Wednesday, 22 January 2025
NEWS FEED

‘แรมโบ้’ รวมพล 15 องครักษ์ เปิดวอร์รูมพิทักษ์ ‘บิ๊กตู่’ รับมือ ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชงเสนอญัตติเนื้อหาใหม่ไม่เกี่ยวข้องสถาบัน เผยไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงหน้าสภาเกิดขึ้นอีก

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ว่า มีประชาชนจำนวนมากรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งจะมีการอภิปรายประมาณวันที่ 16 - 19 ก.พ.

ในเนื้อหาญัตติดังกล่าวมีการกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่มีมูลความจริงสักเรื่อง สิ่งที่ประชาชนฝากถึงฝ่ายค้านมาคือต้องการให้ฝ่ายค้านถอนญัตติออกเสีย และยื่นเข้ามาใหม่ให้มีเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง

และอย่าได้เอาสถาบันมาเกี่ยวข้องเด็ดขาด เพราะในการอภิปราย อาจจะมีสส.พรรคฝ่ายค้านบางคนที่รับงานมาจากคนที่คิดล้มล้างสถาบัน อภิปรายพาดพิงเอาเรื่องสถาบันมาโจมตี จาบจ้วง ก้าวล่วง ทำให้เกิดความเสียหาย

ดังนั้นประชาชนที่ปกป้องสถาบันอาจออกมาชุมนุมหน้าสภาฯประท้วงฝ่ายค้านขึ้นมาอีก ตนไม่อยากให้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น อยากเห็นบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์รุนแรงหน้าสภาเกิดขึ้นมาอีกรอบ

ตนคิดว่าฝ่ายค้านควรฟังเสียงสะท้อนของประชาชน ควรทบทวนญัตติดังกล่าว นี่คือเสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนที่ปกป้องสถาบันฝากมาถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าควรเสนอญัตติในเนื้อหาใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องสถาบัน เพราะเรื่องนี้กระทบใจและอ่อนไหวมากพึงควรระวัง

การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับศึกอภิปราย ในทีมงานของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี จะจัดตั้งทีมงาน "วอร์รูมนอกสภา" ประมาณ 15 คน มีทั้งอดีตรัฐมนตรีและอดีตสส.ตลอดจนมือกฎหมายอาชีพ อาทิ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ นายนิทัศน์ เตียวเจริญโสภา นายทศพล เพ็งส้ม

นายอภิวัฒน์ ขันทอง นายทวี สุระบาล นายชื่นชอบ คงอุดม นายเนวิน ช่อชัยพฤกษ์ นายสรสินธ์ ไตรจักรภพ นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช เป็นต้น และ นายธนากร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาร่วมทีมด้วย คาดว่าจะเชิญทั้ง 15 คน มาร่วมประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมภายในอาทิตย์หน้า

‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน จี้รัฐแก้ไขปมเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ชี้เป็นความบกพร่องในการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ การไล่เบี้ยเรียกคืนเงินจากผู้สูงอายุเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายจังหวัด เรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องจากได้รับเงินบำนาญพิเศษตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว

อาทิ คุณยายอายุ 89 ปีชาว ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ คุณยาย อายุ 89 ปี ซึ่งอาศัยอยู่จังหวัดเชียงราย ผู้สูงอายุ 13 รายชาวตำบลจอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผู้สูงอายุที่จังหวัดชัยนาท และอีกหลาย ๆ จังหวัดทำให้ผู้สูงอายุที่ถูกเรียกคืนเงินดังกล่าวเดือดร้อนกันทั่วประเทศนั้น

จากหลักเกณฑ์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2561 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ว่าจะต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินบํานาญ เบี้ยหวัด บํานาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันด้วยนั่นเอง

แต่ทว่า เมื่อฟังเสียงจากผู้สูงอายุต่างๆ เหล่านั้นแล้วจะพบว่า ต่างได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุไว้โดยสุจริต (ฟังได้ว่าคุณยายต่างๆเหล่านั้นไม่ทราบข้อกฎหมาย/ข้อเท็จจริง) และหากคุณยายเหล่านั้นรับเงินไว้โดยสุจริตและได้นำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่จะถูกเรียกคืน คุณยายหล่านั้นไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวก็ได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.412 (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559)

กรณีที่เกิดขึ้นนี้ต้องถือเป็นความบกพร่องในการตรวจสอบตรวจทาน เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จึงต้องไปไล่เบี้ยกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงจะชอบ การที่กรมบัญชีกลางทำหนังสือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ไปไล่เบี้ยเรียกคืนเงินจากผู้สูงอายุ จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันพฤหัสที่ 28 ม.ค.63 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ห้อง 903 ศูนย์ราชการฯ อาคาร B หลักสี่ กทม. เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.230(1) และ(2) ประกอบ พรป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 ม.22 (1) และ(2) ในการสั่งให้ รมว.มหาดไทย แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552

และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2561 ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติข้อดังกล่าวเสีย และสั่งให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางระงับการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทั่วประเทศที่ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ครม. เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพิ่มแนวทางการนำผู้ต้องกัก ออกมาทำงานกับนายจ้างที่มีความประสงค์จ้างงาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ระบาดต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงการระบาดระลอกใหม่ที่เป็นวงกว้างกระจายไปหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว จนทำให้การดำเนินการตามแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีในหลายครั้งที่ผ่านมาเกิดความล่าช้า ในขั้นตอนการตรวจสุขภาพและการต่อวีซ่าไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด

ซึ่งจะทำให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติดังกล่าว อยู่ในสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงกลุ่มผู้ต้องกักที่ดำเนินคดีเสร็จสิ้นและรอการส่งกลับ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากการปฏิเสธรับแรงงานกลับของประเทศต้นทาง ประกอบกับมาตรการงดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เนื่องจากให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยต่อสุขอนามัยของประชาชนในประเทศไทยเป็นอันดับแรก

ตามแนวทางการบริหารของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นขจัดปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในทุกมิติ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพไปพร้อมกัน

“ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ เรื่องทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก ดังนี้

1.) เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่คนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ออกไปอีก 6 เดือน โดยให้การขยายระยะเวลาดังกล่าวครอบคลุมไปถึงคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MOU) ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 2 ปี ด้วย

2.) เห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ดังนี้

2.1) เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 ออกไปถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 รวมแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน และสำหรับการตรวจโรคโควิด - 19 ยังให้อยู่ในกรอบระยะเวลาเดิม คือ ต้องตรวจโรคโควิด - 19 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564

2.2) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตรของคนต่างด้าวที่มีนายจ้างออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และคนต่างด้าวซึ่งไม่มีนายจ้างที่ในเวลาต่อมามีนายจ้างออกไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

2.3) เห็นชอบให้มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคล (Biometric) โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการตรวจโรคโควิด – 19 เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าวและความมั่นคงของประเทศ และส่งข้อมูลให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน

2.4) เห็นชอบแนวทางการตรวจโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะให้สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจโรคโควิด - 19 ให้กับคนต่างด้าวได้ สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลเรียกเก็บให้เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

2.5) เห็นชอบให้คนต่างด้าวที่ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดแล้วตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อโรคโควิด - 19 หากได้รับการรักษาจนหายให้สามารถกลับเข้ามาขอรับอนุญาตทำงานได้แต่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้หายป่วยจากโรคโควิด – 19

3.) เห็นชอบแนวทางการนำผู้ต้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่สมัครใจจะทำงานออกมาทำงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีความประสงค์จะจ้างงาน ” รมว.แรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า การทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ตามที่เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี มีกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องบริหารจัดการ รวมทั้งสิ้น 2,335,671 คน ได้แก่

1.) กลุ่มที่ถือบัตรสีชมพู จำนวน 1,400,387 คน ประกอบด้วย

1.1) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 20 สิงหาคม 2562 มีจำนวน 1,162,443 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

1.2) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 มีจำนวน 237,944 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

2.) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตาม MOU จำนวน 434,784 คน ประกอบด้วย

2.1) แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MOU ตามมติคณะรัฐมนตรี 10 พฤศจิกายน 2563 มีจำนวน 119,094 คน

2.2) แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MOU ที่วาระการจ้างงานครบ 2 ปีแรก 315,690 คน

ทั้งสองกลุ่มอยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa จึงขอขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งกลุ่มนี้ทยอยครบกำหนด โดยสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565

3.) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นลงทะเบียน คาดว่ามีจำนวนประมาณ 500,000 คน จัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าว และความมั่นคงของประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ตรวจโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองส่งข้อมูลคนต่างด้าวที่ได้จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว เพื่อให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงานต่อไป

4.) กลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งไว้มีจำนวนประมาณ 500 คน

ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

รัฐบาลอังกฤษ เล็งออกแผนให้กักตัวผู้เดินทางเข้าสหราชอาณาจักร ในโรงแรมเป็นเวลา 10 วัน พร้อมออกค่าโรงแรมเอง ประมาณ 1,500 ปอนด์ ราว 60,000 บาท เฉลี่ยค่ากักตัวในโรงแรม พร้อมอาหารสามมื้อ ต่อห้องต้องจ่าย 100 ปอนด์ หรือ 4,000 บาท ต่อคนต่อวัน

ชาวอังกฤษที่เดินทางกลับเข้ามาจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ที่ซึ่งมีการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ อย่างเช่น ประเทศบราซิล และ แอฟริกาใต้ จะถูกให้กักตัวอยู่ในโรงแรมแถวสนามบินเป็นเวลาสิบวัน

ขณะนี้ชาวต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้าสหราชอาณาจักรเมื่อเดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ รัฐบาลจึงกำลังมองหาการขยายข้อกำหนดการกักตัวในโรงแรมสำหรับผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินและท่าเรือจากทุกแห่งที่เดินทางมาจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยการนำร่องกระบวนการนี้กับกลุ่มคนจำนวนน้อยก่อน

นายกฯบอริส จอห์นสันจะมีประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (26/01/2021) เพื่อลงนามในแผนพร้อมกับการตัดสินใจที่จะประกาศในบ่ายวันนี้หรือพรุ่งนี้

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินทางมาถึงสหราชอาณาจักร?

นักท่องเที่ยวต้องเผชิญกับการกักบริเวณจะถูกนำขึ้นรถบัสไปยังโรงแรมซึ่งจะต้องอยู่ต่อเป็นเวลาสิบวัน (คล้ายที่ประเทศไทยทำอยู่)

เจ้าหน้าที่ได้เริ่มพูดคุยกับกลุ่มโรงแรมเกี่ยวกับการบล็อกการจองห้องพักที่สามารถใช้แยกในการกักตัวได้

ในออสเตรเลียผู้คนจะต้องอยู่ในห้องตลอดเวลาโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราตามทางเดิน ห้ามพนักงานของโรงแรมทำความสะอาดห้องพักระหว่างการเข้าพัก

คุณสามารถอัพเกรดโรงแรมของคุณได้หรือไม่?

นักท่องเที่ยวจะไม่ได้รับตัวเลือกโรงแรม ในออสเตรเลียผู้คนไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะพักที่ไหนและได้รับคำเตือนว่าไม่มีการรับประกันว่าจะสามารถเข้าถึงระเบียงหรือหน้าต่างที่เปิดได้

คุณควรทำอะไรทั้งวัน?

ในออสเตรเลียไม่อนุญาตให้ออกกำลังกายข้างนอก เพื่อให้แขกได้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายหรือเล่นโยคะในห้องของตน

คำแนะนำที่มอบให้กับนักเดินทางเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการกักตัวในโรงแรมแนะนำให้วางแผนกิจกรรมต่างๆ เพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวัน ตัวอย่างกอจกรรมเหล่านี้ได้แก่ การติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว , การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศบนแอปโทรศัพท์มือถือ, การลองงานอดิเรกใหม่ ๆ เช่นการถักไหมพรม, การประดิษฐ์ตัวอักษร หรือ จัดการกับธุระส่วนตัว

คำแนะนำคือให้วาง 'รางวัล' เพื่อหวังผลจากการทำกิจกรรม เช่นการโทรศัพท์คุยกับคนที่คุณรักหรือการส่งของให้กัน ผู้ที่แชร์ห้องร่วมกับแฟนและสมาชิกในครอบครัวควรตั้งกฎพื้นฐานสำหรับการเข้าพัก เช่น การกำหนดเวลาในแต่ละวันเมื่อทุกคนทำกิจกรรมแบบ 'เงียบ' เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

ฤดูร้อนที่ผ่านมาการระบาดของไวรัสโคโรนาในเมลเบิร์น ประนามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปนอนกับแขกที่ในพักในโรงแรมกักตัวแห่งหนึ่ง

ใครเป็นคนจ่ายบิลโรงแรม?

รัฐบาลจะจัดรถรับส่งสำหรับผู้เดินทางมาถึงสหราชอาณาจักรไปยังที่พักของพวกเขา แต่พวกเขาจะต้องจ่ายค่าห้องพักในโรงแรมเองซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ปอนด์ หรือราว 60,000 บาท ในอังกฤษ ส่วนในออสเตรเลีย จะเสียค่าใช้จ่าย 14 วันในโรงแรมกักตัวคือ 1,692 ปอนด์ หรือราว 68,000 บาท ส่วนนิวซีแลนด์ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,630 ปอนด์ ราว 65,000 บาท และ ในประเทศไทย ค่าห้องพักกักตัวอยู่ที่ 642 ปอนด์ หรือประมาณ 26,000 บาท


ที่มา : เพจ Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3768126303226353&id=178210772217942

https://www.dailymail.co.uk/.../Who-forced-quarantine...

แกนนำคณะราษฎร 2563 ‘อานนท์ นำภา’ ถูกสภาทนายความฯ ตั้งกรรมการสอบมรรยาท จากการปราศรัย “แฮรี่พอตเตอร์” เมื่อปีก่อน เจ้าตัวโวยไร้สาระ ระบุการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ใช่การทำหน้าที่ทนายความ ลั่นถ้าถูกถอดใบอนุญาตจะไปขายลาบก้อย

นายอานนท์ นำภา ทนายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และแกนนำคณะราษฎร 2563 ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นภาพเอกสารจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีมรรยาททนายความ

โดย นายอานนท์ ระบุว่า กลับจากฟังคำพิพากษาเหนื่อยๆ มาเจอหนังสือจากสภาทนายความสอบมรรยาททนายความเพื่อขอให้เพิกถอนใบอนุญาต จากการปราศรัย “แฮรี่พอตเตอร์” เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ราชดำเนิน

จริงๆ เรื่องนี้ไร้สาระมาก สภาทนายฯ ไม่ควรไปรับเรื่องแต่แรก เพราะการเคลื่อนไหวการเมือง ไม่ใช่การว่าความหรือการทำหน้าที่ทนายความ ที่สำคัญ การเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในภาวะที่กษัตริย์ขยายอำนาจจนกระทบระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่คนเรียนกฎหมายควรทำด้วยซ้ำ

ก็ว่ากันไป ถ้าอยากถอดใบอนุญาตว่าความผมก็ทำไป ไม่ได้เป็นทนายก็ไปขายลาบขายก้อยก็น่าจะรวยก็มาทำคดีช่วยคนแบบทุกวันนี้

ที่มา : เพจ อานนท์ นำภา (https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4980379198670103&id=100000942179021)

‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศกร้าว เปลี่ยนยานพาหนะของรัฐบาลส่วนกลางทั้งหมดมาเป็น ‘รถยนต์ไฟฟ้า’

ทั้งนี้ จากรายงานปี 2019 เกี่ยวกับยานพาหนะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีจำนวนอยู่ทั้งหมดราวๆ 645,000 คัน โดยแบ่งใช้งานในหน่วยงานต่างๆ ได้แก่

...ยานพาหนะพลเรือน 245,000 คัน

...ยานพาหนะทางทหาร 173,000 คัน

...และ ยานพาหนะหน่วยไปรษณีย์ 225,000 คัน

เป้าหมายของการปรับเปลี่ยนยานยนต์หลวงทั้งหมดนี้ จึงเป็นอีกนโยบายเร่งด่วน เพื่อที่จะแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน โดย ‘โจ ไบเดน’ หวังที่จะเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้าใหม่บนท้องถนนอเมริกาให้ได้ 1 ล้านคัน ซึ่งเขาเตรียมที่จะสนับสนุนการสร้างที่ชาร์จไฟสาธารณะที่ใช้พลังงานสะอาด ให้ทุกคนสามารถใช้ได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ

“รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของยานพาหนะจำนวนมหาศาล และเราจะแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่จะถูกสร้างขึ้นที่นี่ ที่อเมริกา โดยแรงงานชาวอเมริกัน” นี่คือคำกล่าวของ ‘โจ ไบเดิน’ ถึงภารกิจดังกล่าว (คลิป>> https://twitter.com/ABCNewsLive/status/1353809013348171778)

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเริ่มเปลี่ยนยานพาหนะของรัฐบาลกลางเมื่อไหร่ เปลี่ยนภายในเวลากี่ปี และแทนที่ด้วยรถอะไร ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไป

แต่นี่ถือเป็นนโยบายใหม่ที่น่าจับตาภายใต้แผน Buy Americanเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยบริษัทที่ผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายนี้โดยตรง คงหนีไม่พ้น Tesla, GM, Nissan และ Ford

สหรัฐอเมริกาในยุคของ โจ ไบเดน จะสามารถทำให้ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มได้มากขึ้น และต่อกรกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่กำลังมาแรงได้มากแค่ไหน คงต้องตามดูหลังจากนโยบายนี้ถูกผลักออกไป


ที่มา :

https://www.theverge.com/.../biden-electric-vehicle...

https://insideevs.com/.../president-biden-replace.../...

https://electrek.co/.../president-biden-will-make.../...

กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศขยายเวลาการขอมีบัตร-เปลี่ยนบัตรประชาชนใหม่ จากภายในกำหนดหกสิบวัน เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ซึ่งสถานการณ์มีการแพร่ระบาดของโรคออกเป็นวงกว้างกระจายไปในหลายพื้นที่ มีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศมีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละวัน

ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือสถานที่ชุมนุมชนต่างๆ เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฯ และระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ตามนโยบาย ศบค.และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ขอรับบริการ จึงใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลงวันที่ 12 ม.ค.

โดยให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรในทุกท้องที่จังหวัดและกรุงเทพฯ จากภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย. ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 26 ม.ค.

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่างทางสังคม ไม่อยู่ในกิจกรรมแออัดซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด เพื่อเป็นการป้องกันตนเองและหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้โดยเร็วที่สุด

กระทรวงแรงงาน เตรียมนำทีมร.พ.กล้วยน้ำไท มอบทุน - สร้างอาชีพทั่วประเทศ ในโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ ช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เปิดเผยว่า เนื่องจากทั่วโลกต่างเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เด็กเกิดใหม่ลดลง ผู้สูงอายุเริ่มมากขึ้น ประเทศไทยก็เช่นกัน รัฐบาลไทยจึงกำหนดให้สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากอัตราส่วนของวัยแรงงาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิงสูงขึ้นไปอีก

ผู้สูงอายุบางรายสุขภาพยังแข็งแรง สามารถทำงาน ช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการคนดูแล ในส่วนนี้เองที่รัฐบาลต้องจัดบริการดูแลและควรจัดให้มีขึ้น ความต้องการมีบุคลากรเพื่อทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว เช่น การอาบน้ำ แต่งตัว การรับประทานอาหาร รวมไปถึงดูแลเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ในทุกรูปแบบจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยได้จัดทำโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส และขาดแคลนทุนทรัพย์ที่ต้องการศึกษาในหลักสูตรระยะสั้นและต้องการมีงานทำที่มั่นคง ได้เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุเป็นระยะเวลา 6 เดือน ณ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท

โดยจะได้รับการสนับสนุนทุนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดหลักสูตร เมื่อจบการศึกษาจะได้เข้าทำงานในกลุ่มเครือบริษัทกล้วยน้ำไทเป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นสามารถเลือกทำงานต่อหรือไปทำงานที่องค์กรอื่นได้ โดยในวันที่ 30 มกราคม 2564 ที่จะถึงนี้ จะได้นำทีมผู้บริหารจากโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้สนใจสมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว

และหลังจากนั้นจะได้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปภาคเหนือและอิสาน เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงครอบคลุมทั้งประเทศ โดยหวังว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการศึกษาจะได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีโอกาสก้าวหน้าด้านการประกอบอาชีพและมีงานทำต่อไป

“การทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุเป็นงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามที่ตนต้องการ ถึงแม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยไป และมีโรคเรื้อรัง ต่าง ๆ อยู่ก็ตาม ดังนั้น จะต้องปรับการดูแลให้เหมาะสม โดยหลักสำคัญ คือ ต้องให้ผู้สูงอายุเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด และมีความสุขกายสบายใจในบั้นปลายของชีวิต” รมช. แรงงาน กล่าวท้ายสุด

รัฐบาลเกาหลีเหนือได้เริ่มออกกฏหมายต่อต้านสื่อบันเทิงต่างชาติ โดยเฉพาะสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ แม้แต่จะแสดงความชื่นชอบ หรือเลียนแบบวัฒนธรรมก็ไม่ได้ หวีดอปป้าอาจโดนโทษหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตในค่ายกักกันแรงงาน

เมื่อไม่นานมานี้ ที่เกาหลีเหนือได้ออกกฏหมายใหม่ สั่งแบนสื่อบันเทิงของต่างชาติ โดยเฉพาะสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร ซีรียส์ ดนตรี K-Pop และสื่อลามกอนาจาร หากพบว่าใครมีสื่อบันเทิงต่างชาติในครอบครอง หรือแสดงออกว่านิยมชมชอบ เป็นติ่ง เป็นแฟนคลับ มีโทษหนัก ทั้งจำ ทั้งปรับ นานสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ถ้าจับได้ว่านอกจากจะเสพ ขาย แล้วยังผลิต ลักลอบนำเข้า สื่อบันเทิงเกาหลีใต้ หรือมีอุปกรณ์รับชม เช่น วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือต่างชาติที่ไม่ใช่สินค้าของรัฐบาล หรือที่บ้านเราเรียกว่าของเถื่อน หิ้วข้ามชายแดนเข้ามาเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นแบรนด์ดังของเกาหลีใต้ อาจโดนโทษหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตในค่ายกักกันแรงงาน

โทษในการครอบครองสินค้าจากเกาหลีใต้ว่าหนักแล้ว แต่หากพบว่าเป็นแบรนด์จากสหรัฐ หรือญี่ปุ่น โทษหนักกว่านั้น เพราะหมายถึงการทรยศชาติซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต

สำนักข่าว Daily NK ได้อ้างอิงแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ของตัวเองในเกาหลีเหนือ ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือได้เริ่มออกกฏหมายต่อต้านสื่อบันเทิงต่างชาติ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ห้ามชาวเกาหลีเหนือเสพสื่อบันเทิงต่างชาติ ที่อาจทำลายค่านิยมความเป็นเกาหลีเหนือ

อันเนื่องจากมีการแอบลักลอบเอาสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ เข้ามาขายในตลาดมืดของเกาหลีเหนือ และก็ได้รับความนิยม จนเริ่มมีวัฒนธรรมการพูดคุยด้วยศัพท์แสลง หรือสำเนียงของเกาหลีใต้ในบ้านโสมแดงมากขึ้น จนถึงขั้นแอบมีบ่นว่าอยากให้เกาหลีเหนือพัฒนาสื่อบันเทิงให้ได้แบบเกาหลีใต้บ้าง

ซึ่งนั่นถือว่าเป็นสัญญาณไม่ค่อยดีสำหรับรัฐบาลคิม เพราะอาจให้ชาวเกาหลีเหนือซึมซับค่านิยมของโลกเสรี ผ่านทางสื่อบันเทิงเหล่านี้

ว่าแล้วทางเกาหลีเหนือก็ไม่รอที่จะตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการออกกฏหมายแบนสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ แม้แต่จะแสดงความชื่นชอบ หรือเลียนแบบวัฒนธรรมเกาหลีใต้ก็ไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น การพูดจาสำเนียงแบบคนเกาหลีใต้ หรือการเรียกใครว่า โอ้ปป้า ทงแซง ทั้งๆที่เขาไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็เข้าข่ายผิดกฏหมายแล้ว เพราะมันเป็นวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ ที่พบเห็นบ่อยๆ ในหนัง ในละครนั่นเอง

เมื่อเพิ่มระดับการแบนสื่อบันเทิงจากต่างประเทศ ก็ต้องยกระดับการเผยแพร่สื่อบันเทิงของเกาหลีเหนือด้วย ให้ชาวเกาหลีเหนือได้มีอะไรมาดูแทน จะได้ไม่เครียด (หรืออาจจะเครียดหนักกว่าเดิม)

ซึ่งคิม จอง-อุน หรือน้องพลับของเราก็ประกาศว่าจะพัฒนา ระบบอินเตอร์เนต wifi ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จะปรับปรุงสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ให้ทันสมัย คม ชัด ใสยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือหน้าน้องพลับ จะปรากฏในสื่อทุกช่องทาง จะไม่ให้เปลี่ยนช่องหนีไปไหนได้เลยทีเดียว

นับเป็นข่าวร้ายสำหรับแฟนคลับโอ้ปป้าชาวเกาหลีเหนือยิ่งนัก ให้กินดิน กินแกลบยังพอรับ แต่ให้พรากจากโอ้ปป้าที่รัก รับไม่ได้


แหล่งข้อมูล

https://www.reuters.com/.../north-korea-cracks-down-on...

https://www.scmp.com/.../no-south-korean-culture-north...

https://www.usnews.com/.../north-korea-cracks-down-on...

https://www.straitstimes.com/.../north-korea-cracks-down...

ที่มา: เฟซบุ๊ก หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/104132041212023/posts/231893531769206/

ทะเลจีนใต้เดือด !!! เมื่อจีนผ่านร่างกฏหมายใหม่ สั่งให้ยิงเรือต่างชาติได้ทุกลำที่ละเมิดน่านน้ำจีน การขยับตัวอย่างแข็งกร้าวที่พร้อมฟาดทุกชาติที่ขวางหน้า ทำให้ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ร้อนแรงขึ้นไปอีก

เมื่อวันศุกร์ (22 มกราคม) ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ออกร่างกฏหมาย ที่เรียกว่า The Coast Guard Law หรือกฏหมายพิทักษ์ชายฝั่ง ที่จะเพิ่มอำนาจให้หน่วยพิทักษ์ชายฝั่งของจีนสามารถยิงเรือต่างชาติได้ทุกลำที่เห็นว่าละเมิดน่านน้ำจีน โดยไม่เกี่ยงอาวุธ เพื่อเป้าหมายเดียวคือ ปกป้องเขตน่านน้ำของจีนบริเวณชายฝั่งตะวันออก และทะเลจีนใต้

นอกจากจะยิงทิ้งเรือต่างชาติได้แล้ว กฏหมายฉบับใหม่นี้ ยังอนุญาตให้ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างบนพื้นที่ ดินแดน แนวหิน แนวปะการัง ที่จีนเคลมว่าเป็นเขตพื้นที่ของตนได้ทันที ตามดุลยพินิจของหน่วยพิทักษ์ชายฝั่ง

หมายความง่าย ๆ คือ เห็นประเทศไหน ไสเรือแหยมหน้ามา สามารถยิงสวนก่อนได้เลย แล้วค่อยรายงานรัฐบาลกลางทีหลัง

พอทางจีนผ่านกฏหมายใหม่นี้ออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในทะเลจีนใต้ กลายเป็นทะเลจีนเดือดขึ้นมาทันที เพราะคู่กรณีของจีนในทะเลจีนใต้ก็มีไม่ใช่น้อยๆ ไล่มาตั้งแต่ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนิเซีย บรูไน

ที่บัญชีหนังหมายาวเป็นหางว่างเช่นนี้ ก็เพราะพี่จีนเล่นลากเส้นประกาศเขตของตัวเอง ที่เรียกว่า nine-dash line ออกมาทับพื้นที่เขตน่านน้ำของประเทศอื่นในย่านทะเลจีนใต้หมด ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตที่ไม่มีชาติไหนรับรอง แต่ทางจีนก็ยังยืนยันอ้างสิทธิ์ในน่านน้ำของตน

และเมื่อจีนได้ผ่านร่างกฏหมายพิทักษ์นี้ออกมา ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ก็ไม่ต่างจากประกาศเปิดศึกกับทุกประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ทะเลจีนใต้ร่วมกันดีๆนี่เอง

อันเนื่องจาก กองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งของจีนนั้นก็ไม่ใช่กรมเจ้าท่าธรรมดา แต่ไม่ต่างจากกองทัพเรือขนาดย่อมเลยทีเดียว ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำการมากกว่า 16,000 นาย มีกองเรือลาดตระเวนติดอาวุธกว่า 164 ลำ ที่บางลำติดปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานอีกต่างหาก

และงบประมาณที่ทางการจีนทุ่มให้กับกองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งก็ไม่ธรรมดา ในแต่ละปีได้งบประมาณมากถึง 1.74 พันล้านเหรียญ หรือตกประมาณ 52,200 ล้านบาท ทำให้จีนมีกองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การขยับตัวอย่างแข็งกร้าวของจีนที่พร้อมฟาดทุกชาติที่ขวางหน้า ก็ทำให้ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ร้อนแรงขึ้นไปอีก ที่จะสังเกตเห็นได้ว่าหลายชาติได้เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว

เช่นญี่ปุ่นได้ประกาศเพิ่มงบกองทัพในปีนี้สูงถึง 52,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นงบทหารที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อต่อต้านการแผ่อิทธิพลของจีนโดยเฉพาะ

และไต้หวันที่ทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธจากสหรัฐเป็นจำนวนมาก และซ้อมรบถี่ยิบในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่นับกองทัพเรือสหรัฐ ที่ขยับเรือบรรทุกเครื่องบินรบ USS Theodore Roosevelt เข้ามาประชิดน่านน้ำจีนในทะเลจีนใต้มากขึ้น

ซึ่งก็เป็นการเปิดหน้าศึกจากจีน ต้อนรับโจ ไบเดนประธานาธิบดีคนใหม่แต่หน้าเก่าของสหรัฐ ที่ท้าทายกันสุดๆ ไม่มีคำว่าเกรงใจกันแล้ว และทำให้พื้นที่พิพาทในย่านนี้กลายเป็นที่จับตาว่าจะเป็นดินแดนสุ่มเสี่ยงที่จะจุดชนวนมหาสงคราม ไม่ต่างจากจากตะวันออกกลางหรือไม่

แหล่งข้อมูล

https://www.aljazeera.com/.../china-authorises-coast...

https://www.channelnewsasia.com/.../taiwan-military-drill...

https://chinapower.csis.org/maritime-forces.../

https://www.reuters.com/.../us-china-coastguard-law...

https://www.reuters.com/.../japan-defence-budget...

https://www.reuters.com/.../us-southchinasea-usa...

https://en.m.wikipedia.org/wiki/China_Coast_Guard


ที่มา: เฟซบุ๊ก หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/104132041212023/posts/234478868177339/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top