Tuesday, 22 April 2025
NEWS FEED

คณะสัตวแพทย์ - แพทยศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือทำโครงการวิจัย ‘ฝึกน้องหมาดมกลิ่นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ’ คาดอนาคตอาจต่อยอดฝึกสุนัขเพื่อตรวจโรคอื่น ๆ

ศ.สพ.ญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ เผยว่า สุนัขมีความสามารถในการดมกลิ่นดีกว่าคนถึง 50 เท่า จึงคิดนำศักยภาพนี้มาใช้ โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ซึ่งทางคณะวิจัยเลือกมาฝึกและทดสอบในโครงการนี้จำนวน 6 ตัว เนื่องจากสายพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีโพรงจมูกยาว มีประสาทสัมผัสรับรู้กลิ่นที่ไวและดี อุปนิสัยเป็นมิตรและฝึกง่าย

โดยจากการทดสอบสุนัขฝูงนี้มีความแม่นยำในการพบผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการสูงถึง 94.8% เทียบเคียงกับประเทศอื่นๆ ที่มีการวิจัยใช้สุนัขตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ อาทิ ฟินแลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เป็นต้น

ส่วนกระบวนการคือ ทีมวิจัยจะเก็บตัวอย่างเหงื่อของผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นสารคัดหลั่งที่มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีการเจือปนของเชื้อไวรัส โดยเราจะซับเหงื่อบริเวณใต้รักแร้ด้วยสำลีและถุงเท้า เก็บไว้ในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยทางชีวภาพ แล้วนำสำลีและถุงเท้าดังกล่าวมาใส่กระป๋องให้สุนัขดมกลิ่น เมื่อสุนัขได้กลิ่นก็จะนั่งลงทันที เพื่อบอกว่าคนๆ นี้ติดเชื้อแม้จะไม่แสดงอาการ

ซึ่งกระบวนการทดสอบทั้งหมดปลอดภัยต่อทั้งตัวสุนัขและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยคณะวิจัยใช้ตัวอย่างจากเหงื่อของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และให้สุนัขดมกลิ่นในระยะห่าง อีกทั้งเครื่องมือต่างๆ ก็ปลอดเชื้อ โดยระยะเวลาการดำเนินการวิจัยชิ้นนี้ทั้งสิ้น 6 เดือน แบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะแรกใช้เวลา 2 เดือน เป็นการทดสอบความสามารถและฝึกสุนัขในการแยกแยะกลิ่นผู้ติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ ว่องไว

และแน่นอน โดยมีกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 และบริษัท พี คิว เอ แอสโซซิเอท จำกัด ร่วมสนับสนุนการเตรียมตัวและฝึกสุนัข ถัดมาคือการทดลองปฏิบัติจริงที่สนามบิน ท่าเรือ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และฝึกสุนัขให้ดมกลิ่นจากเท้าของคน ส่วนในระยะที่สาม เป็นการวิจัยต่อยอดเครื่องมือคัดกรองรูปแบบใหม่ เช่น เซ็นเซอร์เพื่อบ่งชี้ผู้เข้าข่ายติดเชื้อ

โดยโครงการนี้นับเป็นต้นแบบในการฝึกสุนัขเพื่องานทางการแพทย์ชุดแรกของประเทศไทย โดยในอนาคตจะมีการต่อยอดฝึกสุนัขเพื่อตรวจโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ซึมเศร้า มาลาเรีย และโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

‘แต้ว - แพนเค้ก’ เตรียมปะทะบทบาทข้ามค่าย ผ่านโปรเจกต์ Special Workshop for Film จาก Six Characters in Search of an Author ของ ‘หม่อมน้อย’

เมื่อพูดถึงนางเอกเบอร์ต้น ๆ แห่งยุคนี้ ที่ฝากผลงานผ่านจอให้คนไทยได้ดูกันมาหลายต่อหลายเรื่อง คงไม่มีใครไม่รู้จักสาว ‘แต้ว - ณฐพร เตมีรักษ์’ และ ‘แพนเค้ก - เขมนิจ จามิกรณ์ ’ ที่ยืนหนึ่งในเรื่องฝีไม้ลายมือด้านการแสดง จนคว้าใจคนดูมานักต่อนัก

ล่าสุดอินสตราแกรมแอคเคาท์ @actingclass_hmom ได้โพสต์ภาพประวัติศาสตร์ โดยมีภาพประชันบทบาทของสองนางเอกสาว ‘แต้ว ณฐพร’ และ ‘แพนเค้ก เขมนิจ’ ซึ่งเรียกได้ว่าไม่เคยมีใครเห็นทั้งสองสาวเคยร่วมงานกันมาก่อน พร้อมแคปชั่นว่า…

‘ครั้งแรก’ และ ‘ครั้งเดียว’ ในประวัติการณ์วงการแสดง...ที่ ‘แต้ว ณฐพร’ ประชันบทบาทการแสดงกับ ‘แพนเค้ก เขมนิจ’ อย่างเข้มข้น...ใน Special Workshop for Film จาก Six Characters in Search of an Author

ลำหรับ Workshop for Film จาก Six Characters in Search of an Author เป็นโปรเจกต์ของ ‘หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล’ หรือ ‘หม่อมน้อย’ ซึ่งคงต้องตามดูว่าจะนำเสนออกมาในรูปแบบผลงานใด โดยนอกจากจะมีแม่เหล็กอย่างสองสาว ‘แต้ว’ จากช่องน้อยสี และสาว ‘แพนเค้ก’ จากทรูโฟร์ยู นางเอกตัวท็อปของประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีนักแสดงมากฝีมือ เข้าร่วมโปรเจกต์นี้กันอีกหลายคน

น่าติดตามมว้ากกกก...

รัฐบาลจีนต้องการให้บริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ขายธุรกิจสื่อบางแห่ง ซึ่งรวมถึงหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ เนื่องจากรัฐบาลกังวลว่า อาลีบาบาจะมีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนภายในประเทศ

สื่อต่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ในการประชุมหลายครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลจีนไม่พอใจที่อาลีบาบาครอบครองธุรกิจสื่อ โดยกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของอาลีบาบาต่อโซเชียลมีเดียในจีน

วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า รัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้อาลีบาบาลดการถือครองสินทรัพย์ในธุรกิจสื่อ หลังจากนายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาได้ถูกรัฐบาลจีนเพ่งเล็งตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และบริษัทแอนท์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นธุรกิจฟินเทคในเครือของอาลีบาบา

รายงานระบุว่า นายหม่าและอาลีบาบาได้ก่อตั้งธุรกิจสื่อขนาดเล็กอย่างเงียบ ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนสยายปีกเข้าสู่สื่อออนไลน์, หนังสือพิมพ์, บริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย และธุรกิจโฆษณา ขณะเดียวกันอาลีบาบายังได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Weibo ซึ่งให้บริการคล้ายทวิตเตอร์ รวมถึงเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชั้นนำในฮ่องกง

การที่นายหม่าถูกรัฐบาลจีนเพ่งเล็งนั้น เป็นผลมาจากการที่เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบกำกับกฎระเบียบทางการเงินของจีนเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2563 จนทำให้แอนท์ กรุ๊ปโดนสั่งระงับการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เดิมตั้งเป้าหมายไว้สูงถึง 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่บริษัทฟินเทครายใหญ่แห่งนี้จะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้


ที่มา :

https://www.infoquest.co.th/2021/71500

https://www.wsj.com/articles/beijing-asks-alibaba-to-shed-its-media-assets-11615809999

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-15/china-asks-alibaba-to-sell-media-assets-amid-rising-clampdown

โคตรตำนานมวยโลก ‘มาร์วิน แฮกเลอร์’ เสียชีวิต ด้านคู่ปรับตลอดกาล คาด ‘ไอ้โล้นซ่า’ ดับหลังเจอผลข้างเคียงวัคซีนแอสตราเซเนก้า

โคตรตำนานมวยโลก ‘มาร์วิน แฮกเลอร์’ เสียชีวิต ด้านคู่ปรับตลอดกาล คาด ‘ไอ้โล้นซ่า’ ดับหลังเจอผลข้างเคียงวัคซีนแอสตราเซเนก้า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ‘มาร์วิน แฮกเลอร์’ เจ้าของแชมป์โลกมิดเดิลเวต 3 สถาบันหลักชาวสหรัฐอเมริกา ได้เสียชีวิตในวัย 66 ปี

โดย แฮกเลอร์ ถือเป็นยอดมวยที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก ด้วยผลงานการเป็นเจ้าของแชมป์โลก 3 สถาบันหลัก ระหว่างปี ค.ศ. 1980 - ค.ศ.1987 และจัดเป็น 1 ใน 4 ยอดนักชกรุ่นกลางแห่งทศวรรษที่ 80 ร่วมรุ่นกับ ชูการ์ เรย์ เลนเนิร์ด, โธมัส เฮิร์นส์ และ โรเบร์โต ดูรัน

สำหรับ แฮกเลอร์ เป็นนักมวยที่ถนัดซ้ายก็จริง ทว่าเจ้าตัวจัดเป็นนักชกที่มีความหนักหน่วงทั้งกำปั้นซ้ายและขวา พร้อมเอกลักษณ์คือ ศีรษะที่โล้นจนแฟนมวยชาวไทยให้ฉายาว่า ‘เจ้าโล้นซ่า’

ทั้งนี้ ยอดมวยรายนี้มีผลงานการชก 67 ไฟต์ ชนะ 62 ไฟต์ (ชนะน็อก 52 ไฟต์) แพ้ 3 ไฟต์ และเสมอ 2 ไฟต์

หลังแขวนนวม แฮกเลอร์ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอิตาลี เปิดร้านขายอาหารอิตาเลียน และหันไปเป็นนักแสดงประกอบตามภาพยนตร์อิตาลี พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจริงของตัวเองเป็น มาร์เวลัส มาร์วิน แฮกเลอร์ ตามชื่อที่ใช้เรียกในสมัยที่ยังชกมวยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ‘โธมัส เฮิร์นส’ เจ้าของฉายา ‘เดอะ ฮิตแมน’ อดีตแชมป์มวยโลกรุ่นมิดเดิลเวต และอดีตคู่ปรับของ ‘เจ้าโล้นซ่า’ ที่ร่วมสร้างไฟต์สุดคลาสสิกกับแฮกเลอร์ เมื่อปี 1985 ได้แสดงความเห็น โดยเชื่อว่าอดีตเพื่อนร่วมสังเวียน จากไปหลังมีอาการแพ้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19

‘เดอะ ฮิตแมน’ ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัว หลังกำปั้นวัย 66 ปี เข้าโรงพยาบาลว่า “ขอเป็นกำลังใจให้กับเดอะคิง นักสู้ตัวจริง และครอบครัว...เขา (แฮกเลอร์) เข้าห้องไอซียู เพื่อต่อสู้กับผลข้างเคียงของวัคซีน เขาจะไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือมองแง่บวกและอวยพรให้เขาสำหรับการรักษา”

มีการเปิดเผยว่า แฮกเลอร์ ได้ฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนก้า เข็มแรกแล้วมีอาการแพ้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มประเทศยุโรปได้มีการระงับการฉีดวัคซีนยี่ห้อนี้ชั่วคราว โดยมีรายงานพบว่ามีผู้ป่วยบางรายเกิดลิ่มเลือดหลังฉีดเข็มแรก


ที่มา:

https://mgronline.com/sport/detail/9640000024547

https://mgronline.com/sport/detail/9640000024698

ยูทูบช่อง China Daily เผยแพร่ภาพ ‘เฉิง หยุนฟุ’ ชาวนาหนุ่มวัย 39 ปี กำลังนวดแป้ง ก่อนทำบะหมี่ขายในราคาชามละ 14 บาท ที่ตลาดเขต ‘เฟยเซียน’ มณฑลชานตง ภาคตะวันออกของจีน โดยมีผู้คนแห่ไปชมกันล้นหลาม ความดังของเขา ส่งผลให้เศรษฐกิจในเมืองเจริญก้าวหน้าไปด้วย

เซาท์ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ได้เผยว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปภาพของ หนุ่มชาวจีนที่ชื่อ ‘เฉิง หยุนฟุ’ ที่กำลังโด่งดังในฐานะบุคคลผู้มีน้ำใจจนได้ฉายา ‘พี่บะหมี่’ หลังจากเขาขายบะหมี่มานานกว่า 15 ปี ในราคาเพียง 3 หยวน หรือประมาณ 14 บาทเท่านั้น

ก่อนหน้านี้มีคนไปถ่ายคลิปให้เขาขณะทำบะหมี่ขายที่ตลาดเขตเฟยเซียน มณฑลชานตง ภาคตะวันออกของจีน และสอบถามไปว่าทำไมเขาถึงคิดราคาเพียง 3 หยวน ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบแบบตรงไปตรงมาว่า...

“ที่ต้องตรึงราคา 3 หยวนไว้ เพราะถ้าไปขึ้นราคา คนในหมู่บ้านก็คงกินไม่ได้ ถ้าคนมีเงินน้อย ก็ใช้วิธีลดเส้นลง ดีกว่าปล่อยให้คนหิว ถ้าทุกคนรวยเมื่อไรและมีโชคแล้ว ผมก็ค่อยขึ้นราคาก็ได้นี่นะ”

หลังจากคลิปดังกล่าวได้โพสต์ลง ปรากฏว่ามีคนเข้าไปดูคลิปมากกว่า 200 ล้านวิว พร้อมกับคำชื่นชมว่าชาวนาหนุ่มผู้นี้เป็นคนซื่อๆ แต่กลับมีน้ำใจเป็นอย่างมาก

กระแสข่าวเรื่องนี้ ทำให้สำนักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างแห่กันไปรุมสัมภาษณ์และเกาะติดชีวิตของชาวนาหนุ่มทันที แม้ช่วงแรก ‘เฉิง หยุนฟุ’ จะรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะเกิดความวุ่นวายในชีวิตหลายอย่าง เช่น สูญเสียความเป็นส่วนตัว หรือลูกค้าเก่า ๆ หายไปหมด

อย่างไรก็ตาม เขาก็พยายามอดทน เพราะเห็นว่าหลังจากมีคนเข้ามาดูการทำบะหมี่ขาย เศรษฐกิจในเมืองมีความเจริญก้าวหน้า นักท่องเที่ยวมากขึ้น การค้าขายดีขึ้น และเมื่อเขาทำใจยอมรับการเป็นคนดัง เขาก็เริ่มชื่นชอบเหล่าสื่อและบล็อกเกอร์ที่มารุมล้อม ประกอบกับมีอาสาสมัครในหมู่บ้าน ทำทีมรับบล็อกเกอร์และแฟนคลับให้เขา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหล มีการจัดระเบียบให้เข้าชมอย่างเป็นระบบด้วย

ชมคลิป


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/830804

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6115969

นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีปัญหาพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน การบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ปี 2539 และปี 2554 จนมาถึง ปี 2564

ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยเป็นการกระทำที่ไม่เคารพสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม เป็นการโยกย้ายที่ไม่ชอบด้วยหลักการสากลที่รัฐบาลลงนามกับนานาอารยะประเทศ

ตนในนาม ส.ส.พรรคก้าวไกล สัดส่วนชาติพันธุ์ เมื่อทราบว่ามีการใช้กฎหมายที่รุนแรง จึงได้นำเรื่องเข้าสู่กรรมาธิการสามัญ ได้แก่ กรรมาธิการ, เด็ก, เยาวชน, สตรี, ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ, กรรมาธิการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อกรณีนี้

ทั้งนี้ เพื่อการแก้ปัญหาในระยะยาว พรรคก้าวไกลและเครือข่ายชาติพันธุ์พรรคก้าวไกล จึงได้ร่วมกันยกร่างกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เพื่อเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นรูปแบบการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาค และจะนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอนกระบวนการ โดยประเด็นสำคัญในร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย มี 2 ประเด็นหลัก คือ

1.) การยอมรับและรับรองความมีตัวตนของชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตราที่ 70 ในรูปแบบเขตวัฒนธรรมเฉพาะ หรือ เขตวัฒนธรรมพิเศษตามบริบทพื้นที่ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ

2.) สร้างกลไกการทำงานประสานความร่วมมือ และการกำหนดแผนงานยุทธศาสตร์ต่างๆร่วมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายมานพ กล่าวต่อว่า ส่วนงานนอกสภาผู้เเทนราษฎรตนได้ลงพื้นที่พบปะผู้นำชุมชนบางกลอย และร่วมทำงานกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมภาคตะวันตก และเครือข่ายภาคี save บางกลอยเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือทั้งในระยะสั้นและระยะยาวผ่านกลไกคณะทำงานภาคประชาชน และกลไกที่หน่วยงานภาครัฐแต่งตั้งขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับพี่น้องชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือระดมข้าวสารและข้าวเปลือก จำนวน 4 ตัน ส่งมอบให้พี่น้องบางกลอยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วน และล่าสุดได้ลงไปให้กำลังใจผู้ที่ถูกดำเนินคดีจำนวน 22 รายทั้งในพื้นที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และสถานที่ชุมนุมที่ข้างทำเนียบรัฐบาล

ใครพ่น เราจะลบ!! ลูกเสืออากาศ พิทักษ์สาธารณะ ไล่ล่าลบรอยพ่นสีตามกำแพง

ไม่นานมานี้กลุ่ม ‘ลูกเสืออากาศ’ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสา ปฏิบัติการลบรอยพ่นสีตามสถานที่สาธารณะบริเวณดอนเมือง บางเขน หลักสี่ ปากเกร็ด บางกระดี เมื่อวันเสาร์ที่ 13 และ วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 

โดยเหตุผลของการลบครั้งนี้ เด็ก ๆ มองว่า... 

“เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม 

“ใครพ่นเราลบ จบนะครับ”
 

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จ่อ ดัน “โชห่วย” เข้าตลาดหุ้น หวังช่วยสร้างความเข็มแข็งให้ธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมฯ กำลังหาทางผลักดันให้ร้านค้าปลีกค้าส่งที่อยู่กลุ่มส่งเสริมพัฒนาจากกรมฯ และเป็นร้านค้าต้นแบบ 213 ราย เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่มเติม

เพื่อเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย หลังจากก่อนหน้านี้ สามารถผลักดันเข้าไปจดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำเร็จแล้ว 2 ราย คือ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) ที่เชียงราย และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จากัด (มหาชน) ที่หาดใหญ่

สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ โดยสามารถระดมเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ เพิ่มจำนวนสาขา และแข่งขันกับธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ได้ อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของคนไทย มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน มีร้านโชห่วยทั้งประเทศประมาณ 4 แสนราย โดยตัวเลขที่ทรงตัวอยู่ในระดับนี้มานาน เพราะมีการเปิดใหม่ และปิดตัวไปเท่าๆ กัน โดยรายเดิมที่ปิดตัวไป มีทั้งทำธุรกิจมานาน และไม่มีลูกหลานมาทำกิจการต่อ จึงต้องปิดตัวไป หรือทำแล้วประสบปัญหา แข่งขันไม่ได้ ก็ปิดตัวไป

แต่ก็มีรายที่ปรับตัว และอยู่รอดได้ ก็ทำธุรกิจต่อ และยังมีรายใหม่ ๆ เข้ามาทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลมีมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งโครงการคนละครึ่ง เราชนะ เรารักกัน ทำให้ร้านโชห่วยมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงมีร้านโชห่วยเกิดใหม่มากขึ้นตามไปด้วย

อดีตสมาชิกวุฒิสภา ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ ส่งหลักฐาน ถึงป.ป.ช. งัด คลิป - รูปภาพ จากสื่อ จี้ สอบพระเครื่อง ‘บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม’ พ่วง ‘สมพงษ์’ ผู้นำฝ่ายค้าน

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ส่งหนังสือถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เนื่องจากเมื่อต้นปี 2564 มีการเผยแพร่ข่าวเปิดกรุพระเครื่องของนายกรัฐมนตรี และเมื่อย้อนไปดูคลิปข่าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์ และมีการนำเสนอเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เปิดกรุพระเครื่องของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้ปลดกระดุมเสื้อเพื่อโชว์พระที่ห้อยคอ แล้วระบุว่ามีพระมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้นับว่าทั้งหมดกี่องค์ และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 คลิปที่พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีโชว์พระเครื่อง ว่าที่โชว์ยังน้อย จริง ๆ มีเป็นร้อยองค์ และตนก็พกแต่ไม่ได้โชว์

นายเรืองไกร กล่าวว่า "เมื่อค้นหาข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับบัญชีทรัพย์สินฯ ที่พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 กลับมีไม่ถึง 100 องค์ จึงมีเหตุสมควรตรวจสอบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นบัญชีพระเครื่องไว้ครบถ้วนหรือไม่ และเมื่อไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของ พล.อ.ประวิตร ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4กันยายน 2557 พบว่าไม่มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่นไว้เลย ทั้งที่ในคลิปที่มีการนำเสนอผ่านสื่อระบุชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร ก็มีพระเครื่องที่พกอยู่ด้วยเช่นกัน"

“เมื่อนำคำพูดของบิ๊กป้อมที่บอกว่า บิ๊กตู่มีพระเป็นร้อยองค์ ไปตรวจสอบกับบัญชีทรัพย์สินของบิ๊กตู่ พบว่า มียื่นไว้ไม่กี่รายการ ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า อาจมีพระเครื่องอีกหลายสิบองค์ที่บิ๊กตู่อาจไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.” นายเรืองไกรกล่าว

นายเรืองไกร ยังขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 วันที่ 21 สิงหาคม 2562 วันที่ 9 ตุลาคม 2562 วันที่ 26 ตุลาคม 2562 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวภาพตามสื่อต่างๆ พบว่านายสมพงษ์ สวมใส่นาฬิกา หรือสร้อยคอหรือมีพระบูชาในห้องทำงานอยู่ด้วย แต่ในบัญชีทรัพย์สินอื่นที่ยื่นไว้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ไม่มีการยื่นรายการดังกล่าวไว้

นายเรืองไกร กล่าวว่า "ตามคู่มือของ ป.ป.ช. บอกไว้ว่า ทรัพย์สินอื่นถ้ามีมูลค่ารวมกันเกิน 200,000 บาท ก็ต้องยื่นบัญชี เมื่อมีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวมา ประกอบกับทั้ง 3 คน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ จึงมีเหตุที่ควรถูกตรวจสอบตามกฎหมายต่อไป ตนจึงส่งหนังสือเพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของทั้ง 3 คน ว่า ได้ยื่นไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการยื่นขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบในครั้งนี้ นายเรืองไกร ได้นำคลิป ภาพ และคำสัมภาษณ์จากสื่อต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอมาเป็นหลักฐานให้กับ ป.ป.ช.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top