Wednesday, 4 December 2024
NEWS FEED

ปีใหม่นี้อาจจะดูหงอยๆ กันหน่อย สังเกตได้พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงปลายปีลดลง เป็นผลมาจากประชาชนยังกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำใช้จ่ายลดลง อยู่บ้านมากขึ้น ไม่กล้าออกจากบ้าน

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 64 ระหว่างวันที่ 14-23 ธ.ค.2563 คาดว่า จะมีเงินสะพัดอยู่ที่ 91,467 ล้านบาท ลดลง 33.6% จากปีทุกๆ ปีที่จะมีมูลค่าการใช้จ่ายเกินกว่า 1 แสนล้านบาท ถือเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 15 ปี และมีเงินสะพัดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หลังจากประชาชนยังกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำใช้จ่ายลดลง อยู่บ้านมากขึ้น และไม่กล้าออกจากบ้าน

ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หากสถานการณ์การระบาดยังรุนแรงมากขึ้น มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เชื่อว่า จะทำให้เงินสะพัดในช่วงปีใหม่เหลือเพียง 80,937 ล้านบาท ติดลบ 41.3% แต่หากมีการล็อกดาวน์พื้นที่อื่นใกล้เคียงกับสมุทรสาครมากขึ้น จะมีเงินสะพัดเพียง 65,143 ล้านบาทลดลง 52.7%

อย่างไรก็ตามในกรณีร้ายแรงที่สุดคือ ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จะเหลือเงินสะพัด 38,819 ล้านบาท ติดลบ 71.8% และจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายมากถึงเดือนละ 200,000 ล้านบาท หรือวันละเกือบ 7,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้คนตกงานจำนวนมาก

ทัพบกอ้าแขน เปิดรับทหารกล้ารุ่นใหม่!! จัดโควตาเยาวชนเรียนดี ในถิ่นห่างไกล หวังสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง สมัครออนไลน์ www.crma.ac.th เริ่ม28 ธ.ค. 63 - 15 ม.ค. 64

เมื่อวันที่ 26 พ.ย.พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากนโยบายของกองทัพบกในการคัดสรรบุคคลพลเรือนเพื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยทุกปีจะเปิดรับสมัครนักเรียน นักศึกษา เพื่อสอบคัดเลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ในส่วนของกองทัพบกตามคุณสมบัติที่ทางราชการกำหนด

ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีความรู้ความสามารถ แต่มีข้อจำกัดในเรื่องเศรษฐกิจและการเข้าถึงข้อมูล ทำให้ขาดโอกาสที่จะสมัครเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ประกอบกับกองทัพบกต้องการคัดสรรนักเรียนที่เรียนเก่งในระดับแนวหน้าของจังหวัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากองทัพ ทำให้ในปี 2564 กองทัพบกได้มี 'การปรับปรุงแนวทางการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก'

โดยจัดสรรโควตาแบบเฉพาะกลุ่มให้กับเยาวชนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมและเยาวชนในพื้นที่พิเศษ/ห่างไกล ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการให้โอกาสกับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดารมีความมุ่งมั่นที่จะเดินในเส้นทางทหารอาชีพ มีอุดมการณ์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเป็นการกระจายโอกาสไปให้เยาวชนในทุกจังหวัด ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานด้านความมั่นคง (ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก)

โดยการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบกในประจำปี 2564 นี้ จะดำเนินการใน 2 ครั้ง คือ การสอบคัดเลือกแบบเฉพาะกลุ่ม ในช่วงเดือนมกราคม และการสอบคัดเลือกในภาพรวมตามปกติ ในห้วงเดือนเมษายน

สำหรับการสอบคัดเลือกแบบเฉพาะกลุ่มกองทัพบกจะเปิดโอกาสให้เยาวชน 2 กลุ่ม เข้ารับการสอบคัดเลือก ประกอบด้วย เยาวชนผู้ที่มีผลการศึกษาและมีลักษณะทหารดีเยี่ยมของแต่จังหวัด จังหวัดละ 1 นาย และเยาวชนผู้ที่อาศัยและศึกษาในพื้นที่พิเศษ ห่างไกล ทุรกันดาร การสอบคัดเลือกแบบเฉพาะกลุ่มจะเปิดรับสมัครทางออนไลน์ที่ www.crma.ac.th ตั้งแต่ 28 ธ.ค. 63 - 15 ม.ค. 64 และกองทัพภาคจะดำเนินการสอบภาควิชาการในพื้นที่เพื่อความสะดวกของนักเรียน โดยกองทัพบกยกเว้นค่าสมัครสอบ และมอบให้หน่วยทหารช่วยอำนวยความสะดวกแก่เยาวชน เช่น การยื่นสมัคร การเดินทางมาสอบ ท้ังนี้ผู้ที่ไม่ผ่านการสอบในแบบกลุ่มเฉพาะ ยังสามารถไปสมัครสอบในภาพรวมรอบปกติได้อีกครั้ง

นโยบายการรับสมัครสอบแบบเฉพาะกลุ่มในปีนี้ กองทัพบกมุ่งหวังเพิ่มโอกาสให้กับเยาวชนผู้มีฐานะยากจนในถิ่นทุรกันดารและประชาชนทั่วไปที่รักในอาชีพทหาร ได้มีช่องทางและสามารถสมัครเข้ารับการคัดเลือกอย่างเท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำ ที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความมุ่งมั่นและมีอุดมการณ์รักในอาชีพทหารได้เข้ารับราชการอย่างเป็นรูปธรรม จึงขอเชิญชวนเยาวชนที่มีคุณสมบัติยื่นความประสงค์และขอรับการอำนวยความสะดวกในการสมัครสอบได้ที่หน่วยทหารใกล้บ้าน หรือสอบถามได้ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 0-37 39-3132 , 0-3739-3010 ถึง 4

เกิดเหตุระเบิดในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา โดยกองบัญชาการตำรวจในเมืองแนชวิลล์ เชื่อว่าเป็นเหตุวางระเบิด จากรายงานของ The Associated Press

ดอน แอรอน โฆษกตำรวจ ระบุว่า เหตุระเบิดเมื่อเวลา 6.30 น. ในวันคริสต์มาสตามเวลาท้องถิ่น เป็นการตั้งใจวางระเบิด โดยเหตุระเบิดครั้งนี้ทำให้อาคารบ้านเรือนสั่นสะเทือนและเสียหาย กระจกแตก มีผู้ได้รับบาดเจ็บและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3 คน แม้จะไม่มีใครมีอาการสาหัสก็ตาม

ตำรวจยังเชื่อด้วยว่ามียานพาหนะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดครั้งนี้ โดยรายงานระบุว่าการระเบิดเกิดจากรถแบบ RV คันหนึ่งที่จอดอยู่ และหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ก่อนการระเบิดมีการเผยแพร่คำเตือนล่วงหน้าด้วย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ดับเพลิง รวมทั้งนักสืบจากสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ และจากสำนักงานแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และอาวุธระเบิด หรือ ATF กำลังร่วมสืบสวนการระเบิดอย่างหนัก

สำหรับบริเวณที่เกิดเหตุเป็นย่านท่องเที่ยวและย่านใจกลางของเมืองแนชวิลล์ มีทั้งบาร์ ร้านอาหาร ร้านขายปลีก โดยหลังเกิดเหตุมีควันดำและเพลิงไหม้พวยพุ่งจากบริเวณดังกล่าว

นับถอยหลัง อีกไม่นานประเทศไทยจะมีการขนส่งทางรางที่เชื่อมโยงการเดินทางของประชาชนได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างดังนี้

• ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 993 กิโลเมตร ยกระดับการเดินทางและขนส่งด้วยระบบรางให้รวดเร็วตรงเวลายิ่งขึ้น

ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. เปิดให้บริการปี 2562

- รถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. เปิดให้บริการปี 2562

กำลังก่อสร้างอีก 5 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากนํ้าโพ ระยะทาง 145 กม. ความก้าวหน้า 42.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. ความก้าวหน้า 62.91%

- รถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. ความก้าวหน้า 67.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. ความก้าวหน้า 53.78%

- รถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. ความก้าวหน้า 54.91%

ทั้ง 5 โครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการปี 2566-2567

• ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่อีก 2 เส้นทาง

- รถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กม.

รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม.

ระยะทางรวม 681 กิโลเมตร

• เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

เพื่อเติมเต็มการเดินทางจากปริมณฑลเข้าสู่ในกลางกรุงเทพมหานครและเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้ามหานคร

เส้นทางที่กำลังก่อสร้างขณะนี้ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทางรวม 15.26 กิโลเมตร 3 สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 78.76%

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทางรวม 26.30 กิโลเมตร 10สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 81.72%

พร้อมก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ ความก้าวหน้า 99.76%

• ส่วนต่อขยายในอนาคต อีก 3 ช่วง ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และ บางซื่อ- หัวลำโพง (Missing Link)

โดยอยู่ระหว่างการรถไฟฯ ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการลงทุน PPP

• ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง

2 สายแรกของประเทศไทยเชื่อมโยงเมือง การเดินทาง และพัฒนาเมืองสำคัญในภูมิภาคเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน ยกระดับรายได้ของประเทศ

• ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง 2 สายทางคือ

- รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 253 กม. 6 สถานี ขณะนี้เริ่มก่อสร้างงานโยธาแล้ว 2 สัญญา อีก 12 สัญญา อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2568

- รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. 9 สถานี เปิดพื้นที่การพัฒนาจากกรุงเทพฯ สู่ EEC ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมดำเนินการก่อสร้าง รื้อย้ายสิ่งกีดขวาง เวนคืนที่ดิน คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2570


ที่มา : Thailand Future

หลังจากที่ฮ่องกงตรวจพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ของอังกฤษ ที่เรียกสั้น ๆ ว่า B117 เป็นนักศึกษาฮ่องกงที่เพิ่งเดินทางกลับจากลอนดอนจำนวน 2 คน

ทำให้ทางการฮ่องกงไม่รอช้า ออกคำสั่งด่วนเพิ่มระยะเวลาการกักตัวของผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ นอกเหนือจากจีน เข้าเมืองฮ่องกง ต้องถูกกักตัวเพิ่มจาก 14 วัน เป็น 21 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป

โดยผู้ที่เข้าเมืองทั้งชาวฮ่องกง และ ชาวต่างชาติต้องถูกกักตัวในโรงแรมที่ทางการฮ่องกงกำหนดให้เท่านั้น ที่จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลากักตัวเป็น 21 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เข้าเมืองปลอดเชื้อไวรัสโคโรน่าจริง ๆ โดยเฉพาะจากไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ ที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าจะมีระยะฟักตัวนานกว่าเดิมหรือไม่

นอกจากนี้ ทางการฮ่องกงยังแบนผู้ที่เคยมีประวัติเข้าประเทศอาฟริกาใต้ภายในระยะเวลา 21 วัน เข้าเมืองฮ่องกง และระงับทุกเที่ยวบินจากอังกฤษเรียบร้อย

นับเป็นมาตรการตั้งการ์ดสูงของฮ่องกง ที่จะไม่ยอมให้ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าเดิมเข้ามาในฮ่องกง

ความวิตกกังวลในเรื่องเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ เริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีการพบผู้ติดเชื้อไวรัสตัวใหม่นอกประเทศที่พบการกลายพันธุ์ และล่าสุดในเยอรมันมีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ B117 แล้วที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต จากชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากลอนดอนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม และเป็นผู้ติดเชื้อ B117 รายแรกในเยอรมัน

ขณะนี้ มีมากกว่า 40 ประเทศได้ประกาศแบนเที่ยวบินจากอังกฤษ หรือ แอฟริกาใต้เรียบร้อยแล้ว


แหล่งข่าว

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/covid-19-hong-kong-21-days-quarantine-south-africa-13841170

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/hong-kong-imposes-21-day-quarantine-for-visitors-adds-south-africa-to-banned-list

https://www.scmp.com/news/china/science/article/3115008/what-we-know-so-far-about-new-coronavirus-strain-emerged-britain

https://www.bbc.com/thai/international-55401953

เครดิต : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

การพ่ายแพ้อย่างราบคาบในสนามเลือกตั้งเล็ก (อบจ.) และอาจจะรวมถึงทุกๆ ความนิยมที่ลดทอน ของคณะก้าวหน้า ทำให้เห็นได้ชัดถึงก้าวที่ผิดพลาด จนดูเหมือนว่าที่ยืนของคณะก้าวหน้า และพลพรรคของขั้วตรงข้ามรัฐ เริ่มไร้ที่ยืนลงไปเรื่อยๆ

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมา เผยแพร่ ความพ่ายแพ้แบบแลนด์สไลด์ของคณะก้าวหน้าผ่านเฟซบุ๊กว่า

“เหตุผลสำคัญที่คณะก้าวหน้าพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ คือ การถือนโยบายที่ผิด หมกมุ่นอยู่กับการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ หวังสานต่อภารกิจ 2475 ที่ยังไม่เสร็จของคณะราษฎร ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความมั่นคงของชาติและประชาชน

“คณะก้าวหน้า คือ คนกลุ่มเดิมที่ไม่ได้เข้าเพื่อมาแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่กลับสร้างปัญหาและความแตกแยกที่รุนแรงให้กับประชาชน โดยที่ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย แต่กลับแอบอ้างประชาธิปไตย หลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ สร้างความแตกแยก และทำลายล้างสถาบันสำคัญของชาติตามรอยคณะราษฎร

“ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ตลอดจนคนที่รักในประชาธิปไตยอย่างมีสติ ซึ่งเห็นคุณค่าของชีวิตประชาชนเพื่อนร่วมชาติก็ย่อมไม่เห็นด้วย เพราะการที่จะไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามที่คณะก้าวหน้าต้องการได้นั้น ต้องผ่านสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนที่เห็นต่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรงและความแตกแยกครั้งมโหฬารที่คนไทยทุกคนจะเป็นผู้พ่ายแพ้

“ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันประชาธิปไตย เพราะถือประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศเป็นใหญ่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข อยู่เคียงข้างกับประชาชนมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในสถานการณ์ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนมากเพื่อรองรับต่อสถานการณ์และช่วยเหลือประชาชนทั้ง 77 จังหวัด 123 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

“แต่ความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์แบบนี้จะไม่มีอยู่ในกะลาของคณะก้าวหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยการปั่นกระแสบิดเบือนในโลกโซเชียล เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหลับหูหลับตา ตลอดจนสร้างความแตกแยกให้กับสังคม อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นก่อม็อบลงถนนมาโดยตลอด ดังนั้นการเสี้ยมให้คนไทยทะเลาะกันเองของคณะก้าวหน้าและเครือข่าย อีกทั้งใช้ช่องว่างทางสังคมทั้งทางกายภาพและโซเชียลมีเดียสร้างความแตกแยกระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ จึงเป็นสิ่งที่เลวร้ายและอำมหิตที่สุด

“พฤติกรรมของคณะก้าวหน้าที่ทำมาโดยตลอดจึงเป็นแค่การแอบอ้างประชาธิปไตย เพื่อหลอกลวงมวลชนในกะลาเป็นเครื่องมืออย่างสกปรกและไร้จิตสำนึกที่สุด ด้วยการสร้างเงื่อนไขความเข้าใจที่ผิดๆเสมือนว่าประชาธิปไตยสามารถสร้างได้ด้วยการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น

“ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง การสร้างประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องสร้างความแตกแยกหรือทำลายใคร เพียงแต่ยกหลักการที่ถูกต้องขึ้นมาสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของประเทศชาติ หรือบางทีการหันมาสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วให้สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยสร้างประชาธิปไตยให้กับประชาชน อาจจะเป็น "ทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย" ก็เป็นได้


ที่มา: เฟซบุ๊ก Suphanat Aphingyan

การลงทุนในโลหะเงินแท่ง (แบบทองคำแท่ง) เพื่อซื้อเก็บในระยะยาว อาจไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเก็งกำไรด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Silver Online Futures) ในตลาด TFEX เท่านั้น

แต่รู้หรือไม่ว่าในมุมมองของนักลงทุนระดับโลกหลาย ๆ คนนั้นไม่ได้มองว่าโลหะเงินด้อยไปกว่าทองคำเลย โดยในบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ นั้นพวกเขามักจะใช้คำว่า "Gold and Silver" อยู่เสมอ คือเรียกโลหะทั้ง 2 ชนิดนี้พร้อมกันเลย

เนื่องจากพวกเขาเชื่อมั่นว่าโลหะทั้ง 2 ชนิดเป็น "เงินที่แท้จริง" เพราะนอกจากทองคำแล้ว โลหะเงินก็ถูกนำมาใช้เป็นเหรียญในสกุลเงินต่าง ๆ มานับพันปี

ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทานของเงิน (Silver) ที่แม้เมื่อใช้งานไปนาน ๆ แล้วโลหะเงินจะมีสีหมองคล้ำลงจากปฏิกิริยาเคมี แต่ปฏิกิริยานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะที่ผิวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้สมบัติต่าง ๆ ของเนื้อเงินเปลี่ยนไป ต่างจากโลหะชนิดอื่น ๆ ที่มักจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ด้วยความทนทานนี้จึงทำให้โลหะเงินเป็นเครื่องมือในการรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ทองคำ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราสามารถหาซื้อทองคำแท่งได้ง่ายกว่าโลหะเงินแท่ง จึงดูไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณต้องลำบากไปลงทุนในโลหะเงิน นอกเสียจากว่า "ในเวลานั้นโลหะเงินน่าจะทำกำไรได้มากกว่า"

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้!! คือตอนนี้บรรดานักลงทุนระดับโลกอย่างจิม โรเจอร์ส, โรเบิร์ต คิโยซากิ รวมถึงอีกหลาย ๆ คน กำลังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ราคาโลหะเงินตอนนี้อยู่ในระดับที่น่าลงทุนกว่าทองคำ"

เนื่องจากราคาของมันยังต่ำกว่า All Time High อยู่ถึง 50% เมื่อเทียบกับทองคำที่ทะลุ All Time High ไปแล้ว

(ราคาโลหะเงินปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 25$/Oz. ส่วน All Time High อยู่ที่ประมาณ 50$/Oz.)

บทความนี้จึงได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับโลหะเงิน (Silver) โดยสังเขปมาให้คุณได้เห็นภาพรวมของโอกาสและความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเชื่อคำแนะนำของนักลงทุนระดับโลกเหล่านั้นหรือไม่ ดังนี้ครับ

1.) "ต้นทุนการผลิตโลหะเงิน" ของแต่ละเหมืองนั้นมีความแตกต่างกันมาก เพราะโลหะเงินนั้นเป็นผลผลิตพลอยได้จากการผลิตโลหะชนิดอื่น เนื่องจากในธรรมชาตินั้นแร่เงินมักจะอยู่ร่วมกับแร่อื่น ๆ เช่น ทองคำหรือตะกั่ว เสมอ แต่โดยเฉลี่ยแล้วต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 11$/Oz. (ข้อมูลเมื่อปี 60) ซึ่งต่ำกว่าราคาในปัจจุบันถึง 56% ทว่าหากความต้องการของแร่เงินสูงขึ้นก็จะดันต้นทุนสูงขึ้นได้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้กำลังการผลิตจากเหมืองที่มีต้นทุนสูงกว่า (เหมือนกับน้ำมันที่แท่นขุดเจาะในสหรัฐมีต้นทุนสูงกว่าแท่นในซาอุฯ แต่ด้วยความต้องการการใช้งานที่สูงทำให้กำลังการผลิตของซาอุฯไม่เพียงพอ)

2.) "Gold/Silver Ratio" เป็นอัตราส่วนที่ใช้บ่งบอกว่าในเวลานั้นทองคำมีราคาแพงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับโลหะเงิน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75/1 (หมายถึงทองแพงกว่าเงินอยู่ 75 เท่า) แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราส่วน Gold/Silver นั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามถ้าย้อนไปเมื่อ 800 ปีที่แล้ว ในสมัยโรมันนั้นอัตราส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 12/1 เท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ดันให้อัตราส่วนนี้สูงขึ้นคือการประกาศใช้ Gold Standard

ซึ่งส่งผลให้ทองคำมีบทบาทในแวดวงการเงินมากกว่าโลหะเงินเมื่อเทียบกับอดีต โดยจะสังเกตได้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติต่าง ๆ อัตราส่วนนี้มักจะสูงขึ้นอยู่เสมอ เพราะผู้คนจะเลือกเก็บวิ่งเข้าหาทองคำมากกว่าโลหะเงิน อย่างการแพนิคในช่วงเมษาที่ผ่านมานั้นอัตราส่วนนี้ได้วิ่งขึ้นไปถึง 114/1 เลยทีเดียว และนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอัตราส่วนนี้ก็ไม่เคยต่ำกว่า 30/1 อีกเลย จึงแสดงให้เห็นว่าความต้องการของการเก็บโลหะเงินเพื่อรักษาความมั่งคั่งนั้นลดลงไปมาก

3.) "โลหะเงินมีความผันผวน (volatility) มากกว่าทองคำ" หมายความว่าเวลาเงินขึ้นก็จะขึ้นแรงกว่าทอง แต่เวลาลงก็ลงได้มากกว่าทองคำ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คุณมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่า แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว store of value (ตัวเก็บมูลค่า) นั้นไม่ควรผันผวนมากจนเกินไป

4.) "การใช้งานในอุตสาหกรรม" เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะโลหะเงินมีสมบัติต่าง ๆ ที่โดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด, เป็นตัวสะท้อนแสงอันดับต้น ๆ, แข็งแรง, ทนการกัดกร่อน, ขึ้นรูปได้ง่าย, ป้องกันแบคทีเรีย ฯลฯ ทำให้เงินถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอร์รี่, แผงโซลาร์เซลล์ และในทางการแพทย์ ซึ่งคุณจะสังเกตว่าเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตล้วน ๆ!!!

โดยปัจจุบันอุปทานโลหะเงินในอุตสาหกรรมนั้นมีสัดส่วนถึง 56% ของอุปทานทั้งหมด เมื่อเทียบกับทองคำที่มีอยู่เพียง 12% เท่านั้น

สรุปแล้วโลหะเงินนั้นมีความน่าสนใจในแง่ของการป้องกันเงินเฟ้อ เพราะราคายังถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต (ตามความเห็นของจิม โรเจอร์ส)

อีกทั้งเงินยังเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตจึงอาจทำให้ความต้องการโลหะเงินสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาเงินให้สูงขึ้น

แต่ถ้าคุณจะลงทุนจริง ๆ ก็ควรต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าเงิน (Silver) มีความจำเป็นมากแค่ไหนในแต่ละอุตสาหกรรม มีโอกาสถูกทดแทนได้หรือไม่และถ้าการต้องการใช้งานมีมากขึ้นจริง ๆ ก็มีโอกาสที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการทำเหมืองเงิน เพื่อให้เงินมีต้นทุนที่ต่ำลงได้เช่นกัน

นอกจากนี้ในแง่ของการลงทุนนั้น โลหะเงินมีข้อด้อยกว่าทองคำอยู่หลายประการทั้งสภาพคล่องที่น้อยกว่า เนื่องจากตลาดเล็กกว่า, ปริมาตรเยอะกว่าในราคาที่เท่ากัน ทำให้เก็บยากกว่า, ความผันผวนที่สูงกว่า ฯลฯ


ที่มา : Kim Property

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด ให้ความมั่นใจ ‘อาหารทะเลจากมหาชัย’ ปรุงสุกกินได้ พร้อมวอนประชาชนลดดีกรีฉลองปีใหม่ ย้ำให้ติดตามแถลงของศบค.แหล่งเดียว ยืนยัน มีคนไทยในเกาหลีติดโควิด 31 คน ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ ผู้ประกอบการจากจังหวัดสมุทรสาครร้องเรียนศบค.ว่าจังหวัดอื่น ปฏิเสธรับซื้อสินค้าของจังหวัดสมุทรสาคร ศบค. จะแก้ปัญหาอย่างไร ว่า น่าเห็นใจในภาวะของการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นมากไปสักนิด

ขอย้ำว่าโรค โควิด-19 เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ ดังนั้นอาหารทะเลหรืออุปโภคบริโภคที่ออกไปจากสมุทรสาคร แล้วเกิดความรังเกียจนั้นก็ถือว่าแรงเกินไป เพราะในความเป็นจริงไม่ถึงขนาดนั้น หากอาหารทะเลหรืออาหารอุปโภคบริโภคเมื่อปรุงสุกแล้ว มีการทำความสะอาดทุกอย่างสินค้าเหล่านั้นยังใช้ได้เหมือนเดิมตามปกติดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจและอุดหนุนสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาครได้ตามปกติ หากทำความสะอาดก่อนที่จะปรุงสุกแล้วเชื้อโรคก็ไม่ได้ทนทาน ยืนยันเรื่องความปลอดภัย ขอให้ทุกคนช่วยกัน

นายกรัฐมนตรีได้กำชับในศบค. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมเข้าไปตรวจสอบคุณภาพถึงสถานที่ผลิตเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าสินค้าที่ออกมานั้นเกิดความมั่นใจต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้นในจังหวัดก็ต้องให้ความร่วมมือร่วมใจและขอให้ประชาชนทั่วไปมีความมั่นใจด้วย

ส่วนกรณีที่คนไทยในประเทศเกาหลีใต้ ติดโควิด-19 มากกว่า 30 คนนั้น โฆษก ศบค.กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ที่ประชุมศบค. ชุดเล็กได้มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยรักษาการอธิบดีกรมการกงสุลกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าทางสถานเอกอัครราชทูตณกรุงโซล ประเทศเกาหลี รายงานมาว่ามีการติดจริง 31 คนในเมืองชอนัน จ.ชุงชองใต้

ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งทางใต้ของกรุงโซลประมาณ 80 กิโลเมตรซึ่งพบว่า เป็นชาวไทยติดเชื้อเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1 ราย และได้ทำการตรวจผู้สัมผัส กับผู้ป่วยดังกล่าวและผู้มีความเสี่ยง ที่ร้านขายอาหารไทยแห่งหนึ่ง จำนวน 90 ราย พบว่ามีการติดเชื้อ ในชาวไทยเพิ่มขึ้นอีก 31 คนและอยู่ระหว่างการตรวจรอยืนยันอีก 28 คน

ตอนนี้จะได้มีการเชื่อมโยงไปมา ตามที่เราเคยมีการดูแลข้ามประเทศโดยใช้ การติดต่อผ่านทางออนไลน์ , เฟสไทม์ , วีดีโอคอนเฟอเรนซ์กัน โดยกลุ่มทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขได้ติดต่อกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้แล้ว เพื่อดูแลเรื่องการติดเชื้อว่าอะไรเป็นอย่างไร ขณะนี้ทีมแพทย์จากกรมการแพทย์ได้ตั้งกลุ่มไลน์และได้ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

โฆษกศบค. ยังกล่าวถึงกรณีชาวต่างชาติไม่ปฏิบัติตามมาตการป้องกันการติดเชื้อว่าว่า ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ได้เข้มงวดในการทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 และขณะนี้เราได้ประกาศอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ 100% ต้องสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า

ดังนั้นทุกคนต้องเตือนกันได้ว่าใครที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยต้องเตือนกันได้โดยไม่ถือโทษโกรธกัน ซึ่งทาง ผู้ช่วยโฆษกศบค. จากกระทรวงการต่างประเทศจะได้ประสานข้อมูลไปยังผู้ที่เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยเพื่อขอความร่วมมือในการที่จะต้องปฏิบัติตนให้เหมือนกับคนไทยทุกคน

เมื่อมาอยู่ร่วมกันในประเทศไทยก็ต้องเลือกที่จะใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรครวมกันเหมือนอย่างที่เราทำได้ผลมาแล้ว เพราะตัวเลขการติดเชื้อครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้วเพราะฉะนั้นเราต้องจะเข้มมากกว่าครั้งก่อนอีกมาก เช่นในต่างจังหวัดมีชาวต่างชาติทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยและสวมใส่หมวกกันน็อคขณะขับขี่รถจักรยานยนต์

ดังนั้นคงถือว่าเป็นส่วนน้อยที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุข ดังนั้นขอความร่วมมือให้ 100% ดังนั้นขอฝากให้ทุกคนดูแลป้องกันตัวเองด้วย และต้องขอความร่วมมือให้เราปฏิบัติกันสักพักใหญ่ๆ เพื่อต้องการให้ตัวเลขสองถึงสามหลักที่เกิดขึ้นในขณะนี้ลดลงให้ได้โดยเร็ว

ความร่วมมือของคนไทยและคนต่างชาติต้องร่วมมือกันเราจึงจะมีอิสรภาพอย่างนี้ได้เพราะถ้าไม่ร่วมมือความเข้มข้นก็จะต้องตามมาโดยที่คงไม่มีใครชอบที่จะถูกจำกัดอิสรภาพต่าง ๆ ดังนั้นขอความร่วมมือไปยังพี่น้องชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ด้วย

ทั้งนี้ หากประชาชนจะเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงวันหยุดยาวปี สามารถตรวจสอบข้อมูล ผ่านการแถลงข่าวของศบค.ได้ทุกวัน ทั้งในเรื่องตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายจังหวัด ส่วนการเดินทางขณะนี้จำกัดเฉพาะจังหวัดสมุทรสาครที่กำหนดว่าไม่ควรเดินทางออกนอกจังหวัด

ส่วนจังหวัดอื่นๆยังสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่พยายามอย่าเดินทางไปในที่ที่เป็นสถานที่ชุมชน แต่การจะไปเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นก็ยังสามารถเดินทางได้ ยังไม่มีการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดแต่อย่างใด ดังนั้นขอให้ติดตามเป็นรายวันไป

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้รวมศูนย์แถลงข่าวมาที่ทำเนียบรัฐบาล มีความกังวลว่าตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะไม่อัพเดท ช้ากว่าข้อเท็จจริง จะมีการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละพื้นที่สามารถแถลงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันประชาชนสับสนและคลายความกังวลหรือไม่

โฆษกศบค.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความสับสนในพื้นที่และมีความกังวลเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากข้อมูลที่เข้ามาในส่วนกลางไม่ได้เป็นทางเดียวแต่ออกมาเป็นคนละทิศและทางดังนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศบค. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจึงให้มีการรวมศูนย์ชุดข้อมูล ให้เป็นเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นขอให้ทุกคนทราบว่าชุดข้อมูลที่เป็นชุดเดียวในเวลาที่ใช้แถลงข่าว 11.30 น. ในรอบ 24 ชั่วโมงมาแถลงข่าวเพื่อรายงานหนึ่งครั้งนั้นถือว่าไม่ช้าจนเกินไป ไม่มีอะไรต้องเร่งด่วนมากขนาดนั้น และความเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยอยากจะได้ข้อมูลรวดเร็วแต่ปรากฏว่ายังบวก ๆ ลบ ๆ จึงเกิดความผิดพลาดกันไปใหญ่ เหมือนกับที่ขณะนี้มีข้อมูลว่ามีผู้ติดเชื้อแล้ว 36 จังหวัด แต่เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกยังอยู่ที่ 31 จังหวัดแต่หากจะถามว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็รอในรอบ 24 ชั่วโมงก็ถือว่าไม่ช้าเกินไป

เพราะขณะนี้เราไม่ได้มีการล็อคดาวน์แต่อย่างใด ดังนั้นความถูกต้องและละเอียดของข้อมูลจึงต้องเน้นย้ำ ตนมั่นใจที่จะเสนอต่อทุกคน ดีกว่าข้อมูลออกไปหลายรอบแล้วไม่ตรงกัน สื่อ แต่ละสื่อก็จะไปนำเสนอเองทำให้เกิดความงุนงงขึ้นในสังคม ดังนั้นขอใช้ช่องทางศูนย์แถลงข่าวของศบค.แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพียงช่องทางเดียว เหมือนอย่างที่เราทำกันมาตลอดและเป็นรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับได้โดยไม่มีการปกปิดข้อมูล

“ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะก้าวไปด้วยกันจึงขอเน้นย้ำในข้อเท็จจริงที่เราร่วมมือขอให้คงไว้ให้นานที่สุด ภาครัฐและภาคเอกชนภาคประชาชนประชาสังคมขอให้รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสู้กับไวรัส โควิด-19 ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ เป็นพันคนแล้ว และกระจายไปในหลายจังหวัดเราก็ไม่ได้เพิ่งเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้น ขอให้ย้อนไปในประสบการณ์ที่ผ่านมา

เราก็ผ่านมาแล้วดังนั้นขอความร่วมมือกันอีกครั้งหนึ่งถึงแม้ว่าปีใหม่นี้ทุกคนอยากจะสนุกสนานจึงขอร้องว่าให้ลดน้อยลงกันสักนิดขอให้มีความสุขกันได้โดยมีหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ที่จะช่วยทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ในทุกที่มีความปลอดภัยดังนั้นขอย้ำให้ช่วยกันสวมใส่และมีความสุขในบรรยากาศปีใหม่กับครอบครัว ขอให้ทุกคนต่างช่วยกันและเราจะผ่านพ้นไปด้วยกัน”

เตรียมตั๋วพักผ่อนกันได้เลย (หากโควิด-19 จาง) หลังรัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ.64

วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน ถึงการเตรียมการเพื่อกำหนดวันหยุดเฉพาะกิจในปี 64 เพิ่มเติม

โดยเบื้องต้นที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันว่า ในปีหน้ารัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ. 64 เพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ

ส่วนอีกกรณีนั้น ที่ประชุมเห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสม คือการเพิ่มวันหยุดในช่วงเทศกาล หรืองานประเพณีต่างๆ ของจังหวัดหรือภูมิภาคนั้นๆ เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟ เทศกาลเข้าพรรษา หรือเทศกาลกระทงที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด

ก็อาจประกาศให้เป็นวันหยุดในภูมิภาคนั้น ซึ่งจากนี้ทุกหน่วยงานจะไปดูรายละเอียดอีกครั้งว่า วันหยุดในช่วงเทศกาลนั้นจะให้หยุดในระดับกลุ่มจังหวัด หรือหยุดในภูมิภาคนั้นเลย เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟในภาคอีสานก็ให้ภาคอีสานมีวันหยุดเพิ่มเติมเฉพาะภูมิภาคนั้น ซึ่งทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

รายงานฉบับล่าสุดจากธนาคารโลกระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวสู่ภาวะปกติเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ควบคุมโรคระบาดอันมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนเชิงนโยบายที่แข็งแกร่ง และการส่งออกที่ยืดหยุ่นของจีน

จากรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนจะเติบโตร้อยละ 2 ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 ในปี 2021

อย่างไรก็ตามสภาพการณ์ภายนอก (จีน) จะยังคงเป็นเรื่องท้าทายและไม่แน่นอนสูง โดยในรายงานระบุว่า พ้องกับความเห็นจากที่ประชุมทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อ 18 ธันวาคม ที่ชี้ว่าจีนยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากภายนอกท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังไม่อยู่ในระดับมั่นคง

ยิ่งไปกว่านั้น ในรายงานยังได้แนะนำให้ประคับประคองความไม่แน่นอนในระยะใกล้ด้วยการปรับใช้กรอบนโยบายอันยืดหยุ่น เพื่อรักษาฝีก้าวการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของจีนและของโลกให้เหมาะสมกัน

โดยการออกนโยบายก่อนเวลาอันควรและการจำกัดควบคุมมากเกินไป อาจจะบั่นทอนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รายงานระบุ นอกจากนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นและเน้นการสนับสนุนแล้ว จีนควรใช้พื้นที่การคลังเพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง พร้อมรับรองความราบรื่นของการหมุนเวียนอุปสงค์จากภาครัฐสู่เอกชน

รายงานยังเรียกร้องจีนปรับเปลี่ยนเป้าหมายการคลังจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมเป็นการใช้จ่ายทางสังคมและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิม


ที่มา: Xinhuathai


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top