดท้าย ยังจะมีเรื่องในทำนองนี้อยู่อีกต่อไป ตราบใดที่ยังมีสตรีและยังมีโมฆะบุรุษอาศัยอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ สตรีและสตังค์ก็ยังจะพังพระสงฆ์องค์เจ้าได้อีกหลายต่อหลายองค์.... 

อวัยวะเพศหญิง มันยิ่งใหญ่ เหนือโลกเหนือมนุษย์ 

‘แพทองธาร’ เตรียม!! เปิดทำเนียบฯ 19 พ.ค.นี้ ต้อนรับ ‘ปธน.อินโดนีเซีย’ ครั้งแรกในรอบ 20 ปี

(18 พ.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะให้การต้อนรับนายปราโบโว ซูบียันโต (H.E. Mr. Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ในรอบ20ปี ในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – อินโดนีเซีย

สำหรับ กำหนดการพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ ทำเนียบรัฐบาล มีดังนี้

เวลา 10.05 น. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีอินโดนีเซีย จะร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศหน้าตึกไทยคู่ฟ้า

หลังจากนั้น เวลา 10.20 น. ผู้นำทั้งสองจะร่วมหารือข้อราชการเต็มคณะ ภายใต้กลไก Leaders’ Consultation ครั้งแรก ณ ตึกภักดีบดินทร์ และในเวลา 11.15 น. ผู้นำทั้งสองจะร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงและแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยกับอินโดนีเซีย พร้อมทั้งมีการแถลงข่าวร่วม ในเวลา 11.25 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย

“ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสอง จะมีการหารือครอบคลุมทั้งความมั่นคง-การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ  ด้านเศรษฐกิจ การจัดตั้ง Halal Task Force เพื่อประสานมาตรฐานอาหารฮาลาลระหว่างสองประเทศ   การผลักดันการเปิดตลาดสินค้าเกษตร -ประมง รวมถึงการท่องเที่ยว และความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top